Thursday, 24 April 2025
NEWS FEED

3 สิ่งนี้ถ้าคนไทยมี ‘เมืองไทย’ จะเจริญเท่า สิงคโปร์ หรือ ญี่ปุ่น ระบบการศึกษาที่แข็งแรง จิตสำนึกไม่ทุจริต รู้หน้าที่ของตัวเอง

(20 เม.ย. 68) ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศด้อยศักยภาพ แต่เรายัง "ปลดล็อกตัวเอง" ไม่ได้เต็มที่ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศคือ ศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์

ลองจินตนาการดูว่า...
หาก “ประเทศที่มีวัฒนธรรมลึกซึ้งที่สุดในอาเซียน”
“ประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติแบบไม่มีใครเทียบ”
“ประเทศที่ตั้งอยู่บนจุดตัดเศรษฐกิจโลก เรา เพื่อนบ้าน ประเทศทั้งอาเซียน จีน และอินเดียที่มีประชากรเกิน 2,000 ล้านคน”
จะดีแค่ไหนหากเราได้ปลุกศักยภาพของคนในชาติขึ้นมาพร้อมกัน

ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ “ประเทศน่าเที่ยว”
แต่จะกลายเป็น “ศูนย์กลางของโลก” และสิ่งที่เราต้องการมีเรื่องสำคัญ 3 ข้อดังนี้

1.คนไทยต้องมีระบบการศึกษาที่แข็งแรง ทันโลก มีนิสัยไฝ่เรียนรู้ ขยันสร้างศักยภาพทั้งความคิดและคุณธรรม

สิงคโปร์มีระบบการศึกษาแข็งแรง ญี่ปุ่นมีวินัยและสำนึกส่วนรวม แต่ถ้าไทย “รวมทั้งสองสิ่งไว้ในคนคนเดียวได้” เราจะไปได้ไกลกว่านั้น

เราต้องการเด็กที่คิดเป็น วิเคราะห์ได้ ก้าวทันเทคโนโลยี และไม่กลัวตั้งคำถาม พร้อมกันกับเป็นคนที่มีเมตตา ไม่เบียดเบียน และมีจิตสาธารณะ"

สิ่งนี้จะกลายเป็นรากฐานของผู้นำรุ่นใหม่ แรงงานรุ่นใหม่ และสังคมที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ แต่มีพลัง

2. คนไทยต้องมีจิตสำนึกในการรังเกียจการทุจริตคอร์รัปชันเป็นค่านิยมร่วม

สิงคโปร์เลิกคอร์รัปชันได้ในไม่กี่ทศวรรษ
ญี่ปุ่นมีระบบตรวจสอบที่แม้แต่นายกฯ ก็ต้องรับผิด
แต่ไทยยังอยู่ในวงจร “รู้นะว่าโกง แต่ก็จำยอม”

ถ้าเราเปลี่ยน “ความอดทน” เป็น “ความรังเกียจ”
และเปลี่ยน “ความเคยชิน” เป็น “ความกล้าทำให้มันจบ”

เราจะมีสังคมที่ไม่ต้องออกมาประท้วงทุกปี
ไม่ต้องตื่นมาเจอกับข่าวฮั้วงบ และไม่ต้องสอนลูกว่า “ถ้าอยากโตเร็ว อย่าเล่นตามกติกา”

3.ทุกคนต้องรู้และทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็ม ประสิทธิภาพ 100% และที่สำคัญต้องไม่เล่นการเมืองในที่ทำงาน

สิงคโปร์มีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ
ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรม “ทุ่มเท” กับงานอย่างสุดกำลัง
แต่ในไทย... ยังมีการเมืองในที่ทำงาน การใช้อำนาจมากกว่าหลักการ

ถ้าพนักงานไทยทุกคนทำงานเต็มศักยภาพ
ข้าราชการไทยทำเพื่อประเทศมากกว่าตำแหน่ง
และเจ้านายเลิกเลื่อนตำแหน่งคนจากความใกล้ชิดส่วนตัว

เราจะไม่ต้องรีบวิ่งตามใคร เพราะเราจะ “ลุกขึ้นยืนในจุดที่โลกต้องหันกลับมามอง”

