Tuesday, 22 April 2025
NEWS FEED

อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนา  ครบรอบ 27 ปี

เมื่อวานนี้ (21 เม.ย.68) พลเรือตรี ปิยะ ปฐมบูรณ์ ผู้อำนวยการอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ เป็นประธานจัดงานวันคล้ายวันสถาปนา อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ ครบรอบ 27 ปี โดยมี อดีตผู้อำนวยการอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดชฯ  ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ สมาคมภริยาทหารเรือ หน่วยงานราชการ และ บริษัทเอกชน เข้าร่วมงาน ณ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ
ท่าเรือจุกเสม็ด อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดโครงการ  “เสริมสร้างทักษะดนตรี กีฬา ช่วงปิดภาคการศึกษาแก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ”

(21 เม.ย. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ “เสริมสร้างทักษะดนตรี กีฬา ช่วงปิดภาคการศึกษาแก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ” โดยมี พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล/โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.เศรษฐศักดิ์  ยิ้มเจริญ ผู้บังคับการกองสวัสดิการ (ผบก.สก.) , รอง ผบก.สก. , ข้าราชการตำรวจกองสวัสดิการ และผู้เข้าร่วมโครงการ ร่วมพิธี ณ สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร 

พล.ต.ท.อาชยนฯ กล่าว่า กองสวัสดิการ สำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดทำโครงการ "เสริมสร้างทักษะดนตรี กีฬา ช่วงปิดภาคการศึกษาแก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ" ขึ้น ระหว่างวันที่ 21 – 30 เมษายน 2568 เพื่อเป็นสวัสดิการแก่ครอบครัวของข้าราชการตำรวจ และส่งเสริมให้เยาวชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ช่วงปิดภาคการศึกษา ซึ่งโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 นโยบายข้อที่ 15 สวัสดิการตำรวจ โดยโครงการดังกล่าวจะมีการส่งเสริมทักษะด้านดนตรี 7 ชนิด ประกอบด้วย เปียโน กีตาร์ อูคูเลเล่ ขลุ่ย ขิม ไวโอลิน และขับร้อง ให้แก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ อายุตั้งแต่ 7 - 15 ปี จำนวน 104 คน ณ สโมสรตำรวจ และส่งเสริมทักษะด้านกีฬา 4 ชนิด ประกอบด้วย กรีฑา ฟุตบอล ฟุตซอล และว่ายน้ำ ให้แก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ อายุตั้งแต่ 8 - 15 ปี จำนวน 80 คน ณ สนามกีฬาบุณยะจินดา และสระว่ายน้ำสโมสรตำรวจ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายหลักในการบริหารราชการคือเรื่องการส่งเสริมสวัสดิการตำรวจ ดูแลข้าราชการตำรวจและครอบครัว ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ความสำคัญ เพื่อลดปัญหาด้านยาเสพติด มีมาตรการดูแลและสร้างภูมิคุ้มกันแก่เด็กและเยาวชน โดยใช้กิจกรรมสันทนาการประเภทต่าง ๆ เป็นสื่อในการเข้าถึงเด็กและเยาวชน เพื่อส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในช่วงปิดภาคการศึกษา ไม่พึ่งพาอบายมุขและยาเสพติด ด้วยการเรียนดนตรี เล่นกีฬา เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาทักษะทางด้านร่างกายและจิตใจ ให้มีน้ำใจนักกีฬา และมีระเบียบวินัย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมสนับสนุนและส่งเสริมโครงการ เพื่อพัฒนาทักษะที่เป็นประโยชน์สำหรับบุตรหลานข้าราชการตำรวจอย่างเต็มที่

จเรตำรวจแห่งชาติประชุม ฉก.88 ร่วมกับ 32 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้เห็นผลชัดเจนภายใน 3 เดือน เน้นใช้มาตรการ "ระเบิดสะพานโจร" อย่างเคร่งครัด

