Monday, 9 June 2025
NEWS FEED

กระทรวงการต่างประเทศย้ำใช้กลไก JBC แก้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาอย่างสันติ

(7 มิ.ย. 68) กระทรวงการต่างประเทศแถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยย้ำการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในการประชุมวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ควบคู่กับกลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีและลดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าที่ประชุมได้หารือการเตรียมการในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีเป้าหมายหลักในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี โดยใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เช่น การประชุม JBC, GBC และ RBC ซึ่งมีหน้าที่หลักในการดูแลสถานการณ์ชายแดนให้มีความสงบเรียบร้อย

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยมีความพร้อมในการประชุม JBC ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ณ ประเทศกัมพูชา และหวังว่าการประชุมดังกล่าวจะช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดน ให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน 

กองทัพไทยประชุมเข้ม ปมปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำหลักสันติภาพ แต่พร้อมตอบโต้เมื่อจำเป็น

(7 มิ.ย. 68) กองบัญชาการกองทัพไทยจัดการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 4 ประจำปี 2568 ณ กองบัญชาการกองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยมี พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธาน พร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพและ ผบ.ตร. เข้าร่วม ย้ำความพร้อมปกป้องอธิปไตยชาติและความปลอดภัยของประชาชนบริเวณชายแดน

กองทัพบกได้รายงานเหตุปะทะบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี โดยระบุว่า ทหารไทยถูกเปิดฉากยิงขณะลาดตระเวนในฝั่งไทย จึงตอบโต้ตามกรอบกฎหมายและกฎการใช้กำลัง พร้อมดำเนินการชี้แจงผ่านช่องทางทางการแล้วครบถ้วน แม้ไทยพยายามประสานผ่านกลไก JBC แต่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย และฝ่ายกัมพูชายังเพิ่มกำลังในพื้นที่

ผบ.ทบ. จึงสั่งยกระดับความพร้อมทั้งกำลังพล อาวุธ และแผนเผชิญเหตุ เพื่อเตรียมการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านเหล่าทัพอื่น ๆ และตำรวจแห่งชาติ ยืนยันสนับสนุนภารกิจของกองทัพบกอย่างเต็มที่ ทั้งด้านยุทธการ การข่าว และการสนับสนุนข้อมูลต่อหน่วยงานภาครัฐ พร้อมเตรียมชี้แจงผู้ช่วยทูตทหารใน-ต่างประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เพิ่มมาตรการคัดกรองชายแดน สืบสวนเชิงลึก และป้องกันภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการสกัดข่าวปลอมและการแทรกซึมของต่างด้าว เพื่อสนับสนุนภารกิจร่วมกับกองทัพในทุกมิติอย่างใกล้ชิดทั้งแนวหน้าและแนวหลัง

ทั้งนี้ กองทัพไทยขอให้ประชาชนมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของทุกหน่วย พร้อมเชิญชวนคนไทยร่วมใจ ใช้วิจารณญาณรับข่าวสารอย่างมีสติ และเป็นพลังสำคัญในการรักษาเสถียรภาพ ความมั่นคง และสามัคคีของชาติอย่างยั่งยืน

(สุรินทร์) พลตรี วีระยุทธ  รักศิลป์ รอง แม่ทัพภาคที่ 2(1) พบปะทหารใหม่ ผลัดที่ 1/68 ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์