แล้วถ้าเรามีครบทั้ง 3 ข้อนี้จริงล่ะ?
คนเก่งแต่มีธรรมะ = ประเทศเจริญโดยไม่ทิ้งใคร
คนไม่โกง = งบประมาณไปถึงที่ควรถึง
คนทำงานเต็มที่ = งานทุกงานเปลี่ยนแปลงประเทศได้จริง

ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม”
แต่คือ ประเทศที่ทั้งเก่ง ทั้งกล้า ทั้งดี - และเป็นจุดศูนย์กลางของโลกในยุคใหม่

ถึงเวลาแล้วที่เราจะเลิกถามว่า

“เราจะตามใครทัน?” แล้วหันมาถามว่า
“ถ้าประเทศไทยมีสิ่งนี้... โลกจะตามเราทันไหม?”

‘ฝรั่ง’ ทักคนเอเชียว่า ‘หนีห่าว’ อาจไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียน แค่ดูไม่ออกว่าเป็นเชื้อชาติไหน แต่ไม่ได้เจตนาจะด้อยค่า

(20 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Aroonsri Chaiyachatti Harrison’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีประเด็นร้อนเกี่ยวกับการที่ฝรั่งทักคนเอเชียด้วยประโยคภาษาจีนอย่าง “หนีห่าว” กันอีกแล้ว เลยอยากมาเล่าแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวนิดนึงค่ะ

ตอนเด็ก ๆ เคยตามคุณพ่อไปอยู่ยุโรป ที่ประเทศหนึ่งในอดีตยูโกสลาเวีย สมัยนั้นชาวยุโรปแถบนั้นไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอคนเอเชียตัวจริง ๆ เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเห็นแค่ในหนังหรือทีวี พอได้เจอกับของจริง ก็แยกไม่ค่อยออกหรอกค่ะ ว่าใครเป็นคนจีน คนไทย คนญี่ปุ่น หรือฟิลิปปินส์

จริง ๆ แม้แต่เราบางครั้ง ยังแยกไม่ออกเลยว่าฝรั่งที่เจอเป็นคนอังกฤษ อเมริกัน หรือยุโรปชาติไหน ต้องฟังสำเนียงก่อนถึงจะพอเดาได้

ย้อนกลับมาที่ประสบการณ์ตรงย้ายมานิวยอร์ก ตอนเรียนอยู่ก็ทำงานพาร์ตไทม์เป็นบาร์เทนเดอร์ ลูกค้าฝรั่งเข้ามาคุยด้วยบ่อย ๆ ถามว่าเราเป็นคนชาติไหน มีบางคน โดยเฉพาะฝรั่งรุ่นเก่า ๆ ที่ยังใช้คำว่า Oriental ซึ่งสมัยนี้ถือว่าคำนี้ไม่เหมาะสมแล้ว เพราะมันเป็นการเหมารวมคนเอเชียแบบไม่มีความเข้าใจ คล้าย ๆ กับเวลาพูดถึง Oriental rug — มันเป็นภาษาที่สะท้อนยุคสมัยที่ยังไม่เปิดกว้างทางวัฒนธรรมเท่าไหร่

สมัยนััน80s-90s คำถามที่โดนถามบ่อยมากคือ :
What kind of asain are you?
What are you made of? (อันนี้ชอบบบมากตลกดีส่วนใหญ่จะเป็นคำถามจากคนสูงอายุหน่อย เรามักจะตอบกวนๆว่า “Mom and dad of course” 
So you are an Oriental from Thailand?

สรุป :
• “Oriental” ใช้กับวัตถุได้ เช่น “Oriental rug” แต่ไม่ควรใช้กับ “คน” อีกแล้ว
• เวลาฝรั่งพูดแบบนี้ในปัจจุบันอาจโดนมองว่าไม่สุภาพ หรือ outdated มาก ๆ
นอกจากนี้ก็มีบางคนที่แค่ไม่รู้จริง ๆ หรือที่เรียกว่า ignorance ไม่ได้ตั้งใจเหยียด แต่ไม่รู้ว่าคนเอเชียมีหลายเชื้อชาติ หลายภาษา หลายวัฒนธรรม ไม่ได้เหมารวมได้ง่าย ๆ

บางครั้งก็มีเจอแบบไม่โอเค เช่น แซวทำตาเฉียงเลียนแบบคนจีน ทั้งที่เราไม่ใช่คนจีนก็ตาม ซึ่งตรงนี้มันก็สะท้อนว่าเขายังไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายของเอเชียดีนัก

แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ฝรั่งที่ทักเราเป็นภาษาจีน ก็อาจจะเป็นแค่การพยายามจะเชื่อมต่อ อยากทักทายด้วยคำไม่กี่คำที่เขาพอรู้ อาจเพราะเพิ่งเคยมาเที่ยวเอเชียครั้งแรก แล้วตื่นเต้น อยากสื่อสารกับคนท้องถิ่น แม้จะผิดภาษา แต่เจตนาก็ไม่ได้มุ่งร้ายอะไร

สุดท้ายแล้ว เราว่ามันอยู่ที่ “เจตนา” ค่ะ
ถ้าไม่ได้ตั้งใจเหยียด ดูถูก หรือทำให้รู้สึกด้อยค่า ก็คงไม่จำเป็นต้องซีเรียสเกินไป

เพราะบางที แม้แต่คนไทยเองก็มีหน้าตาหลากหลาย บางคนดูเหมือนจีน บางคนดูเหมือนแขก หรืออื่น ๆ ซึ่งแม้แต่เราเองยังแยกไม่ออกในบางครั้ง แล้วจะคาดหวังให้ฝรั่งที่ไม่คุ้นชินกับความหลากหลายของเอเชียแยกออกเป๊ะ ๆ คงเป็นเรื่องยาก

แต่แน่นอนว่า ถ้ามันเลยเถิดไปจนถึงการล้อเลียนหรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกด้อยค่า นั่นก็ถือเป็นปัญหาจริง ๆ และเข้าใกล้เรื่อง cultural appropriation มากขึ้น — คือการเอาวัฒนธรรมของคนอื่นมาใช้ผิดที่ผิดทาง ไม่ให้เกียรติ หรือทำให้มันดูตลกไป ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็ควรถูกพูดถึงและทำความเข้าใจกันให้มากขึ้นเช่นกันค่ะ

บางครั้งในชีวิตเราก็เลี่ยงไม่ได้หรอกค่ะ ที่จะต้องเจอกับคนที่มีทัศนคติไม่ดี เหยียดเชื้อชาติ หรือพูดจาไม่เหมาะสมกับเราโดยตรง ไม่ว่าด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ถ้าคุณรู้สึกว่าคำพูดหรือท่าทีของเขาเป็นการเหยียดเราจริง ๆ สิ่งที่ง่ายที่สุด และทรงพลังที่สุดที่คุณทำได้… คือ “ยิ้ม” ค่ะ

ใช่ค่ะ - แค่ยิ้ม

เพราะบางทีความสุภาพ และความสงบนิ่งของเราเองนั่นแหละ ที่จะทำให้คนที่เหยียดเรารู้สึกละอายใจในพฤติกรรมของตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องลดตัวลงไปตอบโต้ด้วยความโกรธหรือความเกลียดชัง

การยิ้ม ไม่ได้แปลว่าเรายอมรับการกระทำของเขา
แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า เรา “เหนือกว่า” การเหยียดนั้นมากแค่ไหน

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิดและอคติ
การรักษาความสงบภายในใจ และตอบกลับด้วยความสุภาพ
คือการต่อสู้ที่สง่างามที่สุด

อย่าลืมสิว่าประเทศเราคือสยามเมืองยิ้ม 
ด่ากลับเป็นภาษาไทยด้วยรอยยิ้มค่ะ   ทำบ่อยมากเวิร์คทุกครั้ง ด่าสามีด้วยรอยยิ้มนางยังไม่โกรธ 

ดินยุบกว่า 5 เมตร เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ กินเนื้อที่กว่า 4 ไร่ ที่กระบี่ คาด!! อาจเกี่ยวข้องกับเหตุแผ่นดินไหว รอเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

