Monday, 9 June 2025
NEWS FEED

‘ฮุน เซน’ เตือนปมชายแดนไทย-กัมพูชา อาจกลายเป็น ‘กาซา’ เสนอพึ่งศาลโลก หวั่นความขัดแย้งเรื้อรังไม่สิ้นสุด

(2 มิ.ย. 68) สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เตือนว่าหากปัญหาพรมแดนระหว่างกัมพูชากับไทยไม่ได้รับการแก้ไขผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) อาจนำไปสู่ความขัดแย้งเรื้อรังคล้ายสถานการณ์ในกาซาระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ พร้อมย้ำว่า “หากเราจริงใจ ทำไมต้องกลัวศาลโลก?”

ล่าสุด ฮุน เซนโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ในการประชุมร่วมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาเช้าวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา สมาชิก 182 คนลงมติเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ ต่อแผนการของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ในการยื่นข้อพิพาทพรมแดนกับไทยเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยถือเป็นมติสนับสนุนจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างชัดเจน

ฮุน เซนยังกล่าวว่า บันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อปี 2000 ที่เคยลงนามร่วมกับไทยนั้น “หมดความหมาย” หลังผ่านมา 25 ปีโดยไม่มีความคืบหน้า พร้อมเปิดเผยว่ามีทหารกัมพูชาถูกยิงเสียชีวิตในเหตุปะทะล่าสุด ถือเป็นอีกหลักฐานว่าความขัดแย้งยังไม่ยุติ

ด้านนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ระบุว่ากัมพูชาจะเดินหน้ายื่นเรื่องต่อ ICJ ไม่ว่าจะได้รับความร่วมมือจากไทยหรือไม่ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนทุกฝ่ายสามัคคี สนับสนุนกองทัพ และงดการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงเวลาสำคัญนี้

หากสถานการณ์บานปลาย ฮุน เซนยืนยันว่ากัมพูชาจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อขอการแทรกแซงระหว่างประเทศ โดยย้ำว่ากัมพูชาไม่มีเจตนายึดครองดินแดน แต่จะไม่ยอมสูญเสียพื้นที่อีกแม้แต่ตารางนิ้วเดียว 

ขณะที่กองทัพบกของไทย ชี้แจงว่าการเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่จะนำข้อพิพาทไปยังศาลโลกนั้น เป็นเรื่องทางกฎหมายระหว่างประเทศที่มีมาก่อนหน้า และ “ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง” กับกรณีเหตุการณ์ล่าสุดบริเวณชายแดน 

เลิกกั๊ก!! โอกาสปล่อยของมาแล้ว

#1212ETDA ชวนมาปล่อยของ ประลองไอเดีย กับโครงการ IGNITE CREATIVITY CHALLENGE ปี2 

ขอท้าคนมีหัวคิดมาร่วมประกวดวิดีโอความยาวไม่น้อยกว่า 30 วินาที และไม่เกิน 2 นาทีภายใต้หัวข้อ “รู้เท่าทันทุกกลโกง” ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 170,000 บาท  
เปิดโอกาสให้ทุกคนมาสร้างสรรค์ผลงานที่มาพร้อมกับความรู้และ แนวทางในการป้องกันภัยจากมิจฉาชีพ ด้วยแนวคิดที่สร้างสรรค์ และทันสมัยผ่านคลิปวิดีโอ

รายละเอียดการรับสมัคร

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถกรอกใบสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ - 9 มิถุนายน 2568 ได้ที่ https://docs.google.com/.../1FAIpQLSfgnPSzPKmQIN.../viewform 

