Saturday, 9 December 2023
NEWS FEED

‘แอน จักรพงษ์’ ประกาศฟ้องกลับผู้แอบอ้าง ‘การเป็นเจ้าของโครงการเหรียญจักรวาล’

(9 ธ.ค.66) แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ และผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป หรือ JKN โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประกาศฟ้องกลับผู้แอบอ้าง ‘การเป็นเจ้าของโครงการเหรียญจักรวาล’ ด้วยมูลค่า 1.5 พันล้านบาท โดยระบุว่า…

“It’s time to clean up!! คนดีคนชั่วในสังคมมันเยอะนัก…กว่าประชาชนจะตระหนักว่าใครเป็นใคร ใครคือตัวปัญหา…ตัวเราต้องใช้ความอดทนทั้งพลังและปัญญา...ใช้เวลาใช้ความจริงสู้กับมนุษย์จอมปลอม!!

เจเคเอ็นประกาศฟ้องกลับผู้แอบอ้าง ‘การเป็นเจ้าของโครงการเหรียญจักรวาล’ ถ้าใช้หลักการเปรียบเปรย…ดิฉันไม่เคยเห็นโจรที่ไหนมาปล้นเจ้าของบ้าน พอปล้นไม่สำเร็จก็มาฟ้องเจ้าของบ้านกลับ?! แต่ลืมนึกไปว่าเจ้าของบ้านคนนี้ คือผู้หญิงข้ามเพศที่สู้ฟัดกัดไม่ปล่อยและไม่ยอมใคร…ถ้าคุณมาเอาเปรียบดิฉันและสมาชิกทุกคนที่อยู่ในอาณาจักรของเจเคเอ็นค่ะ ***Thx to Thai Sashes News ***”

‘การบินไทย’ แจงปมผู้โดยสารโวยซื้อตั๋วชั้นธุรกิจ แต่ได้นั่งชั้นประหยัด เหตุปรับโครงสร้าง บินแทนไทยสมายล์ ขออภัยที่ไม่บอกเงื่อนไขให้ชัด

(9 ธ.ค. 66) สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท. แจ้งว่า จากข้อร้องเรียนของผู้โดยสารสายการบินไทยที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ กรณีซื้อบัตรโดยสารเครื่องบินชั้นธุรกิจแต่ได้ที่นั่งชั้นประหยัด นั้น

เมื่อวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2566 สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ในฐานะหน่วยงานกำกับ ดูแล ควบคุม และส่งเสริมการดำเนินงานของกิจการการบินพลเรือนให้เป็นไปตามกฎระเบียบและมาตรฐานสากลจึงได้ประชุมร่วมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจการบิน โดยทำการบินทดแทนสายการบิน ไทยสมายล์ ซึ่งปัจจุบันสายการบินไทยได้ทยอยทำการบินทดแทนเส้นทางบินต่างๆ ของสายการบิน ไทยสมายล์ ด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A320 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนการให้บริการรูปแบบใหม่ โดยบัตรโดยสารแบบ Smile Plus ที่สายการบินไทยสมายล์เคยให้บริการนั้น สายการบินไทยได้ปรับเปลี่ยนเป็นบัตรโดยสารแบบ Silk Class ด้วยการเพิ่มบริการต่างๆ ให้เทียบเท่ากับบัตรโดยสารแบบชั้นธุรกิจ (Business Class) ของสายการบินไทย

เช่น เพิ่มน้ำหนักกระเป๋า 40 กิโลกรัม ให้บริการช่องเช็กอินและเกท สามารถพักผ่อนที่เลานจ์ ณ สนามบิน บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน เป็นต้น แต่ยังคงใช้ที่นั่งแบบชั้นประหยัด (Economy Class) ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารด้วยการเว้นที่นั่งตรงกลางไว้

อย่างไรก็ตาม การจัดจำหน่ายบัตรโดยสารแบบ Silk Class ในช่วงแรก บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ไม่ได้แจ้งข้อมูลเรื่องการให้บริการรวมถึงรูปแบบการจัดที่นั่งอย่างชัดเจน จึงส่งผลต่อการเลือกซื้อบัตรโดยสารของผู้ใช้บริการ

2.บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับทราบถึงข้อร้องเรียนของผู้โดยสารและได้ติดต่อไปยังผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว พร้อมเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาให้ผู้โดยสารแล้ว

