Sunday, 16 March 2025
NEWS FEED

‘DAD NIDA’ หลักสูตรการเรียน ที่เข้มข้น!! สำหรับ ‘ผู้บริหารรุ่นใหม่’ รุ่นที่ 10 สร้างคอนเนคชัน!! อัปเกรดความรู้ เทรนด์ใหม่ เพื่อ ‘โลกดิจิทัล’ แห่งอนาคต

หลักสูตรที่ รวมเครือข่าย ‘ผู้นำยุคใหม่’ จากทุกวงการ

หลักสูตรที่ มีกิจกรรมเสริม ‘สร้างมิตรภาพ กระชับความสัมพันธ์’

หลักสูตรที่ เปิดโอกาสให้ ‘ลงมือปฏิบัติจริง’

นี่คือ ‘หลักสูตร DAD NIDA’

หลักสูตร DAD เป็นหลักสูตรสำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ มุมมองใหม่ ทักษะและความสามารถเชิงพฤติกรรมผ่านการถ่ายทอดจากกูรูชั้นนำระดับประเทศจากทุกวงการ 

เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารและพัฒนาองค์กรในยุค Digital Transformation อีกทั้งยังพัฒนาทักษะที่สำคัญในยุค Digital ผ่านการร่วมกิจกรรม Design Think Workshop ที่ช่วยให้เข้าใจถึงแนวทางพื้นฐานในการแก้ปัญหาในองค์กร และกิจกรรม Bootcamp ที่ผู้เข้าอบรมจะได้นำความรู้จากกลุ่มวิชาต่าง ๆ มาลงมือปฏิบัติงานจริง ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างเครือข่ายผู้เข้าอบรมต่อไปในอนาคต

โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โลกแห่งเทคโนโลยี ต้องอัปเดตสกิลอยู่เสมอ

‘ผู้นำยุคดิจิทัลต้องไม่เดินลำพัง’

‘DAD NIDA’ ให้คุณเรียนรู้ เติบโต พร้อมสร้างเครือข่ายคุณภาพ ที่จะพาคุณไปไกลกว่าที่เคย

สร้างมิตรภาพ คอนเนคชัน ‘ระดับผู้นำ’

อัปเกรดความรู้ เทรนด์ใหม่ Soft Skills ‘เพื่ออนาคต’

ถ้าคุณอยากจะเป็น ‘ผู้นำที่โดดเด่น’ ในยุคดิจิทัล

นี่คือหลักสูตรที่จะพาคุณไปสู่ ‘ความสำเร็จ’

สมัครได้แล้ววันนี้ – 30 เมษายน 2568 

ลงทะเบียน คลิก https://forms.gle/roAqiV7U1p4oCdSa

รายละเอียดเพิ่มเติม www.dadnida.com หรือ โทร 092-728-6722 | Line: @dadnida 

‘กรังด์ปรีซ์ฯ’ ผนึกพันธมิตร 54 แบรนด์ดัง ปลุก!! อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ให้คึกคัก ไฮไลต์!! พื้นที่โซนใหม่ จัดแสดงอะไหล่รถ ‘อีวี-สันดาป’ ในงาน ‘บางกอกมอเตอร์โชว์’

(8 มี.ค. 68) บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ร่วมกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 54 แบรนด์ดัง จัดงาน ‘บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์’ ครั้งที่ 46 ภายใต้ธีม ‘The Talk of Sensuous Automotive’ หรือ ‘สนทนาภาษายานยนต์’ ชูไฮไลต์พื้นที่โซนใหม่จัดแสดงอะไหล่รถอีวีและสันดาป หลังปิดดีลเครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายจากประเทศจีน โดยงานจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน พ.ศ.2568 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี

ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงาน ‘บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์’ ครั้งที่ 46 กล่าวว่า สำหรับงานมอเตอร์โชว์ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม ‘The Talk of Sensuous Automotive’ หรือ ‘สนทนาภาษายานยนต์’ สื่อถึงปรัชญาแนวทางการออกแบบในโลกยานยนต์ที่สื่อสารเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง ความปรารถนา แรงบันดาลใจ สื่อสารเป็นภาษาของยานยนต์ เพื่อสะท้อนแนวคิด การสร้างสรรค์พัฒนา และประสบการณ์สุนทรียภาพทางอารมณ์อย่างมีคุณค่า

นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธานจัดงานกล่าวว่างานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้มีผู้ประกอบการยานยนต์จากยุโรปและเอเชียตอบรับเข้าร่วมออกบูธภายในงานฯ แล้ว 54 ราย แยกเป็นรถยนต์ 41 บริษัท และจักรยานยนต์ 13 ถือว่าได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมออกงานอย่างเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังได้รับการตอบรับการเข้าร่วมออกงานฯของกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่เป็นแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า ที่เพิ่งเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย อาทิ ZEEKR, OMODA&JAECOO, CHERY, KINGGEN, JUNEYAO , RIDDARA และ GEELY รวมถึงเทคโนโลยีระบบนำทางภายในรถยนต์ HUAWEI อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแบรนด์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า YADEA ที่มาเปิดตัวครั้งแรกภายในงานฯ โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 14 ราย