(20 เม.ย. 68) นายธนพล รำเภย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 ต.พรุเตียว อ.เขาพนม จ.กระบี่ พร้อมด้วยผู้นำท้องถิ่นเข้าตรวจสอบบริเวณหลังฟาร์มไก่เทพพิทักษ์ เลขที่ 280 หมู่ที่ 10 โดยพบว่าบริเวณสวนปาล์มน้ำมันที่ห่างจากฟาร์มไก่และบ้านไปประมาณ 50 เมตร เกิดเป็นหลุมยุบขนาดใหญ่กว้างประมาณ 20x20 เมตร ความลึกชาวบ้านหยั่งด้วยไม้ไผ่ยาวกว่า 5 เมตร ไม่สามารถหยั่งถึง และยังพบว่าบริเวณโดยรอบมีการยุบตัวเกิดเป็นรอยแยกขนาดใหญ่เล็กเป็นทางยาวกินเนื้อที่กว่า 4 ไร่ ทางนายธนพล ได้ให้ชาวบ้านนำเชือกมากั้นเป็นเขตอันตรายห้ามไม่ให้ชาวบ้านเข้าใกล้ นอกจากนั้นเมื่อไปสำรวจบริเวณคอกไก่พบว่ามีพื้นปูนคอกไก่แตก 2 จุด มีการยุบตัวของคานประมาณ 1 ซม.
จากการสอบถามนายสุวิทย์ หนูชู อายุ 52 ปี เจ้าของที่ดินและฟาร์มไก่ กล่าวว่า เหตุดังกล่าวนั้นมีชาวบ้านมาพบว่ามีดินยุบแต่ไม่กว้างมากนักเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้หลุมได้ขยายตัวทรุดทำให้ต้นปาล์มน้ำมัน 2 ต้น อายุประมาณ 3 ปี จมหายไปในน้ำไม่โผล่ให้เห็นแม้แต่ยอด
ขณะที่นายธนพล กล่าวว่า ขณะนี้ได้แจ้งไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้รับทราบ เพื่อที่จะได้มีการเข้ามาตรวจสอบต่อไป เบื้องต้นได้กั้นแนวเขตป้องกันอันตราย เพราะมีรอยแยกและดินยังทรุดตัวได้ต่อเนื่อง ส่วนสาเหตุนั้นต้องรอเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบให้แน่ชัด ส่วนจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 14 เมษายนที่ผ่านมาหรือไม่ก็อาจจะเป็นไปได้

‘แพทองธาร’ เตรียมบินไปเยือน!! ‘กัมพูชา’ 23 – 24 เม.ย.นี้ เน้น!! ประสานความร่วมมือ แก้ปัญหาความมั่นคง เศรษฐกิจ

(20 เม.ย. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันพุธ 23 – พฤหัสฯ 24 เมษายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ตามคำเชิญของสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนด (H.E. Samdech Moha Borvor Thipadei Hun Manet) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ทั้งนี้  นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการสำคัญในการเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ สำนักนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา พร้อมหารือเต็มคณะร่วมกับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา   โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีทั้งสองจะเป็นประธานในพิธีเปิดตราสัญลักษณ์ ครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามเอกสารสำคัญต่าง ๆ ร่วมกัน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร  มีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา สมเด็จมหารัฐสภาธิการธิบดี ควน โซะดารี ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

การเยือนในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี และเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจะเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคง การแก้ปัญหาข้ามแดน เศรษฐกิจ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค” นายจิรายุกล่าวทิ้งท้าย

‘เอกนัฏ’ นำทีม!! ร่วมหารือ ‘สหประชาชาติ’ ใช้กฎหมายเข้มข้น!! ยกระดับอุตสาหกรรม

เมื่อวันที่ (18 เม.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมหารือจากคณะทำงานจากสหประชาชาติ(UN) ซึ่งนำโดยมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ ผู้แทนเลขาธิการสหประชาชาติในประเทศไทย พาหัวหน้าคณะสหประชาชาติส่วนต่าง ๆ เข้าหารือ เช่น UNIDO สหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน

ในการหารือครั้งนี้ได้มีการหยิบยกหลากหลายประเด็นขึ้นมาหารือ เช่น ปัญหากากอุตสาหกรรม และการลักลอบทำธุรกิจสีเทา ที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ด้วยการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้น และสะสางระบบให้โปร่งใส รวมถึง การยกร่าง พรบ.กากอุตสาหกรรมฯ ฉบับแรกของประเทศไทยที่เรากำลังเสนอ ซึ่งจะเป็นคำตอบระยะยาวสำหรับการยกระดับอุตสาหกรรมไทย

ชาวเน็ตโยง!! ‘มหกรรมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สู่สากลฯ - World Expo’ จัดได้เงียบมาก!! ทั้งที่ใช้งบประมาณมหาศาล แต่ผลงาน กลับว่างเปล่า