3.บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ตรวจสอบผู้โดยสารที่ซื้อบัตรโดยสารแบบ Silk Class ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2566 พบว่า ผู้โดยสารซื้อบัตรโดยสารในคลาสนี้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เท่านั้น ซึ่งสายการบินไทยจะติดต่อผู้โดยสารเรื่องข้อมูลการเดินทางและรายละเอียดการให้บริการที่ผู้โดยสารจะได้รับ หากไม่เป็นไปตามที่ผู้โดยสารคาดหวัง สายการบินไทยจะพิจารณาปรับเปลี่ยนเงื่อนไขหรือคืนเงิน ค่าโดยสารตามความต้องการของผู้โดยสาร โดยจะเริ่มต้นจากเส้นทาง กรุงเทพฯ-เกาสงก่อน

4.สำหรับการให้บริการในอนาคต บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงบริการให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงการปรับแผนการจำหน่ายบัตรโดยสาร เพื่อให้สามารถใช้อากาศยานแบบแอร์บัส A320 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งบริษัทจะประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารทราบในการเปลี่ยนแปลงต่อไป ในการนี้ CAAT ได้กำชับให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างครบถ้วน เพื่อประโยชน์ของผู้โดยสารในการเลือกใช้บริการตามความคาดหวังต่อไป

5.บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการแก้ไขระบบการจองบัตรโดยสารในเว็บไซต์แล้ว เพื่อให้ผู้โดยสารทราบบริการและลักษณะที่นั่งตรงตามประเภทบัตรโดยสารที่เลือกซื้อ

6. CAAT เน้นย้ำให้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญเรื่องการแจ้งเงื่อนไขบัตรโดยสารให้ผู้โดยสารรับทราบขณะเลือกซื้อบัตรโดยสาร ดังนั้น CAAT จึงกำหนดให้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ปรับปรุงวิธีการขายบัตรโดยสาร โดยต้องระบุบริการที่ชัดเจน และจัดทำแนวทางการเยียวยาผู้โดยสารส่งให้ CAAT พิจารณา เมื่อผ่านการพิจารณาแล้วให้บริษัท ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารทราบต่อไป

ลำปาง-ศฝท.มทบ.32 จัดพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตน และสวนสนามของนศท.

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 32 จัดพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตน และสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหาร ประจำปีการศึกษา 2566  เนื่องในวันนักศึกษาวิชาทหาร จากวีรกรรมอันกล้าหาญของ “ยุวชนทหาร” ที่ร่วมกับทหาร ตำรวจ และราษฎรอาสา ต่อต้านทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดชุมพร และในหลายพื้นที่ทางภาคใต้ของไทย เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ณ สนามพิทยุทธยรรยงค์ ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี อ.เมือง จ.ลำปาง โดยมี พลตรี พรชัย นพรัตน์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 เป็นประธาน 

ในการนี้ได้มีการจัดแสดงของนศท.อาทิ การแสดง ศิลปะป้องกันตัวมวยไทย, การแสดงประกอบเพลงบ้านเกิดเมืองนอน เป็นต้น และพิธีมอบรางวัลการสวนสนามของ นศท.ในประเภทต่างๆ, รางวัลกองร้อยสวนสนามขวัญใจสื่อมวลชน, รางวัลผู้บังคับกองพันสวนสนาม SMART LEADER ROTCS. และรางวัลปฎิบัติหน้าที่เป็นผู้บังคับกองผสม 

ทั้งนี้เพื่อให้ นศท.ได้แสดงออกถึงสมรรถภาพ ระเบียบวินัย มีโอกาสพบปะและรับฟังโอวาทจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูง รวมถึงเป็นการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจถึงบทบาทหน้าที่ของ นศท. และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติต่อไป

#8ธันวาวันนักศึกษาวิชาทหาร

(สุรินทร์) หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มทบ.25 จัดพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหาร

วันที่ 8 ธันวาคม 2566 เวลา 13.30 น. พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธาน พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหาร ณ ลานสโมสร ค่ายวีรวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25 มี พันโท กฤษฎา ตะเภาพงษ์ ผู้บังคับหน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 25 ผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหารและนักศึกษาวิชาทหารทั้งชายและหญิงเข้าร่วมพิธี จำนวน 16 โรงเรียน จำนวนทั้งสิ้น 326 คน ประกอบด้วย กองพันเดินสวนสนาม 2 กองพัน พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหารอันมีเกียรตินี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาวิชาทหาร ได้กระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อหน้าผู้บังคับบัญชาระดับสูง และประชาชนทั้งหลายว่าจะยึดถืออุดมการณ์และดำรงไว้ ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตลอดจนเป็นสถาบันตัวอย่างในการสร้างวินัยให้แก่คนในชาติ พร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยและร่วมพัฒนาชาติไทยให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป อีกทั้งยังมุ่งหมายให้นักศึกษาวิชาทหาร ผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินกิจกรรมร่วมกัน 

เพื่อแสดงออกถึงพลังของนักศึกษาวิชาทหารซึ่งเป็นกำลังสำรองของชาติ ให้เป็นที่ปรากฏแก่สายตาของผู้บังคับบัญชาและ ประชาชนทั่วไป เนื่องในวันนักศึกษาวิชาทหาร หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ได้ริเริ่มประกอบพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหารในส่วนกลางครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2509 ณ พระลานพระราชวังดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) โดยมี จอมพล ถนอม กิตติขจร ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธี และได้ประกอบพิธีดังกล่าวเป็นประจำทุกปี โดยมอบให้หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน รับผิดชอบการจัดพิธีสวนสนามฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานศึกษาวิชาทหารต่างๆ ซึ่งแต่เดิมเคยจัดประมาณเดือนพฤศจิกายนของทุกปี แต่เมื่อปี 2542 กองทัพบก ได้อนุมัติให้วันที่ 8 ธันวาคม เป็น “วันนักศึกษาวิชาทหาร” เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของยุวชนทหาร ที่ร่วมต่อต้านทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดชุมพร ดังนั้น หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน จึงได้กำหนดให้เป็นวันประกอบพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหารทั่วประเทศ สำหรับในส่วนภูมิภาคได้มอบให้หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร ประกอบพิธีนี้พร้อมกันกับส่วนกลาง จึงถือได้ว่าพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหารนั้น เป็นพิธีสำคัญและเป็นเกียรติแก่นักศึกษาวิชาทหารทุกคน

รัฐเปอร์ลิสเปิดการท่องเที่ยวปี 2024-2025 มกุฎราชกุมารทรงเป็นประธาน คาดนักท่องเที่ยวเพิ่ม 3.5 ล้านคน สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ได้รับเกียรติเข้าร่วม

เมื่อค่ำวันที่ (7 ธ.ค.66) ที่ผ่านมา ณ คอนเวนชั่น ฮอล เมืองคาการ์ (Kangar) รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย  ได้จัดให้มีกิจกรรมการเปิดการท่องเที่ยวรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย 2024-2025 (2567-2568)ขึ้น หน่วยงานการท่องเที่ยว ภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน สมาคมการท่องเที่ยว สมาคมนักข่าวจากรัฐต่างๆ รวมถึง สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย เข้าร่วม 

โดยมี ตวนกูไซยิดไฟซุดดิน ไซยิดจามาลุลไลล์ (Tuanku syed Faizuddin Syed Jamalullail Raja Muda Perlis) มกุฎราชกุมารแห่งรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย  พร้อมพระชายา ทรงเป็นประธานในพิธีเปิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนพิธีเปิด แขกรับเชิญจากภาคต่างๆ ได้เดินทางมาถึงโดยมีการต้อนรับพร้อมกำหนดตามที่นั่งตามจุดที่กำหนด โดยคณะสื่อจากสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ฯ และสื่อจากรัฐเปอร์ลิสและรัฐต่างๆ ได้รับเกียรติจัดให้มีที่นั่งด้านหน้าติดขอบเวที

เวลาประมาณ 20.00 น.มกุฎราชกุมารแห่งรัฐเปอร์ลิสพร้อมพระชายา และผู้ติดตาม เสด็จมาถึง ได้รับการตั้งแถวต้อนรับจากทางเข้า คณะผู้จัดงานนำเสด็จนขึ้นประทับที่นั่งบนเวที มีการขอดุอาร์ (ขอพร) พร้อมมีการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน การขับร้องเพลง การนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวมัลติวิชั่นผ่านจอ