วันนี้ (21 เม.ย. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ผอ.ฉก.88) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) ครั้งที่ 1/2568 โดยมีผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 , ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล , ผู้บัญชาการสำนักงบประมาณและการเงิน , ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) พร้อมด้วย นายบุญช่วย หอมยามเย็น ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย/รอง ผอ.ฉก.88 , นายวิรุฬห์ สิทธิวงศ์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ฝ่ายความมั่นคง/รอง ผอ.ฉก.88 , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท./รอง ผอ.ฉก.88 , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว/ผู้ช่วย ผอ.ฉก.88 , ผู้แทนฝ่ายตำรวจทุกหน่วย และผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 32 หน่วยงาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์

ตามที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 83/2568 เรื่อง การจัดตั้งกลไกอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งตำรวจ ทหาร ภาครัฐ เอกชน ฝ่ายปกครอง โดยตั้งคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (คณะกรรมการ ปชด.) มีศูนย์ปฏิบัติเฉพาะกิจ 4 ศูนย์ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) มี พล.ต.อ.ธัชชัยฯ เป็นผู้อำนวยการฯ ทำหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพื้นที่แนวชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมาและประเทศกัมพูชา

ในที่ประชุมได้มีการติดตามสถานการณ์ภาพรวมของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสถานการณ์ตามพื้นที่แนวชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมา และแนวชายแดนที่ติดกับประเทศกัมพูชา และแนวทางการดำเนินการในการป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของไทยจะไม่ยอมให้กลุ่มคนไทยที่เดินทางไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมื่อถูกจับกุมแล้วอ้างว่าตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม โดยล่าสุดจากปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชามีการกวาดล้าง 2 ครั้ง จับกุมคนไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องส่งกลับประเทศรวมจำนวน 175 คน พบว่าทุกคนไม่ใช่เหยื่อการค้ามนุษย์ แต่เป็นคนที่มีส่วนร่วมกับอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกคน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินคดีในไทยใน 4 ข้อหาใหญ่

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมร่วมทุกหน่วยงานครั้งแรก โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานเข้าร่วมประชุม เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเน้นการใช้มาตรการ "ระเบิดสะพานโจร" อย่างเคร่งครัด ได้แก่ 
1. ป้องกันการลักลอบส่งเสา สาย ซิม โดยการตัดสายเคเบิ้ลผิดกฎหมาย ตัดเสาสัญญาณผิดกฎหมาย ปราบปรามซิมผี วิเคราะห์จุดที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์จาก IP address และที่ตั้งทางกายภาพ  
2. ตรวจสอบป้องกันการใช้บัญชีธนาคารและบัญชีคริปโตเคอร์เรนซี โดยตรวจสอบสาขาของธนาคารที่มีการเปิดบัญชีม้าจำนวนมาก การถอนเงินจากธนาคารและตู้กดเงินสดตามแนวชายแดน การลักลอบขนเงินสดข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติและด่านศุลกากร และการวิเคราะห์เส้นทางการเงินจากบัญชีธนาคารและบัญชีคริปโตเคอร์เรนซี
3. ป้องกันการลักลอบเดินทางเข้าออกประเทศไทยของชาวไทยและชาวต่างชาติตามแนวชายแดน เพื่อปิดกันไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านเพื่อเดินทางไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นภัยความมั่นคงของชาติรูปแบบใหม่ เรียกว่า Cyber War ที่ต้องรีบดำเนินการแก้ไขโดยบูรณาการการปฏิบัติร่วมกันทุกหน่วยงาน เชื่อว่าหากทุกหน่วยงานร่วมมือร่วมใจกันทำจริง และเด็ดขาดพอ จะทำให้การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์เห็นผลสัมฤทธิ์ภายใน 3 เดือน

‘รศ.ดร.ปิติ’ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เสนอ 10 ข้อรับมือระเบียบโลกใหม่ ท่ามกลางความขัดแย้งสหรัฐ-จีน

(21 เม.ย. 68) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีของไทย เสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอ 10 ข้อ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่ ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก

ในจดหมายดังกล่าว รศ.ดร.ปิติชี้ว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ “สามห่วงโซ่มูลค่า” (Global Value Chains – GVCs) นำโดยสหรัฐฯ จีน และกลุ่มประเทศอื่นๆ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศอย่างถาวร ประเทศไทยในฐานะสมาชิกอาเซียนจึงควรมีบทบาทเชิงรุกในการวางยุทธศาสตร์กับมหาอำนาจ และผลักดันผลประโยชน์ของชาติในเวทีระหว่างประเทศ