วันที่ (7 มิ.ย. 68) พลตรี วีระยุทธ  รักศิลป์ รอง แม่ทัพภาคที่ 2(1) ได้เดินทางพบปะทหารใหม่ ผลัดที่ 1/68 ของ หน่วยฝึกทหารใหม่ มณฑลทหารบกที่ 25 และ หน่วยฝึกทหารใหม่ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 ณ โดมอเนกประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 25 โดย พลตรี วีระยุทธ  รักศิลป์ รอง แม่ทัพภาคที่ 2(1) ได้รับฟังการบรรยายสรุป, พบปะทหารใหม่ และได้มอบสิ่งของบำรุงขวัญให้แก่กำลังพลของ หน่วยฝึกทหารใหม่ทั้ง 2 หน่วยฝึก ในการนี้ พลตรี ไชยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วย พันเอก อัครสิทธิ์ ปะกิระตา รอง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25(2), พันเอก พรพิเชษฐ์  เกตุพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน, พันโท บรรลือ พูดเพราะ ผู้บังคับหน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 25, พันโท ณัฐวุฒิ คัมภิรานนท์ ผู้บังคับการกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23,หัวหน้าฝ่ายกำลังพลมณฑลทหารบกที่ 25 ให้การต้อนรับและปฏิบัติภารกิจร่วม ทั้งนี้ พลตรี วีระยุทธ  รักศิลป์ รอง แม่ทัพภาคที่ 2(1)ได้มอบนโยบายการฝึกให้มีประสิทธิภาพ เน้นย้ำมาตรการความปลอดภัย ตามนโยบายของกองทัพบก การดูแลด้านคุณภาพชีวิตทหารใหม่ สวัสดิการสิทธิต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทหารใหม่ และญาติ พร้อมได้มอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับผู้ฝึก และน้องทหารใหม่ เพื่อเป็นกำลังใจในการฝึกต่อไป

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า ข่าว/ภาพ

ตราด กปช.จต. สั่งควบคุมการเปิดปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

(7 มิ.ย. 68) พลเรือโท อภิชาติ  ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ออกหนังสือคำสั่ง ควบคุมการเปิดปิดจุดผ่านแดนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี และตราด จากเดิมจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก เวลา 06.00 - 22.00 น. เปลี่ยนเป็นเวลา 08.00 - 16.00น. ของทุกวัน

เพื่อควบคุมการสัญจรข้ามแดนของนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการและแรงงานในพื้นที่ โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการทำมาค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนรวมถึงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของทั้งสองประเทศและให้หน่วยกำหนดมาตรการเพิ่มเติมที่เหมาะสม ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต่อไป/ภาพ/ข่าว วิเชียร ม่วงสี ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ตราด

ผู้แทน พสบ.ทภ.2 รุ่นที่ 2  มอบสิ่งของสนับสนุนการปฏิบัติงานของทหารชายแดนกัมพูชา

เมื่อวันที่ (7 มิ.ย. 68) ที่กรมทหารพรานที่ 23 อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ นางสาวธนชนก สุริยเดชสกุลอ และ นายหมวดตรี รุจิรา สรุจิกำจรวัฒนะ พร้อมด้วยผู้แทนคณะนักศึกษาหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 2 รุ่นที่ 2 (พสบ.ภท.2 รุ่นที่ 2) และสมาคมสื่อสารมวลชนไทยอินโดจีน ได้เดินทางไปยังหน่วยบัญชาการกองกำลังสุรนารี จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อมอบผ้าเต็นท์, เสื้อกันฝน รวมถึงเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้แก่ พลตรี ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อส่งมอบต่อไปยังเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามฐานปฏิบัติการชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้กำลังใจและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของทหารกองกำลังป้องกันชายแดน กองทัพภาคที่ 2 และเพื่อสะท้อนถึงความห่วงใยและกำลังใจจากภาคประชาชนและภาคเอกชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละ ณ พื้นที่ชายแดนของประเทศ​

ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

“รองแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดใจผ่านเฟซบุ๊ก เผยข้อเท็จจริง 11 ข้อ ปมปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา รุกล้ำกว่า 400 ครั้ง” ลั่น! อย่าดันถึงศาลโลก เปิดใจคุยกันแบบลูกผู้ชายดีกว่า

(7 มิ.ย. 68) พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความในใจและเปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะการรุกล้ำอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชาที่เกิดขึ้นกว่า 400 ครั้ง แม้ฝ่ายไทยจะประท้วงอย่างต่อเนื่อง แต่กลับได้รับการตอบสนองเพียงเล็กน้อย

