Thursday, 24 April 2025
NEWS FEED

ภูฏานประดับพระบรมฉายาลักษณ์-ธงชาติไทยทั่วเมือง เตรียมต้อนรับเสด็จฯ ในหลวง–พระราชินี เยือนอย่างเป็นทางการ 25–28 เม.ย.นี้

(24 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก 'โบราณนานมา' โพสต์ภาพพร้อมข้อความเผยว่า ราชอาณาจักรภูฏานได้ประดับพระบรมฉายาลักษณ์และธงชาติไทยในพื้นที่ต่าง ๆ เตรียมความพร้อมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

ทั้งสองพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25–28 เมษายน 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งในหลวงทรงรับคำเชิญด้วยความปีติยินดียิ่ง

การเสด็จฯ เยือนในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแน่นแฟ้นระหว่างสองราชอาณาจักร ที่มีมิตรภาพอันยาวนาน สืบเนื่องจากมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในพระพุทธศาสนา และสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และประชาชนของทั้งสองประเทศ

สำนักงานมวยฯ เร่งสอบกรณี ‘มวยตลก’ บนเวทีดัง ชี้ย่ำยีศักดิ์ศรีมวยไทย ‘ฝ้าย เมฆะ’ – ‘แป้งฝุ่น’ โร่ขอโทษแล้ว

(24 เม.ย. 68) กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล หลังมีการเผยแพร่คลิป “มวยตลก” บนเวทีมวยจังหวัดอุดรธานี ซึ่งผู้ขึ้นชกแต่งกายไม่เหมาะสมและแสดงพฤติกรรมล้อเลียนการชกมวย ทำให้คนในวงการมวยไทยวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการย่ำยีเวทีอันศักดิ์สิทธิ์ และละเมิดขนบธรรมเนียมที่มีครูบาอาจารย์

นายณัฐพล อันตระเสน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้สั่งการให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จังหวัด ตรวจสอบว่าเวทีดังกล่าวได้รับอนุญาตจัดการแข่งขันอย่างถูกต้องหรือไม่ พร้อมย้ำว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเวทีมวยต้องได้รับการปกป้อง ไม่ใช่ถูกใช้เป็นพื้นที่สร้างคอนเทนต์โดยขาดความเคารพ

ด้าน “ฝ้าย เมฆะ” และ “แป้งฝุ่น” สองอินฟลูเอนเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ออกมาขอโทษต่อสาธารณะและวงการมวยไทย ยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ขาดความยั้งคิด และให้คำมั่นว่าจะไม่ทำพฤติกรรมในลักษณะนี้อีก พร้อมขอใช้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญในการเคารพศิลปะแม่ไม้มวยไทยต่อไป

นราธิวาส-คณะตัวแทนรัฐ 3 ฝ่าย ห่วงใยร่วมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บเหตุระเบิด – 2 เยาวชนยังอาการน่าห่วง นักเรียนหญิงหวั่นกระทบการสมัครเรียน

ที่บรรยากาศที่ตึกกัญญารัตน์ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส เต็มไปด้วยความห่วงใยและอบอุ่น เมื่อคณะตัวแทนจากภาครัฐ 3 ฝ่าย ร่วมลงพื้นที่เข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุลอบวางระเบิดบริเวณหลังสถานีตำรวจภูธรเมืองนราธิวาสในวันที่20 เมษายน ที่ผ่านมา

โดยเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในครั้งนี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนในพื้นที่ใกล้เคียงเพราะเป็นชุมชนที่หนาแน่นและประชาชนได้มาจับจ่ายใช้สอยเนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุเส้นทางไปตลาดนัดบ้านทอนซึ่งตรงกับทุกวันอาทิตย์ของสัปดาห์ เหตุการณ์ดังกล่าว หลายหน่วยงานรีบเข้าเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนอย่างรวดเร็ว การเข้าเยี่ยมครั้งนี้นำโดย นายซาฟีอี เจ้ะเลาะ ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส, นางซารีนา เจ้ะเลาะ พร้อมกับนายอับดุลอาซิซ เจ้ะมามะ ในนามที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ฝ่ายสตรีนางประนอม คำจุ่นประธานโฆษกชาวบ้านนางปารีดะ อารีซู รองประธานศูนย์สภาพัฒนาการเมืองพลเมืองพระปกเกล้าจังหวัดนราธิวาส , พร้อมด้วย พ.ท.ปรีชา รุ่งเมือง และ นายสุกรี มะดากะกุล กรรมการกองอำนวยการตัวแทนคณะขับเคลื่อนสันติสุขชายแดนใต้ และคณะกว่า10 ท่านต่างพร้อมใจเข้าพบครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บ ให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ยังมีเยาวชน 2 รายที่แพทย์ยังต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด คือ ด.ช.อัสมิน ดือเระ ชาว ต.ลุโบะสาวอ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ซึ่งได้รับบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดบริเวณกรามและคอ และ นส .นัชมีย์ ศรีมารักษ์ อายุ 15  ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดบริเวณใต้ราวนมขวา บาดแผลลึกและยังอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์อย่างต่อเนื่อง 