10 ข้อเสนอสำคัญของ รศ.ดร.ปิติ ประกอบด้วย

1. เปิดรับแนวคิดใหม่ (New Mindset) ต่อระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป

2. บูรณาการความรู้แบบสหสาขาวิชา โดยยึดผลประโยชน์ของชาติ

3. วางยุทธศาสตร์เชิงลึกต่อสหรัฐฯ จีน และบทบาทนำในอาเซียน

4. ใช้มิติความมั่นคง-การเมืองเป็นอำนาจต่อรองกับสหรัฐฯ

5. ขยายตลาดสินค้าไทยในจีน พร้อมเจรจาควบคุมสินค้านำเข้าจากจีน

6. ใช้อาเซียนเป็นกลไกเพิ่มอำนาจต่อรองในระดับภูมิภาค

7. มองหาโอกาสในขั้วโลกใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มโลกมุสลิม

8. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยยกระดับการบริโภคภายใน

9. เสริมเสถียรภาพการเงิน การคลัง และทุนสำรองของประเทศ

10. ใช้ Soft Power ทางวัฒนธรรม มนุษยธรรม และความร่วมมือพหุภาคี

นอกจากนี้ รศ.ดร.ปิติ ยังเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนการพัฒนากลไก “Friends of Thailand” เพื่อสร้างเครือข่ายสนับสนุนผลประโยชน์ของชาติในเวทีโลก พร้อมแนบลิงก์บทความฉบับเต็มจาก The Standard สำหรับการศึกษารายละเอียดเชิงลึกของแต่ละข้อเสนอ (https://thestandard.co/new-world-order-thailand-strategy/)

ท้ายจดหมาย รศ.ดร.ปิติ ระบุว่า เนื่องจากเป็นเพียงนักวิชาการคนหนึ่ง จึงไม่มีช่องทางสื่อสารโดยตรงกับนายกรัฐมนตรี จึงขอให้ประชาชนช่วยกันแชร์เนื้อหานี้ เพื่อให้ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องมีโอกาสได้พิจารณา

โค้งสุดท้ายก่อนปิดรับสมัคร ‘DAD NIDA’ รุ่นที่ 10 สุดยอดหลักสูตรพัฒนาผู้นำยุคดิจิทัลตอบโจทย์โลกธุรกิจยุคใหม่

(21 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘DAD NIDA’ เพจประชาสัมพันธ์หลักสูตร Development Administrator in Digital Era (DAD) จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความเชิญชวนสมัครเรียนโครงการ DAD NIDA รุ่นที่ 10 ระบุว่า…

ถ้าคุณกำลังมองหาหลักสูตรผู้บริหารที่ช่วยยกระดับศักยภาพและเครือข่าย DAD NIDA รุ่นที่ 10 คือคำตอบ พบกับวิทยากรชั้นนำจากหลายวงการ
เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ การันตีคุณภาพโดย NIDA

✨ Key Highlights ที่คุณไม่ควรพลาด ✨
🔹 เนื้อหาปรับปรุงใหม่ตอบโจทย์โลกอนาคต
✅ Speed Networking – ขยายคอนเนคชันทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว
✅ DAD Executive Networking Night – สร้างเครือข่ายกับผู้บริหารระดับแนวหน้า
✅ DAD Site Visit – เรียนรู้จากองค์กรชั้นนำผ่านการเยี่ยมชมสถานที่จริง
🔹 New Curriculum
📌 องค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาผู้นำยุคใหม่
📌 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับอุตสาหกรรมต่างๆ
📌 อัปเดตเทรนด์ดิจิทัลสำคัญ
📌 พัฒนา soft skill ด้านภาวะผู้นำในยุคดิจิทัล

🔹 หลักสูตรนี้เหมาะกับใคร
✅ ภาคเอกชน – ผู้ประกอบการ ผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ
✅ ข้าราชการและองค์กรภาครัฐ – ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการตุลาการ ข้าราชการทูต ข้าราชการตำรวจ นายทหาร และผู้บริหารในองค์กรภาครัฐ
✅ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสื่อและสังคม – สื่อมวลชน ศิลปิน ดารา พิธีกร ผู้บริหารภาคประชาสังคม มูลนิธิ ngos สมาคม