(20 เม.ย. 68) อดีตบรรณาธิการนิตยสารสาละวินโพสต์ วันดี สันติวุฒิเมธี ได้ออกมาโพสต์ข้อความสุดเศร้าลงในเฟซบุ๊ก หลังเจ้าตัวมาออกบูธร่วมกับอีก 200 ผู้ประกอบการ ที่มาออกบูธขายของในงาน ‘มหกรรมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สู่สากลและการเจรจาธุรกิจ’ ภายใต้โครงการนโยบาย ‘หนึ่งครอบครัว หนึ่งพลังสร้างสรรค์’ ในวันที่ 18-22 เม.ย. แต่แล้วกลับไร้การโปรโมต แถมไม่มีพิธีกร อีกทั้งคนยังเงียบ เมื่อมาเปิดถ่ายรูปเสร็จแล้วก็กลับ นับว่าทำเอาผู้ประกอบการถึงกับเครียดกันเลยทีเดียว โดยผู้โพสต์ได้ระบุข้อความถึงบรรยากาศที่ไม่คึกคัก โดยระบุว่าในช่วงพิธีเปิดงาน มีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงวัฒนธรรมมาเป็นประธาน มีช่างภาพ และผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นบรรยากาศกลับเงียบสนิท ราวกับป่าช้า ทั้งที่บริเวณห้างสรรพสินค้าด้านล่างยังคงมีผู้คนเดินสัญจรไปมาอย่างคึกคัก

ผู้ประกอบการกว่า 200 ครอบครัว ต่างตั้งใจเดินทางมาจากทั่วประเทศ โดยไม่ได้มีการสนับสนุนเรื่องที่พักหรือค่าเดินทาง ด้วยความหวังว่าจะได้รับโอกาสทางธุรกิจตามที่เจ้าภาพได้กล่าวไว้ว่าเป้าหมายของงานนี้คือการสร้าง Business Matching

อย่างไรก็ตาม หลังจากวันแรกผ่านไป ผู้ประกอบการต่างเกิดความสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่มีผู้คนเดินขึ้นมาชมนิทรรศการ พวกเขาตั้งคำถามถึงการประชาสัมพันธ์งานของเจ้าภาพ ว่ามีการดำเนินการมากน้อยเพียงใด และมีสิ่งใดเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนที่เดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าด้านล่างขึ้นมาเยี่ยมชมงาน

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างนำผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจและมีศักยภาพมาจัดแสดงและจำหน่าย โดยหวังว่าจะได้รับการโปรโมทให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่กลับไม่มีกิจกรรมใดๆ จากผู้จัดงานที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้คนเข้าร่วมงาน พิธีกรหายเงียบ เวทีแสดงว่างเปล่า ไร้ผู้ชม แม้กระทั่งบูธที่นำนักศึกษาต่างชาติมาแสดงยังรู้สึกเศร้าใจที่ไม่มีใครให้ความสนใจ

ชาวเน็ตเริ่มตั้งคำถาม วิจารณ์ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของ ‘รัฐบาลแพทองธาร’ 

จัดอะไรก็ ‘แป้ก’ 

ไม่เหมือนยุครัฐบาล ‘ลุงตู่’

รมว.ดีอี ที่ชื่อ ‘ชัยวุฒิ’ โชว์ผลงานอย่างยิ่งใหญ่ ให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ ถึงฝีมือของคนไทย 

สร้างความยิ่งใหญ่ ในงาน ‘World Expo’ 

นี่สิ!! คนจริง ของจริง

แต่คนจัดงาน ของรัฐบาลชุดนี้ ที่ตั้งใจจะปั้น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ กลับทำ ‘งานกร่อย’

มีหลากหลายความคิดเห็นของชาวโซเชียล อาทิเช่น …

“พอๆ กับข่าวงาน Soft Power ที่พารากอน?
งบเยอะ แต่ออกแนวตลาดนัดสินค้าโอท็อป สุดท้ายก็กร่อย”

“เราไม่ทราบรายละเอียดแต่หัวเรือใหญ่เปลี่ยนจากกระทรวงดีอีในยุคประยุทธซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่แพทองธารเปลี่ยนหัวเรือใหญ่จาก ก.ท ดี อี เป็น ก.ท สาธารณสุข ผลที่ได้คืองานที่ต่ำกว่ามาตรฐาน อาจเป็นเพราะเอากระทรวงหมอมาทำงานผิดประเภท หรืออาจเป็นเพราะบริหารงบประมาณไม่เต็มประสิทธิภาพ เราก็ไม่อาจทราบได้”