นส .นัชมีย์ ศรีมารักษ์ อายุ 15 กล่าวว่า ตอนนี้รู้สึกเสียใจมากและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ก็ยังอยู่ในความหวาดผวาอยู่ ขอบคุณทุกท่านที่มาให้กำลังใจและอีกเรื่องหนึ่งคือตนอยู่ระหว่างจะไปสมัครสอบเข้าเรียนชั้นม 4 ด้วยแต่ยังไม่ทันได้เข้าสมัครกังวลว่าจะได้เข้าโรงเรียนต่อหรือไม่ถึงฝากผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องช่วยดำเนินการเรื่องนี้ด้วยค่ะ

เหตุการณ์ลอบวางระเบิด ยังคงเกิดเหตุ อย่างต่อเนื่องกันทุกวันหลายฯหน่วยงานเกิดความวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวบ้าน และหลายๆฝ่ายออกมาเรียกร้องขอให้ยุติความรุนแรงโดยเร็วที่สุด เพราะมีผลประทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยมาก ขณะที่ภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมทั้งเดินหน้าดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ เพื่อเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ยังคงเผชิญความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง

‘กองทัพอากาศ’ ยกระดับความพร้อมเต็มขีดความสามารถ ดูแลถวายความปลอดภัย ‘ในหลวง-พระราชินี’ เตรียมเสด็จฯ เยือนภูฏาน

(24 เม.ย. 68) กองทัพอากาศดำเนินการเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้าย เพื่อสนับสนุนและถวายความปลอดภัยในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25 – 28 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยมีการจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างรอบด้าน เพื่อให้การเสด็จฯ เป็นไปอย่างเรียบร้อยและสมพระเกียรติ

เมื่อวันที่ 22 – 23 เมษายน พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังสนามบินนานาชาติพาโร ประเทศภูฏาน เพื่อสำรวจพื้นที่จริง ตรวจสอบความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสานงานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นด้านความปลอดภัยและการบิน

การเยือนในครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญในสายสัมพันธ์ระหว่างไทยและภูฏาน กองทัพอากาศจึงให้ความสำคัญสูงสุดในการดำเนินภารกิจ ทั้งในด้านการสนับสนุนทางเทคนิคและการถวายความปลอดภัย เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีและความพร้อมของกองทัพในการรับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างเต็มกำลัง

‘มาดามแป้ง’ ควัก 25 ล้านช่วย ส.บอล เคลียร์หนี้คดี ‘สยามสปอร์ต’ พร้อมมอบเพิ่มอีก 5 ล้าน ตั้งกองทุนลดภาระองค์กร

(23 เม.ย. 68) ที่อาคาร FA Thailand 'มาดามแป้ง' นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ แถลงความคืบหน้าหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาให้สมาคมฯ แพ้คดี บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ต้องชำระค่าเสียหายรวมกว่า 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย โดยมาดามแป้งได้บริจาคเงินส่วนตัวจำนวน 25 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้ก้อนแรก ตามคำพิพากษาศาล เป็นการแสดงเจตจำนงของสมาคมฯ ที่ต้องการปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างครบถ้วน และเพื่อให้การบังคับคดีเป็นไปด้วยความราบรื่น

