Friday, 9 May 2025
NEWS

ชวนดู!! ใบคิวนัดหมายฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ

ส่วนหน้าตาใบนัดคิวของไทยจะเป็นแบบไหน ทำอย่างไร ต้องติดตามดูกัน

ก้าวไกล เปิดอบรม ว่าที่ผู้สมัคร สก. เตรียมพร้อมลงสนามเลือกตั้ง กทม. เป้าหมายทำนโยบายเพื่อชาวกรุงเทพฯ พร้อมเผย ผู้ท้าชิงผู้ว่ากรุงเทพฯพรรคก้าวไกล "ใหม่ ชัด โดน” แน่นอน!

ณ สำนักงานพรรคก้าวไกล เขตบางเเค กรุงเทพมหานคร พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต25 บางขุนเทียน ในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์ กรุงเทพมหานคร ฝ่ายอบรมพรรคก้าวไกล อมรมเเละพบปะว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สังกัดในนามพรรคก้าวไกลที่จะร่วมผลักดันเเละดูเเลนโยบายยุทธศาสตร์โครงสร้างของกรุงเทพมหานครเพื่อยกระดับเเลคุณภาพชีวิต เเละแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนคนกรุงเทพมหานคร

พิธา กล่าวถึงความพร้อมของพรรคก้าวไกลในการส่งผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เพื่อเเข่งขันพัฒนาศักยภาพ เเละกำหนดนโยบายเพื่อชาวกรุงเทพมหานคร ซึ่งกรุงเทพมหานครมีปัญหาสำคัญที่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการไร้รอยต่อของการคมนาคม เเละนโยบายในการเอางบประมาณ 5% มาให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการออกเเบบกรุงเทพมหานคร

พิธา กล่าวต่อไปว่า "ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาผมลงพื้นที่กว่า 8 จังหวัดในการรับฟังปัญหาประชาชน เพื่อสะท้อนเเละนำไปผลักดันในสภาผู้แทนราษฎร เเละตั้งเเต่วันนี้เป็นต้นไป จะลงพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วยเพื่อทำงานเชิงโครงสร้างเเละนโยบายอย่างเข้มข้น เเละขอให้ผู้สมัครทุกคนมีความมุ่งมั่น ตั้งใจไม่ย่อท้อ ให้นึกถึงวันเเรกที่ได้เข้ามาทำงานการเมือง

สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ถึงจุดประสงค์ที่ตั้งเป้าหมาย ว่าเข้ามาทำการเมืองในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติที่ช่วยผลักดันนโยบายต่าง ๆ เพื่อคุณภาพชีวิตของชาวกรุงเทพมหานคร โดยเป้าหมายที่สำคัญ คือต้องมาจากใจของผู้สมัคร ในการตั้งเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพกรุงเทพมหานคร เเละในประเด็นต่อมาคือให้ตั้งเป้าหมายเป็นตัวเลข จากสถิติเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา อดีตพรรคอนาคตใหม่มีฐานเสียงกว่า 800,000 คะเเนนสำหรับกรุงเทพมหานคร เป็นป๊อบปูลาร์โหวตในกรุงเทพที่เยอะที่สุดในบรรดาทุกพรรคการเมือง"

"ผมในฐานะหัวหน้าพรรค เห็นว่ากรุงเทพมหานครมีความสำคัญต่อพรรคก้าวไกลมาก 800,000 เสียง ของชาวกทม.ที่ไว้วางใจพรรคอนาคตใม่คือ คะเเนนที่สำคัญ ที่เราจำเป็นต้องสานต่อความหวังของพี่น้องประชาชน ทำนโยบายเพื่อชาวกรุงเทพมหานครให้มีประสิทธิภาพที่สุด"

"ผมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลและส.ส. จะไปร่วมลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาของพี่น้องประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาได้จริงอย่างตรงจุด มีการพูดกันเเบบปากต่อปากถึงศักยภาพ เเละจุดเเข็งของว่าที่ผู้สมัครของเรา เราต้องมีหัวคะเเนนทางอุดมคติ ทางอุดมการณ์ ทางนโยบาย ที่เราจะช่วยกันพัฒนาศักยภาพของกรุงเทพมหานครเเละผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน เพื่อร่วมทำกรุงเทพในฝันของเราอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวกรุงเทพมหานคร" พิธา กล่าว

"การทำงานของผมจะเป็นการทำงานแบบไร้รอยต่อ เราจะทำงานตั้งเเต่สภาผู้เเทนราษฎร จนถึงระดับท้องถิ่น เพื่อรับทราบปัญหา นำไปสู่การผลักดันให้เกิดการเเก้ไขอย่างตรงจุด"

ขณะที่ ณัฐชา กล่าวว่า ในวันนี้สนามการเเข่งขันสมาชิกสภากรุงเทพมหานครเริ่มเข้มข้น ซึ่งจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สก. ในช่วงเดือนตุลาคม ดังนั้นพรรคก้าวไกล เรามีเวลาในการเตรียมความพร้อมกว่า 7 เดือน ที่สำคัญคือขอให้ผู้สมัครทุกท่านมั่นใจว่าพรรคก้าวไกล พร้อมผลักดันเเละร่วมสร้าง ร่วมนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง ให้กับชาวกรุงเทพมหานคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อถามถึงผู้ท้าชิงผู้ว่ากรุงเทพมหานครในนามพรรคก้าวไกลเป็นใคร ด้าน พิธาระบุว่ายังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อในขณะนี้แต่ขอรับประกันว่าเขาคือความหวังและโอกาสของชาวกรุงเทพมหานครอย่างแน่นอน อย่างที่ตนเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า “ผู้ท้าชิงผู้ว่าฯกรุงเทพในนามพรรคก้าวไกล “ใหม่ ชัด โดน” อย่างแน่นอน”

ส่วน บรรยากาศในการพบปะระหว่างหัวหน้าพรรคก้าวไกล เเละว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร บรรยากาศเป็นไปอย่างเป็นกันเอง มีการเปิดโอกาสให้ผู้ว่าสมัคร สก. ได้ซักถามข้อสงสัย เกี่ยวกับปัญหาในการลงพื้นที่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อที่จะตอบข้อสงสัยจากพี่น้องประชาชน เพื่อนำไปปรับปรุง เเละสร้างนโยบายเพื่อไปพัฒนาคุณภาพชีวิตกรุงเทพมหานครเพื่อให้ได้กรุงเทพในฝัน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมืองในอนาคตต่อไป