ก้าวสู่การเป็นผู้นำยุคดิจิทัลกับหลักสูตร Development Administrator in Digital Era (DAD) ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาผู้บริหารและผู้นำแห่งอนาคต 🕊️
📅 สมัครได้แล้ววันนี้ - 30 เมษายน 2568
📌 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.dadnida.com
👉 ลงทะเบียน https://forms.gle/roAqiV7U1p4oCdSa9
📞 สอบถามเพิ่มเติม โทร. 092-728-6722

‘ครูเดวิด’ ฟาดฝรั่งพูดหนีห่าวเหยียด ‘ทราย สก๊อต’ ชี้ดูถูกคนไทยมากไปแล้ว!

(21 เม.ย. 68) หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงในสังคมออนไลน์ จากกรณี “ทราย สก๊อต” นักอนุรักษ์ทะเลชื่อดัง เจ้าของฉายา “มนุษย์เงือก” หรือ “อควาแมนเมืองไทย” โพสต์คลิปเหตุการณ์ขณะเกิดการปะทะคารมกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรายหนึ่งที่แสดงพฤติกรรมเชิงเหยียดเชื้อชาติ ด้วยการทักทายว่า ‘หนีห่าว’

ในคลิปดังกล่าว ทรายสก๊อตได้ตักเตือนนักท่องเที่ยวรายนั้นถึงความไม่เหมาะสมของคำพูด ซึ่งสะท้อนการเหมารวมและเหยียดชาวเอเชียอย่างชัดเจน แต่กลับไม่ได้รับคำขอโทษหรือท่าทีสำนึกใด ๆ จากอีกฝ่าย จึงตัดสินใจสั่งให้เรือเดินทางกลับฝั่ง พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมว่า การเหยียดคนไทยหรือชาติพันธุ์ใด ๆ ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในแผ่นดินไทย

ต่อมา “ครูเดวิด วิลเลี่ยม” (David William) ติ๊กต็อกเกอร์ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และมีผู้ติดตามกว่า 3 ล้านคน ได้ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนต่อเหตุการณ์นี้ผ่านช่องทางโซเชียลของเขา โดยระบุว่า

“ฝรั่งเขาดูถูกคนไทย แล้วพี่รับไม่ได้… คุณมาเที่ยวประเทศที่โคตรสวยงาม การรับผิดชอบเบื้องต้น ไม่เอาขยะทิ้งลงทะเล ไม่ใช่เรื่องยาก มันเป็นสิ่งที่ควรทำ... แต่บางคนกลับมองว่า เมืองไทยคือที่ที่อยากทำอะไรก็ได้ เพราะมีเงิน และไม่ต้องให้เกียรติคนท้องถิ่น...”

เขายังเสริมอย่างตรงไปตรงมาว่า คำว่า ‘หนีห่าว’ กลายเป็นคำพูดที่ฝรั่งใช้ในเชิงเหมารวมคนเอเชียว่าเป็นคนจีน ทั้งที่ผู้รับคำพูดนั้นไม่ใช่ และถือเป็นการดูถูกที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมที่เปิดกว้างเช่นนี้

“ทำไมฝรั่งมาประเทศไทยแล้วรู้สึกว่าทำอะไรก็ได้? เป็นเพราะเขาดูถูกพวกเรา… ความใจดีของคนไทย อ่อนน้อม เกรงใจ เป็นสิ่งที่สวยงาม แต่บางที… ความน่ารักของเราก็ต้องมีขอบเขต”

เขาทิ้งท้ายอย่างหนักแน่นว่า หากชาวต่างชาติไม่เคารพกฎหมายหรือวัฒนธรรมไทย ก็ควร “กลับบ้านไปเลย” พร้อมเสนอแนวคิดว่า คนไทยควร “เกรงใจฝรั่งให้น้อยลง” เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางวัฒนธรรม และไม่เปิดช่องให้ใครมาหยามศักดิ์ศรีคนไทยบนผืนแผ่นดินตัวเอง