นอกจากนี้ มาดามแป้งยังมอบเงินส่วนตัวเพิ่มเติมอีก 5 ล้านบาท จัดตั้งเป็น 'กองทุนเพื่อความโปร่งใส' สำหรับใช้จ่ายที่จำเป็นของสภากรรมการ โดยมีคณะกรรมการ 4 คนดูแลกองทุน ได้แก่ นายยุทธนา หยิมการุณ, นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล, ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา และคุณระวิดา ซอโสตถิกุล โดยมีเป้าหมายให้กองทุนนี้ช่วยลดภาระรายจ่ายสมาคมฯ ที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูทางการเงิน และสะท้อนความโปร่งใสในการบริหารงานของทีมบริหารชุดปัจจุบัน

เพื่อระดมทุนเพิ่มเติมสำหรับหนี้ก้อนที่เหลือ สมาคมฯ เตรียมจัดกิจกรรมหลายโครงการ เช่น การเปิดรอบพิเศษละครเวที 'อันธพาล 2499 The Musical' ซึ่งมาดามแป้งควักเงินส่วนตัวปิดรอบการแสดงวันที่ 29 พฤษภาคม ที่เมืองไทย รัชดาลัย เธียเตอร์ ตั้งเป้ารายได้ 30 ล้านบาท, การจำหน่ายเสื้อรุ่นพิเศษ 'คนไทยรักบอลไทย' ร่วมกับ Warrix ในช่วงฟีฟ่าเดย์เดือนมิถุนายน, การจัดแมตช์พิเศษ 4 ภาคทั่วประเทศ และเปิดรับบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชนที่รักฟุตบอลไทยทั่วประเทศ

ในส่วนของแนวทางเจรจา สมาคมฯ และบริษัท สยามสปอร์ต เตรียมหารือร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เพื่อหาข้อตกลงที่เป็นธรรมและนำไปสู่การชำระหนี้ที่เหลือโดยไม่กระทบต่อภารกิจหลักของสมาคมฯ ในการสนับสนุนและพัฒนาฟุตบอลไทยทุกระดับ

'รมว.ปุ๋ง' เผย สวธ.เตรียมยกการแสดงศิลปวัฒนธรรม 4 ภาค มาไว้ในงานใต้ร่มพระบารมี 243 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ 

ชมสายสัมพันธ์ชาติพันธุ์ล้านนา การแสดงทักษิณถิ่นหนังลุง และการแสดงโปงลาง สัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของการแสดงพื้นบ้านไทย ระหว่างวันที่ 24 - 26 เมษายน 2568 ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อร่วมสืบสาน และเผยแพร่เอกลักษณ์ความเป็นไทยจากภูมิปัญญาท้องถิ่นทุกภูมิภาคของประเทศ

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ด้วยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ผนึกกำลังภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม จัดงาน “ใต้ร่มพระบารมี 243 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ระหว่างวันที่ 23 - 27 เมษายน 2568 ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ชาติ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ครบรอบ 243 ปี ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้มีเป้าหมายเพี่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ผู้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีของไทย

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้ร่วมสนับสนุนการแสดงพื้นบ้านของไทยเพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของชาติ และส่งต่อความภาคภูมิใจในรากเหง้าวัฒนธรรมไทยสู่สาธารณชน จึงได้จัดการแสดงศิลปวัฒนธรรม (การแสดง 4 ภาค) ในงานใต้ร่มพระบารมี 243 ปี ในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนและจัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ 24 - 26 เมษายน 2568 โดยมีโดยมีหลากหลายกิจกรรมให้ร่วมรับชมอย่างงดงามตระการตา และสะท้อนจิตวิญญาณของความเป็นไทย อาทิ วันที่ 24 เมษายน 2568 จะได้พบกับการแสดงแสงเหนือล้านนา การแสดงข่วงศิลป์ถิ่นดอกเอื้อง การแสดงสืบศิลป์แผ่นดินทอง และการแสดงนาฎกรรมวิวัฒน์รัตนโกสินทร์ ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการแสดงดนตรีสากล ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร วันที่ 25 เมษายน 2568 จะได้พบกับการแสดงสายสัมพันธ์ชาติพันธุ์ในล้านนา การแสดงทักษิณถิ่นหนังลุง และการแสดงโปงลาง ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวันที่ 26 เมษายน 2568 จะได้พบกับการแสดงดนตรีลูกทุ่ง ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร  

ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนทุกท่านรับชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม (การแสดง 4 ภาค) สุดงดงาม ประทับใจ ในงานใต้ร่มพระบารมี 243 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมส่งเสริมวัฒนธรรม: www.culture.go.th หรือ Facebook กรมส่งเสริมวัฒนธรรม หรือ สายด่วนวัฒนธรรม 1765

เว็บพนัน 888 ปลด ‘สป.สายไหม’ พ้นพรีเซนเตอร์ หลังเจอวิจารณ์ร้อน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม

(23 เม.ย. 68) จากกรณีที่เพจ 'สป.สายไหม' โพสต์รูปคู่กับนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ นายกเบี้ยว พร้อมข้อความตำหนิถึงอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำตัวเป็นมาเฟีย สั่งตำรวจได้และชี้นำตำรวจ ทำตัวใหญ่กว่าศาลฯ 

ต่อมานายกัน จอมพลัง ได้โพสต์ตอบโต้ทันควัน ก่อนรวบรวมข้อมูลและหลักฐานการทำเว็บพนันจากเฟซบุ๊ก 'สป.สายไหม' เพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน isb888bet.com หรือไม่ โดยได้ส่งข้อมูลให้ตำรวจไซเบอร์ดำเนินการสอบสวน

ล่าสุดทางเว็บ 888 ได้ประกาศว่า เนื่องจากการก่อกวนจากผู้ไม่ประสงค์ดี บริษัทจึงขอแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยจะหยุดรับผู้เข้าเว็บไซต์ใหม่ชั่วคราว และขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยันว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีประเด็นเป็นเพียงผู้ที่ถูกจ้างมาโปรโมตเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ทางเว็บยังกล่าวว่า บริษัทไม่มีประวัติเสียแม้แต่บิลใบเสร็จเดียว และขอให้ติดตามข่าวสารจากทางบริษัทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากแถลงการณ์นี้เผยแพร่ออกไป ก็มีผู้คนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์มากมาย

ส่วนความเคลื่อนไหวของ สป.สายไหม หลังจากเคยให้สัมภาษณ์ในรายการโหนกระแสและอวดถึงอาชีพการพนัน รวมทั้งกล่าวถึงการเป็นขาใหญ่ในแดน 5 เรือนจำคลองเปรม ล่าสุดโพสต์ส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ด้วยข้อความกล่าวอำลาลูกรัก “คิดถึงนะลูกรัก เดี๋ยวพ่อกลับเข้าไปโรงเรียนเก่าก่อนเดี๋ยวกลับมาหานะครับ”

📣 วธ. ประกาศศักยภาพของอาหารหมักดองไทย ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล ผ่านโครงการ Thai Power Probiotics & Flavor of Thai Food.Health.Wellness 

🗓️ วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๘ 
⏰ เวลา ๑๐.๐๐ น. 

นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ Thai Power Probiotics & Flavor of Thai Food.Health.Wellness โดยมี นางปิยะวดี พงศ์ไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมส่งเสริมวัฒนธรรม พร้อมด้วย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร (NFI) นายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยฯ และเครือข่ายพันธมิตร เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์

นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี กล่าวว่า วันนี้นับเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้ ประกาศศักยภาพของอาหารหมักดองไทย ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล ผ่านโครงการ Thai Power Probiotics ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการส่งเสริม Soft Power ไทย โดยใช้ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณค่าของอาหารหมักดองไทยสู่ตลาดโลกกระทรวงวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับการนำ ภูมิปัญญาท้องถิ่น มาต่อยอดเพื่อสร้าง มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งใน Soft Power หลักของไทย อาหารไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่อาหาร แต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชน และเป็น ทุนวัฒนธรรมที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ได้อย่างมหาศาล

