Thursday, 24 April 2025
NEWS FEED

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่สุคิริน เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบลร่มไทร กำชับปฏิบัติหน้าที่ด้วยสติ มุ่งบูรณาการดูแลประชาชนทุกมิติ

(20 เม.ย. 68) พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา เดินทางลงพื้นที่ฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองตำบลร่มไทร อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างใกล้ชิด

ในการนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้พบปะกับกำลังพล และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49, หัวหน้าส่วนราชการ, หัวหน้าชุดคุ้มครองตำบล รวมถึงสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ร่วมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

พลโท ไพศาล ได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ พร้อมเน้นย้ำว่า สถานการณ์ในพื้นที่ยังคงมีความพยายามจากผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ต้องการสร้างความปั่นป่วน และบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติงานด้วยสติ มีความรอบคอบ และไม่ประมาทอยู่เสมอ

แม่ทัพภาคที่ 4 ได้กล่าวชื่นชมในความเสียสละของกำลังพลที่ยังคงยืนหยัดทำหน้าที่อย่างเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง พร้อมทั้งย้ำถึงหัวใจสำคัญในการดูแลพื้นที่ คือ “การบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วน” ทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา และภาคประชาชน เพื่อรวมพลังสร้างความสงบสุขให้กับบ้านเกิดของตนอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ท่านแม่ทัพยังได้ร่วมพักแรมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะ เพื่อหาแนวทางรับมือสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ และในช่วงเช้าวันถัดมา ยังได้ร่วมเดินเท้าลาดตระเวนตรวจสภาพภูมิประเทศรอบฐานปฏิบัติการ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ดูแลช่องทางธรรมชาติอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ

ขณะเดียวกัน หนึ่งในสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนฯ ได้เปิดเผยความรู้สึกว่า มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการดูแลพี่น้องประชาชนในบ้านเกิดของตนเอง แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทาย แต่ยังคงมีกำลังใจดีจากครอบครัวและคนรอบข้าง พร้อมขับเคลื่อนการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อพาความสงบสุขกลับคืนสู่พื้นที่อย่างยั่งยืน

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

หลายคนเสียดายที่ชาติเรา ‘ไม่เก่งภาษาอังกฤษ’ เพราะเรา ‘ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม’ คุ้มไหม!! ต้องตกเป็น ‘ขี้ข้า’ เพื่อจะเก่งภาษาของชาติอื่น อยู่ใต้เงาของเขาตลอดไป

(19 เม.ย. 68) เพจ ‘Bangkok I Love You’ โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

มีคนบอกว่าเสียดายที่เราไม่เก่งอังกฤษเพราะเราไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่แอดจะบอกว่า หากประเทศไทยตกเป็นอาณานิคมตะวันตกวันนั้น วันนี้ เราคงถูกแบ่งแยกเป็นเหนือ กลาง ใต้ และอีสาน และคงไม่มีประเทศไทยที่มั่นคงเหมือนทุกวันนี้ คนที่พูดพร้อมจะแลกมั้ยล่ะ ???

หากประวัติศาสตร์เดินไปในเส้นทางที่แตกต่างออกไป และประเทศไทยต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เช่น อังกฤษหรือฝรั่งเศส ผลลัพธ์ในปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล หนึ่งในผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ การแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นหลายดินแดน เหมือนกับที่เกิดขึ้นในอินโดจีน พม่า หรืออินเดียในอดีต

1. นโยบาย 'แบ่งแยกและปกครอง' ของอาณานิคม
ประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมมักถูกแบ่งแยกออกเป็นเขตปกครองต่าง ๆ ตามเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม หรือภูมิศาสตร์ เพื่อให้อำนาจอาณานิคมสามารถควบคุมดินแดนได้ง่ายขึ้น อังกฤษและฝรั่งเศสใช้วิธีนี้กับอินเดีย พม่า เวียดนาม และลาว ซึ่งทำให้เกิดเส้นแบ่งที่ยังคงมีผลกระทบถึงปัจจุบัน

หากไทยตกเป็นอาณานิคม ก็อาจถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน เช่น

ภาคเหนือ อาจถูกควบคุมร่วมกับพม่า หรือกลายเป็นรัฐอิสระที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษ

ภาคอีสาน อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมฝรั่งเศสในอินโดจีน รวมเข้ากับลาว

ภาคกลาง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ อาจกลายเป็นศูนย์กลางของการปกครองอาณานิคม