คุณสมบัติผู้เข้าประกวด
* ผู้สมัครจะต้องมีสัญชาติไทย ไม่จำกัดอายุ

กติกาในการเข้าร่วมประกวด
* ผู้สมัครสามารถส่งผลงานแบบเดี่ยว หรือทีมต่อหนึ่งชิ้นงาน
* ในกรณีสมัครเป็นทีมจำนวนสมาชิกในแต่ละทีมต้องไม่เกิน 5 คน 
* ผู้สมัครจะต้องจัดทำสื่อในรูปแบบ Storyboard พร้อมแนบไฟล์นำเสนออธิบายแนวคิดผลงานตามแบบฟอร์มที่กำหนด โดยชิ้นงานนั้น ๆ ต้องพร้อมต่อยอดในการผลิตเป็นรูปแบบวิดีโอภายหลังจากการคัดเลือกเข้ารอบสุดท้าย เพื่อเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ ความยาวไม่น้อยกว่า 30 วินาที และไม่เกิน 2 นาที ภายใต้หัวข้อ “รู้เท่าทันทุกกลโกง” ไม่จำกัดรูปแบบผลงาน (แนวตั้งหรือแนวนอน)

รางวัลสำหรับผู้ชนะการประกวด
* รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 60,000 บาท
* รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 50,000 บาท
* รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 40,000 บาท
* ผลงานที่ได้รับรางวัล 1 เงินรางวัล 10,000 บาท
* ผลงานที่ได้รับรางวัล 2 เงินรางวัล 10,000 บาท

นอกจากนั้นผู้ที่ชนะการประกวดจะได้รับเกียรติบัตร และโล่รางวัล
แล้วมาร่วมปล่อยของ ประลองไอเดียไปด้วยกันกับโครงการ IGNITE CREATIVITY CHALLENGE ปีที่2 กันนะครับ 

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ยัน!! ‘ช่องบก-สามเหลี่ยมมรกต-ปราสาทตาเมือนธม’ เป็นของไทยตั้งแต่แผ่นดินของ ‘ร.5’ ระบุชัด!! เคยไปสำรวจพื้นที่นี้มาก่อน

(1 มิ.ย. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ช่องบกของไทยแน่นอน” เนื้อหาระบุว่า ขอยืนยันว่า ช่องบก สามเหลี่ยมมรกตและปราสาทตาเมือนธม เป็นของไทยแน่นอน แผ่นดินนี้เป็นของไทยตั้งแต่แผ่นดินรัชกาลที่ห้า ตั้งแต่เริ่มแรกที่มีรัฐชาติสมัยใหม่ สยาม ฝรั่งเศสได้ทำความตกลงกำหนดเขตแดน ตามสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส อาศัยแนวสันปันน้ำ ความจริง เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ เคยเป็นของไทยที่ในหลวงรัชกาลที่ยอมเสียเพื่อแลกจังหวัดตราดกลับคืนมาเป็นของไทย

ผมเคยไปสำรวจพื้นที่นี้มาก่อน ข่องบก สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ฝั่งไทยจะตั้งอยู่บนแนวสันปันน้ำชัดเจน แผ่นดินฝั่งกัมพูชาจะลึกลงไปอยู่ในหุบ ลึกระดับเป็นเมตรๆ ศาลาตรีมุขตรงสามเหลี่ยมมรกตที่ถูกเผา ฝั่งไทยก็เป็นที่สูง ส่วนฝั่งลาวและกัมพูชา จะเป็นหุบต่ำลงไปมาก

บริเวณนี้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน หลักเขตหลักที่ 1 ไทยกัมพูชา ตั้งอยู่ช่องสะงำ  ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ ศรีสะเกษ ไล่ไปจนถึงหลัก 73 แหลมสารพัดพิษ ตราด ซึ่งจะใช้เป็นหลักอ้างอิงกำหนดแนวเขตในทะเล ยืนยัน ช่องบกของไทยแน่นอนตั้งแต่อดีต

‘ไซลุน ไทร์’ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ชูเทคโนโลยี Ecopoint³ เอาใจสาย Performance ยกระดับสมรรถนะยาง ให้เต็มพิกัด