นางศศิฑอณร์ฯ กล่าวต่อว่า อาหารหมักดองไทย ถือเป็นอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น และมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันอาหารหมักดองที่อุดมไปด้วย
โพรไบโอติกส์ (Probiotics) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในระดับโลก โครงการนี้จึงมีเป้าหมายในการพัฒนาอาหารหมักดองของไทยให้สามารถก้าวสู่ตลาดโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยเฉพาะเมนู “ข้าวหมากไทย” เป็นอาหารที่ไม่ใช่แค่อร่อยแต่มีชีวิต“ เป็นหนึ่งใน Soft Power ที่สำคัญ เพราะสะท้อนทั้งวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญาการดูแลสุขภาพของคนไทยที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งปัจจุบันมีงานวิจัยหลายฉบับจากทั้งในและต่างประเทศที่แสดงให้เห็นว่า สุขภาพลำไส้ มีความสัมพันธ์กับ สุขภาพจิต หรือ Mental Health ได้อีกด้วย เราจึงเชื่อว่า “ข้าวหมากไทย” สามารถก้าวไปไกลกว่าที่เคย ในฐานะ Functional Food ที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมและศักยภาพทางสุขภาพที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของผู้คนยุคใหม่ นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรมยังให้ความสำคัญกับ บทบาทของชุมชน ในฐานะแกนหลักของการขับเคลื่อน Soft Power ไทยโครงการ Thai Power Probiotics จึงเป็นมากกว่าการส่งเสริมสินค้า แต่เป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน โดยผ่านการสนับสนุนให้ผู้ผลิตจากท้องถิ่นสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้ได้มาตรฐานระดับสากลและมีช่องทางในการเข้าสู่ตลาดโลก การดำเนินโครงการในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สถาบันอาหาร และพันธมิตรทุกภาคส่วน ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการทำให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางของ Gastronomy & Wellness Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงอาหารและสุขภาพ ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์สำคัญของโลก และสามารถช่วย ยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย ผ่าน Soft Power อย่างเป็นรูปธรรม

ภายในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ทุกท่านจะได้รับชมนิทรรศการ “Thai Power probiotics : Soft Power โพรไบโอติกไทยสู่ขุมพลังระดับโลก” และ Flavor of Thai Food.Health.Wellness : Grand Moment กับการท่องเที่ยวเชิงอาหารเพื่อสุขภาพ รับชมวีดิทัศน์ “Thai Power probiotics : Soft Power โพรไบโอติกไทยสู่ขุมพลังระดับโลก ต่อยอดการท่องเที่ยวเชิงอาหารเพื่อสุขภาพ Flavor of Thai Food.Health.Wellness รับฟังการเสวนาหัวข้อ “มิติใหม่ของ Thai Power probioticsและ Grand Moment ของการท่องเที่ยว
เชิงอาหารเพื่อสุขภาพ โดย นางสาวเยาวนิศ เต็งไตรรัตน์ ผู้อำนวยการกลุ่มสนับสนุนกิจการพิเศษ กองกิจการเครือข่ายทางวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

กล่าวถึงบทบาทของโครงการในการผลักดัน Soft Power ด้านวัฒนธรรม , คุณอาชวันต์ กงกะนันท์ รองผู้อำนวยการภูมิภาคภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแนวทางต่อยอดสู่เส้นทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบ Grand Moment  , คุณนุชจรินทร์ เกตุนิล ผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายนวัตกรรมอาหารสถาบันอาหาร (NFI) กล่าวถึงการพัฒนาโพรไบโอติกจากวัตถุดิบไทยสู่ผลิตภัณฑ์ระดับสากล , นาวาโทหญิง พญ.อรวรรณ กิจเชวงกุล และ นายแพทย์สมนึก ศิริพานทอง ให้ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์และสุขภาพของโพรไบโอติกที่ดีในอาหารหมักดองไทย โดยเฉพาะข้าวหมาก , เชฟไพศาล ชีวินศิริวัฒน์ กล่าวถึงบทบาทของอาหารหมักดองไทยในอุตสาหกรรมอาหารและ Fine Dining และคุณไอริณ  ทวีเกื้อกูลกิจ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม ชิมไทย กล่าวถึงการส่งเสริมสินค้าอาหารชุมชนผ่านการตลาดสร้างสรรค์ ร่วมกิจกรรม Mini Workshop เชฟไพศาล ชีวินศิริวัฒน์ นำเสนอเมนูต้นแบบและการรังสรรค์อย่างถูกวิธี และ Experience ภูมิปัญญาอาหารหมักดอง และกิจกรรม Grand Moment Tasting Experience ชิมเมนูอาหารหมักดองไทยระดับพรีเมียม ๖ เมนูพิเศษ จากเชฟเอ็กซ์ อรรถพล ไนโต ถังทอง ได้แก่ ลุยสวนดอกไม้ซอสข้าวหมากงาคั่ว เมี่ยงคำลูกกะปิผักกาดดอง พานาคอตต้าข้าวหมาก แซนวิชหมูทอดคัตสึ ซอสตาต้ามะแขว่นดองเกลือ อกไก่พันเบคอนซอสครีมสับปะรดไซเดอร์ แซลมอนซูชิสอดไส้หน่อกระวานดอง

กระทรวงวัฒนธรรมขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้โครงการ
Thai Power Probiotics & Flavor of Thai Food.Health.Wellness ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Thaipowerprobiotics

ลาก่อน ‘น้องหมีชมพู’ foodpanda ประกาศยุติกิจการในไทย หลังขาดทุน 5 ปีซ้อน ปิดฉาก 13 ปี มีผลวันที่ 23 พ.ค. 68

(23 เม.ย. 68) เพจอย่างเป็นทางการของ foodpanda ประเทศไทย ประกาศยุติการดำเนินธุรกิจในประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ถือเป็นการปิดตำนานผู้ให้บริการ Food Delivery ต่างชาติรายแรกที่เข้ามาทำตลาดในไทยตั้งแต่ปี 2555

ด้าน Delivery Hero บริษัทแม่จากเยอรมนี ชี้แจงว่า การยุติกิจการเป็นส่วนหนึ่งของการปรับกลยุทธ์ในภูมิภาค เพื่อมุ่งทรัพยากรไปยังตลาดที่มีศักยภาพสูงในเอเชียแปซิฟิก โดยก่อนหน้านี้ก็ได้ถอนตัวจากหลายประเทศ เช่น เดนมาร์ก และกานา มาแล้ว

แม้จะยุติให้บริการในไทย แต่ทีมงานระดับภูมิภาคในไทยจะยังคงปฏิบัติงานต่อไป

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัท เดลิเวอรี่ ฮีโร่ จำกัด ขาดทุนต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีรายได้แตะระดับหลายพันล้านบาท โดยในปี 2566 รายได้กว่า 3.8 พันล้านบาท แต่ยังขาดทุนถึง 522 ล้านบาท รวมขาดทุนสะสมตลอด 5 ปี (2562–2566) สูงถึง 13,359 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเป็นเหตุผลหลักที่นำไปสู่การยุติกิจการในครั้งนี้

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า Grab อาจอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการ foodpanda ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดมูลค่าดีลสูงถึง 1 พันล้านยูโร 

ทั้งนี้ อนาคตของตลาด Food Delivery ไทยยังต้องจับตา หลังผู้เล่นเริ่มทยอยถอนตัวจากการแข่งขันที่รุนแรง และต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

'พล.ต.อ.ธัชชัยฯ' จับมือ UNODC อัปเดตสถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงในภูมิภาคอาเซียน พร้อมหารือวิธีการแก้ไขปัญหา

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) และหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 เวลา 19.00 น. ได้รับเชิญไปอภิปรายในงาน Expert Panel on Scam Centers and Cybercrime in the Mekong Region ซึ่งจัดโดย UNODC โดยมีผู้แทนจากสถานทูต ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ และประชาชนที่สนใจ เข้าร่วมรับฟัง ณ Foreign Correspondents Club สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย อาคารมณียา ถ.เพลินจิต แขวงและเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่มักใช้พื้นที่ตามแนวชายแดนของไทยและประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานปฏิบัติการ โดยกลยุทธ์หลักที่ประเทศไทยนำมาใช้  มุ่งเน้นไปที่การทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่เอื้อต่อการก่ออาชญากรรมของแก๊งเหล่านี้คือ “ยุทธการระเบิดสะพานโจร” ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 
1. ระบบสัญญาณอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ (ซิม สาย เสา) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการติดต่อสื่อสารและดำเนินการหลอกลวงผู้เสียหาย 
2. บัญชีธนาคารและบัญชีสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางในการรับโอนเงินที่ได้จากการหลอกลวงและดำเนินการฟอกเงิน 
3. กลุ่มมิจฉาชีพ (สแกมเมอร์) ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เป็นผู้ปฏิบัติการหลักในการหลอกลวงผู้เสียหายโดยตรง การตัดทำลายรากฐานเหล่านี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อศักยภาพในการก่ออาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำให้การดำเนินการหลอกลวงเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในต่างประเทศ เนื่องจากลักษณะของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นองค์กรข้ามชาติ การทลายเครือข่ายและการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานในประเทศที่แก๊งเหล่านี้ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่

