Monday, 9 June 2025
NEWS FEED

สมุทรปราการ-ลพบุรี ส่งเสริมการตลาดเปิดงาน 'ลพบุรี MARKET FEST เทศกาลของดี ของเด็ดจังหวัดลพบุรี'  

                    

เมื่อวันที่ (29 พ.ค.68) นายประยูร ศิริวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ภายใต้โครงการส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรปลอดภัย และการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ กิจกรรม ส่งเสริมการตลาดและเชื่อมโยงการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ และอาหารปลอดภัยนอกพื้นที่จังหวัดลพบุรี โครงการตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัดลพบุรี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 

ภายใต้ชื่องาน 'ลพบุรี MARKET FEST เทศกาลของดี ของเด็ดจังหวัดลพบุรี' โดยมี นางสาวกษมา สุทธวิชัย พาณิชย์จังหวัดลพบุรี พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ คุณโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน ณ Big Zone ชั้น 1 ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดยจังหวัดลพบุรี โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดลพบุรี ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริม ด้านการตลาด ขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของจังหวัด 

กำหนดจัดกิจกรรมงานแสดงและจำหน่ายสินค้าและการเจรจาธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจการค้าของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน เกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตร เกษตรปลอดภัย สินค้า OTOP/SMEs ตลอดจนผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องของจังหวัดลพบุรี ได้รับการ สนับสนุนส่งเสริมด้านการตลาดในการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง การจัดงาน 'ลพบุรี MARKET FEST : เทศกาลของดี ของเด็ดจังหวัดลพบุรี' จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2568 ณ Big Zone ชั้น 1 ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

เพื่อให้ผู้ผลิตผู้ประกอบการสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์และอาหารปลอดภัยของจังหวัดลพบุรี มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้สินค้าดี สินค้าเด่นของจังหวัดลพบุรี ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ภายในงานได้มีการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์และอาหารปลอดภัย สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สินค้า OTOP/SMEs ของผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชม กลุ่มสมาชิก MOC BIZ CLUB เข้าร่วมแสดงและจำหน่ายสินค้า รวมทั้งสิ้น 50 คูหา
​นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมเจรจาธุรกิจ เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมถึงกิจกรรมพิเศษอื่นๆ เช่น กิจกรรมนาทีทองที่ทุกท่านจะสามารถซื้อสินค้าภายในงานได้ในราคาถูก , กิจกรรมจับสลากลุ้นรางวัลทุกวัน รวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท ตลอดการจัดงาน และในทุกวัน เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง อาทิ ​29 พฤษภาคม 2568 พบกับ ก้านตอง ทุ่งเงิน​​ 30 พฤษภาคม 2568 พบกับ ก๊อต สุทธิรักษ์ 31 พฤษภาคม 2568 พบกับ ดอกแค ท็อปไลน์ 1 มิถุนายน 2568 พบกับ ญาณิ ท็อปไลน์ 2 มิถุนายน 2568 พบกับ ไอฟ์ ไหทองคำ

และนอกจากนี้ วันที่ 29 และ 31 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.45 น. จะได้พบกับการรังสรรค์เมนูใหม่ จากของดีเมืองลพบุรี โดย chef owner @chunk’s เชฟบูม กันต์ยรัตน์ เพียรพอดีตน ให้ทุกท่านได้ลิ้มรสความอร่อยผู้สนใจสามารถเข้าร่วมชมงานได้ฟรี ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2568 ณ Big Zone ชั้น 1 ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

‘ฮุน เซน’ ลั่นอาวุธพร้อม...รอสอยเครื่องบินรบไทย มั่นใจระบบป้องกันภัย KS-1C ยิงไกล 70 กม.

(29 พ.ค. 68) ภายหลังจากเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี วานนี้ (28 พ.ค.) ล่าสุด สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์สื่อยืนยันว่า กัมพูชามีระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมยิงตอบโต้เครื่องบินรบหากถูกคุกคาม โดยระบุว่าสามารถสกัดเป้าหมายได้ในระยะหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งเพียงพอต่อการป้องกันประเทศ

ปัจจุบัน กัมพูชาได้รับมอบระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ Kaishan-1C (KS-1C) จากรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นระบบพื้นสู่อากาศระยะกลางที่มีระยะยิงไกลสุด 70 กิโลเมตร และเพดานยิงสูงสุด 27 กิโลเมตร โดยเป็นหนึ่งในระบบที่สมเด็จฮุน เซนกล่าวถึงในการยืนยันศักยภาพของประเทศด้านการป้องกันภัยทางอากาศ

คำแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเพจ “กองทัพอากาศไทย” เผยแพร่ภาพการฝึกยุทธวิธีของฝูงบิน 211 จากกองบิน 21 อุบลราชธานี ซึ่งจำลองการรบทางอากาศและการโจมตีเป้าหมายภาคพื้น เพื่อเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงและปกป้องอธิปไตยของชาติหากเกิดเหตุจำเป็น

'อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์' เกรงกระทบความน่าเชื่อถือของประเทศ แนะนายกฯ.แก้ไขคำแถลงงบฯ.69 ผิดพลาด ประเด็นตั้งเป้าดัชนีรับรู้ทุจริตเกินจริง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.และอดีตกรรมาธิการงบประมาณแสดงความเห็นวันนี้เกี่ยวกับคำแถลงประกอบงบประมาณของนายกรัฐมนตรีที่แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า มีประเด็นที่น่าจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI)เกินจริงโดยปรากฏทั้งในคำแถลงและเอกสารประกอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี รัฐบาลและประเทศไทย กล่าวคือนายกรัฐมนตรีแถลงในช่วงยุทธศาสตร์ที่ 6 ว่า

“…แนวทางในการป้องกันการทุจริตของหน่วยงานภาครัฐ โดยมีเป้าหมายค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตอยู่ในอันดับ 1 ใน 45 และ/หรือ ได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 56
คะแนน…”

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า การแถลงตั้งเป้าหมายดังกล่าวภายใน1ปีงบประมาณ2569 เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกับการแถลงว่าจะทำให้ประเทศไทยและคนไทยหมดหนี้สินภายใน 1 ปี

“รายงานดัชนีการรับรู้การ ทุจริต (CPI)ขององค์กรเพื่อความ โปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ประจำปี 2567 ล่าสุด ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลกจาก 180 ประเทศโดยได้คะแนน34คะแนนถือเป็นคะแนนต่ำสุดในรอบ 13ปี (ปี2555-2567) 

ซึ่งดัชนีรับรู้การทุจริตตั้งแต่ปี 2555 ถึงปี2567พบว่าคะแนนและอันดับลดลงต่อเนื่อง กล่าวคือในปี2555ได้คะแนน37อันดับ88ของโลก ปี2567 ได้คะแนน 34 อันดับ 107 โดยมีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของโลกมาโดยตลอด

“สถาบันเอฟเคไอไอ.และเครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่นเพิ่งเปิดตัว”คอรัปชั่น ฟ้องดู“ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีปราบโกงภายใต้โครงการใยแมงมุมเมื่อวานนี้ควรจะดีใจกับเป้าหมายในคำแถลงของนายกรัฐมนตรีแต่ในทางกลับกันกลับรู้สึกว่า การประกาศเป้าหมายเกินจริงสะท้อนความไม่ใส่ใจและไม่เข้าใจในสถานการณ์คอรัปชั่นของประเทศ

ทั้งนี้ดัชนีนี้เป็นที่รับรู้ทั่วโลกและทราบกันดีว่าประเทศไทยมีดัชนีชี้วัดอยู่ในลำดับใดได้คะแนนเท่าไหร่ เมื่อกำหนดเป้าหมายจะขยับจากอันดับ 107 มาเป็น อันดับไม่ต่ำกว่า 45 และหรือต้องได้คะแนนจาก 34 คะแนนเป็น 56 คะแนนภายในปีงบประมาณ2569 จึงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แม้เครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่นอยากให้เกิดขึ้นจริงก็ตาม 

ซึ่งการแถลงในสภาผู้แทนฯ.จะเป็นบันทึกเป็นทางการ จึงควรที่นายกรัฐมนตรีจะขอแก้ไขคำแถลงที่ผิดพลาดดังกล่าวโดยเร็ว“อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. ติดตามเหตุกลุ่มวัยรุ่นบุกรุกทำร้ายนักท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมมอบนโยบาย 4 แนวทางปฏิบัติ กวาดล้างอาชญากร และผู้ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย

(29 พ.ค.68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมพิเศษตามนโยบายเร่งด่วน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศนรด.ตร.) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ราชการ และติดตามความคืบหน้าเหตุกลุ่มวัยรุ่นบุกรุกทำร้ายนักท่องเที่ยวในสถานบริการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) , พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.นฤนาท พุทไธสง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา , กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมนันทโชติ ตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พล.ต.อ.อัคราเดชฯ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้มาช่วยดูแลและเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยวันนี้ได้มาประชุมร่วมกันเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี กรณีวันที่ 18 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 23.30 น. มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 14 ราย ในคราวแรก และตรวจสอบเพิ่มเติมอีก 1 ราย รวมเป็น 15 ราย ได้กระทำความผิดฝ่าฝืนกฎหมาย ใช้กำลังเข้าไปทำร้ายและพยายามปล้นทรัพย์ ข่มขู่ กระทำการผิดกฎหมายหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสอบสวนขยายผล รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับทั้งหมดจำนวน 13 หมาย ส่วนอีก 2 รายอยู่ในขั้นตอนที่จะมีการออกหมายเรียก ซึ่งล่าสุดผู้ต้องหาจำนวน 12 ราย ได้เข้ามามอบตัวกับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนปากคำที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา ในขั้นตอนต่อไปได้จะนำตัวไปฝากขัง สำหรับการดำเนินคดีถือว่าคืบหน้าไปมาถึง 80% แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังคงต้องมีมาตรการต่อไปในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน ว่าจะต้องอยู่ดีมีสุข และมีความมั่นใจในความปลอดภัย 

นอกจากนี้ พล.ต.อ.อัคราเดชฯ กล่าวว่า สิ่งที่ได้กำหนดแนวทางในที่ประชุม ที่จะต้องดำเนินการต่อไปมี 4 แนวทาง คือ

1. เตรียมเปิดปฏิบัติการ “ปิดเมืองไล่ล่า อยุธยาต้องผาสุก” โดยจะมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง จะมีการปิดเมืองปิดล้อมตรวจค้น จับกุมตัวมาดำเนินคดี อย่างเต็มกำลังความสามารถ

2. การรุกเข้าหาเป้าหมายเพื่อทำลายเครือข่ายต่างๆ เพื่อไม่ให้มีการขยายเครือข่าย หยุดยังไม่ให้มีการเอาเยี่ยงอย่าง

3. เร่งดำเนินการเรื่องคดีค้างเก่าที่มีหมายจับในคดีสำคัญในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่เกี่ยวข้องกับความผิดมูลฐาน 17 ด้าน ในเรื่องของผู้มีอิทธิพล และความผิดคดีพิเศษ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน

4. การจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจลงไปพบปะพี่น้องประชาชนเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะไปรับฟัง รับรู้ถึงปัญหา สิ่งต่างๆ ที่ประชาชนรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ เพื่อจะได้เก็บข้อมูลข่าวสารต่างๆ ซึ่งในส่วนนี้เจ้าหน้าที่จะเก็บเป็นความลับ เพื่อจะนำมาขยายผลต่อยอดและวางแผนในการปฏิบัติต่อไป

NETA โต้ลือหนีตลาดไทย หลังผู้บริหารโยกตำแหน่ง ย้ำมุ่งมั่นขยายธุรกิจ ไม่ทิ้งลูกค้า พร้อมเดินหน้าธุรกิจต่อ

(29 พ.ค. 68) NETA ออโต้ (ไทยแลนด์) ออกแถลงการณ์ยืนยันยังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำไม่ทิ้งลูกค้าไทย ท่ามกลางกระแสข่าวลือบนโซเชียลเกี่ยวกับการถอนตัวของผู้บริหารชาวจีนและความไม่ชัดเจนของโครงสร้างบริษัท 

บริษัทชี้แจงว่าการเปลี่ยนชื่อกรรมการเป็นคนไทยในหนังสือรับรองอยู่ระหว่างการแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ โดยมีตัวแทนจากสำนักงานใหญ่ประเทศจีนร่วมดำรงตำแหน่งใน NETA Thailand และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 12 มิ.ย. 2568

ส่วนกรณีผู้บริหารชาวจีน นายซูน เปาหลง ได้รับตำแหน่งใหม่ระดับภูมิภาคในฐานะหัวหน้าธุรกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงดูแลตลาดไทยควบคู่ไปด้วย ขณะที่ประเด็นการเปลี่ยนแปลงชื่อกรรมการและสัญญาเช่าออฟฟิศที่ RSU Tower บริษัทระบุว่ามีการต่อสัญญาเรียบร้อยแล้ว