พล.ต.ณัฏฐ์ เปิดเผยข้อเท็จจริง 11 ประการที่สรุปใจความได้ดังนี้:

1.ไทย-กัมพูชามีปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนมายาวนานเนื่องจากยึดถือหลักฐานแผนที่ที่ต่างกัน
2.แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นผลผลิตจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 เป็นแผนที่มาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด
3. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันว่าเพื่อแก้ไขปัญหาการยึดเส้นเขตแดนที่แตกต่างกันตามข้อ 1 และข้อ 2 จึงตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) ขึ้นมาเพื่อร่วมกันจัดทำแนวเขตแดนระหว่างกันให้ชัดเจนและเป็นเป็นที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่าย โดยผลผลิตสุดท้ายคือ หลักเขตแดน และแผนที่
4. ขณะที่ JBC ทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้การทำงานราบรื่นทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อตกลง MOU43 สาระสำคัญข้อ 5 ระบุไม่ให้ทั้งสองฝ่ายดัดแปลงภูมิประเทศตามแนวชายแดนซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสันปันน้ำ
5. ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาละเมิด MOU43 มาโดยตลอด ขยายชุมชน สร้างกาสิโน ปลูกพืชไร่ประชิดชายแดน ที่เป็นการทำลายสันปันน้ำ เราประท้วง 400 กว่าครั้งแต่ให้ความร่วมมือแก้ไขน้อยมาก ในขณะที่ฝั่งเราเป็นเขตอุทยานเข้าไปทำอะไรไม่ได้
6. พื้นที่ช่องอานม้า ก่อนเกิดเหตุเผาศาลาตรีมุข(28 ก.พ.68) ทหารกัมพูชาวางกำลังห่างชายแดนไม่น้อยกว่า 500 ม. เราก็วางกำลังห่างระยะใกล้เคียงกัน ย่านกลางนั้นเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพไปมาหาสู่ ประสานงาน พูดคุยแก้ปัญหากัน 
7. วันที่ 28 ก.พ.68 กัมพูชาเผาศาลาตรีมุข เคลื่อนกำลังขึ้นมาวางที่ต้นพญาสัตบรรณซึ่งล้ำอธิปไตยไทยเข้ามาประมาณ 150 ม. รวมถึงขุดคูเลททำลายสันปันน้ำละเมิด MOU43
8. ฝ่ายเราพยายามแก้ปัญหาโดยสันติ อดทนอดกลั้น เจรจาขอให้ถอนกำลังที่รุกล้ำอธิปไตยไทยออกไปหลายครั้งแต่เขมรก็ไม่ยอมถอน สุดท้ายมีการใช้อาวุธเมื่อวันที่ 28 พ.ค.68  
9. ผู้บังคับบัญชาของไทยทุกระดับพยายามแก้ไขปัญหาโดยสันติ เจรจาขอให้ถอนกำลังจากจุดที่รุกล้ำ แต่เขมรอ้างว่ากำลังส่วนนี้วางอยู่เดิมมาตั้งแต่ก่อนมี MOU43 ซึ่งไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอนเพราะถ้ามีกำลังวางอยู่จุดนี้เมื่อปีที่แล้ว(ส.ค.67) ผมจะเดินผ่านจุดนี้เข้าไปที่ศาลาตรีมุขได้อย่างไร
10. เขมรอ้างว่าถูกรุกราน ไทยไม่แก้ปัญหาโดยสันติ จะขยายความขัดแย้งสู่ศาลโลก ทั้งๆที่สองประเทศมีกลไกแก้ไขปัญหาร่วมกันอยู่ โดยอ้างว่าปัญหาจะได้จบ ถามว่ามันจะจบได้อย่างไร? 
11. กัมพูชายังเสริมกำลังทหาร อาวุธยุทโปกรณ์ พยายามจะนำกำลังขยายไปควบคุมพื้นที่อื่นๆตลอดแนวชายแดนทั้งๆที่พื้นที่เหล่านั้นเดิมทั้งสองฝ่ายไม่มีการวางกำลัง เป็นป่าเป็นเขา ถ้าเราเอากำลังไปวางเพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยก็เผชิญหน้ากัน ทำเพื่ออะไร?
12. กติกาสองบ้านเรามีอยู่ เรามาเปิดหน้าคุยกันอย่างลูกผู้ชายดีกว่าไหม ถ้าเรื่องถึงโรงถึงศาลลูกหลานเราก็จะเป็นปรปักษ์กันตลอดไป จะเกิดประโยชน์อะไรถ้าคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน

เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

ยิ่งใหญ่ พิธีประดับปีกอ่อน "SEAL" มนุษย์กบ นักทำลายใต้น้ำจู่โจม รุ่นที่ 53จาก 68 นาย จบเพียง 25 นาย

(7 มิ.ย.68) ที่บริเวณ หน้าศูนย์การฝึก หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ เกาะพระ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นภาพการฝึกการเข้าตีและยึดที่หมายชายฝั่งทะเล ที่มีข้าศึกยึดครองอยู่ด้วย เรือเร็วโจมตี และทางอากาศยานโดยเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นภารกิจสุดท้ายของการฝึก เพื่อเข้ารับการประดับปีกอ่อนจาก พล.ร.ต.อนันท์ สุราวรรณ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ที่หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ เป็นหน่วยรับผิดชอบการฝึก โดยคัดเลือกอาสาสมัครทหารประจำการ 130 นาย ผ่านเกณฑ์การทดสอบเข้ารับการฝึก 68 นาย มีผู้สำเร็จการฝึกอบรม จำนวน 25 นาย เป็นข้าราชการ กองทัพเรือ 18 นาย กองบัญชาการกองทัพไทย 1 นาย กองทัพบก 3 นาย กองทัพอากาศ 1 นาย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 นาย ใช้ระยะเวลาในฝึกอบรม 33 สัปดาห์ ประมาณ 8 เดือน และในโอกาสที่

นักเรียนหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจมแห่งกองทัพเรือไทย ที่รู้จักกันดีในนามของ "SEAL หรือ มนุษย์กบ" รุ่นที่ 53 รุ่นล่าสุด สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ที่จบหลักสูตร นักทำลายใต้น้ำจู่โจม รุ่นที่ 53 มาด้วยความยากลำบาก

พล.ร.ต.อนันท์ สุราวรรณ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ได้ประดับเครื่องหมายแสดงความสามารถนักทำลายใต้น้ำจู่โจม (ปีกอ่อน) เป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อเป็นการแสดงความยินดีแก่ ผู้สำเร็จการฝึกอบรมในเบื้องต้น ท่ามกลางญาติมิตร พ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อนๆ จาก 4 เหล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อ แม่ ของผู้ผ่านการฝึกอบรมบางราย ถึงกับปล่อยโฮ ออกมาแบบกั้นน้ำตาไม่อยู่ด้วยความปลื้มปิติและตื้นตันใจ ที่ลูกรักผ่านการฝึกอบรมอันแสนจะหฤโหดนี้มาได้ 

หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ (นสร.กร.) หรือทั่วไปเรียก ซีล 
(SEAL) หรือ มนุษย์กบ เป็นหน่วยรบพิเศษ สังกัดกองเรือยุทธการ ของกองทัพเรือไทย ซึ่งฝึกหนักที่สุดในบรรดาหน่วยรบพิเศษของทุกเหล่าทัพไทย มีผู้บังคับบัญชาคนปัจจุบันคือ พลเรือตรี อนันท์ สุราวรรณ์ มีรองผู้บัญชาการ ได้แก่ นาวาเอก บรรพต นิธิณัฐอาภาศิริ และ นาวาเอก สุริยัน สำราญใจ