ภาคใต้ อาจถูกผนวกเข้ากับมลายูภายใต้การปกครองของอังกฤษ

2. การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์
หากประเทศไทยถูกแบ่งออกเป็นหลายเขตปกครอง เอกลักษณ์ความเป็น 'ไทย' อาจไม่เป็นหนึ่งเดียวอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ภาษาที่ใช้ วัฒนธรรม และแม้แต่ศาสนาอาจมีความแตกต่างกันมากขึ้น บางพื้นที่อาจใช้ภาษาฝรั่งเศสหรืออังกฤษเป็นภาษาราชการแทนภาษาไทย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในเวียดนามและมาเลเซีย

นอกจากนี้ ศิลปะ วรรณกรรม และประเพณีของไทยก็อาจถูกแทรกแซงหรือกลายเป็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานกับอิทธิพลตะวันตกมากขึ้น อาจมีระบบการศึกษาแบบอังกฤษในภาคกลาง และระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศสในภาคอีสาน เป็นต้น

3. ผลกระทบต่อการรวมชาติเพื่อเอกราช
หากไทยถูกแบ่งเป็นหลายดินแดน การรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องเอกราชอาจเป็นเรื่องยากขึ้น เหมือนที่เกิดขึ้นในอินเดีย ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะรวมกันเป็นประเทศเดียว หรืออย่างพม่า ที่มีชนกลุ่มน้อยแยกตัวออกมาต่อต้านรัฐบาลกลางอยู่จนถึงปัจจุบัน

ภาคเหนืออาจมีขบวนการชาตินิยมของตนเอง ภาคใต้ก็อาจได้รับอิทธิพลจากมลายู และอาจมีความพยายามแยกตัวเป็นเอกราช ภาคอีสานอาจใกล้ชิดกับลาวมากขึ้น และกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอินโดจีนของฝรั่งเศส เหล่านี้ล้วนเป็นไปได้ หากไทยไม่สามารถรักษาอิสรภาพของตนเองไว้ได้

นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ยังแสดงให้เห็นว่า การแบ่งแยกดินแดนที่เกิดขึ้นจากอาณานิคมนำไปสู่สงครามกลางเมืองในหลายประเทศ เช่น:

อินเดียและปากีสถาน ที่เกิดการแบ่งแยกประเทศหลังได้รับเอกราช ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างศาสนาและเชื้อชาติ

เวียดนาม ที่ถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ก่อนจะเกิดสงครามเวียดนามที่ยืดเยื้อ

รวันดาและซูดาน ที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันเป็นผลมาจากนโยบายแบ่งแยกของอาณานิคม

พม่า ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ก่อความไม่สงบต่อรัฐบาลกลางจนถึงปัจจุบัน

4. ไทยอาจไม่มีอยู่ในแผนที่โลกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
การตกเป็นอาณานิคมอาจทำให้เส้นเขตแดนของประเทศไทยถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ประเทศไทยอาจไม่สามารถรวมตัวเป็นประเทศเดียวได้ แต่ถูกแบ่งออกเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจต่างชาติ เส้นแบ่งแยกนี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างภูมิภาคไปตลอด เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในบางประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมมาก่อน

การที่ไทยสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ในอดีต ทำให้เรายังเป็นประเทศที่มีอัตลักษณ์เป็นเอกภาพ ไม่ถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายดินแดนเหมือนอินโดจีนหรือพม่า หากไทยตกเป็นอาณานิคมวันนั้น วันนี้ เราอาจไม่มีคำว่า “ประเทศไทย” อยู่บนแผนที่โลก อาจกลายเป็นรัฐเล็ก ๆ หลายแห่งที่แตกต่างกันทางวัฒนธรรมและภาษา ความเป็นไทยที่เรารู้จักอาจไม่มีอยู่ หรืออาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายอัตลักษณ์ที่แยกจากกันไปตามการปกครองของอาณานิคม

5.สมบัติชาติและทรัพยากรจำนวนมหาศาลของเราจะถูกนำกลับไปยังประเทศเจ้าอาณานิคม เช่น พระแก้วมรกต อาจจะโชว์ในบริติชมิวเซียม หรือพระพุทธชินราช อาจจะถูกนำไปประดับพิพิธภัณฑ์ลูฟเป็นต้น

ดังนั้น ประวัติศาสตร์ที่เราเป็นอิสระ ไม่ใช่อาณานิคมของชาติตะวันตก จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ไทยสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ และยังสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้โดยไม่ต้องอยู่ใต้เงาของมหาอำนาจจากภายนอก
อ่านจบแล้วตอบอีกที พร้อมจะแลกไหม??