NETA ย้ำว่าข่าวลือเรื่องการปิดกิจการไม่เป็นความจริง พร้อมยืนยันเดินหน้าพัฒนาบริการหลังการขาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าชาวไทยต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 2 เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย 'AI Police' ชลบุรีนำร่องอบรมต่อเนื่อง ครอบคลุมตำรวจทุกสายงาน พัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์ยุคใหม่ ใกล้ชิดประชาชน

ตำรวจภูธรภาค 2 สานต่อนโยบาย 'AI Police' ของ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เดินหน้าพัฒนาและขับเคลื่อนศักยภาพตำรวจทุกจังหวัดในสังกัดก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยมี ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดนำร่อง จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “การสร้างสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อตำรวจยุคใหม่ด้วย AI” ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ขยายผลครอบคลุมเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสายงานในสังกัด รวมกว่า 150 นาย สร้าง 'ตำรวจ AI' ที่พร้อมใช้เทคโนโลยีเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและการสื่อสารกับประชาชนอย่างทันสมัย โปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้กับองค์กร

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การสร้างสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อตำรวจยุคใหม่ด้วย AI” เป็นครั้งที่ 2 ภายใต้นโยบายสำคัญของ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 ที่มุ่งเน้นให้ตำรวจทุกจังหวัดในสังกัดพัฒนาเทคโนโลยี AI มาใช้ในการปฏิบัติงาน โดยครั้งนี้ได้ขยายขอบเขตการฝึกอบรมให้ครอบคลุมเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสายงาน ทั้งฝ่ายป้องกันปราบปราม สืบสวน สอบสวน จราจร งานธุรการ-อำนวยการ ตลอดจนงานประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ข่าวสาร ตอกย้ำความพร้อมของชลบุรีในฐานะจังหวัดต้นแบบของภาค 2

พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI มากยิ่งขึ้น สามารถนำไปใช้ลดขั้นตอน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกด้าน และยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านโซเชียลมีเดียในรูปแบบที่ทันสมัย ตอบโจทย์การสื่อสารยุคใหม่ พร้อมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและใกล้ชิดประชาชนยิ่งขึ้น

พล.ต.ท.ยิ่งยศ ผบช.ภ.2 เน้นย้ำว่า AI คือเครื่องมือที่ตำรวจยุคใหม่ต้องรู้จักใช้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกหน้างาน ไม่ว่าจะเป็นงานสืบสวน สอบสวน ป้องกันปราบปราม งานจราจร งานธุรการ-อำนวยการ รวมถึงงานประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ข่าวสารให้ประชาชนรับทราบ เพื่อยกระดับการปฏิบัติงานให้รวดเร็ว ทันสมัย และโปร่งใส พร้อมย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดของงานตำรวจคือ ความจริงใจ ความรับผิดชอบต่อสังคม การยึดหลักกฎหมาย และจริยธรรม ในการสื่อสารและปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่เทคโนโลยีอย่าง AI ยังไม่สามารถทดแทนได้

“เราต้องใช้ AI เป็นเครื่องมือ แต่หัวใจคืองานตำรวจที่รับผิดชอบต่อประชาชน” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

การอบรมต่อเนื่องในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของตำรวจภูธรภาค 2 ในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่อนาคต สร้างตำรวจยุคใหม่ที่พร้อมตอบสนองความต้องการของประชาชน เปิดกว้างให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของตำรวจอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และสร้างความมั่นใจในบทบาทของตำรวจไทยยุคดิจิทัล พร้อมเตรียมขยายผลความสำเร็จนี้ไปยังทุกจังหวัด ในสังกัดต่อไป

‘อาร์ต พศุตม์’ ยังไม่จบง่าย ๆ ฝากถึงทักษิณ - นายกฯ อิงค์ บอกคนอย่างหมอไม่ควรอยู่ข้างๆ จะทำให้เสียชื่อ

‘อาร์ต พศุตม์’ ยังไม่จบง่าย ๆ ฝากถึงทักษิณ - นายกฯ อิงค์ บอกคนอย่างหมอไม่ควรอยู่ข้างๆ จะทำให้เสียชื่อ

พิษณุโลก แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนา สัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 3 รุ่นที่ 6 (พสบ.ทภ.3 รุ่นที่ 6)