รัฐบาลจีนกำลังจะเป็นชาติแรกที่ใช้งาน ‘เงินดิจิทัล’ (ดิจิทัลหยวน) อย่างเป็นรูปธรรม หลังจากพัฒนามานานถึง 7 ปี เชื่ออาจจะสะเทือนถึงโลก Bitcoin

บลูมเบิร์ก ได้เผย ถึงการที่จีนเริ่มเร่งปล่อยเงินหยวนดิจิทัลออกมาสู่ตลาด เป็นการแสดงถึงความพยายามที่จริงจังของรัฐบาลจีนที่ต้องการควบคุมระบบการเงินในโลกใหม่ ซึ่งในปัจจุบันทางธนาคารกลางจีน ได้ทำการทดสอบใช้เงินหยวนดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้จะถึงขั้นที่พร้อมปล่อยใช้แบบเต็มตัว

อย่างไรก็ตาม หากจีนสามารถนำเงินดิจิทัลของตนออกใช้ได้จริงจัง ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดเงินดิจิทัล โดยเฉพาะกับ Bitcoin พอสมควร

สำหรับการเร่งผลักดันเงินดิจิทัลของจีนออกมา เพราะเหตุผลหลักๆ มาจากการที่จีนไม่ค่อยชื่นชอบสกุลเงินดิจิทัลที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้เกิดมาตรการในการห้ามแลกเงินหยวนกับโทเคนดิจิทัลต่างๆ หรือแม้แต่การสั่งแบนขุด Bitcoin ในหลายพื้นที่ หลังจากนักขุด Bitcoin ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก จนทำให้พื้นที่เหล่านั้นไม่สามารถทำตามนโยบายประหยัดพลังงานได้

นักวิเคราะห์มองว่าถ้าหากจีนปล่อยเงินหยวนดิจิทัล ที่อยู่ภายใต้การควบคุมออกมา พร้อมกับออกกฎที่เคร่งครัดต่อเงินดิจิทัลสกุลอื่นๆ มากยิ่งขึ้นนั้น จะยิ่งทำให้ตลาดเงินดิจิทัลในจีนนั้นเกิดอาการ ‘Panic Sell’ หรือแห่กันเทขายออกมา ซึ่งนั่นอาจจะทำไปสู่การตกลงที่รุนแรงของราคา Bitcoin โลก ที่อาจจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ หรืออนาคตอันใกล้ก็เป็นไปได้

ว่าแต่ ‘หยวนดิจิทัล’ ว่าคืออะไร?

ประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็นประเทศตัวอย่างของ ‘สังคมไร้เงินสด’ นั่นก็เพราะมีการใช้จ่ายเงินผ่านทางโทรศัพท์มือถือสูงมาก โดยจากข้อมูลในปี 2009 ได้มีการระบุยอดผู้ใช้จ่ายเงินออนไลน์แล้วประมาณ 94 ล้านคน

หลังจากนั้นอีก 10 ปี หรือในปี 2019 ตัวเลขผู้ใช้จ่ายเงินออนไลน์เพิ่มเป็น 800 ล้านคน หรือก็คือเกินครึ่งของประชากร 1,400 ล้านคนทั่วประเทศ

เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เราจะเห็นร้านสะดวกซื้อ แม่ค้าในตลาด หรือกระทั่งขอทาน มี QR Code สำหรับรับเงินโดยเฉพาะ และหากมองตลาดการจ่ายเงินผ่านมือถือของจีน จะพบว่ามีรายใหญ่ได้แก่

...Alipay (Alibaba) ครองส่วนแบ่งสูงสุด 55%

...Tenpay (Tencent + WeChat) ครองส่วนแบ่ง 40%

...ที่เหลือก็คือผู้ให้บริการรายย่อยอื่น ๆ

นั่นเท่ากับว่าการรับจ่ายเงินหยวนแต่ละครั้งผ่านระบบออนไลน์ บริษัทเอกชนเหล่านั้นก็จะมีข้อมูลการเคลื่อนไหวของเงินเก็บไว้ ซึ่งพวกเขาก็จะมีข้อมูลลูกค้าเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ (หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าส่งต่อข้อมูลให้ทางรัฐบาลจีน)

ต่อมาในปี 2014 พอทั่วโลกได้เริ่มรู้จักกับสกุลเงินดิจิทัลที่ชื่อว่า Bitcoinก็ทำให้ธนาคารจีนเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของการมีสกุลเงินดิจิทัลของประเทศตัวเองด้วย โดยในปี 2017 ทางธนาคารพาณิชย์ และผู้เชี่ยวชาญได้มาร่วมกันออกแบบระบบสร้างสกุลเงิน ‘หยวนดิจิทัล’ ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ดิจิทัลหยวน กับ Bitcoin จะมีความต่างกันอยู่พอสมควร โดยเงินหยวนดิจิทัล จะอ้างอิงกับค่าเงินหยวนแบบ 1:1 นั่นหมายความว่าถ้าเงินหยวนมีค่าเท่าไร เงินหยวนดิจิทัลก็จะมีค่าเท่านั้น ซึ่งต่างจาก Bitcoin ที่ไม่ได้อ้างอิงกับสินทรัพย์ใดๆ หรือ Libra (Facebook) ที่อ้างอิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่

ในขณะที่ Bitcoin ขึ้นชื่อเรื่องของความอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมใดๆ และสามารถรับจ่ายเงินได้โดยไม่ต้องระบุตัวตน แต่เงินหยวนดิจิทัลนั้น ธนาคารกลางจีนมีสิทธิ์ควบคุมโดยตรง เพราะเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ทำให้สามารถติดตามได้ว่าเงินไปอยู่ตรงไหนแล้ว ถูกใช้จ่ายอย่างไรบ้าง ประชาชนหรือบริษัทไหนเป็นผู้ครอบครองอยู่