หลังจากนี้ พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองเรือยุทธการ ที่มีหน้าที่บังคับบัญชารับผิดชอบ ในส่วนกำลังรบของกองทัพเรือไทย ควบคุมการปฏิบัติการทางเรือ และการสงครามพิเศษทางเรือ จะมาประดับเครื่องหมายแสดงความสามารถนักทำลายใต้น้ำจู่โจม รุ่นที่ 53 ที่ผ่านการฝึกอบรมในครั้งนี้ อย่างเป็นทางการต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรึ ชลบุรึ 0909535645

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ปันความสุขสู่ภูมิภาค.. ยกทัพอาสาสมัครศิลปิน และของรางวัลหลากหลายรายการ จัดคาราวานป่อเต็กตึ๊ง ปันความสุข ให้ชุมชน” มอบความสุขให้แก่ชาวสมุทรสาคร

(7 มิ.ย. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ และนายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ จัด “คาราวาน ป่อเต็กตึ๊ง ปันความสุข ให้ชุมชน” ครั้งที่ 6 ยกทัพอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง รวมถึงอาสาสมัครศิลปิน อาทิ นายธวัชชัย คชาอนันต์ (แฮ็ค ชวนชื่น) นางสาวอธิชา เทศขำ (เมย์-อธิชา) นายขวัญชัย เย็นพายัพ (เจี๊ยวจ๊าว เชิญยิ้ม) นายสมบูรณ์ จุลมุสิก (ทศพล หิมพานต์) นายรัชต์พงษ์ ทองทับ (น้าทูล) นายสัญญา วงพรนารายณ์  (เก่ง) นายสดใส โรจนวิชัย นางสาวกฤษณา แซ่โค้ว (กุง) มุ่งสู่จังหวัดสมุทรสาคร มอบความสุข พร้อมจัดกิจกรรมแจกของขวัญ และของรางวัลสุดพิเศษ นอกจากนี้ ยังได้จัดบริการด้านการแพทย์ฟรีจากหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชนมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กิจกรรมนันทนาการร่วมสนุกรับของรางวัล และกิจกรรมเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และหน่วยงานในเครือ ได้แก่ โรงพยาบาลหัวเฉียว คลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว (คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว) และมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ อาทิ การตรวจรักษาโรคทั่วไป แจกจ่ายยา ตรวจและแจกแว่นสายตา ตัดผม การเจาะเลือด เพื่อตรวจการทำงานของตับ ไต ไขมันในเส้นเลือด น้ำตาลในเลือด และเก๊าท์เบื้องต้น ฯลฯ รวมทั้งจัดบูธแจกจ่ายอาหาร เครื่องดื่ม และขนม ให้กับชาวสมุทรสาคร โดยมี นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานในพิธี นายอุดม สมพร้อม ผู้อำนวยการโรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย คณะมูลนิธิการกุศลสมุทรสาคร แขกผู้มีเกียรติ และชาวสมุทรสาคร ร่วมในพิธี โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานและอิ่มเอมใจ ณ โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย จังหวัดสมุทรสาคร

ตลอดระยะเวลาวิกฤตกาลแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมาประชาชนต้องผ่านสถานการณ์ที่ทุกข์ยาก และได้รับผลกระทบในการดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก เมื่อสถานการณ์ได้เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จึงตระหนักในหน้าที่ ที่จะต้องสร้างความสุข สร้างขวัญกำลังใจแก่ประชาชนในชุมชนต่างๆ ซึ่ง “คาราวาน ป่อเต็กตึ๊ง ปันความสุข ให้ชุมชน” ครั้งที่ 6 มูลนิธิฯ ได้ขยายโครงการสู่ภูมิภาคเป็นครั้งแรก โดยมูลนิธิฯ ยึดมั่นการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขโดยไม่แบ่งแยกชนชั้น เชื้อชาติ วรรณะ และศาสนา ตามหลักปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” ที่มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมากว่า 115 ปี