โมฮัมหมัดสุกรี รอมลี  มุขมนตรีรัฐเปอร์ลิส กล่าวว่า ท่านมกุฎราฃกุมารมาเป็นประธานเมื่อค่ำวันที่ 7 ฮันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งพระองค์ท่านได้เชิญชวนประชาชนชาวเปอร์ลิสทุกคนร่วมเป็นทูตการท่องเที่ยว พร้อมที่จะเป็นเจ้าบ้านที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมต้อนรับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการท่องเที่ยว ที่พัก โรงแรม  รวมถึงร้านอาหาร 

นอกจากนั้น พระองค์ท่าน ยังกล่าวว่า ทุกฝ่ายจะต้องมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยว เพื่อให้รัฐเปอร์ลิสเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเปอร์ลิสกับจังหวัดชายแดนภาคใต้

พระองค์ยังได้กล่าวอีกว่า การเตรียมพร้อมผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงต่างๆ ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวมีความสุขในขณะที่มาท่องเที่ยว ประชาชนทุกคนทุกกลุ่มทุกเพศทุกวัยในรัฐเปอร์ลิสจะต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี พร้อมต้อนรับ มอบความสุข ความสงบให้กับผู้ที่มาเยือนรัฐเปอร์ลิสทุกคน

“เปอร์ลิสเป็นพื้นที่ทีมีศักยภาพสูงไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศก์ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรม ฯลฯ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมการท่องเที่ยวระหว่างรัฐต่างๆ ของมาเลเซีย  ความก้าวหน้าทางการท่องเที่ยว จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาให้ดีขึ้น ให้นักท่องเที่ยวเที่ยวมีความสุข และกลับมาเที่ยวซ้ำอีก” 

โดยในปี 2022 จากสถิติมีนักท่องเที่ยว 2.2 ล้านคน คาดว่าในปีการท่องเที่ยว 2024-2025 รัฐเปอร์ลิสจะมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ 3.5 ล้านคน

นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้รับการติดต่อประสานงานจากสมาคมท่องเที่ยวรัฐเปอร์ลิส และ สมาคมนักข่าวรัฐเปอร์ลิส โดยผ่าน คุณตูแวตานียา มือนิงิง ประธานอนุกรรมการฝ่ายต่างประเทศของสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ฯ เป็นผู้ประสานงาน นำคณะของเรา 4 คน มาเยือนและมาเป็นแขกของงานเปิดโลกการท่องเที่ยวรัฐเปอร์ลิส 2024-2025 

“ท่านมกุฎราชกุมารแห่งรัฐเปอร์ลิส ทรงเป็นประธานในพิธีเปิด ซึ่งจัดได้ยิ่งใหญ่มาก เป็นงานอันซีนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวรัฐเปอร์ลิส ถือเป็นเกียรติย่างสูงของสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย รวมถึงพวกเราทั้ง 4 คนที่ได้รับเกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้  สมาคมฯ พร้อมที่จะประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวได้รับทราบ...

นอกจากนั้น พระองค์ท่านมกุฎราชกุมารแห่งรัฐเปอร์ลิส ก็ยังได้สนทนากับคณะพวกเราและทรงฉายภาพร่วมกัน ถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทยและคณะที่ได้เดินทางมาครั้งนี้ครับ”

#perlis #thailand #tahunmelawatperlis2024 #PWP #สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย #ไชยยงค์มณีรุ่งสกุล #ตูแวตานียามือนิงิง #KasemLimaphan #เกษมลิมะพันธุ์

‘คุณพ่อ’ ซึ้งใจ!! ‘คุณลุงแท็กซี่’ นำเงินค่าเทอมลูก 6 หมื่น ส่งคืนถึงมือ ด้านลุงคุณ เผย “เงินที่ไม่ใช่ของเรา มันก็เหมือนเศษกระดาษธรรมดา”

(8 ธ.ค. 66) ที่สถานีวิทยุ สวพ.FM91 กองตำรวจสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายสกล ถาวรกาญจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายสื่อสารองค์กร สถานีวิทยุ สวพ.FM91 พร้อมด้วยน.ส.จิตต์ผ่องใส ศรีวังพล ผอ.ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและจิตอาสาสัมพันธ์ สวพ.FM91 ร่วมเป็นสักขีพยาน ส่งมอบเงินสด กว่า 6 หมื่นบาท ส่งคืนเจ้าของ