(1 มิ.ย. 68) มร.บรูซ โจว รองประธานบริษัท ไซลุน กรุ๊ป และกรรมการบริหารภูมิภาคการขายเอเชีย (Mr.Bruce Zhou Vice President of Sailun Group and Executive Director of  Asia Sales Region) เปิดเผยว่า “ในปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีแห่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของไซลุน ไทร์ โดยมีรายได้รวมกว่า 4.436 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้น 22.42% ก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 1 ของบริษัทผู้ผลิตยางที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของจีน และครองอันดับที่ 10 ของโลกในบรรดาบริษัทผู้ผลิตยางชั้นนำ อีกทั้ง ไซลุน ไทร์ ยังครองอันดับหนึ่งในด้านอัตราการเติบโตของรายได้และปริมาณยอดขาย สะท้อนถึงศักยภาพของแบรนด์และการยอมรับในตลาดโลก 

การจัดอันดับของ Brand Finance ประจำปี 2025 ไซลุน ไทร์ เป็นบริษัทจีนเพียงหนึ่งเดียวที่ติดอันดับ Top 10 แบรนด์ยางที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก  แสดงถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ในระดับสากล  นอกจากนี้  ในด้านการแข่งขันระดับนานาชาติ ไซลุน ไทร์ ยังเป็นผู้จัดหายางอย่างเป็นทางการของการแข่งขัน F4 และมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ FIA โดยจัดหายางสมรรถนะสูงสำหรับการแข่งขันในหลายประเทศ ถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยียางของจีนในเวทีระดับโลกอีกด้วย สำหรับเทคโนโลยียางรุ่น EcoPoint³  ที่เปิดตัวใหม่ เป็นผลลัพธ์ของการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเทคโนโลยียางสมรรถนะสูงที่พัฒนาขึ้น โดยยาง SAILUN มีคุณสมบัติเด่นทั้งด้านการควบคุมที่แม่นยำ การเบรกบนถนนเปียก ความต้านทานการหมุน และความเงียบขณะขับขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีอากาศร้อนชื้นและสภาพถนนที่หลากหลาย ยาง EcoPoint³ สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นคงในทุกสภาพถนน รวมถึงประหยัดพลังงาน ตอบโจทย์แนวคิด “เทคโนโลยีเปลี่ยนการขับขี่”

สำหรับประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญในกลยุทธ์ของภูมิภาคเอเชีย โดยทาง ไซลุน ไทร์ (ไทยแลนด์) ได้ร่วมมือกับบริษัท เค พี เอส แอ็คเซสเซอรี่ส์  จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายยาง SAILUN อย่างเป็นทางการในประเทศไทย  ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการจับมือทางธุรกิจ แต่ยังเป็นการหลอมรวมแนวคิด เพื่อขยายความแข็งแกร่งในด้านผลิตภัณฑ์ ช่องทางจำหน่าย แบรนด์ และการบริการ  ในตลาดประเทศไทย โดยในอนาคต ไซลุน ไทร์ จะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น  พร้อมร่วมมือกับ บริษัท เค พี เอส แอ็คเซสเซอรี่ส์  จำกัด และพันธมิตรในการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง  มืออาชีพ และเข้าถึงได้”

มร.สตีฟ จาง ผู้อำนวยการทั่วไปประจำประเทศไทยและกัมพูชาของบริษัท ไซลุน ไทร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (Mr.Steve Zhang General Manager of Thailand and Cambodia, Sailun Tire (Thailand) co., Ltd) กล่าวว่า “ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดยางรถยนต์ที่มีความคึกคักที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไซลุน ไทร์ จึงได้จัดตั้งสำนักงานขายในประเทศไทย พร้อมสร้างเครือข่ายคลังสินค้าและโลจิสติกส์ครอบคลุมทั้งประเทศ และทีมบริการหลังการขายที่เป็นคนไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และใกล้ชิดยิ่งขึ้น