ปลุก!! คนไทย ให้ต่อต้าน การทุจริตคอร์รัปชัน เหมือนเอาใจใส่ ‘การรัก-เลิกกัน’ ของดารา

(19 เม.ย. 68) นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ระบุว่า …

ถ้าสังคมไทย นักจัดรายการดัง ๆ ทางโทรทัศน์ รวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ 
สนใจ เอาใส่ใจ ช่วยกันต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ของนักการเมือง ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ 

เหมือนกับการเอาใจใส่เรื่องการคบกัน หรือเลิกรักร้างรากันแล้ว ของเหล่าดารา ศิลปินทั้งหลาย ประเทศไทยต้องดีกว่า ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแน่นอน

‘ผู้สร้าง 2475’ ลั่น!! ต้องรับผิดชอบต่อคำพูด หลังศาลรับฟ้อง ‘ประชาไท’ หมิ่นประมาท

(19 เม.ย. 68) เพจ iLaw รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ศาลอาญามีคำสั่งรับฟ้องคดีที่บริษัท นาคราพิวัฒน์ จำกัด ผู้ผลิตแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution’ เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องเว็บไซต์ประชาไทและผู้แชร์ข่าว รวม 6 ราย ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1)

คดีดังกล่าวเกิดขึ้นจากโพสต์ของเพจประชาไท เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 ซึ่งระบุว่า “ผ่านไป 1 วัน ยอดวิวแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution’ ทะลุ 3 แสน ขณะที่เช็คผ่าน ACT AI พบเจ้าของแอนิเมชันรับโครงการทำสื่อแบบวิธีเฉพาะเจาะจง 11 สัญญา ระหว่าง 2563 ถึง 2565” โดยมีภาพประกอบสรุปประเด็นเดียวกัน

โจทย์เห็นว่าข้อความดังกล่าวอาจชี้นำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าแอนิเมชันเรื่องนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐในการผลิตโดยตรง ซึ่งไม่เป็นความจริง และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต

ภายหลัง iLaw เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับคำสั่งรับฟ้อง นาย วิวัธน์ จิโรจน์กุล เจ้าของบริษัท นาคราพิวัฒน์ จำกัด และเป็นหนึ่งในผู้เขียนบทของแอนิเมชัน ได้โพสต์ข้อความชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า

> “ก็ถ้าคนอ่านข่าวเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก แสดงว่าต้นทางข่าวทำให้เข้าใจผิดไงครับ… ควรถามประชาไทดูนะครับ ว่าตอนไต่สวนมูลฟ้อง พยานให้เหตุผลอะไร ทนายไปพูดแบบไหน ศาลจึงตัดสินใจรับฟ้อง คือมันมีมูลเหตุให้ ‘ศาลรับฟ้อง’ ไง... ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของหลักฐานที่จะนำสืบกันต่อไปครับ”

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า ประชาไทเคยนำเสนอเนื้อหาในประเด็นนี้แล้วเมื่อปลายเดือนมีนาคม หลังศาลมีคำสั่งรับฟ้อง และล่าสุดทาง iLaw ได้นำเสนอซ้ำในลักษณะที่ใกล้เคียงเดิม

ในช่วงท้ายของโพสต์ นายวิวัธน์ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก โดยระบุข้อความเต็มว่า

> **“เสรีภาพในการแสดงออกไม่ใช่ใบอนุญาตให้ทำร้ายใครโดยไม่ต้องรับผิดชอบ
การอ้างเสรีภาพเพื่อปกป้องการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่ว่าจะด้วยข้อมูลบิดเบือน คำพูดชี้นำ หรือการเผยแพร่โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของสิทธิขั้นพื้นฐานนี้

เสรีภาพนั้นมีคุณค่า เพราะอยู่ภายใต้กรอบของความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพราะใครอยากพูดอะไรก็พูดได้โดยไม่ต้องใส่ใจผลกระทบต่อผู้อื่น

ถึงเวลาแล้วที่สังคมควรแยกให้ออกระหว่าง ‘เสรีภาพ’ กับ ‘การละเมิด’ เพราะถ้าเราใช้สิทธิเพื่อกดทับสิทธิของคนอื่น สังคมที่ควรเปิดกว้าง ก็จะกลายเป็นพื้นที่แห่งความอยุติธรรมที่ถูกอ้างด้วยชื่อของประชาธิปไตย”**

ศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานในคดีนี้อีกครั้งในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาต่อไป

ไทยพาวิลเลี่ยน ‘ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ราชการ’ ชาวเน็ต ฟาด!! ผิดหวัง เทียบ ‘ชัยวุฒิ’ อดีต รมว.ดีอี ยุค ‘ลุงตู่’ ปั้นขึ้นอันดับ 4 ทะลุ 2.35 ล้านคน ที่ดูไบ

(19 เม.ย. 68) ‘World Expo’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘International Registered Exhibitions’ ถือเป็นงานเมกะอีเวนท์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ซึ่งทุกๆ ชาติจะมารวมตัวกัน และจัดแสดงความรู้ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม โดยเป็นเวทีระดับโลก ที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรัฐบาล บริษัท องค์กรระหว่างประเทศ และประชาชน ในการพยายามแสวงหาความรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อที่จะให้มนุษยชาติ มีการพัฒนาไปสู่ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น 

งานนี้จัดขึ้นครั้งแรกที่ลอนดอน เมื่อปี 1851 และก็ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ 5 ปี ซึ่งในปี 2020 นั้น มีการจัดขึ้นที่ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยใช้ชื่องานว่า ‘World Expo 2020 Dubai’ 

งานในครั้งนั้น ‘ประเทศไทย’ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 4 รองจากซาอุดิอาระเบีย ปากีสถาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (จากการเก็บข้อมูลสถิติของ Google Public) มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ หลั่งไหลกันเข้ามาเยี่ยมชม ‘บูธนิทรรศการของคนไทย’ ทะลุ 2.35 ล้านคน ได้รับคำชมจากทั่วโลก รวมทั้งได้รับรางวัล Honorable Mention ประเภท Editor's Choice Award จากนิตยสาร Exhibitor Magazine ที่ได้รับการยอมรับในแวดวงอุตสาหกรรมการจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ทั่วโลก งานในปี 2020 นั้น ได้จัดขึ้นโดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นแม่งาน ภายใต้นโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมทั้งการสนับสนุนจากหน่วยงานภาคเอกชน ในการจัดแสดงนวัตกรรมดิจิทัล เทคโนโลยีดิจิทัล สินค้าฝีมือคนไทย โดยนำเสนอศักยภาพในทุกมิติของประเทศไทย เน้นสร้างความเชื่อมั่นให้ นานาประเทศได้เห็นถึงความพร้อมด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล นวัตกรรมดิจิทัลของไทย รวมทั้งศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจดิจิทัล และผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย ในการเปลี่ยนผ่าน สู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation)

และเมื่อวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา งานนี้ก็ได้จัดขึ้นอีกครั้งในชื่อ ‘World Expo 2025 Osaka Kansai’ ที่ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ก็ได้มอบหมายให้ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบจัดงาน 

จากความสำเร็จที่ผ่านมา โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เป็นหัวเรือหลัก ย่อมส่งผลให้คนทั้งโลกคาดหวังกับประเทศไทย ในการจัดบูธนิทรรศการ 

แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ...

‘อาคารนิทรรศการไทย’ (Thailand Pavilion) ในพื้นที่ A13 โซน Connecting Lives ซึ่งปีนี้มาภายใต้ธีม ‘Thailand Empowering Lives For Greatest Happiness’ สร้างสรรค์ชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่ ในการจัดแสดงนิทรรศการ ‘วิมานไทย (VIMANA THAI)’ นำเสนออัตลักษณ์ความเป็นไทยผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่น และนวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากภูมิปัญญาไทยในแนวคิด ‘SMILE’

เมื่องานนิทรรศการได้เริ่มต้นขึ้น หลายคน ‘อึ้ง’

เพราะภาพที่ได้เห็น มันคืองานที่ ‘ต่ำกว่ามาตรฐาน’ หลายคนเริ่มตั้งคำถาม นี่คือ การใช้เงินงบประมาณของชาติ ‘เกือบพันล้านบาท’ แต่กลับได้เหมือนงานโอท็อป (OTOP) เป็น ‘ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ข้าราชการ’

โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘ดร.อัญชลิน พรรณนิภา’ ประธานกรรมการบริหาร และประธานบริษัท บริษัท TQM โพสต์วิพากษ์พาวิลเลียนไทยใน Expo 2025 ว่า …