ทั้งนี้ หลังจากมีการทดสอบดิจิทัลหยวนจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหา ธนาคารกลางจีนก็เริ่มดำเนินการทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัล ในหลายเมือง เช่น เซินเจิ้น, เฉิงตู หรือซูโจว โดยช่วงแรกเริ่มใช้ในวงแคบ ๆ ก่อนจะต่อยอดทดสอบจ่ายเป็นเงินเดือนบางส่วน และสวัสดิการให้กับข้าราชการ ซึ่งเป็นเหมือนการบีบบังคับให้พวกเขาต้องใช้เงินดิจิทัลไปในตัว แล้วถ้าการทดสอบนี้ได้ผลดี ก็อาจจะขยายต่อไปยังส่วนธุรกิจอื่น ๆ ต่อ ซึ่งรวมไปถึงห้างร้านต่าง ๆ อีกด้วย

และหากไปถึงจุดนั้นได้จริง ร้านค้าที่รับจ่ายเงินผ่าน QR Code ของผู้ให้บริการต่าง ๆ ก็จะถูกบังคับให้รับทั้งสกุลเงินเดิม และสกุลเงินดิจิทัลนี้ควบคู่กันไป ในขณะที่แอปฯ จ่ายเงินชื่อดังของทั้ง Alibaba และ Tencent ที่ตอนนี้ให้บริการรับจ่ายเงินสกุลหยวน ก็พร้อมให้ความร่วมมือหากรัฐบาลขอให้เปิดใช้เงินใหม่นี้ด้วย

มีการคาดเดากันว่า หากประชากรจีนที่มีร่วม 1,400 ล้านคน สามารถเข้าสู่ระบบการเงินผ่านออนไลน์ได้ทั้งหมด โอกาสที่เหรียญดิจิทัลหยวนจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการรับจ่ายเงินผ่านระบบทั้งหมด ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะอย่างที่บอกว่าจีนต้องการที่จะควบคุมและตรวจสอบเส้นทางการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของการ ‘ทุจริตและฟอกเงิน’ อยู่แล้ว

ขณะเดียวกันประชากรร่วม 1,400 ล้านคน นี้ ก็เป็นตัวเลขประชากรมหาศาล ได้ตั้งตนที่จะรับระบบแลกเปลี่ยนเงินด้วย ‘ดิจิทัลหยวน’ ขึ้นมา ใครที่คิดจะค้าขายได้ ก็คงต้องยอมรับเงื่อนไขของสกุลเงินนี้

แล้วก็ดูจะเป็นไปได้มากเสียด้วย ในวันที่จีนกำลังเป็นมหาอำนาจในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจโลก...


อ้างอิง:

https://www.facebook.com/331394447302302/posts/1169233243518414/

https://www.bloomberg.com/.../china-s-plan-for-digital...

https://www.efinancethai.com/Laste.../LatestNewsMain.aspx...

https://cntechpost.com/.../alipay-maintains-no-1-spot-in.../

https://www.theguardian.com/.../china-starts-major-trial…

กองสลากฯ เตรียมทดองใช้แอปฯ ซื้อ-ขาย "สลากกินแบ่งรัฐบาล" แก้ปัญหาหวยแพง นำร่องใช้กับเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย GLO official Sellers ในกรุงเทพฯ และนนทบุรี 56 แห่ง

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 64 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า เตรียมทดลองนำระบบแอปพลิเคชันรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ซื้อขายสลากแทนเงินสด เพื่อแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคา และปัญหาการขายต่อทำกำไร โดยวิธีการซื้อขายสลากจะยังซื้อขายเป็นใบผ่านตัวแทนจำหน่ายตามปกติ เพียงแต่ชำระเงินด้วยแอปฯ แทนการจ่ายเงินสดเท่านั้น ซึ่งเบื้องต้นจะนำร่องใช้กับเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายสลาก 80 บาท จีแอลโอ ออฟฟิเชียล เซลเลอร์ส (GLO official Sellers) ในกรุงเทพฯ และนนทบุรี 56 แห่ง ซึ่งกำลังเปิดรับสมัครและคัดเลือกในขณะนี้ก่อน

ทั้งนี้ การเปิดให้มีการซื้อขาย "ลอตเตอรี่" ผ่านระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้มีข้อมูลยืนยันได้ว่า มีการขายสลากในราคาใบ 80 บาทจริง และระบุตัวตนของผู้ซื้อและผู้ขายได้ว่ามีการขายให้กับใคร ขายแล้วมีการนำไปจัดรวมชุดหรือเก็งกำไรต่อหรือไม่ นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ให้นักเสี่ยงมีความมั่นใจว่า เมื่อซื้อลอตเตอรี่ไปแล้วหากเกิดถูกรางวัลขึ้นมาก็มีหลักฐานยืนยันได้ว่าเป็นผู้ซื้อลอตเตอรี่จากร้านนี้จริง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการเกิดดราม่าหวย และฟ้องร้องกันหลายกรณี

สำหรับแอปพลิเคชันรับชำระเงินที่นำมาใช้ จะเป็นแอปฯ ที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้อยู่แล้ว เช่น เป๋าตัง และ ถุงเงิน แต่ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นแอปฯ รับชำระเงินประเภทนี้เท่านั้น อาจเป็นของสถาบันการเงินอื่นๆ ก็นำมาใช้ซื้อขายลอตเตอรี่ได้

ส่วนการรับสมัครตัวแทนจำหน่ายสลาก 80 บาท จีแอลโอ ออฟฟิเชียล เซลเลอร์ส ในกรุงเทพฯ และ นนทบุรี ซึ่งปิดไปเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา มียอดสมัครทั้งสิ้น 520 ราย แบ่งเป็นตัวแทนในเขตกรุงเทพ 460 ราย นนทบุรี 60 ราย โดยพื้นที่ที่สมัครมากสุดในกรุงเทพฯ เป็นเขตพระนครซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดค้าสลากคอกวัว ส่วนจังหวัดนนทบุรี มีอำเภอเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดค้าสลากสนามบินน้ำสมัครเข้ามามากสุด

ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย โฆษกกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า หลังจากปิดรับสมัครแล้ว จะนำรายชื่อผู้สมัครเข้าตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้น จากนั้นจะมีการสอบสัมภาษณ์ถึงแผนดูแลการจำหน่ายสลากไม่เกิน 80 บาท ซึ่งหากมีผู้ผ่านเกณฑ์มากกว่าเขตละ 1 ราย ก็จะมีจับสลากเลือกเพื่อหาตัวแทนเข้าร่วมเครือข่ายขายสลาก 80 บาทต่อไป โดยคาดว่าจะทราบผลได้ประมาณเดือนพ.ค.นี้ โครงการนี้เป็นหนึ่งในหลายแนวทาง ที่พยายามนำมาแก้ไขปัญหาสลากขายเกินราคา โดยจะนำร่องเปิดให้เฉพาะตัวแทนผู้ค้าเดิมที่อยู่พื้นที่กรุงเทพ และนนทบุรีเข้ามาสมัครผ่านทางออนไลน์ก่อน

จากนั้นจะใช้เวลา 3 - 6 เดือนเพื่อประเมินผล หากได้ผลดีจะขยายไปยังจังหวัดอื่นต่อไป ซึ่งผู้เข้าร่วมเครือข่ายผู้ค้าจะต้องขายลอตเตอรี่ไม่เกินฉบับละ 80 บาท และจะได้รับสลากไปขายงวดละ 25 เล่มโดยมีการทำสัญญาแบบปีต่อปี

ผลสำรวจกระแทก ‘ยูเอ็น’ เสียงข้างมาก คนไทยหนุน ตำรวจจัดการ ‘ม็อบ’ พังประเทศ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ‘ยูเอ็น ฟัง’ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,633 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-6 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.2 ระบุว่า ม็อบทำลายทรัพย์สินราชการ ทำลายเงินภาษีของประชาชน ขณะที่ร้อยละ 3.8 ระบุว่า ไม่ทำลาย ที่น่าพิจารณา คือ

ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.7 ต้องการให้ตำรวจและหน่วยงานความมั่นคง จับกุมกลุ่มม็อบที่ทำลายทรัพย์สินจากเงินภาษีของประชาชน ขณะที่ร้อยละ 3.3 ไม่ต้องการ นอกจากนี้ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.9 สนับสนุนการทำงานของตำรวจในเหตุการณ์ ม็อบ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ร้อยละ 95.9 เช่นกันระบุว่า ตำรวจ จัดการม็อบ 28 ก.พ.ได้ดีกว่ามาตรฐานสากล และดีกว่าหลายประเทศทั่วโลก ร้อยละ 95.4 ระบุว่า การพาคนและม็อบลงถนนจะนำไปสู่ความแตกแยกและการสูญเสียของคนในชาติ ร้อยละ 94.1 ระบุว่า มีนักวิชาการอยู่เบื้องหลังหนุนม็อบ สั่นคลอนสถาบันหลักของชาติและของประชาชน และร้อยละ 92.3 ระบุว่า มีต่างชาติอยู่เบื้องหลังหนุนม็อบ สั่นคลอนสถาบันหลักของชาติและของประชาชนคนไทย ที่น่าสนใจ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.6 ระบุว่า การทำหน้าที่ของตำรวจในการควบคุมม็อบ 28 ก.พ.ที่ผ่านมาทำได้ดี ขณะที่ร้อยละ 3.4 ระบุว่า ทำได้ไม่ดี

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ‘ยูเอ็น ฟัง’ เป็นหัวข้อของโพลนี้ที่”เปิดใจประชาชน”ต่อสถานการณ์ม็อบ และการพาคนลงถนนที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นชัดเจนว่า ม็อบและการพาคนลงถนนนำไปสู่ความรุนแรงบานปลายและการสูญเสีย ขบวนการเบื้องหลัง คือ ต่างชาติ นักการเมือง นักวิชาการ และกลุ่มผู้หลบซ่อน (Unknown) ยุยง ปลุกปั่น กลุ่มเยาวชน ให้เกิดความเกลียดชังและจ้องทำลายสถาบันหลักของชาติและของประชาชน เพื่อให้คนในชาติอ่อนแอและทำร้ายทำลายทรัพย์สินจากเงินภาษีของประชาชนจนเหลือแต่ซากหักพัง

และแหล่งทุนต่างชาติก็จะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ชาติและของประชาชนคนไทยเอาไปยึดครองในช่วงจังหวะคนไทยอ่อนแอและสูญเสียขาดพลังต่อรอง เมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดแบบนี้แล้ว คนไทยทุกคนต้องรู้รักสามัคคี ความสุขประชาชน คือ รู้เท่าทันเกมสงคราม (War Game) ม็อบนี้ไม่ตกเป็นเหยื่อของเกมนี้ที่ถูกคนไทยบางคนไปร่วมขบวนการกับต่างชาติ ยุยงปลุกปั่นคนรุ่นใหม่ที่ขาดการยับยั้งชั่งใจ คาดคิดไม่ถึง จึงตกเป็นเครื่องมือทำลายทรัพย์สมบัติชาติกันเอง ดังนั้นทุกคนจึงต้องรักและสามัคคีกัน เพื่อความสุขประชาชน และช่วยกันพูดต่อให้ ‘ยูเอ็น ฟัง’


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/95172

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน

ประจำวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2564

‘บิ๊กป้อม’ ขอบคุณคนคอนที่ลงคะแนนให้พรรคพปชร. ทุกคน ส่งผลให้ผู้สมัครของพรรคได้รับชัยชนะเลือกตั้งซ่อม เขต 3 จ.นครศรีธรรมราช ลั่นเป็นเรื่องประชาธิปไตย เชื่อไม่ทำให้ผิดใจกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมินตอบกระทบการปรับครม.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ผู้สมัครของพรรคพปชร. ชนะเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช ว่า ขอบคุณคนใต้ที่ลงคะแนนให้พรรคพปชร. ขอบคุณทุกคน

เมื่อถามว่าหลังจากนี้ทิศทางทางการเมืองในภาคใต้จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของประชาธิปไตย ก็ว่ากันไป ไม่มีการโกรธกัน ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคปชป. หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี เป็นเรื่องของประชาธิปไตย

หลังจากนี้ หากมีการเลือกตั้งภาคใต้อีกพรรคพปชร. จะส่งลงแข่งขันหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่แน่ ก็แล้วแต่ว่าเรามีความพร้อมหรือไม่ เมื่อถามว่า การชนะเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคพปชร. กล่าวว่า พรรคพปชร. ก็มีนิมิตหมายที่ดีมาตลอด เมื่อถามว่า ขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนเรื่องปัญหาการรณรงค์หาเสียงมาที่พรรคพปชร. หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ไม่มีเลย