นวัตกรรมสำคัญที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์นี้ก็คือ เทคโนโลยี Ecopoint³ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสารประกอบอย่างขั้นสูงที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก  ด้วยกระบวนการ “LPM (Liquid Phase Mixing)” หรือการผสมยางในสถานะของเหลว ซึ่งช่วยให้ยางธรรมชาติ ซิลิกา และสารเสริมแรงต่างๆ สามารถผสมผสานเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบในระดับโมเลกุล ส่งผลให้โครงสร้างเนื้อยางมีความสม่ำเสมอ แข็งแรง ยึดเกาะถนน ลดแรงต้านการหมุน ทำให้พร้อมรองรับสมรรถนะในทุกสภาวะการใช้งาน เพื่อยกระดับสมรรถนะยางใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ ความปลอดภัยในการขับขี่ ด้านความทนทาน และประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงาน ซึ่งเหนือกว่ายางทั่วไป โดยยังคงรักษาความสมดุลในทุกด้านของสมรรถนะไว้อย่างครบถ้วน  และด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการวิจัยและกระบวนการผลิตที่ทันสมัย ครอบคลุมศูนย์วิจัยและเครือข่ายการผลิตทั้งเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ทุกเส้นยางล้วนได้รับการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด พร้อมด้วยสิทธิบัตรกว่า 3,500 รายการ  นับเป็นบทบาทสำคัญในการร่วมกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมยางระดับสากล  

สำหรับช่องทางจัดจำหน่ายยางรถยนต์ “ EcoPoint³ และ SAILUN” ปัจจุบัน ทางบริษัท เค พี เอส แอ็คเซสเซอรี่ส์  จำกัด เป็นผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ สามารถติดตามข่าวสาร และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง Facebook : kps-accessories / Facebook : SAILUN TIRE THAILAND และ Facebook : EcoPoint3 Thailand  หรือ โทร.02-751-1853

Union Grands Crus de Bordeaux 2025 ศูนย์กลางแห่งรสนิยมระดับโลก ดื่มด่ำรสชาติไวน์ที่น่าหลงใหล ในบรรยากาศสุดหรู ริมฝั่งเจ้าพระยา

(30 พ.ค. 68) เมื่อเวลา 14.45 – 17.30 น. ของวันที่ 30 พฤษภาคม 2025 ห้องบอลรูมของโรงแรม Capella Bangkok ถูกเนรมิตให้กลายเป็นสถานที่แห่งวัฒนธรรมไวน์ฝรั่งเศส กับการกลับมาของงาน Union des Grands Crus de Bordeaux (UGCB) ที่กรุงเทพฯ – งานชิมไวน์ระดับโลกที่รวมสุดยอดแกรนด์ครูจากแคว้นบอร์กโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส กว่า 50 ชาโตว์ไว้อย่างพร้อมหน้า

บ่ายของวันที่บอร์กโดซ์มาพบกรุงเทพฯ

บรรยากาศในงานอบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งรสนิยม ภายใต้แสงนวลของโคมไฟทรงกลมที่ประดับชื่อ “Union Grands Crus Bordeaux” อย่างโดดเด่น ผู้ร่วมงานจากหลากหลายวงการ ทั้งซอมเมอลิเยร์ ผู้นำเข้า ผู้เชี่ยวชาญไวน์ และแขกผู้หลงใหลในเสน่ห์ของไวน์ฝรั่งเศส ต่างทยอยเข้าร่วมงานเพื่อสัมผัสรสชาติและเรื่องราวของวินเทจใหม่จากแต่ละชาโตว์

ในงานจะพบกับไวน์ที่โดดเด่นอย่างเช่น Château Le Gay จาก Pomerol ที่นำเสนอไวน์วินเทจ 2022 ซึ่งโดดเด่นด้วยสัดส่วน Merlot 90% ผสาน Cabernet Franc อีก 10% ให้รสสัมผัสที่เข้มข้น ลุ่มลึก และซับซ้อนในสไตล์ Right Bank อย่างแท้จริง

หรืออีกหนึ่งไวน์ที่เปล่งประกายภายในงาน คือ Château Lagrange 2022 จาก Saint-Julien – Grand Cru Classé ที่หลอมรวมความแม่นยำแบบญี่ปุ่นเข้ากับวิญญาณของบอร์กโดซ์ไว้อย่างสง่างาม เป็นไวน์ที่ทั้งทรงพลัง ลุ่มลึก และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการบ่มเพาะอย่างมีปรัชญา