ส่วนในไฮไลต์ของการจัดงานฯ ปีนี้ นอกจากมีการเปิดตัวรถยนต์และรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ ทั้งรถสันดาปและรถอีวีของผู้ประกอบการยานยนต์แล้ว บริษัทฯ ได้จัดเตรียมพื้นที่ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 พื้นที่กว่า 9,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการออกบูธอุปกรณ์ตกแต่งรถโดยเฉพาะ โดยในปีนี้ได้ขยายฐานผู้ออกบูธแสดงสินค้าสู่กลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายอะไหล่รถอีวีและสันดาปที่ต้องการขยายตลาดในประเทศไทย เนื่องจากเห็นโอกาสและศักยภาพของงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่เป็นงานจัดแสดงยานยนต์ระดับสากล

“จึงได้รับความร่วมมือจาก บริษัท หนานจิง ฉ่วงฉี เอ็กซิบิชั่น จากประเทศจีน ได้นำสินค้าอุปกรณ์อะไหล่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จากประเทศจีน มาจัดแสดงเพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยที่สนใจเป็นร่วมตัวแทนจำหน่ายอีกด้วย นับได้ว่า เป็นครั้งแรกของการจัดงานแสดงรถยนต์เพื่อผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์โดยตรง เป็นการเชื่อมโยงทางธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ บนพื้นที่กว่า 3,800 ตารางเมตรภายในฟอรั่ม ฮอลล์ 4 ระหว่างวันที่ 24 – 30 มีนาคม 2568 มั่นใจได้ว่า จะได้สินค้าที่ตรงตามคุณภาพ ราคาจากผู้ประกอบการโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีการออกบูธจัดแสดง USED CAR หรือรถมือสองระดับลักชัวรี่ รวมถึง สินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น สินค้ามูเตลู การแข่งขันชิงรางวัล พร้อมกิจกรรมสนุกๆอีกมากมาย ภายในฮอลล์อีกด้วย” นายจาตุรนต์กล่าว

และอีก 1 งานที่แต่งเติมสีสันให้ล้อกันไปกับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ คือ MU-NIVERSE “เปิดจักรวาลมูเตลูไทย สู่คนรุ่นใหม่” เป็นอีเวนต์ที่รวบรวม เรื่องราวมูเตลูของเมืองไทยในแบบที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยง ความเชื่อม ศิลปะ เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน ระหว่าง วันที่ 2-6 เมษายน 2568 ที่บริเวณฟอรั่ม ฮอลล์ 4 พบปะกับอ.ลักษณ์ โหราธิบดี และแขกรับเชิญสายมูชื่อดังมากมาย พร้อมกิจกรรมดูดวง ปรึกษาฤกษ์ออกรถ ป้ายทะเบียนมงคล สินค้าเครื่องรางวัตถุมงคล กิจกรรมแลกเปลี่ยนข้อมูลของดีของสะสมสายมู พร้อมรับสติ๊กเกอร์เสริมดวงรุ่นพิเศษเฉพาะงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เท่านั้น

นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่สายการผลิต บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สำหรับกิจกรรมในปีนี้ นอกจากกิจกรรม E-Racing ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์การแข่งขันรถยนต์เสมือนจริงผ่านเครื่องเล่น Simulator แล้ว ทางผู้จัดยังได้รับความร่วมมือจาก R.C.S. (Runbike Championship Series) ประเทศญี่ปุ่น จัดกิจกรรมการแข่งขันจักรยานทรงตัวรายการ “Grandprix Runbike Championship With R.C.S.” ขึ้นภายในงาน โดยเป็นการจัด Pre-Event จำนวน 2 สนาม ซึ่งการจัดการแข่งขันดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันวงการกีฬาสำหรับเยาวชนในประเทศไทย รวมถึงบูธแสดงสินค้าเกี่ยวกับเด็ก กีฬา และไลฟ์สไตล์ ตลอดจนโซนกิจกรรมสำหรับครอบครัวอีกด้วย”

นายพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมาบริษัทฯ ในฐานะผู้จัดงาน ได้มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้เข้าร่วมงาน และผู้เข้าชมงานได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี digital transformation เข้ามาอำนวยความสะดวกในการเข้าชมงาน”

“เราได้พัฒนาบัญชี LINE Official Account หรือ Line OA ขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกใช้ในการลงทะเบียน และยังเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทฯ กับผู้บริโภคในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และรูปแบบการให้บริการใหม่ๆ ทั้งกลุ่ม Auto และ กลุ่ม Lifestyle ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นมา เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ”