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ผู้สมัครของพรรคพปชร. ได้รับเลือกเข้ามาจะกระทบต่อการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธตอบคำถาม

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย! ยอดลงทะเบียน ม.33เรารักกัน แล้วกว่า 8.2 ล้านคน ทั้งยังเปิดให้ผู้ประกันตนที่ไม่เคยลงทะเบียน ไม่มีสมาร์ทโฟน พกบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด ลงทะเบียนที่ สปส. ทั่วประเทศ

โดย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงผลการลงทะเบียนออนไลน์โครงการ ม33เรารักกัน ผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ซึ่งได้เปิดให้ลงทะเบียนมาตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ.- 7 มี.ค.64 จากเป้าหมายดำเนินการ 9.27 ล้านคน ปรากฏว่า มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ลงทะเบียนทั้งสิ้น 8,208,286 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 7 มี.ค.64 เวลา 23.00 น.) คงเหลืออีกประมาณ 1 ล้านกว่าคนในจำนวนนี้ ประกอบไปด้วย ผู้ที่รับเงินในโครงการเราชนะไปแล้ว ผู้ที่มีเงินฝากในบัญชีเกิน 500,000 บาท และผู้ที่มีปัญหาอื่น ๆ ทางเทคนิค เช่น ชื่อ - นามสกุล ไม่ตรงกับฐานข้อมูลสำนักทะเบียนราษฎร หรือไม่ตรงกับฐานข้อมูลผู้ประกันตน ลงทะเบียนช้า ไม่มีสมาร์ทโฟน

นายสุชาติ ยังกล่าวถึงขั้นตอนการดำเนินการสำหรับผู้ประกันตนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและยังไม่เคยลงทะเบียนเลย ขอให้เข้ามาติดต่อเพื่อลงทะเบียนที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศที่ท่านสะดวกในวันที่ 15 - 28 มี.ค.64 ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตนนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดมาเพื่อลงทะเบียนขอรับสิทธิด้วย

โดยสำนักงานประกันสังคมจะจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก พร้อมให้คำแนะนำปรึกษาเรื่องการลงทะเบียน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.30 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนแล้วแต่ไม่ผ่านสามารถขอทบทวนสิทธิผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ได้ในวันที่ 15 - 28 มี.ค.64 ทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 1 สำนักงานประกันสังคม

เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ขาดทุนหนัก หลังผลผลิตล้นตลาดวันละกว่า 4 ล้านฟอง เหตุผลหลักนักท่องเที่ยวหายจากสถานการณ์โควิด ส่งผลราคาปรับลงต่อเนื่อง เหลือ 2.50 บาทต่อฟอง ขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงอยู่ที่ 2.58 บาทต่อฟอง

นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาไข่ไก่ได้ปรับลดลงต่อเนื่อง จนไข่คละหน้าฟาร์มเหลือเพียงฟอง 2.50 บาท ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนการเลี้ยงไข่ไก่ที่ฟองละ 2.58 บาท และราคาที่ผู้เลี้ยงไข่ไก่ควรจะขายได้อยู่ที่ฟองละ 2.80 บาท โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร ได้หารือถึงแนวทางแก้ปัญหาไข่ไก่ราคาตกต่ำ

ซึ่งมีสาเหตุมาจากในช่วงไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดได้ทำให้เกิดปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดอย่างมากถึงวันละ 4 ล้านฟอง จากปกติมีผลผลิตไข่ไก่เฉลี่ย 42 ล้านฟองต่อวัน แต่กลับมีการบริโภคเพียง 38 ล้านฟอง

ทั้งนี้ ทำให้ปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่กำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก และยังเผชิญปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดอีกด้วย ซึ่งมีสาเหตุหลักเกิดจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทย ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักที่มีการบริโภคอยู่ถึงวันละ 2 ล้านฟอง ดังนั้นเมื่อนักท่องเที่ยวจำนวนนี้หายไปทำให้ไข่ไก่ส่วนเกินจึงเข้ามาในตลาดเพิ่ม

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมจึงมีมติมาตรการบรรเทาผลกระทบจากไข่ไก่ราคาตกต่ำ โดยได้ประสานสถานีบริการน้ำมันทั้งพีทีที และบางจาก ช่วยนำไข่สดไปตั้งขายภายในสถานีน้ำมันเป้าหมาย 20 ล้านฟอง โดยจะนำไข่ไก่เบอร์ 3 ขายแผง 30 ฟอง ราคา 70 บาท รวมถึงจะเร่งผลักดันไข่ไก่ 200 ล้านฟองออกจากตลาด ด้วยการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยรัฐบาลจะสนับสนุเงินชดเชยให้เอกชน 100 ล้านฟองแรก ในราคาฟองละ 50 สตางค์ คาดว่าจะใช้งบประมาณ 51 ล้านบาท ซึ่งจะใช้งบประมาณจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

‘หมอยง’ ไขข้อสงสัย ถึงเหตุผลไม่ให้เอกชนนำเข้าวัคซีนเอง เพราะบริษัทผู้ผลิตจะไม่เจรจาตรงกับเอกชน

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Yong Poovorawan’ ว่า...

โควิด วัคซีน มีคนถามมามากมาย ทำไมไม่ให้เอกชนนำเข้า

ต้องเรียนว่า วัคซีนโควิด ในปัจจุบันทั่วโลก จะขึ้นทะเบียนแบบใช้ในภาวะฉุกเฉิน EUA (Emergency Use Authorization) เกือบทั้งหมด

ดังนั้นการใช้ในแต่ละประเทศ รัฐบาลของแต่ละประเทศจะต้องรับผิดชอบเอง บริษัทผู้ผลิตจึงจะไม่เจรจากับภาคเอกชน และไม่เข้ามารับผิดชอบร่วมด้วย ในกรณีที่เกิดมีอาการแทรกซ้อน หรืออาการไม่พึงประสงค์

การส่งมาจำหน่ายในต่างประเทศ ส่วนใหญ่จึงต้องการติดต่อกับภาครัฐเท่านั้น

ภาคเอกชน เมื่อติดต่อกับบริษัทผู้ผลิต บริษัทจะไม่ติดต่อด้วย จะต้องได้รับการรับรอง ร้องขอ หรือสั่งจองจากภาครัฐ หรือตัวแทนภาครัฐเช่น องค์การเภสัช หรือหน่วยงานอื่น ที่ภาครัฐมอบหมายเท่านั้น ทั้งๆ ที่วัคซีนหลายบริษัทขณะนี้ อยากขาย เพราะได้ราคาดีมาก