โดย นายทองจันทร์ บุตรสัย โชเฟอร์แท็กซี่ สีชมพู ทส-6565 กทม. เดินทางเข้ามาเเจ้งว่า พบถุงผ้ามีหูรูดลายทาง สีน้ำตาล-ครีม ภายในมีเงินเหรียญ 12 บาท แบงก์ยี่สิบ 12 ใบ 240บาท แบงก์พัน 62 ใบ 62,000 บาท จำไม่ได้ว่าเป็นของผู้โดยสารคนไหน เพราะรับ 3 คนสุดท้ายเมื่อคืนวันที่ 7 ธ.ค.2566

คนเเรกจากดอนเมืองไปสุขุมวิท 23 คนที่2 จากสุขุมวิท 23 ไปตลาดบางใหญ่ และคนที่ 3 จากหมอชิต ไปเซนทรัลพระราม2 เเล้วกลับเข้าบ้าน ประมาณ 2-3 ทุ่ม

พอช่วง 7 โมงเช้า ทำความสะอาดรถ จึงพบกระเป๋าดังกล่าว ซึ่งตกใจมาก ไม่เคยเห็นเงินเยอะขนาดนี้ ตอนเช้ามาทำความสะอาดรถ สงสัยกระเป๋าอะไร จึงหยิบมาดู ตกใจรีบติดต่อสวพ.91 คิดว่า ไม่คิดจะเก็บไว้เอง เจ้าของเงินคงเดือดร้อน เพราะเงินเยอะขนาดนี้ ปกติเค้าคงไม่พกเงินสด คงต้องนำเงินไปทำอะไรสักอย่าง ก็เลยไม่คิดว่าจะเก็บไว้เป็นของเรา เราหาได้ 100 บาท 50 บาท ก็ดีใจเเล้ว เเต่พอเห็นเงินไม่ใช่ของเราก็เหมือนเศษกระดาษธรรมดา”

ด้านนายธนวัช ฉวีกัลยากุล เจ้าของเงิน ประสานมาที่ สวพ.91 ว่า ไปขอตรวจสอบกล้องวงจรปิด ที่คอนโด หลังจากนั่งแท็กซี่ สีชมพู ไม่ทราบทะเบียน จากดอนเมือง ไปลงซอยสุขุมวิท 31 เมื่อประมาณ 19.35 น. เนื่องจากช่วงที่ลงลืมถุงผ้าลายทาง สีขาวน้ำตาล ภายในมีเงินสดประมาณ 60,000 บาท ซึ่งจะเอามาเป็นค่าเทอมลูก พอรู้ว่าลืมจึงไปเช็กที่คอนโดได้ทะเบียนรถแท็กซี่มา

จึงโทรไปที่กรมการขนส่งทางบกขนส่ง บอกว่าเป็นรถของสหกรณ์สหมิตรแท็กซี่ จึงโทรไปที่สหกรณ์ ได้เบอร์เจ้าของรถจึงโทรฯหาเจ้าของรถ เจ้าของรถบอกว่าขายให้คุณทองจันทร์แล้ว จึงโทรฯหาคุณทองจันทร์ ทราบว่าเอามาฝากไว้ที่ สวพ.91 แล้ว จึงรีบประสานมารับเงินคืน ดีใจมากและขอบคุณแท็กซี่ เก็บได้แล้วประสานส่งคืน เป็นคนดีมาก

จับสาวจีนไลฟ์สดดิสเครดิตไทย อ้างไม่มีเจตนาร้าย แถมพบผิด พ.ร.ก.ต่างด้าว แอบขายออนไลน์ด้วย

จากกรณีประเด็นดรามา หญิงชาวจีนแต่งกายวาบหวิวเดินในซอยนานา และพูดให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย ผ่านสื่อสังคมออนไลน์นั้น...