“นอกจากนี้ เรายังได้จัดทำโปรแกรม Fullloop ที่สามารถเก็บข้อมูลฟีดแบ็กจากผู้เข้าชมได้ในรูปแบบที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ผู้เข้าชมสามารถกรอกแบบสอบถามสั้นๆ เพื่อประเมินการจัดงาน ช่วยให้ผู้จัดงานสามารถรวบรวมข้อมูลได้ทันทีและวิเคราะห์ผลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการเก็บฟีดแบ็กจากผู้เข้าชมในงานมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้จัดงานสามารถปรับปรุงการจัดงานในหลายๆ ด้าน และตอบสนองต่อความต้องการของผู้เข้าชมได้ดียิ่งขึ้น”

อย่างไรก็ตาม คาดว่าการจัดงานฯ ปีนี้จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ปีนี้คาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนและเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน ประกอบกับสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อรถใหม่และรถมือสอง

สำหรับบัตรเข้าชมงานฯ มีจำหน่ายบริเวณด้านหน้างาน และ ทางออนไลน์ ผ่านไลน์แอปพลิเคชั่น ทั้งนี้นอกจากสิทธิประโยชน์จากการร่วมลุ้นรางวัลรถยนต์และรถจักรยานยนต์แล้ว สามารถนำบัตรเข้าชมงานแบบซื้อที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว มาร่วมกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลต่างๆมากมายได้ที่ บูธกิจกรรมพิเศษ ภายในอาคารฟอรั่ม ฮอลล์4 และ สำหรับการจัดงานฯ ครั้งนี้ ผู้จัดงานฯ ได้จัดเตรียมรถshuttle ไว้อำนวยความสะดวก สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสีชมพู สามารถลงที่สถานีศรีรัช แล้วต่อรถ shuttle ที่ผู้จัดงานฯได้เตรียมไว้ เพื่อเข้าสู่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 เส้นทางศรีรัช - ACTIVE HALL 4 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่ประการใด

งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 เริ่มวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี งานแสดงเทคโนโลยียานยนต์ อันดับ 1 ของเมืองไทย

‘ตั้ง อาชีวะ’ งง!! GUไปเกี่ยวอะไร กับการปล้น ‘กรุสมบัติเก่าของอยุธยา’ อายุกว่า 500 ปี ก่อนรับคำขอโทษ!! จาก ‘บาส Go Went Go’ กรณีมี ‘หมายจับ 112’ ไปโผล่ ในรายการ

(8 มี.ค. 68) จากกรณีที่ช่อง Go Went Go ได้นำภาพหมายจับคดี112 ของ ‘ตั้ง อาชีวะ’ (ที่ยังมีอายุความ) ไปใช้ในรายการตอนที่มีชื่อว่า ‘ตามรอยตำนานลี้ลับ 6 วัดร้างสุดเฮี้ยนในอยุธยา’ ซึ่งมีช่วงนาทีที่ 9.43 โดยได้มีการบรรยายพร้อมภาพประกอบเล่าเรื่องราวของการปล้นกรุเก่าอายุ 500 ปี แล้วดันไปมีภาพหมายจับของ ‘ตั้ง อาชีวะ’ ขึ้นไปอยู่ในนั้น ซึ่งทำให้คนดูเข้าใจผิดว่า คนในภาพหมายจับ คือคนไปปล้นสมบัติ

ล่าสุด ‘ตั้ง อาชีวะ’ ได้โพสต์ข้อความ โดยระบุว่า ...

สวัสดีครับทุกคน จากประเด็นของช่อง Go Went Go นะครับที่ทางทีมงานได้นำภาพหมายจับคดี112 ของผม (ที่ยังมีอายุความ) ไปใช้ในรายการตอนที่มีชื่อว่า 'ตามรอยตำนานลี้ลับ 6 วัดร้างสุดเฮี้ยนในอยุธยา' ซึ่งมีช่วงนาทีที่9.43 ได้มีการบรรยายพร้อมภาพประกอบเล่าเรื่องราวของการปล้นกรุเก่าอายุ 500 ปี แล้วดันไปมีภาพหมายจับของผมขึ้นไปอยู่ในนั้น ซึ่งคนดูอาจจะสามารถเข้าใจผิดได้ในกรณีนี้เช่น คนในภาพหมายจับคือคนไปปล้นสมบัติ,ตั้งอาชีวะไปปล้นสมบัติของอยุธยา หรือตั้งอาชีวะผู้ที่เกิดในปี2534นั่งเครื่องย้อนเวลาไปปล้นสมบัติเก่าของอยุธยา เป็นต้น 

คือตอนแรกผมก็ไม่ทราบนะครับว่ามีภาพผมไปปรากฏอยู่ในรายการนี้ จนกระทั่งพี่คนสนิทของผมที่ไทยได้รับชมรายการดังกล่าวแล้วส่งมา ต้องยอมรับตรงๆนะครับผมก็เคืองอยู่นั่นแหละ โมโหเลยโพสต์ไป1โพส (เคืองดิ พวกจากไทยโทรมา ว้าย ไอตั้งโจรปล้นสมบัติอยุธยา) ผมก็เลยส่งข้อความไปหาทางเพจ และได้โทรข้ามประเทศไปเพื่อจะขอคุย แต่ไม่มีใครรับสายในตอนแรก