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหลังจากที่ประเทศทางตะวันตกได้ให้วัคซีนกับประเทศของตัวเองมากพอแล้ว วัคซีนก็จะเริ่มล้น และบริษัทก็ต้องการจะขายเอากำไร อย่างในอเมริกาตั้งเป้าการฉีดให้ได้ตามเป้าหมายภายในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นปริมาณการใช้วัคซีนก็จะลดลง บริษัทที่ผลิตถึง 3 บริษัท ก็ต้องการส่งออก หรือขายนั่นเอง

ดังนั้น ตามหลักความจริงแล้ว ภาคเอกชนจะไม่สามารถที่จะนำเข้ามาได้เลย ถึงแม้จะเป็นตัวแทน ให้ทางบริษัทผู้ผลิตมาขึ้นทะเบียนกับ ‘อย.’ ก็ตาม เพราะทางบริษัทจะไม่สนใจ ที่จะมาขึ้นทะเบียน ถ้าหากภาครัฐไม่ร้องขอ บริษัทจะต้องการหนังสือรับรองแสดงเจตจำนง (LOI) จากทางภาครัฐ หรือตัวแทนภาครัฐเท่านั้น

จนกว่าในอนาคต ที่ได้ขึ้นทะเบียนเต็มรูปแบบ และรับประกันความผิดชอบแล้ว ภาคเอกชนจึงจะสามารถนำเข้ามาได้ หรือนำมาขึ้นทะเบียนได้ อย่างวัคซีนหลายชนิดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่อยู่นอกแผนการให้วัคซีนแห่งชาติ เช่นวัคซีนผู้ใหญ่ป้องกันปอดบวม วัคซีนเด็ก 5 โรค 6 โรค เพราะใช้ในยามปกติอยู่แล้ว และขึ้นทะเบียนได้ในภาวะปกติ

ทางออกที่จะให้ภาคเอกชน ได้ร่วมจัดซื้อ ลงทุน หรือบริการวัคซีน ช่วยภาครัฐได้ โดยเฉพาะพวกนายทุนใหญ่ๆ ที่ส่งฝากถามผมมา

ภาคเอกชนจะต้องรวมตัวกัน เจรจากับภาครัฐ และทางฝ่ายรัฐ หรือตัวแทนภาครัฐ จะต้องเป็นคนเจรจากับบริษัทวัคซีน จะต้องรับรอง หรือมีเงินกองทุน รับผิดชอบ กรณีมีปัญหาของวัคซีน เช่น อาการไม่พึงประสงค์ เพราะถือว่าเป็นการแบ่งเบาภาครัฐ ภาครัฐจะต้องออกหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) Letter of Intent หนังสือนี้จะต้องเป็นของภาครัฐ หรือตัวแทนภาครัฐเท่านั้น แสดงเจตนาต่อคู่สัญญาก่อนที่จะเซ็นสัญญาร่วมกัน ถ้าไม่มีหนังสือแสดงเจตจำนง บริษัทวัคซีนต่างๆก็จะไม่มาขึ้นทะเบียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่ภาคเอกชน จะนำเข้ามา

โดยหลักการแล้ว บริษัทใหญ่ๆ นายทุนใหญ่ๆ ก็อยากจะช่วยเหลือภาครัฐนำเข้าวัคซีน ที่เห็นเป็นข่าวอยู่เสมอ ที่ต้องการให้เศรษฐกิจฟื้นเร็ว แต่ในความเป็นจริง ภาคเอกชน หรือนายทุนที่จะช่วยเหลือ เช่น โรงงานต่างๆ สภาอุตสาหกรรม แหล่งท่องเที่ยว ถ้าทางภาครัฐ ไม่เข้าร่วมเจรจา กับบริษัทวัคซีนแล้ว ก็จะเป็นการยากที่จะมีการนำเข้ามาในช่วงนี้ จนกว่าจะมีการขึ้นทะเบียนในต่างประเทศแบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน

ดังนั้นหลายคนที่ถามมาว่า ทำไมภาคเอกชน ที่อยากนำเข้า แต่ไม่สามารถนำเข้ามาได้ คงจะได้เข้าใจ

ถ้าผมเข้าใจผิดที่กล่าวมาข้างต้น ผมก็ยินดีน้อมรับ ที่จะแก้ไข ข้อคิดเห็น และความถูกต้อง เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจ


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=5344163615626212&id=100000978797641

วัยรุ่นเตรียมเฮ ททท.ปรับเกณฑ์หนุนท่องเที่ยวไทย เล็งเสนอโครงการใหม่ ‘ทัวร์เที่ยวไทย’ แจก 5,000 บ. ช่วยค่าเที่ยว ผ่านบริษัททัวร์นำเที่ยวในราคาแพคเกจขั้นต่ำ 12,500 บาท เป็นจำนวนประมาณ 1 ล้านคน แทนที่ ‘เที่ยวไทยวัยเก๋า’

รัฐบาลแจกเก่ง ล่าสุดเตรียมสนับสนุนให้คนไทยออกมาเที่ยวช่วงสงกรานต์ โดยเพจ ‘เราชนะ’ ได้ออกมาโพสต์ว่า

เตรียมเฮกันเลย จัดให้ทั้งวันหยุดและเงินเที่ยว สงกรานต์ปีนี้ หยุดยาว 6 วัน (10 - 15 เม.ย)

แต่เท่านั้นยังไม่พอ จัดให้อีกต่อ เตรียมเปิดโครงการใหม่ "ทัวร์เที่ยวไทย" แจก 5,000 บ. ช่วยค่าเที่ยว เพียงอายุ 18 ปีขึ้นไป แทนที่เที่ยวไทยวัยเก๋าที่กำหนดอายุ 55 ปีขึ้นไป (รอรายละเอียดเต็มหลังมติ ครม.)