ติดต่อสอบถาม ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

#ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต#
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี บำรุงขวัญและตรวจความพร้อมกำลังพล อาวุธ ยุทโธปกรณ์ แผนปฏิบัติการ รับฟังการบรรยายสรุป 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันมีความพร้อมในทุกด้าน

เมื่อวานนี้ (6 มิ.ย. 68) เวลา 08.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปประชุมติดตามสถานการณ์และตรวจเยี่ยมความพร้อมกำลังพลในพื้นที่ ณ ห้องประชุมสุขวิมล กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี โดยมี พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 , พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ประสงค์ เรืองเดช รองจเรตำรวจ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พร้อมด้วยผู้บังคับการ และผู้กำกับการ ในพื้นที่ และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ได้กำชับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในจังหวัดชายแดน โดยเฉพาะตำรวจพื้นที่ , ตำรวจทางหลวง , ตำรวจน้ำ , ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัด และตำรวจสันติบาล จะต้องติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง บังคับใช้กฎหมายให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรับฟังการป้องกันสถานที่ราชการ สถานีตำรวจต่าง ๆ การตั้งรับและรั้งหน่วง , แผนการถอยร่นและช่วยเหลือประชาชน , แผนการอพยพ หลุมหลบภัย บังเกอร์ และเส้นทางในพื้นที่ โรงพยาบาลทางการแพทย์ และแผนการปฏิบัติส่วนหลังของแต่ละจังหวัด พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยซักซ้อมแผนการปฏิบัติ ทั้งการซักซ้อมในการควบคุมสั่งการ การซ้อมปฏิบัติบนโต๊ะ (TTX) และการปฏิบัติเสมือนจริงในพื้นที่กับจังหวัด และกองกำลังทหารในพื้นที่ ทั้งนี้ ทุกหน่วยยืนยันมีความพร้อม เจ้าหน้าที่มีขวัญและกำลังใจที่ดี มีการฝึกอบรมในพื้นที่ และได้รับการสนับสนุนจากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นอย่างดี โดยยังคงให้เตรียมความพร้อมเต็มอัตรา พร้อมช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และศูนย์การเรียนรู้

จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ตรวจเยี่ยมข้าราชการตำรวจกองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจทางหลวง โดยกำชับให้ร่วมกันตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ร่วมกับตำรวจพื้นที่ เตรียมเส้นทางพื้นที่ชายแดน เส้นทางจังหวัด เส้นทางฉุกเฉิน และการนำส่งทางการแพทย์ สนับสนุนการเคลื่อนย้ายกำลังพลขนาดใหญ่ของภาคส่วนต่าง ๆ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมสนับสนุนทุกด้าน ขอให้ทุกนายตั้งมั่นและร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ปกป้องรักษาอธิปไตยของชาติอย่างเต็มกำลังความสามารถ

“พล.ต.อ.ประจวบฯ” ประชุมขับเคลื่อนงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม สรุปผลการปฏิบัติงานที่สำคัญในรอบ 8 เดือน เข้มปราบยาเสพติด และดูแลนักท่องเที่ยว

(7 มิ.ย. 68) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ในฐานะศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปปง.ตร.) , ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) , ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปทท.ตร.) , ประธานอนุกรรมการป้องกัน ปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนในและสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่ภาคใต้ และหัวหน้าคณะทำงานปราบปรามความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทั่วประเทศ 

โดยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 พล.ต.อ.ประจวบฯ พร้อมด้วย พล.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทั่วประเทศ ในห้วง 8 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ถึงเดือนพฤษภาคม 2568 สรุปผลการปฏิบัติในภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนี้ 

1. ผลการดำเนินงานตัวชี้วัดแผนปฏิบัติราชการ ประจำปี พ.ศ.2568 : ด้านการควบคุมอัตราการเกิดคดีกลุ่มชีวิตร่างกาย เพศ และทรัพย์ ในภาพรวม ผ่านเกณฑ์ ทั้ง 4 ตัวชี้วัด ถือได้ว่าภาพรวมอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมอัตราการเกิดคดีกลุ่มชีวิต ร่างกาย เพศ และทรัพย์ได้ 