(8 ธ.ค.66) เจ้าหน้าที่ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เข้าตรวจสอบบุคคลดังกล่าวที่ปรากฏในคลิป คือ น.ส.หวาง จือ ยู สัญชาติจีน เข้าประเทศไทยด้วยวีซ่าประเภท Thai Privilege Card โดยเจ้าตัวยอมรับว่า เป็นคนทำคลิปจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย โดยเพียงแต่ต้องการประชาสัมพันธ์ให้คนต่างชาติรู้ว่าสถานที่ไหนผู้หญิงไปคนเดียวควรจะระวังตัว 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพฤติกรรมของ น.ส.หวาง พบว่า มีการไลฟ์สดขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งเข้าข่ายการทำงานของคนต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ พนักงานสอบสวน บก.สส.สตม. จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ น.ส.หวาง ทราบว่าเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

อวสาน ‘ไททันยักษ์’ บนยอดเขาประเทศลาว หลังหมอกจาง ท้องฟ้าโปร่ง ก็คนดีๆ นี่เอง

(8 ธ.ค. 66) จากกรณี ‘ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์’ ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ไขข้อข้องใจคลิป ‘ไททันยักษ์’ บนยอดเขาประเทศลาว ตามที่ได้รายงานข่าวไปก่อนหน้านี้นั้น

ล่าสุด ได้มีการเปิดเผยคลิปวิดีโอ จากมุมเดียวกันของเขาลูกดังกล่าว ซึ่งเป็นวันที่ไม่มีเมฆหมอกแต่อย่างใด โดยได้มีคนไปยืนอยู่จุดเดียวกับที่พบไททันยักษ์ ตามที่มีผู้กล่าวอ้าง ก็ปรากฏว่า ขนาดของคนที่ยืนนั้น ก็ได้เท่ากับตัวของไททันยักษ์ จึงสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ที่เห็นในคลิป เป็นคนอย่างแน่นอน

ด้าน อ.เจษฎ์ ก็ได้ระบุข้อความว่า วันก่อน ‘ไททันยักษ์’, ‘คิงคอง’ แอบมาปรากฏตัวให้คนแตกตื่นอยู่บนยอดเขาประเทศลาว ท่ามกลางม่านเมฆหมอก มองไม่ค่อยชัดเลย

วันนี้ ไม่มีเมฆ ไม่มีหมอก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ขอโชว์ตัวชัดๆ สักหน่อยนะครับ 5555

(ป.ล. สรุปว่า จริงๆ ก็ ‘คน’ นั้นแหละครับ ฮะๆๆๆ)

พิษณุโลก มทบ.39 จัดพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหาร ประจำปีการศึกษา 2566 เนื่องในวันนักศึกษาวิชาทหาร

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 เวลา 10.00 พลตรี กิตติพงศ์ ชื่นใจชน รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานในพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหาร หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหารมณฑลทหารบกที่ 39 ประจำปีการศึกษา 2566 เนื่องในวันนักศึกษาวิชาทหาร ณ สนามกีฬาพระองค์ดำ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม (ส่วนทะเลแก้ว) ตำบลพลายชุมพล อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก โดยมีผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหาร - ตำรวจ และผู้บริหาร, อาจารย์ผู้กำกับนักศึกษา, นักศึกษาวิชาทหาร เข้าร่วมพิธีมากกว่า 1,000 คน และได้มีพิธีมอบโล่เกียรติคุณให้กับ 5 สถานศึกษา และใบประกาศให้กับอาจารย์ผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหาร จำนวน 6 นาย 

ซึ่งพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหารเป็นพิธีอันมีเกียรติ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาวิชาทหารได้กระทำสัตย์ปฏิญาณตนว่าจะยึดถืออุดมการณ์และดำรงไว้ ซึ่งสถาบันหลักของชาติและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อแสดงออกถึงพลังของนักศึกษาวิชาทหารซึ่งเป็นกำลังสำรองของชาติ ให้เป็นที่ปรากฏแก่สายตาของผู้บังคับบัญชาและประชาชนทั่วไป เนื่องในวันนักศึกษาวิชาทหาร 8 ธันวาคม มณฑลทหารบกที่39 #หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหารมณฑลทหารบกที่39 พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหาร 2566 

‘ดร.ปณิธาน’ ชี้!! ยังเร็วเกินไปที่ ‘พม่าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ-รัฐบาลทหารแพ้หมดรูป’ เตือน ‘ไทย’ ระวังตัวแปรกระทบ ‘ราคาพลังงานไทยพุ่ง-พม่าอพยพข้ามแดน’