ในปีนี้ประเทศไทยได้แสดงบทบาทสำคัญในการร่วมมือและให้ความช่วยเหลือ ในกระบวนการส่งกลับผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเมียวดี ประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัจจุบันได้ดำเนินการส่งกลับชาวต่างชาติแล้ว 7,177 ราย จาก 33 ประเทศ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขอความร่วมมือไปยังประเทศต้นทางให้ทำการสัมภาษณ์และส่งมอบข้อมูล รวมถึงพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อให้สามารถนำไปขยายผลในการปราบปรามและดำเนินคดีกับองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ยังได้กล่าวถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นกับประเทศจีน , ญี่ปุ่น และกัมพูชา ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สำคัญในการจับกุมกลุ่มขบวนการ ทั้งในระดับหัวหน้าและสมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นจำนวนมาก และเชื่อมั่นว่าการประสานงานและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติอย่างยั่งยืน

ด้าน นายเบเนดิกต์ ฮอฟแมนน์ ผู้แทนภูมิภาค UNODC เปิดเผยว่า UNODC ได้ติดตามและวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวขององค์กรอาชญากรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และพบว่ามีการเติบโตอย่างรวดเร็วและขยายขอบเขตการปฏิบัติงานอย่างมาก ไม่เพียงแต่ขยายวงกว้างการหลอกลวงไปยังผู้เสียหายในหลากหลายภูมิภาคนอกเหนือทวีปเอเชีย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและจิตใจมากขึ้น และขยายพื้นที่ปฏิบัติการไปยังหลายประเทศทั่วโลกเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือองค์กรเหล่านี้ยังแตกแขนงไปก่ออาชญากรรมในรูปแบบอื่นๆ ที่มีความร้ายแรงมากยิ่งขึ้น เช่น การผลิตและค้ายาเสพติดให้กับเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคอื่นๆ

ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ในประเทศไนจีเรีย ซึ่งมีผู้ร่วมขบวนการเป็นชาวจีน , ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยมีกลุ่มอาชญากรชาวจีนซึ่งเดิมตั้งฐานอยู่ในภูมิภาคอาเซียนเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง UNODC ประเมินว่าปัจจุบันมีผู้ถูกหลอกลวงให้เข้าไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วกว่า 56 ประเทศทั่วโลก โดยมีแนวโน้มการขยายเป้าหมายไปยังประเทศที่ประชากรมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสได้ดี และในระยะหลังเริ่มปรากฏแนวโน้มการรับสมัครสแกมเมอร์ที่จากประเทศเกาหลีซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรที่รายได้สูง

สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ นายฮอฟมันน์ฯ ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนผู้ที่สมัครใจ ที่จะเข้าไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจที่ซับซ้อน นอกจากนี้ องค์กรอาชญากรรมเหล่านี้ยังเริ่มนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการหลอกลวงในรูปแบบที่ซับซ้อนและแนบเนียนยิ่งขึ้น เช่น การสร้างภาพและเสียงปลอมแปลง (Deepfake) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของกลุ่มอาชญากรเหล่านี้อย่างน่ากังวล

ผู้แทนภูมิภาค UNODC กล่าวว่า องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้มีความซับซ้อนและมีขนาดใหญ่มาก ส่งผลให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายอย่างยิ่งในการปราบปรามและดำเนินคดี อีกทั้งความพยายามในการกวาดล้างของรัฐบาลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในแต่ละประเทศ ยังนำไปสู่การปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบการกระทำความผิด การฟอกเงิน และการสรรหาแสกมเมอร์ ซึ่งอาจทำให้การปราบปรามยากลำบากยิ่งขึ้น

ด้าน นายจอห์น วอยชิค นักวิเคราะห์ประจำภูมิภาคของ UNODC ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิวัฒนาการของอาชญากรรม กล่าวถึงการปรากฏตัวของกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่ทำหน้าที่ในการฟอกเงินโดยเฉพาะ ซึ่งเปรียบเสมือน "สถาบันการเงินเถื่อน" ที่ให้บริการทางการเงินแก่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในภูมิภาคอาเซียน แต่ปัจจุบันได้ขยายขอบเขตการให้บริการไปยังภาคส่วนอาชญากรรมอื่นๆ เช่น การค้ายาเสพติด, กลุ่มแฮกเกอร์, กลุ่มค้าสื่อลามกอนาจารเด็ก และกลุ่มการค้ามนุษย์ ในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเครือข่ายอาชญากรรมที่เชื่อมโยงและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