(29 พ.ค. 68) เวลา 10.45 นาฬิกา พลโท กิตติพงษ์  แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3  เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 3 รุ่นที่ 6 (พสบ.ทภ.3 รุ่นที่ 6) ซึ่งมีผู้เข้ารับการอบรมฯ จำนวน 82 คน  ประกอบด้วย  ข้าราชการทหาร  ตำรวจ จำนวน 20  นาย ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐ จำนวน 17 คน และนักธุรกิจภาคเอกชน จำนวน 45 คน ณ ห้องคอนเวนชั่น 1 ชั้น 5 โรงแรมท็อปแลนด์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์อันจัดส่งผลให้เกิดการสนับสนุน ส่งเสริมพลังมวลชนในระดับผู้บริหาร และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของชาติ และการพัฒนาประเทศ
ตลอดจนเป็นการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของกองทัพบก พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่าย ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ภัยคุกคาม ด้านความมั่นคงของประเทศ โดยมีเนื้อหาวิชาที่สำคัญ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ภาควิชาการ ประกอบด้วย การบรรยายการสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ ภารกิจ และการดำเนินงานของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 3 ปัญหาภัยคุกคาม ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ การเดินตามศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนา ประเทศและความยั่งยืนรวมทั้งการสื่อสารดิจิทัล ภาคปฏิบัติประกอบด้วย การจัดเวทีเสวนา การเสวนาระดมความคิดเห็น การทัศนศึกษา กิจกรรมพัฒนาสัมพันธ์และการดำเนินงานจิตอาสา ทั้งนี้ผู้ที่ผ่านการอบรมจะได้ร่วมเป็นเครือข่ายและสนับสนุนงานด้านความ มั่นคงของชาติ และร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาอย่างสร้างสรรค์ในนามของ 

สมาชิก พสบ.ทภ.3 ต่อไป

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

เชียงใหม่-วัฒโนทัยฯ จัดกิจกรรมวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี 2568 พร้อมลงนาม MOU เพื่อดูแลนักเรียนร่วมกับภาคีเครือข่าย 

(28 พ.ค. 68) โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันงดสูบบุหรี่โลก ภายใต้คำขวัญ “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า : นิโคติน เสพติด..จน..ตาย” โดยได้รับเกียรติจาก นายพิพัฒน์ สายสอน ผู้อำนวยการโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมทั้งรับฟังคำกล่าวรายงานจากนางสาวอรชพร ณ เชียงใหม่ รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารทั่วไป จากนั้นเป็นการกล่าวคำปฏิญาณตนของนักเรียน 

พร้อมกับร่วมรับชมการแสดงจากสภานักเรียนร่วมกับชมรมทูบีนัมเบอร์วันโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ และการแสดงชุดที่ 2 จากนักเรียนโรงเรียนวัดเสาหิน สพป.ชม.เขต 1 โดยหลังจากการแสดง ได้มีการลงนามข้อตกลงการดำเนินงานโครงการสถานศึกษาสีขาวปลอดยาเสพติดและอบายมุข ประจำปี 2568 ระหว่างโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพและภาคีเครือข่าย 

โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน ได้แก่ นายสุรสิทธิ์ เทียมทิพย์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่
,พญ.เสาวนีย์ วิบุลสันติ ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ ,พ.ต.อ.มนัสชัย อินทร์เถื่อน ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์,รศ.พญ.สุรินทร์พร  ลิขิตเสถียร ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ จ.เชียงใหม่,นายวังกวาง หาญชนะสุทธิกุล ประธานเครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ
และผู้แทนจากโรงพยาบาลสวนปรุง

นอกจากนี้ โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ ยังได้ต้อนรับ ผศ.ดร.จันทร์ฉาย โยธาใหญ่ รองคณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ผศ.นพ.สิทธิชา สิริอารีย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ที่ได้ให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้ 

ทั้งนี้ ภายในงานมีการจัดนิทรรศการต่อต้านบุหรี่และยาเสพติดของโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ และกิจกรรมซุ้มนิทรรศการจาก โรงเรียนวัดเสาหิน สพป.เชียงใหม่ เขต1,
สถานีตำรวจภูธรภาค 5 ,สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ ,ชมรมนักศึกษาพยาบาลเพื่อสร้างสังคมไทยปลอดบุหรี่ คณะพยาบาลศาสตร์ มช.,สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ จ.เชียงใหม่และ
- บริษัท SUNSWEET สนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารและกิจกรรม

ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดนักสูบหน้าใหม่  โดยเฉพาะ "บุหรี่ไฟฟ้า" ที่มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายน่าดึงดูดใจ รวมทั้งทำให้ประชาชนตระหนักและรู้เท่าทันอันตรายจากผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบที่ทำให้เสพติด ตลอดจนเป็นโรคร้ายอันตรายถึงชีวิตได้