ขณะเดียวกัน ชาวเน็ตหลายคนร่วมแสดงความเห็นสนับสนุนทั้งทรายและครูเดวิด โดยเฉพาะในประเด็นความเท่าเทียม การเคารพซึ่งกันและกัน และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าหน้าที่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมของทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุลอบวางระเบิดและกราดยิงในพื้นที่ จ.นราธิวาส เด็กและประชาชนบาดเจ็บหลายราย

วันที่ (21 เม.ย. 68) พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุความไม่สงบในจังหวัดนราธิวาส หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดบริเวณสถานีตำรวจภูธรโคกเคียน และเหตุกราดยิงในพื้นที่บ้านฆอเลาะทูวอ อำเภอแว้ง ส่งผลให้เด็กและประชาชนได้รับบาดเจ็บรวมหลายราย

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 18.45 น. คนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณริมกำแพงหลังแฟลตตำรวจ สภ.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส แรงระเบิดส่งผลให้เด็กและเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 10 ราย รวมถึงเด็กนักเรียนอายุระหว่าง 3-13 ปี ซึ่งเป็นบุตรหลานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะกำลังเดินทางไปเรียนอัลกุรอ่าน เจ้าหน้าที่ได้เร่งช่วยเหลือผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และโรงพยาบาลกัลยาณิวัฒนาการุณย์

จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่า คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์พ่วงข้างประกอบระเบิดแสวงเครื่องมาวางไว้บริเวณหลังรั้วแฟลต และหลบหนีไปก่อนก่อเหตุโดยมีการบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ ในพื้นที่อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ยังเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดกราดยิงใส่ประชาชนที่กำลังนั่งรับประทานอาหารหน้าบ้านเลขที่ 229/11 บ้านฆอเลาะทูวอ หมู่ที่ 7 ต.แว้ง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแว้งและโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก เพื่อรับการรักษา

ด้านภรรยาของ ดาบตำรวจ อนุชา ศรีสุวรรณ์ หนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว เปิดเผยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เมื่อทราบข่าวว่าสามีของตนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์คนร้ายกราดยิง ตนตกใจและแอบกลัวว่าสามีจะเกิดอันตราย ตนและลูกจึงได้รีบเดินทางมายังโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก เพื่อติดตามอาการของสามี และเมื่อทราบว่าอาการของสามีได้พ้นขีดอันตรายก็รู้สึกโล่งใจ พร้อมทั้งแสดงความหวังว่าเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้จะยุติลงเสียที โดยอยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยปรองดองกัน หยุดความรุนแรง เพราะแม้ว่าเราจะมีวิถีชีวิตหรือความเชื่อที่ต่างกัน แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ เพราะเราก็คือคนไทยด้วยกัน อยากให้รักกัน เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต”

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความรุนแรงที่สร้างความหวาดกลัวและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้าน แม่ทัพภาคที่ 4 จึงได้กำชับและเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดและรัดกุมยิ่งขึ้น พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ มาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นหูเป็นตา หากพบเบาะแสหรือบุคคลต้องสงสัย สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 โทร. 061-1732999 หรือสายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โทร. 1341 รวมถึงหน่วยเฉพาะกิจใกล้บ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยและคืนความสงบสุขให้กับประชาชนทุกคน

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เผย ‘#กระทรวงดีอี’ ผลึกกำลัง ‘#ไมโครซอฟท์’ เปิดโครงการ ‘THAI Academy’ ยกระดับทักษะ AI คนไทย 1 ล้านคน ขับเคลื่อนประเทศสู่ยุค AI First

วันที่ (21 เม.ย 68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงการเปิดตัวโครงการ ‘THAI Academy ขับเคลื่อนอนาคต AI ประเทศไทย’ ซึ่งรัฐบาลไทย โดยกระทรวงดีอี ได้ผนึกกำลังร่วมกับ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนดำเนินการขึ้นว่า  รัฐบาลไทยโดยกระทรวงดีอี มีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับทักษะด้าน AI สำหรับคนไทย จึงได้ผนึกกำลังกับไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เปิดตัวโครงการ ‘THAI Academy ขับเคลื่อนอนาคต AI ประเทศไทย’ ยกระดับพันธกิจการเสริมทักษะด้าน AI  ให้ครอบคลุมคนไทยกว่า 1 ล้านคน ภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับไมโครซอฟท์และพันธมิตรจากภาครัฐและภาคเอกชนรวมกว่า 35 องค์กร ในการร่วมกันขับเคลื่อนประเทศสู่ยุค AI First