นอกจากนั้นยังได้พบกับ มรดกแห่งศตวรรษที่ 13 สู่ไวน์ชั้นเยี่ยม คือ Château Carbonnieux จาก Graves ที่นำเสนอไวน์ขาววินเทจ 2022 อันบริสุทธิ์และหรูหรา ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของไวน์ฝรั่งเศสสายพันธุ์เก่าแก่ ที่ยังคงส่องประกายได้ในทุกยุคสมัย

มากกว่าการชิม คือการเชื่อมโยง
นอกจากรสไวน์ งานนี้ยังเป็นสะพานแห่งโอกาสและวัฒนธรรม เชื่อมโยงฝรั่งเศสกับประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง นับเป็นเวทีสำคัญที่คนไทยในอุตสาหกรรมไวน์ได้พบปะ แลกเปลี่ยนมุมมองกับเจ้าของชาโตว์ตัวจริง เสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับนานาชาติอย่างเป็นกันเอง

Union Grands Crus de Bordeaux 2025 ไม่เพียงเป็นการชิมไวน์ แต่คือการเดินทางของรสชาติ สัมผัส และมิตรภาพในช่วงบ่ายของวันที่แสนพิเศษ — วันที่กรุงเทพฯ ได้กลายเป็น “ศูนย์กลางแห่งรสนิยมระดับโลก” อีกครั้ง

‘ออยศรีและผองเผือก’ โพสต์ข้อความ!! ‘บอสณวัฒน์’ ชี้!! ทุกเวทีควรให้โอกาสกับทุกคน เดินตามความฝัน

(1 มิ.ย. 68) ‘ออยศรีและผองเผือก’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ตลกอะ จริงๆมันก็ลิขสิทธิ์เขาแต่เขา

แต่เราในฐานะประชาชนผู้ติดตามนางงามและมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ ฉันคิดว่าผู้เข้าประกวด ทุกคนเข้าประกวดตามความฝันของตัวเอง การที่เคยเข้าประกวดในเวทีไหนช่วงเวลาไหน แล้วนำมาเป็นข้อแม้ไม่ว่าข้อแม้นั้นมาจากเหตุผลไหนในทางส่วนตัวก็ตาม หรืออาจจะทำธุรกิจซึ่งก็ไม่รู้สิ

ทุกเวทีควรให้โอกาสกับทุกคนโดยไม่ยึดเอาเรื่องที่ผู้เข้าประกวดไม่มีส่วนมาตัดสิทธิ์ 

เห็นมีนางงามโดนปลดเพราะเคยประกวดเวทีที่ไม่ถูกใจตามนี้มาก่อนก็น่าเห็นใจนะ 

แต่ก็เอาเถอะถ้าฉันลงประกวดฉันก็จะไปคว้ามง 3 มาให้ ประเทศไทย รอหน่อยเดี๋ยวฉันก็สูงแล้ว 55555

‘เอกนัฏ’ มอบ!! ‘ทีมสุดซอย’ ขยายผลตัดตอน ‘ขบวนการฝุ่นแดง’ ล่าจนเจอ!! ‘ตัวการใหญ่’ มีคดีคา ‘ดีเอสไอ’ ทำผิดกฎหมายเพียบ