Osaka Expo & Thai Pavillion
เมื่อวานได้เขียนถึง การไปเยี่ยมชมบูธของไทย ( พร้อมความผิดหวังอย่างแรง ) กับ เพื่อน ๆ ครอบครัว และ คนไทย ( ที่มีเสียงบ่น ) อีกมากมายว่า
….ทำได้แค่นี้เองหรือ ??
…เหมือนงาน นิทรรศการโรงเรียน
… หน่วยงานใดรับผิดชอบ ใครอนุมัติงบ 900 ล้านบาท 
##มีการตรวจสอบ การใช้เงิน ว่า รั่วไหลไหม ?? อย่าปล่อยให้ผ่านไป
…Theme งาน เป็น Future world, แต่เรา เล่าเรื่องในอดีต, ธรรมชาติ, อาหาร , สาธารณสุข. แทบทั้งหมด
ผิด Theme ไหม ??

นอกจากนี้ ก็ยังมีความคิดเห็นอื่นๆ อีก อาทิเช่น ในฐานะคนไทย รู้สึก เสียใจ และเสียดาย โอกาสอย่างมาก เพราะ งาน Expo เป็นงานระดับโลก มีคนจากทั่วโลก หลายสิบล้านมาเยี่ยมชม เป็นงานโชว์ศักยภาพของประเทศนั้นๆ ต่อหน้าชาวโลก นั่นหมายถึงว่า ถ้าทำได้ดี ทำถึง ( งบ 900 ล้านบาท ) คุ้มค่าเงินที่ลงไป จะเป็นหน้าตาของประเทศอย่างดียิ่ง เป็นการประชาสัมพันธ์ ดึงนักท่องเที่ยว นักลงทุน … เข้าประเทศ นำเงินเข้าประเทศ ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่เช่นนี้

แม้แต่ประเทศเล็ก ใน Africa, South America ..ที่ไม่มีงบ มีพื้นที่ ไม่กี่ ตารางเมตร แต่โชว์ความน่าสนใจ น่าไปเที่ยว มีคนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย

เดินออกจากงานอย่างท้อแท้ ผิดหวัง ก่อนทางออก เห็น ต้นกล้วยเหี่ยว ๆ ที่นำมาโชว์ ได้แต่ ถอนหายใจ

อย่าล็อคสเปค เพื่อผลประโยชน์!!

เขาจะจดจำ ภาพลักษณ์ของประเทศไทย ไปอีกนาน

ทางด้าน นายธนา เธียรอัจฉริยะ ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กบัญชีรายชื่อ Thana Thienachariya รีวิวงาน EXPO 2025 โอซาก้า แบบชาวบ้าน โดยใช้วลีเด็ดที่กำลังเป็นไวรัลในโซเชียลอยู่ในขณะนี้ คือ ‘ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ข้าราชการ’ โดยได้ระบุว่า …

ในพาวิลเลียนมีความสนุกและหลากหลายแบบไทย ๆ ที่มีมันตั้งแต่นวดไทย อาหารไทย ขายของไทย กางเกงช้าง ในตีม wellness ซึ่งเข้าใจว่ากระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพ ผมชอบว่ามันมั่ว ๆ หลากสีสันแบบไทยดี ดูมีชีวิตชีวา ที่ต้องชมคือน้องๆสตาฟที่ active และ friendly มาก ๆ เป็นตัวแทน hospitality แบบไทยได้ดีมากเลย

แต่ที่ให้คะแนน 2 เต็ม 10 คือห้องโถงหลักที่หลอกล่อผู้ชมชาวต่างชาติมาสักพักให้เข้ามาใจจดใจจ่อรอดูไฮไลต์ vdo presentation บนจอขนาดไม่ใหญ่นัก มีความ immersive ปนอยู่หน่อย ยืนรอดูกันหลายสิบคน

แต่สิ่งที่ฉายคืออีเหละเขละขละมาก ปนกันมั่วตั้งแต่หาดทราย wellness ภาพเก่ามั่ง ใหม่มั่ง เหมือนโหลดจากอินเทอร์เน็ต ไม่มีความสม่ำเสมอใดๆ เหมือนงานเกรด C ส่งคุณครูในคลาสทำ vdo 101 ปนๆไปกับเพลงคนไทยไม่เป็นไร สบายๆ และอะไรอีกไม่รู้จนจับใจความไม่ได้เลยว่าจะเล่าว่าอะไร อันนี้คือเสียดายเป็นที่สุด อุตส่าห์หลอกล่อผู้คนมาตั้งใจฟังได้เต็มห้อง