2.ผลการดำเนินงานของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปปง.ตร.) : ผลการดำเนินคดีอาญาฟอกเงิน มีสัดส่วนการดำเนินคดีที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับห้วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยในปี 2568 มีการดำเนินคดีความผิด 29 มูลฐาน จำนวน 161,194 คดี คดีอาญาฟอกเงิน 352 คดี คิดเป็นสัดส่วนคดีอาญาฟอกเงิน  0.218% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 28.23% และมีผลการดำเนินงานตามโครงการ “สืบสวนสอบสวนและบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568” โดยในภาพรวมทั้งประเทศสามารถสืบทรัพย์ได้ 419 เป้าหมาย ทรัพย์สินรวม1,178,097,883 บาท

3. ผลการดำเนินการของศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล คนร้ายสำคัญ และมือปืนรับจ้าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) : ในห้วง 4 เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2568) มีผลการจับกุม 137 คดี ผู้ต้องหา 239 ราย จำแนกเป็น คดียาเสพติด 68 ราย , คดีเรียกรับผลประโยชน์เส้นทางสาธารณะ 2 ราย , บุกรุกที่ดินสาธารณะ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ 3 ราย , ลักลอบค้าอาวุธสงคราม 11 ราย , มือปืนรับจ้าง 11 ราย , ลักลอบนำคนเข้าออกประเทศโดยผิดกฎหมาย 78 ราย , เปิดบ่อนการพนัน 6 ราย และนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบ 38 ราย นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 เปิดปฏิบัติการ “ธรณีนี้มีขื่อ มีแป” ผลการตรวจค้น 653 เป้าหมาย 667 จุดตรวจค้น สามารถจับกุมผู้ต้องหา 218 คน ตรวจยึดอาวุธปืน 236 กระบอก , เครื่องกระสุนปืน 5,314 นัด และวัตถุระเบิด 9 ลูก , ยาบ้า 17,397 เม็ด , ไอซ์ 113.15 กรัม และยานพาหนะ 314 คัน

4. ผลการดำเนินการของคณะทำงานปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ : ในห้วง 3 เดือนที่ผ่านมา (26 กุมภาพันธ์ - 5 มิถุนายน 2568) จับกุม 2,594 คดี ผู้ต้องหา 2,707 ราย ยึดของกลางบุหรี่ไฟฟ้ารวม 1,591,570 ชิ้น มูลค่ารวม 405,755,746 บาท

5. ผลการดำเนินการของศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปทท.ตร.) : ในห้วง 5 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม – พฤษภาคม 2568) มีการตั้งจุดตรวจรวมทั้งประเทศ 108,022 จุด เป็นจุดตรวจแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ (จุดตรวจ 007) 14,128 จุด โดยในเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา มีผลการตรวจรวม 446,613 ครั้ง สำหรับสถิตินักท่องเที่ยวในห้วง 5 เดือนที่ผ่านมา รวม 13,156,354 คน เกิดเหตุกับนักเที่ยวชาวต่างชาติ รวม 178 คดี ซึ่งลดลงถึง 7.19 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 

6. ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการป้องกัน ปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนในและสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ : ในห้วง 4 เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2568) มีการจับกุมรวม 82,448 คดี ผู้ต้องหา 82,410 คน ตรวจยึดของกลาง ยาบ้า 367,024,741 เม็ด , ไอซ์ 17,747 กิโลกรัม , เฮโรอีน 483 กิโลกรัม และยาอี 161,112 เม็ด 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า ได้กำชับสถานีตำรวจทั่วประเทศในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตลอดจนอาชญากรรมอื่นที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน การปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ การปราบปรามความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งมาทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน และการปราบปรามยาเสพติดซึ่งแพร่ระบาดไปยังชุมชน หมู่บ้าน ไปทั่วประเทศ เพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top