(1 มิ.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ “ทีมสุดซอย” กระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจสอบโรงงานเหล็ก ที่ใช้กระบวนการเตาหลอม IF (Induction Furnace) ทั้ง 11 โรงงาน ซึ่งขยายผลจากกรณีฝุ่นแดงของ บริษัท ซินเคอหยวน สตีล จำกัด ที่มีการส่งให้กับ บริษัท เอ็นเอฟเอ็มอาร์ จำกัด จังหวัดระยอง ที่ประกอบกิจการรับกำจัดกากของเสียจากกระบวนการผลิต ซึ่งถูกสั่งปิดโรงงานและปิดระบบการรับกากอุตสาหกรรมเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา พร้อมถูกดำเนินคดีใช้เอกสารกำกับการขนส่งของเสียอันตราย (Manifest) ปลอม และกรอกข้อมูลเท็จในระบบแจ้งรับกากอุตสาหกรรม รวมทั้งไม่มีศักยภาพในการจัดการฝุ่นแดง ซึ่งเป็นฝุ่นที่เกิดจากกระบวนการหลอมเหล็กในเตาหลอมแบบเหนี่ยวนำไฟฟ้า (IF Induction Furnace ) ที่ถือเป็นของเสียที่มีองค์ประกอบหรือสารปนเปื้อน เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย และจากการสืบสวนพบว่าโรงงานเหล็ก IF เกือบทุกโรงงานในประเทศส่งฝุ่นแดง ให้กับ บริษัท เอ็นเอฟเอ็มอาร์ จำกัด ดังกล่าว 

“จากการเข้าตรวจสอบ 11 โรงงานเหล็ก IF ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นอกจากจะติดตามปราบปรามขบวนการผลิต และขายเหล็กไม่ได้มาตรฐานแล้ว ยังรวมถึงขบวนการฟอกฝุ่นแดงพบว่า เมื่อโรงงานเหล็กส่งฝุ่นแดงไปที่ บริษัท เอ็นเอฟเอ็มอาร์ ฯ แล้วก็ไม่ได้นำไปกำจัด หรือบำบัดตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม แต่กลับนำฝุ่นแดงไปคลุกสารเคมีและส่งต่อไปให้บริษัทในเครือเพื่อแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกต่างประเทศ“ นายเอกนัฏ ระบุ 

นางสาวฐิติภัสร์ เปิดเผยผลการตรวจสอบ บริษัท เซียว เชียง เคมีคอล อินดัสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมอมอมตะซิตี้ ระยอง ตำบลพนานิคม อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง ประกอบกิจการโรงงาน ผลิต จำหน่าย นำเข้าและส่งออก สังกะสีออกไซด์ ขณะเข้าตรวจสอบมีการประกอบกิจการตามปกติ พบ นายพาน หงโจว รับเป็นเจ้าของกิจการ ให้การเบื้องต้นว่า มีการรับฝุ่นแดงจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผลิตโดยหลอมสังกะสี และเศษชิ้นส่วนโลหะภายในโรงงาน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบว่า โรงงานติดตั้งเครื่องจักรผลิตสังกะสีออกไซด์เพิ่มเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนเพิ่มเติม นายพาน ให้การยอมรับว่าเป็นเจ้าของกิจการบริษัท เอ็นเอฟเอ็มอาร์ จำกัด  บริษัท เซียว เชียง เคมีคอล อินดัสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด รวมถึงบริษัท เซียวเซียง นัน-เฟอรัส เมทัล จำกัด จังหวัดปราจีนบุรี โดยจะใช้บริษัท เอฟเอ็มอาร์ จำกัด เป็นผู้รับฝุ่นแดง ส่งต่อให้ บริษัท เซียวเซียง นัน-เฟอรัส เมทัล จำกัด เพื่อนำไปผ่านกระบวนการทำเป็นผลิตภัณฑ์สังกะสีแท่ง หรือซิงค์อินกอต (Zinc ingot) โดยจะจำหน่ายบางส่วน ที่เหลือส่งต่อให้ บริษัท เซียว เซียง เคมีคอลฯ เพื่อมาทำเป็นผงสังกะสีส่งขายทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งการดำเนินธุรกิจมีลักษณะฟอกฝุ่นตั้งแต่ขั้นตอนนำฝุ่นแดงจากของเสียที่เป็นกากอุตสาหกรรมมาแปลงสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ส่งขายต่างประเทศ หรือขายให้กับเครือข่าย 