หลังจากที่ผมโพสต์ไปไม่นาน คุณบาส Panupat Sukanlayaruk ก็รีบติดต่อกลับมา พร้อมแก้ไขสถานการณ์โดยทันที เช่นการล็อกคลิปวิดีโอดังกล่าวเป็นส่วนตัวเพื่อแก้ไขบางช่วงบางตอน และได้โพสต์ขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านเพจของคุณบาส 

ต้องบอกก่อนนะครับว่า เราได้พูดคุยกัน และคุณบาสก็แสดงความขอโทษอย่างจริงใจ และทีมงาน-ทีมตัดต่อก็ได้ส่งข้อความมาขอโทษผมด้วยเช่นกัน กรณีนี้ถ้าพูดกันตามตรงก็คือเป็นความผิดพลาดของทางทีมงานจริงๆนะครับ ซึ่งคุณบาสเองก็ติดภารกิจอยู่ที่ประเทศอื่นๆ เลยไม่ได้มีเวลาเช็กงานดังกล่าว ก็ถือว่าความผิดพลาดครั้งนี้ของทีมงานให้เป็นบทเรียนไปนะครับ น้องที่ทำตัดต่ออาจจะไม่ได้เช็กข้อมูลจริงๆ ซึ่งผมเองก็ได้บอกกับคุณบาสตอนสนทนากันว่า "โอเคครับ ผมน้อมรับคำขอโทษจากคุณแล้วนะ ทางทีมงานเขาอาจจะพลาดจริงๆ ไม่ต้องไปว่าพวกเขาแรงนะ ห้ามไล่น้องเขาออกนะ"

สุดท้ายนี้นะครับ ก็ต้อขอบคุณคุณบาส และทีมงาน ที่จัดการทุกอย่างได้รวดเร็วมากๆ และผมรู้สึกได้ว่าเป็นการขอโทษที่แสดงออกมาด้วยความจริงใจ

‘วอลโว่พระนคร’ จัดมหกรรมสุดพิเศษ!! ‘Volvo Phranakorn Fest’ 8-9 มี.ค.นี้ เปิดรถผู้บริหารป้ายแดง!! ให้เลือกเป็นเจ้าของ พร้อมส่วนลด 1.5 ล้านบาท

(8 มี.ค. 68) นายเกษม มูลทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการบริหาร บริษัท พระนคร สวีดิช คาร์ จำกัด กล่าวว่า มหกรรมสุดพิเศษ Volvo Phranakorn Fest 2025 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 ที่ลานกิจกรรม วอลโว่ พระนคร สำนักงานใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต เยื้องวัดเสมียนนารี ในวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม ถึงวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2568

ในงานยังมีกิจกรรมมากมาย ทั้งโซนอาหาร โซนเด็กเล่น รับของที่ระลึก สามารถพาครอบครัวมาสัมผัสกิจกรรมได้ตลอดทั้ง 2 วัน

นอกจากนี้ยังมีไฮไลต์เด็ดกับรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ Volvo EX90 Premium SUV 7 ที่นั่ง ที่สามารถเดินทางไกลได้ถึง 745 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

สำหรับแคมเปญพิเศษในงาน Volvo Phranakorn Fest ครั้งที่ 6

สิทธิพิเศษและของแถมสูงสุดถึง 1,500,000 บาท รถยนต์ในกลุ่ม Plug-in Hybrid/Volvo XC90, XC60, XC40, V60, S90, S60 สำหรับลูกค้าจองในงาน

ทุก ๆ การสั่งซื้อ จะได้รับ Privilege Card เป็นบัตรน้ำมันมูลค่า 10,000 บาท ให้กับลูกค้าที่ได้รับมอบรถยนต์ภายในเดือนมีนาคม

วอลโว่ พระนคร หนึ่งในผู้แทนจำหน่ายรถยนต์วอลโว่อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ให้บริการครอบคลุม ทั้งงานขาย, งานบริการหลังการขาย และศูนย์บริการซ่อมสี-ตัวถังมาตรฐานครบวงจรแบบ One Stop Service

‘การบินไทย – แอร์เอเชีย’ ประกาศกฎเหล็กใหม่ ห้ามใช้หรือชาร์จ Power Bank บนเครื่องบิน

(7 มี.ค.68) ‘การบินไทย - แอร์เอเชีย’ ประกาศห้ามใช้หรือชาร์จ Power Bank บนเครื่องบิน ขณะที่หลายสายการบินทั่วโลกทยอยออกมาตรการ หลังเหตุไฟไหม้บนห้องโดยสารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ออกประกาศถึงผู้โดยสารเรื่องเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของผู้โดยสาร โดยขอแจ้งให้ทราบว่าผู้โดยสารไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หรือชาร์จพาวเวอร์แบงก์ (แบตเตอรี่สำรอง) ตลอดระยะเวลาการเดินทาง ทั้งนี้ กฎระเบียบดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี ผู้โดยสารยังคงสามารถนำ พาวเวอร์แบงก์ ขึ้นเครื่องได้ ตามความจุตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กำหนด