รายละเอียดเบื้องต้น

- อายุ 18 ปีขึ้นไป

- สมทบเงินสูงสุด 5,000 บ./คน ให้ออกเดินทางเที่ยวผ่านบริษัททัวร์ (โดยจะสมทบเงินให้ 40% ของแพคเกจ)

** สำหรับรายละเอียดทัวร์เที่ยวไทยเต็ม ๆ ต้องรอสรุป มติ ครม.คาดว่าจะออกมาเร็ว ๆ นี้

ขณะที่ ก่อนหน้านี้ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เปิดเผยความคืบหน้าโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว ได้แก่ เราเที่ยวด้วยกัน และเที่ยวไทยวัยเก๋า ว่า ทาง ททท.จะหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนออกมามากขึ้น และหากผ่านการพิจารณาของสศช. จะนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

โดยโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า จะปรับเปลี่ยนรูปแบบเล็กน้อย ภายใต้ชื่อ ‘ทัวร์เที่ยวไทย’ ที่จะขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมระดับอายุมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่ได้จำกัดแค่เพียงผู้สูงวัยเท่านั้น โดยจะสมทบเงินให้ 40% หรือไม่เกิน 5,000 บาทต่อคน ให้ออกเดินทางท่องเที่ยวผ่านบริษัททัวร์นำเที่ยวในราคาแพคเกจขั้นต่ำ 12,500 บาท เป็นจำนวนประมาณ 1 ล้านคน

ซึ่งจะทำให้บริษัททัวร์ รับคนเข้าร่วมโครงการได้จำนวน 3,000 คนต่อ 1 บริษัท รวมบริษัททัวร์ประมาณ 300 ราย ระยะเวลาดำเนินโครงการ 3 เดือน ซึ่งขณะนี้ยังต้องหารือกันอีกครั้งว่า สรุปแล้วเงินที่รัฐบาลจะสมทบให้นั้น จะส่งตรงไปยังผู้ใด ระหว่างบริษัทหรือผู้ใช้สิทธิ

ซึ่งนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้แนวทางมาว่า ควรส่งตรงไปยังบริษัทมากกว่า เพราะจำนวนน้อยกว่าประชาชนใช้สิทธิ รวมถึงหากมีการผิดปกติหรือต้องดำเนินการตรวจสอบใด ๆ ก็สามารถทำได้ง่ายกว่าด้วย

ขณะเดียวกัน ช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ รัฐบาลประกาศหยุดยาว 6 วันตั้งแต่วันที่ 10 - 15 เมษายน 2564 ททท.ยืนยันว่าในปีนี้มีการจัดงานสงกรานต์แน่นอน ส่วนการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวจะออกมาในรูปแบบใดยังต้องพิจารณาในระยะใกล้ ๆ อีกครั้ง เพราะมีหลากหลายวิธี อาทิ การเล่นน้ำสงกรานต์แบบวัฒนธรรมดั้งเดิม การฉีดน้ำได้หรือไม่ได้ ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลอีกครั้ง


ที่มา : 

https://web.facebook.com/105309981534467/photos/a.105323294866469/120967176635414/

https://www.matichon.co.th/economy/news_2608546

หลังจากกรณีการจับกุม นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ หัวหน้าการ์ดวีโว่ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเมเจอร์ รัชโยธิน ทางเพจ 'Potato Corner Thailand' ร้านเฟรนช์ฟรายส์ชื่อดังของ 'พีช พชร' ที่ได้โพสต์ข้อความเพื่อทำการตลาด

“Potato Corner ฟรายส์คลุกผงเจ้าแรกแห่งไทย โดนแจ้งข้อหาฟรายส์อร่อยเกินไป เบื้องต้น “น้องโตโต้” (นามสมมติ) ได้ถูกจับกุมที่ร้าน Potato Corner สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ชั้น 6"

โดยทางแบรนด์ได้อธิบายว่าได้ใช้มาสคอตประจำร้านชื่อว่า “น้องโตโต้” เป็นคาแรกเตอร์มันฝรั่ง สื่อถึงสินค้าหลักที่เป็นเฟรนช์ฟรายส์มาโดยตลอด

แต่ด้านดราม่ากลับมองว่าแบรนด์ได้ล้อเล่นกับความเป็นความตายของคนๆ หนึ่ง และได้ติดแฮชแท็ก #แบนPotatoCornerThailand จนเชื่อได้ว่าร้านของหนุ่มพีชอาจต้องถูกวิกฤติแบนหนักแน่ ๆ

อย่างไรก็ตามได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อ Atom SP โพสต์ภาพลูกค้าเข้าแถวต่อคิวยาวหน้าร้าน หวังลิ้มรส Potato Corner เฟรนช์ฟรายส์ชื่อดังของพระเอกไฮโซทายาทห้างดัง แต่กลับต้องถามชาวเน็ตกลับว่า ติดแฮชแท็ก #แบนPotatoCorner แบนยังไงทำไมขายดีขึ้น

โดยเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ระบุว่า...

ทัวร์ตั้งใจขับรถมากิน #potatocorner แต่ โดยมีคนต่อแถวชั่วคราว 50 คิวโดยเฉพาะผู้สูงวัยที่มากกว่าเกินกฎหมาย

#มันแบนยังไงของมันวะ

#ว๊ากคนอยากกินไม่ได้กิน


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000022189

‘สุริยะ’ สั่งการกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ยกระดับการตรวจโรงงานและสถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตรายแบบทางไกล (Remote Inspection) เน้นอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้วิถีปกติใหม่ (New Normal) โดยเริ่มให้บริการนำร่องโรงงานกว่า 5,000 โรงงาน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ ตามนโยบาย Ease of Doing Business ของรัฐบาล

ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการออกใบอนุญาต และได้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการออกใบอนุญาตโรงงาน

ล่าสุดได้สั่งการให้ กรอ. ยกระดับการให้บริการด้วยการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ตรวจโรงงานทางออนไลน์ เพื่อให้การกำกับดูแลการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่ได้อย่างทั่วถึง

รวมทั้งยังสามารถอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้บริการนำร่องโรงงานอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ กทม. กว่า 5,000 โรงงาน เริ่มดำเนินการตั้งเดือนมีนาคม 2564 เป็นต้นไป

ด้าน นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมโรงงาน อุตสาหกรรม ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ด้วยการออกประกาศ กรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยการตรวจสอบโรงงานและสถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตรายแบบทางไกล (Remote Inspection)

โดยการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการตรวจโรงงานแทนการลงพื้นที่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภัยธรรมชาติ หรือจากสถานการณ์อื่น ๆ โดยเจ้าหน้าที่จะประสานงานการตรวจแบบ ทางไกลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนเว็บไซต์ และสมาร์ทโฟน เป็นต้น

“ประกาศของ กรอ. ในเรื่องดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที โดยกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงาน หรือผู้ที่ครอบครองวัตถุอันตราย ต้องจัดส่งรายงานการตรวจประเมินแบบทางไกล หรือแบบฟอร์มการตรวจติดตามสถานที่ เก็บวัตถุอันตรายทาง E-mail, Line

ซึ่งหาก กรอ. พิจารณาแล้วเห็นว่ารายงานดังกล่าว มีความคลุมเครือไม่ชัดเจน หรือ การประกอบกิจการไม่สอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด อาจให้มีการประชุมทางไกลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น Zoom, Skype, Microsoft Teams, Line VDO Call เพื่อให้สามารถเห็นภาพการประกอบกิจการได้ชัดเจน หรือหากมีข้อสงสัยก็จะส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว โดยเริ่มนำร่องในโรงงานอุตสาหกรรมพื้นที่ กทม. จำนวน 5,592 โรงงานก่อน และจะขยายผลไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป” อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘สะพานซังฮี๊’ ชาวกรุงเทพคุ้นหูกันเป็นอย่างดี โดยสะพานแห่งนี้ มีชื่อเต็มว่า ‘สะพานกรุงธน’ ถูกสร้างขึ้นมากว่า 63 ปีแล้ว และวันนี้ในอดีต ถือเป็นวันแรกที่มีการเปิดใช้สะพานแห่งนี้อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสัญจรของผู้คน

สะพานกรุงธน เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณถนนราชวิถี เชื่อมระหว่างแขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กับแขวงบางพลัดและแขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร แรกเริ่มเดิมที ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสะพานที่ช่วยผ่องถ่ายความหนาแน่นการจราจรจากสะพานพระพุทธยอดฟ้า ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา และเชื่อมต่อผู้คนจากฝั่งพระนครกับฝั่งธนเช่นเดียวกัน

โดยสะพานกรุงธนเริ่มต้นก่อสร้างเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2497 มาแล้วเสร็จและเปิดการจราจรได้เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2501 เดิมผู้คนเรียกติดปากว่า สะพานซังฮี๊ โดยคำว่า ซังฮี๊ แปลว่า ความยินดี และเป็นชื่อถนนด้านหลังพระราชวังดุสิต ซึ่งเป็นชื่อที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 พระราชทานนาม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อ ถนนราชวิถี

แต่ชาวบ้านในละแวกนั้น ยังคุ้นเคยกับคำว่า ซังฮี๊ จนเมื่อมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านดังกล่าว จึงเรียกกันเองว่า สะพานซังฮี๊ กระทั่งเมื่อสะพานสร้างเสร็จ รัฐบาลจึงประกาศให้สะพานมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สะพานกรุงธน

เวลาผ่านมา 63 ปี ปัจจุบัน สะพานกรุงธน ยังคงเป็นสะพานที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ให้ผู้คนได้สัญจรไปมาตลอดสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่เช่นเดิม นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของความเป็นกรุงเทพ ที่เมื่อนึกถึงสะพานที่มีโครงเหล็กอันสวยงาม ตั้งตระหง่านเหนือแม่น้ำเจ้าพระยา ผู้คนก็มักจะนึกถึงชื่อ สะพานกรุงธน นี่เอง


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สะพานกรุงธน

‘สุริยะ’ ผลักดันโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศพัฒนาสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) มุ่งปรับปรุงกระบวนการผลิตและบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

เพื่อการประกอบกิจการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้พัฒนาอย่างยั่งยืนสอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy) ของรัฐบาล ตั้งเป้าภายในปี 2568 โรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศกว่า 70,000 โรง ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ รวมทั้งส่งเสริมให้การประกอบกิจการต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางอุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล หรือ BCG โมเดล ที่เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) มุ่งเป้ายกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่สากล ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยเพื่อชุมชน ต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน

“ได้สั่งการให้ กรอ. เดินหน้าผลักดันให้ทุกโรงงานอุตสาหกรรมในกำกับที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 71,130 โรง ทั่วประเทศ พัฒนาสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) โดยตั้งเป้าภายในปี 2568 โรงงานอุตสาหกรรมทุกโรงต้องได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (พ.ศ.2564 - 2580) เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ส่งเสริมและกำกับดูแลคุณภาพสิ่งแวดล้อมของสถานประกอบการ สร้างการรับรู้และเข้าใจในอุตสาหกรรมสีเขียว และมุ่งยกระดับอุตสาหกรรมสีเขียวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและนานาชาติในที่สุด” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

ด้าน นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบกิจการโรงงานสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบันมีสถานประกอบการอุตสาหกรรมได้รับใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวแล้วประมาณ 20,000 ราย โดยมีสถานประกอบการที่ขอใช้ตราสัญลักษณ์อุตสาหกรรมสีเขียวบนฉลากผลิตภัณฑ์แล้ว จำนวน 110 ราย เพื่อแสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ข้อมูล ณ 31 มกราคม 2564)

สำหรับปี 2564 กรมโรงงานอุตสาหกรรมดำเนินการ 3 โครงการหลักเพื่อการยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ประกอบด้วย

1.) โครงการส่งเสริมสถานประกอบการเพื่อมุ่งสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว

2.) โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดระดับรายสาขา การลดปริมาณน้ำในโรงานอุตสาหกรรม และส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป และโรงงานที่มีการใช้น้ำมากหรืออยู่ในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ

และ 3.) โครงการส่งเสริมการยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืนด้วยระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน

นอกจากนี้ รอ. ยังมีการพัฒนาระบบสารสนเทศอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสถานประกอบการ ด้วยการจัดทำระบบการเรียนรู้และอบรมออนไลน์ (E-learning) และคู่มืออุตสาหกรรมสีเขียว ที่รวบรวมหลักการดำเนินงาน หลักเกณฑ์และเงื่อนไข พร้อมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว โดยที่ผู้ประกอบกิจการสามารถสมัครและขอใบรับรองผ่านระบบออนไลน์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top