นางสาวฐิติภัสร์ เปิดเผยอีกว่า ในส่วนของ นายพาน และบริษัท เอ็นเอฟเอ็มอาร์ จำกัด ได้ถูก กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขณะที่ บริษัท เซียว เชียง เคมีคอล อินดัสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด ถูกเจ้าหน้าที่การนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ดำเนินคดีฐานขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานนำเข้าของเสียที่เป็นวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมมีคำสั่งให้ระงับการใช้เครื่องจักร และการประกอบกิจการในส่วนที่ไม่ได้รับอนุญาต 

"ปฏิบัติการครั้งนี้ถือว่า เราได้พบตัวการสำคัญแห่งวงการฟอกฝุ่นแดง ที่จงใจดำเนินกิจการอย่างไม่โปร่งใส เปิดบริษัทเป็นเครือข่ายขบวนการรองรับกันอย่างตั้งใจ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการปิดเกมขบวนการฝุ่นแดง ตัดต้นตอการจัดหา และสร้างตลาดส่งออก หวังว่าจะส่งผลให้ผู้ประกอบการทุกๆ กิจการ คำนึงถึงการปฏิบัติที่ถูกต้องภายใต้กฎหมายอย่างเคร่งครัด" นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

เชียงใหม่-เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดกิจกรรมทำความดี ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 

(1 มิ.ย. 68) เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดกิจกรรมทำความดี ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นำเด็กด้อยโอกาสเข้าทำกิจกรรม “ศูนย์การเรียนรู้เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี (Chiang Mai Night Safari Learning Center)”

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี  จัดพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2568 โดยมี นางสาวฐิติรัตน์ ต๊ะวันวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร พร้อมด้วย นายกฤษดา ลาพิมล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร และผู้อำนวยการสำนักบริหารงานกลาง, คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ร่วมพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล ณ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี
          
นอกจากนี้ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้จัดกิจกรรมทำความดี ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยพาเด็กด้อยโอกาสจากโรงเรียนศรีสังวาลย์เชียงใหม่ และโรงเรียนบ้านตองกาย จำนวนกว่า 50 คน เข้าทำกิจกรรม “ศูนย์การเรียนรู้เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี (Chiang Mai Night Safari Learning Center)” ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่าผ่านกิจกรรมและสื่อต่าง ๆ เช่น เกมอนุรักษ์ธรรมชาติ สัตว์ 3D animation หนังสือ AR book เป็นต้น และชมกิจกรรมต่างๆ ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี 

‘ทนายเชาว์’ แฉ!! ‘แม่ สส.เมืองคอน’ วิ่งบิ๊ก ตร.ช่วยเคลียร์ คดีรุมกระทืบนักธุรกิจ ลั่น!! ยอมไม่ได้ จี้!! โอนไปกองปราบ

(1 มิ.ย. 68) นายเชาว์ มีขวด ทนายความชื่อดัง อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Chao Meekhuad” เรียกร้องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้ามาดูแลกรณีเหตุทำร้ายร่างกายกลางงานบวชที่ จ.นครศรีธรรมราช โดยระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นจริง และผู้ที่ตกเป็นข่าวว่าเป็นผู้ก่อเหตุ คือ นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมระบุว่ามีการยกพวกเข้ารุมทำร้ายนักธุรกิจท้องถิ่นกลางงานบวชลูกชายนายก อบต. ต่อหน้าชาวบ้านนับร้อยคน

“ไม่ใช่ข่าวลือ แต่เป็นคดีอุกฉกรรจ์กลางงานบุญที่เกิดขึ้นต่อหน้าสาธารณชน มีพยานเห็นเหตุการณ์ชัดเจน มีใบรับรองแพทย์ และมีคำให้การจากผู้เสียหายว่า ถูกนายชัยชนะเข้ามาพูดจากดดันไม่ให้ลงสมัครนายก อบต. และเมื่อการพูดคุยไม่เป็นผล จึงถูกตบหน้า ก่อนจะถูกน้องชายและพวกพ้องของ ส.ส.รายนี้รุมทำร้ายจนหัวแตก และยังมีการชักปืนขู่ด้วย” นายเชาว์ ระบุ