ที่ให้สองคะแนนคือมีน้อง ๆ สามคนออกมารำเซิ้งสนุก ๆ พยายามบิ๊วอารมณ์คนดูแบบสู้ตาย เห็นแล้วได้แต่เอาใจช่วยจริง ๆ

พอเดาได้ว่าคนอนุมัติ vdo ชุดนี้น่าจะเป็นข้าราชการระดับสูงที่มีแต่อำนาจแต่ไม่ได้เข้าใจ storytelling หรือบริบทใด ๆ ของงาน แต่เป็นคนเคาะว่าเอาแบบนี้แหละ มันครบดี มีอะไรใส่มันให้หมด ไม่ได้มีศิลปะ มีเทสต์อะไรใด ๆ เลย นึกถึงการที่ทำเอาเสร็จไม่ได้สำเร็จเหมือนกับชุดนักกีฬาโอลิมปิคไทยยังไงก็ไม่รู้

ทำให้เพื่อนผมทุกคนที่มางานสองวันแรกผิดหวังไปตามๆกัน เพราะคอนเท้นท์ชุดนี้แหละ แถมเดินออกมาซ้ำเติมด้วยบอร์ดเล่าเรื่องระดับงานมัธยมที่ไม่ได้มีอะไรเป็น story ที่ร้อยเรียงได้เลย เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ภรรยาผมสรุปได้ในประโยคเดียวบน FB ว่า “ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ข้าราชการ”

ตัดภาพมาที่ ทีมงานชาวไทย กระทั่งแม้แต่ น้อง Staff เจ้าหน้าที่ ก็ยังเอ่ยปาก ด้วยน้ำเสียงเบาๆ อายๆ เลยว่า “ผมก็ถูกหลอก ให้มาทำงานนี้ครับ”

งานนี้ ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง ที่จะนำมาโจมตีกันโดยไร้เหตุผล แต่เป็น ‘การติ เพื่อก่อ’ ตำหนิด้วยความรักประเทศไทยของเรา งานนี้ต้องจัดยาวไปถึงเดือนตุลาคม ‘ยังพอมีเวลา ให้ปรับปรุงแก้ไข’ 

อย่าให้อาย อย่าให้ขายหน้า!! ต้องสร้างความประทับใจ ให้คนชอบ ให้สมกับ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ตามนโยบายของ ‘รัฐบาลแพทองธาร’

'ทนายเดชา' เผย 'ฎีกา' ชี้ เปลี่ยนเลนกระชั้นชิด ผู้ชนท้ายไม่ผิด

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 68) ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ได้โพสต์ไว้ในเพจ ‘ทนายคลายทุกข์’ โดยมีใจความว่า

ขับรถเปลี่ยนช่องทางกระชั้นชิด รถคันหลังขับมาชน ผู้ขับชนไม่มีความผิด 
อ้างอิงจาก ฎีกาที่ 3088/2527 พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 52 วรรคแรก และมาตรา 36

เชียงราย- 'ตม.เชียงราย' รับคนไทยจากท่าขี้เหล็ก เมียนมา กลับบ้าน สุดท้ายพบมีหมายจับสองคดีสำคัญ 2 ราย

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.68) ที่ผ่านมาโดยการอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.สราวุธ คนใหญ่ ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5  มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย , พ.ต.ท.หญิง ธาราทิพย์ จำรัส รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย , พ.ต.ท.ตุลย์วรรษ ณรงค์ศักดิ์,พ.ต.ท.วิชัย ปันนา,พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ ชูชื่น สว.ตม.จว.เชียงราย ร่วมกันรับตัวบุคคลสัญชาติไทย พ้นโทษตามคำพิพากษาศาลประเทศเมียนมา จากเจ้าหน้าที่ ตม.จว.ท่าขี้เหล็ก จำนวน 3 ราย โดยจากการตรวจสอบในระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ระบบสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(POLIS) ระบบสารสนเทศสถานีตำรวจ(CRIMES) และระบบศูนย์ข้อมูลอาชญากรรม(PDC) ทราบชื่อ

1. นายธีรายุทธ (นามสมมุติ) อายุ 28 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีและใช้มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุอันสมควรโดยไม่ได้รับอนุญาต ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้านหรือชุมชน