โดยหลักเกณฑ์การนำแบตเตอรี่สำรอง หรือ Power Bank ขึ้นเครื่องบินตามระเบียบที่ กพท.กำหนดนั้นแบตเตอรี่สำรองหรือ Power Bank ไม่สามารถนำไปในรูปแบบสัมภาระลงทะเบียนเพื่อโหลดใต้ท้องเครื่องบินได้ (Checked Baggage) เนื่องจากในระหว่างการเดินทาง แบตเตอรี่สำรอง ซึ่งมีส่วนประกอบจากลิเธียม(Lithium) อาจเกิดความร้อนสะสมจนก่อให้เกิดเพลิงไหม้หรือระเบิดได้

ขณะที่ผู้โดยสารจะต้องนำแบตเตอรี่สำรองไปในรูปแบบสัมภาระติดตัวขึ้นเครื่อง (Carry On) โดยองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) และสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association: IATA) ได้กำหนดขนาดความจุของแบตเตอรี่สำรองที่นำติดตัวขึ้นเครื่องได้ คือ

- หากแบตเตอรี่สำรองมีขนาดความจุ ไม่เกิน 100 Wh (Watt-Hour) หรือ 20,000 mAh (milli ampere-hour) ผู้โดยสารสามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้คนละไม่เกิน 20 ชิ้น

- หากขนาดความจุเกิน 100 Wh (Watt-Hour) หรือ 20,000 mAh แต่ไม่เกิน 160 Wh (Watt-Hour) หรือ 32,000 ผู้โดยสารสามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้คนละไม่เกิน 2 ชิ้น

- แต่ถ้าขนาดความจุเกิน 160 Wh (Watt-Hour) หรือ 32,000 mAh จะไม่สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ในทุกกรณี

ทั้งนี้ กพท.และสายการบินของไทย ยังใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรฐานและคำแนะนำของ ICAO พร้อมขอให้ผู้โดยสารตรวจสอบขนาดความจุของแบตเตอรี่สำรอง และสภาพของแบตเตอรี่สำรองให้เป็นไปตามมาตรฐานก่อนการเดินทาง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดสายการบินแอร์เอเชีย ได้ออกมาตรการแจ้งถึงผู้โดยสาร เพื่อความปลอดภัยต่อส่วนรวม สายการบินแอร์เอเชียขอความร่วมมือทุกท่านงดใช้แบตเตอรี่สำรองเพื่อชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในระหว่างเที่ยวบิน 

สำหรับการพกแบตเตอรี่สำรองกับแอร์เอเชีย มีข้อกำหนดประกอบด้วย

1. สำหรับแบตเตอรี่สำรอง หรือ Power bank นั้นต้องพกติดตัวขึ้นเครื่องบิน เท่านั้น!

2. ต้องมีฉลากระบุกำลังไฟชัดเจน

3. อุปกรณ์ต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่ชำรุด

4. มาเช็กความจุไฟฟ้าแบตเตอรี่สำรองตามมาตรฐานความปลอดภัยของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) กำหนด

อย่างไรก็ตาม สายการบินต่างชาติหลายสายการบิน ได้ออกประกาศห้ามใช้พาวแบงก์บนเครื่องบินก่อนหน้านี้ โดยเริ่มจาก Air Busan ประเทศเกาหลีใต้ ที่ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารเก็บ พาวเวอร์แบงก์ (แบตเตอรี่สำรอง) ไว้ในช่องเก็บสัมภาระ โดยให้พกติดตัว และไม่อนุญาตให้ชาร์จขณะโดยสารบนเครื่อง

โดยมาตรการดังกล่าวคาดว่า ป้องกันการเกิดปัญหา พาวเวอร์แบงก์ (แบตเตอรี่สำรอง) ลุกไหม้บนเครื่องบินนั่นเอง

‘เอกนัฏ’ เยือนจีน ปูทางอุตสาหกรรมไทยเติบโต ชูแนวทางยกระดับไทย-จีน เพื่อความยั่งยืนในอนาคต

(7 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมคณะ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 4-7 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อยกระดับความร่วมมือทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีน โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมใหม่และเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

การเยือนในครั้งนี้ได้มีการหารือกับ รองผู้ว่าการมณฑลอานฮุย เพื่อขยายความร่วมมือในโครงการ Two Country, Twin Parks ซึ่งเป็นการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมร่วมระหว่างมณฑลอานฮุยของจีนและประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากจีนในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น พลังงานสะอาด (Clean Energy), เทคโนโลยี AI และอุตสาหกรรมดิจิทัลใหม่ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

นอกจากนี้ คณะจากกระทรวงอุตสาหกรรมยังได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท GAC Aion, Huawei และ BYD บริษัทชั้นนำของจีนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านยานยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เทคโนโลยี และพลังงานสะอาด โดยในระหว่างการพบปะกัน ผู้บริหารของทั้งสามบริษัทได้แสดงความสนใจที่จะเพิ่มการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งเสนอแผนพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด

นายอัครเดช กล่าวว่า “การหารือในครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจากบริษัทชั้นนำของจีนอย่างดีเยี่ยม ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่ได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI หรืออุตสาหกรรมสะอาด ซึ่งจะสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศและภาคธุรกิจไทยในอนาคต”

สำหรับการเยือนจีนในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา และยกระดับความร่วมมือทางอุตสาหกรรมระหว่างประเทศไทยกับจีน ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยเติบโตในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงและรองรับความท้าทายของยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้าง อนาคตเด็กไทย' มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนในถิ่นทุรกันดารพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี รุ่นที่ 3 (ครั้งที่ 3) ประจำปี พ.ศ. 2568 

(7มี.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายนิพนธ์ ลีละศิธร กรรมการ พร้อมด้วย นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี มอบทุนการศึกษาระดับมัธยมศึกษาสำหรับเยาวชนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน รุ่นที่ 3 (ครั้งที่ 3) ประจำปี พ.ศ. 2568 ประกอบด้วย โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 45  อำเภอพนมทวน โรงเรียนร่มเกล้า กาญจนบุรี (ในโครงการพระราชดำริ) โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา โรงเรียนสมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทยอุทิศ โรงเรียนบ้านเกริงกระเวีย โรงเรียนบ้านห้วยเสือ อำเภอทองผาภูมิ และโรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา อำเภอสังขละบุรี รวม 7 แห่ง จำนวน 60 ทุน รวมงบประมาณทั้งสิ้น 450,000 บาท (สี่แสนห้าหมื่นบาทถ้วน) พร้อมกันนี้ มูลนิธิฯ ได้สนับสนุนเงินค่าพาหนะ สำหรับโรงเรียนที่นำนักเรียนเดินทางมารับทุนฯ ในครั้งนี้ รวมจำนวน 9,000 บาท (เก้าพันบาทถ้วน) นอกจากนี้ ยังได้มอบกระปุกออมสิน พร้อมปฏิทินแขวนมูลนิธิฯ บรรจุถุง ให้แก่นักเรียนที่มารับทุนฯ โดยมี ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู อาจารย์ และผู้แทนนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ร่วมรับมอบ ณ โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

การมอบทุนการศึกษา เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เพื่อช่วยเหลือสังคม “สร้างชีวิต” ให้เยาวชนมีโอกาสเท่าเทียมทางการศึกษา เติมเต็มความหวังเป็นอนาคตของครอบครัวสังคม และประเทศชาติ โดยตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

กาฬสินธุ์-ม.กาฬสินธุ์เปิดประชุมวิชาการระดับชาติ-นานาชาติ ครั้งที่ 3 

มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์จัดประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ “นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน”

(7 มี.ค.68) ที่อาคารกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ (พื้นที่ในเมือง) รองศาสตราจารย์ ดร.คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ“นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน” (INNOVATION AND TECHNOLOGY FOR SUSTAINABLE AREA-BASED DEVELOPMENT: KSU INNO-TECH 2025 FOR SABD) โดยมีนายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กีรวิชญ์ เพชรจุล รักษาราชการแทนอธิการบดีม.กาฬสินธุ์ นายวิทยา ปัญจมาตย์ ผอ.ทสจ.กาฬสินธุ์ คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ นักวิจัย คณาจารย์และนักศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมพิธีเปิดและประชุม  

ซึ่งการประชุมครั้งนี้ประกอบไปด้วยกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การปาฐกถาพิเศษ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ การนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติและนานาชาติ ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชา และนิทรรศการทางวิชาการและนวัตกรรม ที่นำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กีรวิชญ์ เพชรจุล รักษาราชการแทนอธิการบดี ม.กาฬสินธุ์ ในนามผู้แทนคณะกรรมการดำเนินโครงการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ“นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน” กล่าวว่า มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์มุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาความรู้และนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาการและสังคมอย่างยั่งยืน การประชุมวิชาการในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีสำหรับนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้พัฒนาเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบและยั่งยืน

เชียงใหม่-แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ 2 คดี ของกลางยาบ้าจำนวน 6,996,000เม็ด 

(7 มี.ค.68) เวลา 11.00 น. ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงการณ์จับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ 2 คดี

1. สภ.สบปราบ จ.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้า 6,000,000 เม็ด  2. สภ.ห้วยไร่ จ.แพร่ ตรวจยึดยาบ้า 996,000 เม็ด โดยมี พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าว ณ ลานแถลงข่าว อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่

ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์, พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ มทภ.3 ได้รับบัญชาและข้อสังการนำไปสู่การปฏิบัติ

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร,พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์, พล.ต.ต.พิชญา บุญขจร, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา นวตระกูลพิสุทธิ์ ผบก.ภ.จว.ลำปาง และพล.ต.ต.พงษ์เดช คำใจสู้ ผบก.ภ.จว.แพร่ ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.๓/ผบ.นบ.ยส.35 ฝ่ายปกครอง โดย นายซุติเดช มีจันทร์ ผวจ.ลำปาง นายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ ผวจ.แพร่ สำนักงาน ปปส.ภาค 5โดย นายธันวา ผุดผ่องผอ.ปปส.ภาค 5 

แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี 1. กรณี สภ.สบปราบ จว.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหา 1 คน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 6,000,000 เม็ด 2. กรณี สภ.ห้วยไร่ จว.แพร่ ตรวจยึดของกลางยาบ้าจำนวน  996,000 เม็ด รวมของกลางยาบ้าจำนวน  6,996,000เม็ด แก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ

คดีที่ 1 สืบเนื่องเมื่อวันที่  4 มี.ค.68 เวลาประมาณ 22.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจยาเสพติดสบปราบได้รับแจ้งจากสายลับ(ขอปิดนาม) ว่าจะมีกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากผ่านพื้นที่ของ อ.สบปราบโดยจะใช้เส้นทางผ่านด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น และได้สั่งการให้เฝ้าสืบสวนติดตามตรวจดูรถตามที่ได้รับแจ้ง

ต่อมาเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันเดียวกัน มีรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บว1067 กำแพงเพชร ขับเข้ามายังด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ ซึ่งมีลักษณะตรงกับที่สายลับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคัดกรองรถจึงให้สัญญาณ ชิดขอบทางด้านซ้ายเพื่อทำการขอตรวจค้นรถคันดังกล่าว พบนายฐานพัฒน์ อายุ 38ปี เป็นผู้ขับขี่ จากการสอบถามทราบว่าจะเดินทางไป จว.กำแพงเพชร ขณะที่ทำการตรวจพบความผิดปกติเนื่องจาก นายฐานพัฒน์ ได้ใช้แอปพลิเคชันไลน์ติดต่อสื่อสารกับบุคคลอีกคนหนึ่งค้างไว้ ซึ่งเชื่อได้ว่ามีการลักลอบนำสิ่งของผิดกฎหมาย และจึงได้ทำการขอตรวจค้นตัวนายฐานพัฒน์ และรถคันดังกล่าว ผลการตรวจค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายใดๆ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม พร้อมพวกได้แบ่งกำลังออกตรวจสอบตามเส้นทางที่คาดว่า รถเป้าหมายจะจอดหลบจนเดินทางมาถึง ปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาสบปราบ จว.ลำปาง ได้พบรถบรรทุก  6 ล้อ ตู้ทึบ ทะเบียน 700-4340 กทม.จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ พบนายนันท์นลิน อายุ  27 ปี แสดงตนเป็นเจ้าของรถ/ผู้ขับขี่ เมื่อสอบถามทราบว่าจะเดินทางไปจว.ลำปาง และขณะสอบถามแสดงอาการมีพิรุธ ลุกลี้ลุกลน พูดจาวกวนไปมาคล้ายลักลอบนำสิ่งของผิดกฎหมายมาด้วยจากการตรวจสอบเส้นทางเดินรถโดยละเอียดทราบว่าได้ขัดแย้งกัน และจากการซักถาม นายนันท์นลิน ผู้ขับขี่ โดยละเอียดได้รับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ได้รับจ้างบรรทุกสิ่งของจาก จว.ลำพูน ไปส่งปลายทาง จว.อ่างทอง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้เชิญตัวนายนันท์นลิน พร้อมนำรถบรรทุก 6ล้อคันดังกล่าว มาที่ด่านตรวจยาเสพติด สถ.สบปราบ เพื่อทำการตรวจค้นอย่างละเอียด ก่อนทำการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ ให้นายนันท์นลิน เป็นที่เรียบร้อยและให้ความยินยอม

ผลการตรวจค้นพบเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1(เมทแอมเฟตามีน) จำนวนรวมประมาณ 6,000,000 เม็ด จึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา และนำของกลางทั้งหมด นำส่ง พงส.สภ.สบปราบ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

คดีที่ 2 สืบเนื่องเมื่อวันที่  5 มี.ค.68 เวลาประมาณ13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจยึด ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ตั้งจุดตรวจสกัดกั้นยาเสพติด ณ บริเวณหน้าด่านตรวจเอกซเรย์ห้วยไร่ ต่อมาเวลาประมาณ 15.20 น. ได้มีนายธีระพลฯ อายุ 28 ปี ผู้ขับขี่ รถบรรทุก 6 ล้อ ทะเบียน 70-5070 พะเยา ได้มาแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่นำรถเข้าอุโมงค์เอกซเรย์ เนื่องจากเกิดความสงสัยว่า สิ่งของที่บรรทุกมา จากผู้ว่าจ้างใน อ.แม่สาย จว.เชียงราย และต้องนำไปส่งยังพื้นที่ปลายทาง จว.พัทลุง อาจเป็นสิ่งของ ผิดกฎหมาย 

ผลการตรวจพบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน) ซุกซ่อนอยู่ในเครื่องเกียร์รถยนต์และถังปั๊มลม วางอยู่บริเวณท้ายรถบรรทุก รวมยาเสพติดจำนวน 996,000เม็ด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจยึด จึงได้ทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมดนำส่ง พงส.สภ.ห้วยไร่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 5 ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายตำรวจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง สำนักงาน ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้นำบัญชาและข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1ต.ค.67-5มี.ค.68 จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 9,784 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 92 คดี ตรวจยึดของกลางยาเสพติด- ยาบ้า 82 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์  6,249 กิโลกรัมเศษ เฮโรอีน 148 กิโลกรัมเศษ เคตามีน 805 กิโลกรัมเศษฝิ่น 43กิโลกรัมเศษ ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับยาเสพติดมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 298 ล้านบาทเศษ

เชียงใหม่-ท่าอากาศยานเชียงใหม่จัดพิธีทำบุญครบรอบ 37 ปี แห่งการดำเนินงาน

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม. )ฉลองครบรอบ 37 ปี แห่งการดำเนินงานในฐานะศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศที่สำคัญของภาคเหนือ พร้อมมุ่งสู่อนาคต ด้วยแผนพัฒนาที่จะรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

(7 มี.ค.68) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทชม.ทอท.) ครบรอบ 37 ปีการดำเนินงานในวันที่ 1 มีนาคม 2568  ได้จัดพิธีทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ลแก่พนักงาน ลูกจ้างและผู้ที่ปฏิบัติงาน โดยมีนาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีทำบุญ พร้อมด้วนหัวหน้าส่วนราชการ สายการบิน ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้บริหาร และพนักงานลูกจ้างท่าอากาศยานเชียงใหม่ เข้าร่วมพิธี อย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญของภูมิภาค ณ อาคารอเนกประสงค์ ท่าอากาศยานเชียงโหม่

นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นท่าอากาศยาน 1 ใน 6 แห่ง ภายใต้การกำกับดูแลของ ทอท.ได้รับโอนกิจการจากกรมการบินพาณิชย์มาอยู่ในความดูแลของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2531 และได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ โดยปัจจุบันรองรับผู้โดยสารมากกว่า 10 ล้านคนต่อปี และมีเส้นทางบินเชื่อมต่อทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสายการบินชั้นนำที่ให้บริการอย่างต่อเนื่อง 

ปัจจุบันท่าอากาศยานเชียงใหม่ให้บริการเส้นทางการบินระหว่างประเทศ 21 เส้นทาง ให้บริการโดย 24 สายการบิน และให้บริการเส้นทางการบินภายในประเทศ 11 เส้นทาง ให้บริการโดย 6 สายการบิน ซึ่งสายการบินน้องใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเริ่มให้บริการในวันที่ 27 มีนาคม 2568 คือสายการบินเฉิงตูแอร์ไลน์ ทำการบินเส้นทาง เฉิงตู-เชียงใหม่-เฉิงตู และมีสายการบินจากตะวันออกกลางอยู่ระหว่างการดำเนินการขอใบอนุญาต เพื่อทำการบินในช่วงปลายปีนี้ 

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงการฟื้นตัวและเติบโตของภาคการบินและการท่องเที่ยว จำนวนเที่ยวบินพาณิชย์ 59,493 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 6.88  จำนวนผู้โดยสาร 9,082,071 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 10.43 ปริมาณสินค้า 5,478,134 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 4.23 

และเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีแผนพัฒนาขยายศักยภาพการรองรับผู้โดยสารให้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคนต่อปี โดยมีการดำเนินโครงการพัฒนาใน 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1: เพิ่มขีดความสามารถจาก 8.5 ล้านคนต่อปี เป็น 16.5 ล้านคนต่อปี ระยะที่ 2: ขยายเพิ่มเป็น 20 ล้านคนต่อปี

ในส่วนของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 ปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการสำรวจและออกแบบโครงการพัฒนาระยะที่ 1 ควบคู่กับการดำเนินการโครงการศึกษาและจัดทำรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ : แผนพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่  

โดยโครงการพัฒนาไม่เพียงมุ่งเน้นด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ล้านนา การพัฒนาการให้บริการ และความสะดวกสบายของผู้โดยสาร รวมถึงการรองรับระบบขนส่งมวลชน เช่น โครงการรถไฟฟ้า และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านจราจรบริเวณโดยรอบ 

ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า “ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา ท่าอากาศยานเชียงใหม่ เป็นกลไกหนึ่งในการส่งเสริม สนับสนุน ผลักดันให้มีการเจริญเติบโตในทุกมิติของจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาสนามบินให้ทันสมัย สะดวกสบาย และปลอดภัย รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน และส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน"

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ยังมีแผนพัฒนาต่อเนื่องในอนาคต โดยมุ่งเน้นการขยายอาคารผู้โดยสาร การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และมาตรการเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การใช้พลังงานสะอาดและการลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ เพื่อให้สนามบินเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่เคียงข้างกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคที่พร้อมรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยวในระดับสากล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top