นายเชาว์ยังเปิดเผยอีกว่า หลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความแล้ว แต่ภายหลังกลับถูกกดดันให้ถอนคำร้อง โดยมี “แม่ของ ส.ส.” เข้ามาเจรจาและมี “นายตำรวจใหญ่ในจังหวัด” คอยประสานเพื่อให้ยุติคดี

“นี่คือคดีอาญาแผ่นดิน ไม่สามารถยอมความได้ และไม่ควรปล่อยให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทำคดีต่อไป เพราะไม่มีใครกล้าขยับท่ามกลางอิทธิพลของผู้ต้องหา ซึ่งมีตำแหน่งสูงเป็นถึงประธานกรรมาธิการตำรวจ”

นายเชาว์จึงเรียกร้องให้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงมาดูเรื่องนี้ด้วยตนเอง และสั่งโอนคดีไปยังกองปราบทันที เพื่อคุ้มครองพยาน–ผู้เสียหาย และให้กระบวนการสอบสวนเป็นธรรม

“คดีนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างคนสองฝ่าย แต่เป็นบททดสอบว่า กระบวนการยุติธรรมไทย จะยอมจำนนต่ออิทธิพลทางการเมืองหรือไม่” นายเชาว์ระบุทิ้งท้าย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดรายชื่อถนน 94 จุดทั่วประเทศ เข้มงวดบังคับใช้กฎหมายจราจร ตาม “โครงการถนนปลอดภัย” คิกออฟวันนี้พร้อมกันทั่วประเทศ

(1 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยจัดทำ “โครงการถนนปลอดภัย” ให้ดำเนินการเสริมสร้างวินัยจราจรและสร้างความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้การบริหารงานจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยให้บังคับใช้กฎหมายจราจรทางบกและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรถหรือการใช้ทางบนถนนดังกล่าวอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในการสัญจร โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ กองบังคับการ/ตำรวจภูธรจังหวัด ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ได้พิจารณาเลือกถนนสายสำคัญในพื้นที่ หรือถนนที่มีการฝ่าฝืนกฎจราจรจำนวนมาก หรือถนนที่มีอุบัติเหตุในเส้นทางบ่อยครั้ง หรือถนนที่มีที่ตั้งของสถานศึกษาอยู่หลายแห่ง เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรในทุกมิติ รวมจำนวนถนนที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 94 จุด ทั่วประเทศ แบ่งเป็น พื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล จำนวน 11 จุด , ตำรวจภูธรภาค 1 จำนวน 9 จุด , ตำรวจภูธรภาค 2 จำนวน 9 จุด , ตำรวจภูธรภาค 3 จำนวน 10 จุด , ตำรวจภูธรภาค 4 จำนวน 13 จุด , ตำรวจภูธรภาค 5 จำนวน 8 จุด , ตำรวจภูธรภาค 6 จำนวน 9 จุด , ตำรวจภูธรภาค 7 จำนวน 9 จุด , ตำรวจภูธรภาค 8 จำนวน 8 จุด และตำรวจภูธรภาค 9 จำนวน 8 จุด 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า วันนี้ได้เริ่มดำเนิน “โครงการถนนปลอดภัย” พร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งเป็นโครงการที่ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มุ่งเป้าลดการเกิดอุบัติเหตุจราจร สร้างความปลอดภัยให้แก่ทุกคนที่ใช้รถใช้ถนน พร้อมขอเชิญชวนผู้ใช้รถใช้ถนนให้ร่วมกันปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ฝ่าฝืนกฎจราจรในถนนเส้นดังกล่าวในทุกมิติ เพราะหากพบการกระทำผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจะกวดขันดำเนินคดีอย่างเข้มงวดทุกกรณี

หากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนพบเหตุต้องสงสัย หรือสอบถามข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติม  แจ้งอุบัติเหตุจราจร และขอความช่วยเหลือด้านการจราจร สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top