2. นายณัฐนนท์ (นามสมมุติ) อายุ 26 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ในความผิดฐาน โดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร, พาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารแม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม, กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

3.นาย นพดล (นามสมมุติ)อายุ 26 ปี สัญชาติไทย ไม่มีหมายจับแต่อย่างใด จากนั้น เจ้าหน้าที่งานสืบสวนปราบปราม และงานตรวจบุคคลและพาหนะ ตม.จว.เชียงราย ได้ร่วมกันนำตัวบุคคลสัญชาติไทยทั้ง 3 ราย เข้าสู่ขั้นตอนพิธีการคนเข้าเมือง ณ จุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 อ.แม่สาย จว.เชียงราย  

จากนั้นเจ้าหน้าที่งานสืบสวนจึงได้นำตัวบุคคลที่มีหมายจับมาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

‘พี่ตุ๋ย พีระพันธุ์’ ให้สัมภาษณ์!! กลุ่มนักศึกษา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ส่งเสริมการเรียนรู้ของเยาวชน ในวิชา ‘พรรคการเมือง-การเลือกตั้ง-รณรงค์หาเสียง’

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 68) พี่ตุ๋ย-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์กลุ่มนักศึกษา ชั้นปีที่ 2 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เพื่อประกอบการเรียนวิชาระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง และวิชาการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง ที่ทำเนียบรัฐบาล บรรยากาศเป็นกันเอง สร้างความประทับใจให้น้องๆ นักศึกษาเป็นอย่างมาก

ผบ.ตร.ขอบคุณตำรวจทั่วประเทศดูแลความปลอดภัยและการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์ ภาพรวมเป็นไปด้วยดี อุบัติเหตุลดลงตามเป้า ฝากบ้าน 4.0 เกือบ 8,000 หลัง ปลอดภัย 100%

เมื่อวันที่ (18 เม.ย.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ในการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ได้กำหนดมาตราการเข้มข้นให้ตำรวจทั่วประเทศปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งขอขอบคุณตำรวจทุกนายทั่วประเทศ ที่ร่วมแรงร่วมใจปฏิบัติหน้าที่ ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาอย่างเต็มกำลัง ทำให้ผลการปฏิบัติในภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ

ทั้งนี้ ภาพรวมการดูแลอำนวยความสะดวกการจราจรในช่วงเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 11-17 เมษายน 2568 รวม 7 วัน พบว่ามีปริมาณรถออกจากกรุงเทพมหานคร จำนวน 3,380,229 คัน และปริมาณรถขาเข้ากรุงเทพมหานคร จำนวน 3,457,533 คัน สำหรับสถิติการเกิดอุบัติเหตุสะสม รวม 1,538 ครั้ง ลดลงจากปี 2567 คิดเป็น 24.78% และลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง 25.12% , บาดเจ็บสะสม 1,495 คน ลดลงจากปี 2567 คิดเป็น 27.43% และลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง 26.89 % , เสียชีวิตสะสม 253 ราย ลดลงจากปี 2567 คิดเป็น 11.85% และลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง 8.33 % ถือว่าสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ และการเสียชีวิต ลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังอย่างน้อย 5%

ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลักด้านความปลอดภัยทางถนน วันที่ 11-17 เมษายน 2568 รวมทั้งสิ้น 609,887 ราย โดยข้อหาสำคัญ ได้แก่ ขับรถในขณะเมาสุรา 21,299 ราย , ขับรถเร็ว 164,036 ราย , ไม่สวมหมวกนิรภัย 141,992 ราย , ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย 32,616 ราย และขับรถย้อนศร 14,538 ราย 

การตั้งจุดตรวจจุดสกัด จำนวน 1,697 แห่ง แบ่งเป็น จุดตรวจกวดขันวินัยจราจรทั่วประเทศ 1,226 จุด , จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ 471 จุด จับกุมผู้กระทำผิด 137,268 ราย จำนวนรถที่เรียกตรวจ ณ จุดตรวจ รวม 658,607 คัน พบการกระทำความผิดรวม 137,268 คัน คิดเป็น 20.84%

ในส่วนของการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และการดูแลความปลอดภัยการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สร้างความประทับใจให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมงานได้เป็นอย่างดี สำหรับโครงการ “ตำรวจร่วมใจ ยกระดับความปลอดภัยบ้านประชาชน” หรือ ฝากบ้าน 4.0 มีพี่น้องประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการ 7,931 หลัง ส่งคืนไปแล้ว 5,988 หลัง คงเหลือ 1,943 หลัง โดยทุกหลังมีความปลอดภัย 100% 