NiA : สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ “จากการลดค่าไฟ สู่การลดอุณหภูมิโลก “ขอเชิญชวนประกวดผลงานด้านนวัตกรรมเวทีระดับชาติ

(29 พ.ค. 68) อากาศร้อน ค่าไฟพุ่ง ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่คนในสังคมให้ความสนใจ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สภาพอากาศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน จนภูมิอากาศแปรปรวน และทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะเมื่ออุณหภูมิรอบตัวสูงขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นก็ต้องทำงานหนักมากขึ้นตาม นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมค่าไฟจึงแพงขึ้นแม้ว่าจะใช้ไฟฟ้าในปริมาณเท่าเดิม ปัญหานี้ส่งผลกระทบกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้งานเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลผลิตตามเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งนั่นหมายถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นมหาศาล หากไม่มีการบริหารจัดการหรือวางแผนรับมืออย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินได้ 

ด้วยเหตุนี้ ‘บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด’ Charoenchai Transformer องค์กรที่มีประสบการณ์การทำหม้อแปลงไฟฟ้ามายาวนานกว่า 60 ปี มองเห็นปัญหาในส่วนนี้ จึงได้คิดค้นนวัตกรรม “หม้อแปลง BCG & Low Carbon” ที่ตอบโจทย์ปัญหาเรื่องค่าไฟ และยังสามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero) ในปี 2065 

นวัตกรรมหม้อแปลง BCG & Low Carbon เป็นหม้อแปลงรักษาระดับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่แบบอัตโนมัติ (220/380 โวลต์) มีความสามารถในการบริหารจัดการพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีเสถียรภาพ สามารถควบคุมการใช้พลังงานได้เรียลไทม์ผ่านเทคโนโลยี IoT การติดตั้งหม้อแปลงนี้สามารถลดค่าไฟได้ 5–20% และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักร 

ไม่เพียงแค่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย หม้อแปลง BCG & Low Carbon ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลดคาร์บอนให้กับภาคธุรกิจ โดยได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก. / TGO) จากการประเมินความสามารถในการลดก๊าซเรือนกระจกได้ 69.746 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าเมื่อปี 2565 ซึ่งการลดคาร์บอนได้มากถึง 100 ล้านตัน เทียบได้กับการปลูกป่า 105,263,158 ไร่เลยทีเดียว 

จากคุณสมบัติที่โดดเด่นนี้จะเห็นได้ว่าหม้อแปลง BCG & Low Carbon เป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สำหรับภาคธุรกิจ และยังช่วยสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

โดยนวัตกรรมหม้อแปลง BCG & Low Carbon นี้ ถือเป็นหนึ่งความสำเร็จของแวดวงเทคโนโลยีด้านพลังงาน จนได้รับ ‘รางวัลชนะเลิศ การประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านเศรษฐกิจ ประเภทวิสาหกิจขนาดกลาง NIA ประจำปี 2566’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นศักยภาพของนวัตกรรม ทั้งในมิติของคุณค่าเชิงเศรษฐกิจและการมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศ ผ่านการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับผู้ประกอบการ และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ 

NIA ในฐานะองค์กรหลักในการเสริมสร้างระบบนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อเพิ่มคุณค่าที่ยั่งยืน จึงได้จัดการประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติผลงานนวัตกรรมไทยที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี และปีนี้กลับมาอีกครั้ง! กับการประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2568

ขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป หน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา สมาคม ร่วมส่งผลงานนวัตกรรมเข้าประกวดในเวทีระดับชาติ “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2568” รางวัลทรงเกียรติสูงสุดของวงการนวัตกรรมไทย ส่งผลงานได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน ดูคู่มือการประกวดและสมัครผ่านทางออนไลน์ได้ที่ https://award.nia.or.th

อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ที่ https://tinyurl.com/yc67x2bj

ติดตามคอนเทนต์ด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และสตาร์ทอัพที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่
https://www.nia.or.th/article/blog.html

#NIA #NIAFocalConductor #มุ่งเป้าสู่ชาตินวัตกรรม #Innovation #นวัตกรรม #หม้อแปลงไฟฟ้า #BCG #LowCarbon

อ้างอิงข้อมูลจาก:
https://youtu.be/G_MrxotdPpg?si=VBJ2kGoAMgZE-oeJ
https://bcg.in.th/news/thailand-energy-awards-2023/
https://www.bangkokbiznews.com/pr-news/news/prnews/1093560


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top