“ไปมอบให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นแม่งานได้อย่างไร นายสมศักดิ์ รัฐมนตรีหลายสมัยทุกรัฐบาล เขาเป็นคนเก่าคนแก่ที่หมดไฟในการทำงานแล้ว ที่ได้เป็นรัฐมนตรีทุกสมัยไม่ใช่เพราะความรู้ความสามารถแต่เป็นเด็กในคาถาของนายใหญ่เท่านั่นเอง”

“แค่งานนิทรรศการ ยังห่วยเลย ไหนคุยนักหนาว่า ทำงานเป็น”

“ตรวจสอบเถอะ ใช้เงินทำอะไรไปบ้าง”

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง จากหลากหลายคำติชม หากอยากจะอ่านเพิ่มเติม เชิญได้ที่ 

https://www.facebook.com/thestatestimes/posts/pfbid02N2mYxtxW4pu5gDa3cGKaG1iSr5T36XpKQZQ9rz3euskZtZCQuU6usbBACK23njzyl

หรือท่านใด อยากจะแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม กับ THE STATES TIMES เชิญพูดคุยกันได้ ที่คอมเมนต์ด้านล่าง

‘เจือ ราชสีห์’ ร่วมกับ ‘แขวงทางหลวงสงขลาที่ 1’ เร่ง!! ออกเเเบบ โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมห้าแยกน้ำกระจาย หลัง ครม.สัญจรอนุมัติงบ 15 ล้าน

(20 เม.ย. 68) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรีและของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายอนุวัฒน์ จันทร์คง หัวหน้าหมวดทางหลวงสิงหนคร(รับผิดชอบ ต.พะวง อ.เมืองสงขลา)  นายสมเกียรติ จันทร์ดวง ปลัดอำเภอเมืองสงขลา และนายบุญสิทธิ์ จรรีบรัด ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณห้าแยกน้ำกระจาย ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมานานหลายปี

โครงการนี้เป็นผลสืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีสัญจรเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 15 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงระบบระบายน้ำบนทางหลวงหมายเลข 407 ตอนควนหิน - เขารูปช้าง ระหว่าง กม. 21+300 ถึง กม. 21+800 รวมระยะทาง 500 เมตร โดยมีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาน้ำท่วมขัง เพิ่มความปลอดภัยในการสัญจร และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

นายเจือเปิดเผยว่า “ขณะนี้โครงการอยู่ในขั้นตอนการออกแบบและวางแผน โดยกรมทางหลวงได้จัดทำแบบระบบระบายน้ำใหม่ที่สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วมบริเวณห้าแยกน้ำกระจายอย่างยั่งยืน” และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

หนีห่าว!! อ้าว!! นึกว่าทักทาย ที่แท้!! ‘เหยียดผิว’ ‘ฝรั่ง’ รุ่นใหม่ ใช้ด้อยค่า ‘เอเชีย’ ในโลกออนไลน์

(20 เม.ย. 68) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Nitipat Bhandhumachinda ว่า …

เมื่อวานนั่งถกกับลูกสาว ว่า"หนีห่าว"เป็นการเหยียดตรงไหน

เพราะผมเองก็มองว่า ตนเองเวลาไปต่างประเทศเช่นไปเยอรมัน ก็พูดคำว่า "Good Morning" กับฝรั่งมังค่าเสมอ ไม่เคยพูดว่า "Guten Morgen" ก็ไม่เห็นมีใครเขาว่าอะไร

ลูกสาวก็อธิบายให้ผมเข้าใจว่า การใช้คำว่า"หนีห่าว" ในปัจจุบันนั้น ชาวต่างชาติหลายๆคนจะใช้ ในนัยยะที่ซ่อนความเหยียดผิว ซึ่งคนรุ่นเดียวกับลูกสาวผมจะเจอบ่อยๆในสังคมออนไลน์