นายประเสริฐ กล่าวว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการนำพาประเทศไทยให้ก้าวเดินและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งบนเวทีโลก รัฐบาลไทยได้วางแผนแม่บท AI แห่งชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพในหลายมิติ รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน AI ให้กับประชาชนอย่างกว้างขวางและทั่วถึง การร่วมกันเปิดตัวโครงการ THAI Academy ครั้งนี้ สอดคล้องเป็นอย่างดีกับแผนงานของภาครัฐในการจับมือกับผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยี เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยเร็วที่สุด

ด้าน นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ขอขอบคุณรัฐบาลไทย ที่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะ AI ให้กับคนไทย ภายใต้โครงการ THAI Academy ไมโครซอฟท์ มุ่งมั่นทำงานประสานกับหลากหลายหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เปิดโอกาสการเรียนรู้ทักษะ AI ให้กับคนไทยได้อย่างกว้างขวาง ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายยกระดับทักษะคนไทยมากกว่า 1 ล้านคน ภายในปี 2568 นี้

AI Skills Navigator แพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้าน AI เพื่อคนไทยทุกคน โดยจะรวบรวมหลักสูตรด้าน AI จากไมโครซอฟท์และพันธมิตร รวมกว่า 200 หลักสูตร เพื่อตอบโจทย์การฝึกทักษะ ทำความเข้าใจ และใช้ประโยชน์จาก AI ในหลากหลายสถานการณ์ นับตั้งแต่ผู้เริ่มต้นใช้งาน บุคคลทั่วไป คนทำงานเฉพาะทาง ไปจนถึงนักพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยมีหลักสูตรไฮไลท์สำหรับผู้เริ่มเรียนรู้ใน 3 ระดับ ได้แก่ “AI Basics”ปูพื้นฐานตั้งแต่ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI ประวัติศาสตร์และที่มาเบื้องหลังนวัตกรรม และพื้นฐานในการเริ่มใช้งาน , “AI Skills for Everyone” หลักสูตรรวบรัดที่เจาะพื้นฐานการใช้งานเครื่องมือ AI บนแพลตฟอร์มของไมโครซอฟท์ในสถานการณ์ประจำวันอย่างถูกต้อง แม่นยำ และได้ผลจริง และ “Azure AI: Zero to Hero” เปิดประตูให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์และนักศึกษาก้าวสู่โลกของคลาวด์และ AI อย่างเต็มตัว กับพื้นฐานในการสรรสร้างเครื่องมือและโซลูชันพลังงาน AI เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

นายธนวัฒน์ กล่าวว่า คนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงประเทศ หากเรายังไม่เริ่มพัฒนาทักษะด้าน AI วันนี้ เราจะเสียโอกาสและถูกทิ้งห่างอย่างรวดเร็ว การพัฒนาทักษะด้าน AI ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างนวัตกรรมและความก้าวหน้าในทุกภาคส่วนของประเทศ การลงทุนในทักษะ AI วันนี้ จะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย ข้อมูลจาก LinkedIn ชี้ให้เห็นว่า 70% ของทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานส่วนใหญ่ในอนาคตจะแตกต่างไปจากปัจจุบัน โดยมีตำแหน่งงานที่ต้องการทักษะการใช้งาน AI เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเริ่มเรียนรู้ทักษะ AI ด้วยตนเองผ่าน AI Skills Navigator ได้แล้ววันนี้ที่ https://aiskillsnavigator.microsoft.com/th-th  โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากเนื้อหาทั้ง 200 หลักสูตรที่รวบรวมไว้ในที่เดียวแล้ว แพลตฟอร์มนี้ยังสามารถแนะนำหลักสูตรที่เหมาะสม ตรงตามเป้าหมายและความสนใจที่แตกต่างกันไปของผู้เรียนแต่ละคน