ผบ.ตร.กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ที่ประสบความสำเร็จด้วยดีในครั้งนี้ ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากใครคนใดคนหนึ่งเพียงลำพัง แต่เป็นเพราะข้าราชการตำรวจทุกคนช่วยกันทำหน้าที่ของตน ด้วยความทุ่มเท เสียสละ อย่างเต็มกำลังความสามารถ จึงขอขอบคุณและให้กำลังใจตำรวจทุกนาย พร้อมขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า ตำรวจจะดูแลประชาชนทุกคนทุกโอกาสอย่างเต็มที่ต่อไป

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอบคุณประชาชนร่วมเป็น 'ตาจราจร' พร้อมแนะผู้ขับขี่เคารพกฎกรณีเส้นแบ่งช่องจราจร เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

เมื่อวันที่ (18 เม.ย.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวแสดงความขอบคุณประชาชนที่ร่วมส่งคลิปจากกล้องหน้ารถ หรือโพสต์เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบรวมข้อมูลและลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องถนนได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะกรณีเหตุการณ์ที่มีการพูดถึงในสังคม ซึ่งอยู่ในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาในทุกประเด็น โดยคลิปต่างๆ ที่ประชาชนร่วมส่งมาถือเป็นพลังสำคัญที่ช่วยกันเป็น 'ตาจราจร'ให้กับสังคม เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งสะท้อนถึงจิตสำนึกความรับผิดชอบร่วมกันในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ คณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจรฯ ขอประชาสัมพันธ์เกร็ดความรู้ข้อกฎหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ทาง ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 กรณีเส้นแบ่งช่องจราจร (Lane Lines) โดยเป็นเส้นสีขาว มีทั้งลักษณะเป็นเส้นประหรือเส้นทึบ ใช้สำหรับแบ่งช่องจราจรที่เดินรถไปในทางเดียวกันตั้งแต่ 2 ช่องขึ้นไป ดังนี้

1. เส้นแบ่งช่องเดินรถ คือ เส้นประสีขาว ที่ใช้แบ่งช่องเดินรถทางเดียวกันตั้งแต่ 2 ช่องขึ้นไป ซึ่งสามารถเปลี่ยนช่องจราจรได้เมื่อปลอดภัย และเมื่อผู้ขับขี่จะเลี้ยวรถ เปลี่ยนช่องทางเดินรถ หรือแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณไฟเลี้ยว ในทิศทางที่จะเลี้ยว เปลี่ยนช่องทางเดินรถ หรือแซงขึ้นหน้า 

2. เส้นห้ามเปลี่ยนช่องเดินรถ คือ เส้นทึบสีขาว ที่ห้ามไม่ให้ผู้ขับรถเปลี่ยนช่องจราจร ต้องขับรถอยู่ภายในช่องเท่านั้น เมื่อสิ้นสุดเส้นห้ามเปลี่ยน ให้ปฏิบัติตามเส้นแบ่งช่องเดินรถปกติ

ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังเดินหน้า “โครงการอาสาตาจราจร” ซึ่งดำเนินการมาแล้วต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยร่วมมือกับภาคีเครือข่าย อาทิ มูลนิธิเมาไม่ขับ , บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , สถานีวิทยุ สวพ.91 และสถานีวิทยุ จส.100 ขอเชิญชวนประชาชนร่วมส่งคลิปเหตุการณ์การกระทำผิดกฎจราจร หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนน มายังช่องทางของโครงการฯ ได้แก่ เพจอาสาตาจราจร , เพจตำรวจทางหลวง , เพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ , สวพ.91 และ จส.100 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินคดี หรือเผยแพร่เป็นอุทาหรณ์เชิงป้องกัน ซึ่งคลิปที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับทั้งเงินรางวัลและใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยกย่องในฐานะพลเมืองดีที่มีส่วนร่วมในการส่งเสริมความปลอดภัยทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม

“ทุกสายตาบนท้องถนน คือพลังในการป้องกันอุบัติเหตุและสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่เคารพกติกา เราขอขอบคุณทุกความร่วมมือที่เกิดขึ้น และพร้อมเดินหน้าสร้างสังคมจราจรที่ปลอดภัยร่วมกับประชาชนทุกคน” พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top