มันจะไม่ใช่การทักทายธรรมดา แต่เป็นการจงใจเหยียดแบบเหมารวมที่มีรากฐานมาจากแนวความคิดแบบ Sinophobia ที่ไม่ชอบคนจีน หรือวัฒนธรรมและค่านิยมแบบคนจีน แล้วก็ลามไปสู่คนเอเชียโดยรวม ที่ฝรั่งอาจมองว่าหน้าตาก็คล้ายๆกัน

ซึ่งสำหรับผมก็เป็นความรู้ใหม่ เพราะคนสมัยนี้เขาจะไม่เหมือนสมัยผมเด็กๆที่อยากจะเหยียดก็เหยียดกันตรงๆ เช่นผมเดินอยู่บนถนนในนิวยอร์คช่วงปี พศ. ๒๕๒๔ มีฝรั่งตะโกนมาทางผมว่า "Chink" แล้วเอานิ้มจิ้มตาตัวเองพร้อมกับหัวเราะขำขัน ก็ต้องกลับบ้านมาถามคำแปล แล้วก็เลยรู้ว่าโดนเหยียด

มาสมัยนี้การเหยียดกันตรงๆมันทำไม่ได้แล้ว แต่ก็อาจมีบางคนที่ยังมีจิตสำนึกที่อยากจะเหยียดใครต่อใครเพื่อลดปมด้อยของตน ก็อาจหาแนวทางอื่นมาเหยียดกันแบบซ่อนเร้นเช่นนี้เป็นต้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการพูดคำว่า"หนีห่าว"กับคนไทย หรือคนเอเชียไหนๆที่ไม่ใช่คนจีน สำหรับผมแล้วก็ต้องมองบริบทโดยรวม เพราะหลายๆครั้งชาวต่างชาตินั้นๆ อาจพูดทักทายเป็นปรกติโดยไม่ได้คิดจะดูถูกอะไรใดๆ ก็เป็นไปได้ด้วยเช่นกัน

กรณีน้องทรายนั้น ผมไม่ได้เคยร่วมกิจกรรม หรือร่วมงานอะไรใดๆด้วย จึงไม่สามารถให้ความเห็นอะไรใดๆได้มากนัก แต่เท่าที่มองจากภายนอกนั้น น้องเขาก็มีจิตสำนึกที่รักธรรมชาติ และมีความชัดเจนเชิงอุดมคติ

แต่ผมเองก็ให้ความเป็นธรรมกับองค์กรและบุคลากรทุกๆคนของกรมอุทยานฯ ที่ต่างก็มุ่งมั่นทำงาน ทำหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบ แต่อาจไม่สามารถประสานการทำงานกับน้องทรายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จะด้วยเหตุผลอะไรใดๆก็ตาม

ส่วนเรื่องการเหยียดนั้น สมัยปัจจุบันที่ทำงานกับลูกค้าซึ่งทุกคนเป็นชาวต่างชาตินั้น หากมีใครถามว่าเคยโดนเหยียดอะไรบ้างไหม
ก็ตอบได้ตรงๆว่าไม่เคยเลย

เพราะเวลาผมทำอะไรผิดพลาด ลูกค้าเขาไม่ต้องหานัยยะมาเหยียดอะไรใดๆให้เสียเวลา
ด่าผมตรงๆเลย ง่ายกว่าเยอะนะครับ

ผบ.ทร. ชื่นชมให้กำลังใจ สโมสรฟุตบอลราชนาวี แชมป์ไทยลีก 3 เตรียมเลื่อนชั้นไทยลีก 2

(20 เม.ย. 68) สโมสรฟุตบอลราชนาวี โดย พล.ร.อ ชัยณรงค์ เจริญรักษ์ ประธานสโมสร, พล.ร.ท สุรศักดิ์ วรปัญญา ที่ปรึกษาสโมสรฯ, พล.ร.ต ณฐพัฒน์ ซื่อมงคล ผู้จัดการทีม, พล.ร.ต อโศก ศรีสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป เข้าพบ ผบ.ทร.เพื่อสรุปผลการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพรายการไทยลีก 3 โซนภาคตะวันออก ฤดูกาล 2024-2025 
ซึ่งสโมสรฟุตบอลราชนาวี ได้ตำแหน่งชนะเลิศ ได้สิทธิเข้าแข่งขันในรอบชิงแชมป์ระดับประเทศ เพื่อคัดเลือกสโมสรที่จะได้เลื่อนชั้นขึ้นไปแข่งขันในฟุตบอลไทยลีก 2 ในฤดูกาลหน้า ในการนี้ ผบ.ทร.ได้กรุณาแสดงความยินดี และให้กำลังใจ กับทีมงานผู้บริหารสโมสรฟุตบอลราชนาวี ให้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับ กองทัพเรือ ต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