นอกเหนือจากแพลตฟอร์ม AI Skills Navigator แล้ว โครงการ THAI Academy ยังครอบคลุมความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในหลายมิติ โดยมีตัวอย่างโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ทั้ง การจับมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบรายการ (กพร.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร. / DGA) เพื่อพัฒนาทักษะด้าน AI ให้กับข้าราชการไทยกว่า 100,000 คน พร้อมร่วมกับ สพร. ในการจัดกิจกรรม “GovAI Hackathon” ที่เปิดให้บุคลากรภาครัฐจากทุกหน่วยงานมาร่วมแชร์แนวคิดการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย โดยกิจกรรมนี้เปิดรับสมัครจนถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 , การจับมือกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เสริมทักษะ AI ให้แรงงานไทยและผู้ที่กำลังมองหางานทั่วประเทศ รวมกว่า 100,000 คน และร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ฝึกอบรมทักษะเฉพาะทางด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับบุคลากรของ สกมช. และตัวแทนจากองค์กรที่ดูแลโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศรวมกว่า 300 คน ควบคู่ไปกับการจัดอบรมทักษะด้าน AI และความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้แก่นักเรียน-นักศึกษากว่า 10,000 คน

รวมทั้งร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพัฒนาทักษะ AI แก่บุคลากรครู 4,500 คน โดยถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจต่อไปยังนักเรียนอีกกว่า 400,000 คนทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ ได้ร่วมกับ สถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ (เนคเทค) บรรจุเนื้อหาจากหลักสูตรพื้นฐานด้าน AI ของไมโครซอฟท์ไว้ในหลักสูตร AI Literacy หรือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI ตามโครงการขับเคลื่อนการสอนปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในโรงเรียน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 และร่วมสร้างทักษะ AI ให้กับนักศึกษา ผ่านกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมุ่งเน้นกลุ่มนักศึกษาในสายวิชาด้านเทคโนโลยี เพื่อปั้นนักพัฒนารุ่นใหม่ เสริมตลาดแรงงานสาย AI ในไทยด้วยบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถกว่า 50,000 คน

นอกจากนี้ยังร่วมมือกับสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ตลาดหลักทรัพย์ ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในการขับเคลื่อนการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยกว่า 20,000 คน

สบส. เผยอาคารนิทรรศการไทย พร้อมแสดงศักยภาพความพร้อมไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ในงาน Expo 2025

(21 เม.ย. 68) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เผยอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion)  พร้อมแสดงศักยภาพสาธารณสุข และมนต์สเน่ห์ของไทยสู่สายตาชาวโลก ตอกย้ำความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ในงาน Expo 2025 Osaka, Kansai, Japan

นายแพทย์กรกฤช ลิ้มสมมุติ รองอธิบดีกรม สบส. ให้สัมภาษณ์ว่า  งาน Word Expo ถือเป็นงานนิทรรศการระดับโลกซึ่งจัดขึ้นทุก 5 ปี ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยงานมทกรรมโลก (Bureau of Intemational Exposition: BIE) โดยในปีนี้จัดขึ้น ณ นครโอชากา ประเทศญี่ปุ่น ในชื่อ Expo 2025 Osaka, Kansai, Japan ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรม สบส. เข้าร่วมจัดงานในระหว่างวันที่ 13 เมษายน - 13 ตุลาคม 2568 เพื่อแสดงศักยภาพด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก ผ่านการแสดงอาคารนิทรรศการไทย "ภูมิพิมาน ดินแดนแห่งภูมิคุ้มกัน" นำเสนอแนวคิดหลักในการจัดแสดงของประเทศไทย คือ "THAILAND Connecting Lives for Greatest Happiness" สร้างสรรค์ชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่ ภายในอาคารนิทรรศการซึ่งจะนำเสนอนิทรรศการ จาก 1 สู่ 1,000,000 ผ่านการออกแบบอาคารนิทรรศการไทย ด้วยแนวคิด “ภูมิพิมาน” ซึ่งเป็นการรวมอัตลักษณ์ ภูมิไทย ผสานเข้ากับแนวคิดการออกแบบนิทรรศการที่สะท้อนความเป็นไทยแบบร่วมสมัย ซึ่งการจัดเตรียมงานอาคารนิทรรศการไทย ภายใต้งบประมาณ 973.48 ล้านบาท กรม สบส. ได้คำนึงถึงความคุ้มค่า และประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างสูงสุด พร้อมกันนี้ก็ได้มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดขององค์กรผู้จัดงาน และเทศบาลนครโอซากาอย่างเคร่งครัด  ซึ่งชาวต่างชาติที่เข้าเยี่ยมชมอาคารนิทรรศการไทยส่วนใหญ่ก็มีกระแสตอบรับที่ดี  ซึ่งในช่วงวันที่ 13 – 15 เมษายน 2568 มียอดผู้เข้าชมรวมทั้งสิ้น 18,076 คน และคาดว่าจะสามารถดึงดูดผู้เข้าชมงานตลอด 6 เดือน ได้กว่า 3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 10 ของจำนวนผู้เข้าชมงาน Expo 2025 ในภาพรวม ซึ่งจะทำให้นานาประเทศได้รู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นต่อความพร้อมในการก้าวเช้าสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติของไทย

นายแพทย์กรกฤชฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการจัดแสดงนิทรรศการภายใต้แนวคิด “ภูมิพิมาน” แล้วภายในอาคารนิทรรศการไทยยังมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น การสาธิตสาธิตนวดไทย โดยหมอนวดไทยที่มีความเชี่ยวชาญเน้นแก้ไขกลุ่มอาการ Office Syndrome เพื่อเผยแพร่คุณค่าของศาสตร์นวดไทยที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก และกิจกรรมพิเศษอื่นๆ หมุนเวียน  รวม 184 วัน โดยจะมีการจัดพิธีเปิดอาคารนิทรรศการอย่างเป็นทางการ ในวันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2568 ซึ่งตรงกับเดือนที่เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ และมีกิจกรรมพิเศษภายในงานเพื่อเฉลิมฉลองในวันดังกล่าว กรม สบส.จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องชาวไทยได้ร่วมส่งกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และหากมีโอกาสก็ขอเชิญเข้าร่วมเยี่ยมชมการจัดแสดงอาคารนิทรรศการไทย และหากท่านใดมีข้อเสนอแนะ กรม สบส. ก็ยินดีน้อมรับข้อเสนอแนะ และพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงกระบวนการในการดำเนินงาน เพื่อสร้วงประสบการณ์ที่น่าจดจำ แก้ผู้ร่วมงานที่เดินทางมาจากทั่วทุกมุมโลก

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน 

กองทัพเรือ เปิดกิจกรรมพลังงานสีเขียว (Green Navy Day 2025) ประจำปีงบประมาณ 2568

ในวันที่ (21 เม.ย. 68) พลเรือตรี ศุภสิทธิ์  บูรณะโอสถ เจ้ากรมการขนส่งทหารเรือ เข้าร่วมกิจกรรมพลังงานสีเขียว (Green Navy Day 2025) ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมี พลเรือเอก จิรพล  ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีเปิด โดยมีกิจกรรม 3 ภารกิจหลัก ประกอบด้วย
    1. พิธีเปิดกิจกรรม ณ อาคารกองบัญชาการทหารเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน เวลา 07.45 – 08.00 น.
    2.การทดลองใช้รถยนต์โดยสารพลังงานไฟฟ้า (BUS EV) เดินทางไปยังโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า เวลา 08.00 – 08.30 น.
     3. พิธีเปิดการใช้งานระบบ Solar Rooftop ณ อาคารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า เวลา 08.30 – 09.45 น

โดยกิจกรรมนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการแสดงเจตนารมณ์ของกองทัพเรือในการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป็นต้นแบบที่ดีด้านการบริหารจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งยังสร้างขวัญกำลังใจ และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการขับเคลื่อน ภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม ของกองทัพเรือให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืนต่อไป

#กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ
#เทิดทูนสถาบัน_ป้องกันรัฐ_พัฒนาชาติ_ราษฎร์ศรัทธา
#กรมการขนส่งทหารเรือ
#กองทัพเรือ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top