นายวอยชิค ยังได้กล่าวถึงกรณีของ HuiOne Guarantee ซึ่งเป็นตลาดมืดออนไลน์ที่ซื้อขายสินค้าและบริการผิดกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์และบริการครบวงจรสำหรับการจัดตั้งและบริหารแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการขายข้อมูลส่วนบุคคล, ซอฟต์แวร์ และระบบที่ใช้ในการหลอกลวง นอกจากนี้ เพื่อป้องกันการถูกอายัดทรัพย์สินและหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย ยังมีการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตนเองชื่อ HuiOne Blockchain และ USDH เพื่อใช้เป็นช่องทางในการชำระเงินภายในแพลตฟอร์มอีกด้วย ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะการฟอกเงินในรูปแบบบริการ (Laundering as a Service) และอาชญากรรมในรูปแบบบริการ (Crime as a Service) นั้น เป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมให้เหล่าอาชญากรสามารถกระทำความผิดได้ง่ายขึ้น ในวงกว้างมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ทั้งนี้ นายฮอฟแมนน์ กล่าวเสริมย้ำถึงความรุนแรงของปัญหาว่า การขยายตัวอย่างรวดเร็วในแง่ของเงินทุน, โอกาสในการทำงานที่ล่อลวง, การเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการก่ออาชญากรรม และการพัฒนาระบบเครือข่ายที่เข้มแข็งมากขึ้น เป็นสิ่งที่ภูมิภาคอาเซียนไม่เคยเผชิญมาก่อน รัฐบาลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจึงจำเป็นต้องมีแนวทางการรับมือและแก้ไขปัญหารูปแบบใหม่ ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถติดตามและจัดการกับอาชญากรเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที และปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามที่ซับซ้อนและขยายวงกว้างนี้

ด้าน นางสาวเจนนิเฟอร์ โซห์ หัวหน้าฝ่ายการสืบสวนคดีอาชญากรรมไซเบอร์ บริษัท Group-IB ซึ่งประกอบธุรกิจด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เปิดเผยถึงกลโกง ภัยคุกคามไซเบอร์รูปแบบใหม่: "Android Malware Scam" ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่น่าจับตามอง และมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการก่ออาชญากรรมที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยกลโกงดังกล่าวเริ่มต้นจากการหลอกลวงให้ผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมลงบนโทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยแอปพลิเคชันปลอมเหล่านี้อาจเลียนแบบแอปพลิเคชันของหน่วยงานรัฐหรือบริษัทเอกชนต่างๆ ที่ผู้เสียหายคุ้นเคย เมื่อผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมแล้ว อาชญากรไซเบอร์จะสามารถเข้าควบคุมโทรศัพท์มือถือจากระยะไกล และทำการดูดข้อมูลสำคัญที่อยู่ในเครื่องของผู้เสียหายได้ สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ภายในแอปพลิเคชันปลอมเหล่านี้ อาจมีการหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งภาพวิดีโอใบหน้าของตนเอง โดยอ้างเหตุผลต่างๆ ซึ่งอาชญากรไซเบอร์จะนำภาพวิดีโอดังกล่าวไปใช้ในการ bypass ระบบสแกนใบหน้า (facial recognition) ของแอปพลิเคชันธนาคาร

ทางด้าน Group-IB พบว่า อาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีการ Camera Injection Tool ในการนำภาพวิดีโอใบหน้าที่ถ่ายไว้ล่วงหน้าของเจ้าของบัญชีธนาคาร อัปโหลดเข้าสู่ระบบการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าของธนาคาร ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย และทำการโจรกรรมเงินได้อย่างง่ายดาย ภัยคุกคามนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของอาชญากรไซเบอร์ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อโจมตีระบบความปลอดภัยทางการเงินบนโทรศัพท์มือถือโดยตรง ผู้ใช้งานจึงควรตระหนักถึงความเสี่ยงและเพิ่มความระมัดระวังในการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ บนโทรศัพท์มือถือมากยิ่งขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top