เชียงใหม่-เปิดประวัติศาสตร์บันทึกสถิติโลกสำเร็จ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ฟ้อนเล็บมากที่สุดในโลก 

(20 เม.ย. 68) “สุดาวรรณ” รวมใจชาวเชียงใหม่ร่วมบันทึกประวัติศาสตร์ “ฟ้อนเล็บอัตลักษณ์แบบคุ้มเจ้าหลวงพระราชชายาเจ้าดารารัศมีลงใน "กินเนสส์เวิลด์ เรคคอร์ดส์" เนื่องในโอกาสที่จังหวัดเชียงใหม่จะก้าวสู่ 730 ปี สำเร็จ 7,218 คน ทุบสถิติเดิมที่เคยบันทึกไว้ 5,255 คน ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 729 ปี แห่งการสถาปนาเมืองเชียงใหม่ ปูทางสร้างการรับรู้และผลักดันเมืองเชียงใหม่ก้าวสู่เมืองมรดกโลก 

วันที่ 19 เมษายน 2568 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการบันทึกการฟ้อนเล็บอัตลักษณ์แบบคุ้มเจ้าหลวงพระราชชายาเจ้าดารารัศมีลงใน "กินเนสส์บุ๊ก" หรือ "กินเนสส์เวิลด์ เรคคอร์ดส์" (Guinness Book of World Records)"Guinness world record The largest Thai dance" โดยมีนางเทียบจุฑา ขาวขำ ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ผู้แทน นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มาดามหยก กชพร เวโรจน์ ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการ การศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร และ ประธานคณะทำงาน บันทึก World Records งานสมโภช 729 ปีเมืองเชียงใหม่  นายกสมาคมสตรีนครเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ พี่น้องประชาชน สื่อมวลชน เข้าร่วมจำนวนมาก

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นสักขีพยานในการบันทึกการฟ้อนเล็บ อัตลักษณ์แบบคุ้มเจ้าหลวงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ลงใน "กินเนสส์บุ๊ก" หรือ "กินเนสส์เวิลด์ เรคคอร์ดส์" "Guinness world record The largest Thai dance" ในวันนี้ แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีศิลปะและวัฒนธรรมที่โดดเด่น ประชาชนมีความเข้มแข็ง มีความรักความสามัคคี มีความสุข และร่วมกันอนุรักษ์สืบสาน รักษา และต่อยอด ศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นไว้ได้อย่างดียิ่ง

จึงมีความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก และเนื่องในโอกาสที่จังหวัดเชียงใหม่จะก้าวสู่  730 ปี จึงขอถือโอกาสนี้สร้างการรับรู้ให้เด็ก เยาวชน ประชาชนมีจิตสำนึกแสดงกตเวทิตาต่อบูรพกษัตริย์ล้านนา เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และผลักดันให้เมืองเชียงใหม่ก้าวสู่เมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโก 

“กระทรวงวัฒนธรรมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดงาน พิธีสมโภชเชียงใหม่๗๒๙ ปี "นครเชียงใหม่เมืองแห่งความสุขด้วยวิถีวัฒนธรรมอย่าง ยั่งยืน" ถือเป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ทำให้มีความโด่นเด่นด้านศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ประเพณีที่มีเอกลักษณ์ล้านนา สืบสานเสน่ห์ความเป็นล้านนาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรู้จัก จังหวัดเชียงใหม่ในนามเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมประเพณีที่งดงามของประเทศไทย เป็นไปตามที่รัฐบาลและกระทรวงวัฒนธรรม 

ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและ Soft Power ของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปสู่ระดับนานาชาติ นำเศรษฐกิจวัฒนธรรม ผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ยกระดับการ ท่องเที่ยว และเทศกาสสู่เวทีโลก โดยมีเป้าหมาย "ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 25 ประเทศ ที่มีอิทธิพลด้าน Soft Power ในมิติวัฒนธรรม เป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกมาเที่ยวในมิติด้านศาสนา ศิลปะและ วัฒนธรรม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top