ศึก 3 ก๊กใน ‘เมียนมา’ ระอุ ‘สหรัฐฯ’ อนุมัติงบหนุน ‘กลุ่มชาติพันธุ์’ ถล่มรัฐบาลทหาร ขณะที่สภาบริหารฯ ยอมรับถูกกลุ่มชาติพันธุ์ยึดพื้นที่ไปแล้วกว่าครึ่งประเทศ และกำลังบุกเข้าโจมตีเขตเศรษฐกิจ ‘รศ.ดร.ปณิธาน’ ชี้!! ยังไม่ถึงขั้นพม่าแตกเป็นเสี่ยง ด้วยมี 6 ปัจจัยหนุน เกรงสู้รบยืดเยื้อกระทบ ศก.ไทย การค้าชายแดนหดตัว หวั่นระเบิดท่อส่งก๊าซ ทำราคาแก๊ส-ราคาพลังงานในไทยพุ่งสูง อีกทั้งผู้อพยพทะลักเข้าไทย แนะรัฐบาลพลิกวิกฤตเป็นโอกาส คัดแรงงานฝีมือเข้าสู่ระบบ ดึงนักธุรกิจเมียนมาลงทุน ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

(8 ธ.ค. 66) การสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารพม่า ที่นำโดย ‘พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย’ กับบรรดากองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่ผนึกกำลังกันเข้ายึดเมืองต่างๆ กำลังขยายวงออกไปเรื่อยๆ และดูเหมือนว่ารัฐบาลทหารพม่าจะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ถึงขั้นที่นักวิชาการบางสำนักฟันธงว่า “เมียนมากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ” และรัฐบาลทหารพม่าใกล้ถึงคราล่มสลาย!!

ส่วนว่า สถานการณ์จะเดินไปถึงจุดนั้นหรือไม่? เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างไรบ้าง และไทยควรจะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างไร คงต้องไปฟังความเห็นจากผู้รู้

‘รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร’ ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ ได้วิเคราะห์สถานการณ์การสู้รบในเมียนในขณะนี้มา ว่า ตอนนี้เมียนมาแบ่งออกเป็น 3 ก๊ก ได้แก่

ก๊กแรก คือ ‘ทหารพม่า’ ซึ่งจะปักหลักสร้างฐานที่มั่นยึดเมืองใหญ่ๆ อย่าง เนปิดอว์ ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ พะโค ไว้ ตอนนี้กำลังระดมกำลังพลเพื่อปกป้องเมืองเศรษฐกิจ ส่วนเมืองเล็กๆ ก็คงจะตัดใจปล่อยไป โดยสภาบริหารแห่งรัฐ หรือ ‘SAC’ ออกมายอมรับว่า รัฐบาลทหารพม่าเสียพื้นที่ให้กลุ่มชาติพันธุ์ไปกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศแล้ว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเพราะผู้คนจะอพยพหนีออกจากพื้นที่อิทธิพลเพื่อหาที่ปลอดภัย ขณะที่การสู้รบจะดุเดือดยิ่งขึ้น

ก๊กที่สอง คือ ‘กองกำลังฝ่ายประชาธิปไตย’ ได้แก่ PDF และ NUG ของ ‘อองซาน ซูจี’ ซึ่งจะรุกคืบเข้าไปในเมืองใหญ่ดังกล่าว กลุ่มนี้มีรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ในประเทศตะวันตกหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา และมีการเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก โดยว่ากันว่าเขาได้เงินสนับสนุนจำนวนมาก มีเอ็นจีโอนับร้อยให้การสนับสนุน ช่วยพาคนเหล่าไปยังประเทศที่สามและมีจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาพักรักษาตัวในประเทศไทย เช่น ที่เชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯ ระนอง และประจวบคีรีขันธ์ ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพมาก ซึ่งว่ากันว่ากลุ่มนี้มีการนำโดรนที่ใช้ในการเกษตรมาติดตั้งอาวุธเพื่อใช้บินโจมตีทหารพม่า

ก๊กที่สาม คือ ‘กองกำลังชนกลุ่มน้อย’ ซึ่งบางครั้งก็รวมตัวกับก๊กที่สอง บางครั้งก็รวมตัวกับก๊กทหารพม่า ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เป็นหลัก โดยมีการเจรจาต่อรองอยู่ 2-3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องการตั้งสหพันธรัฐเมียนมา หรือ ‘Federal State’ ซึ่งชนกลุ่มน้อยต้องการให้รัฐบาลเมียนมาตั้งประเทศในระบบใหม่ ไม่ใช่ระบบรวมศูนย์ ต้องคืนอำนาจให้แก่รัฐต่างๆอยู่กันอย่างอิสระ ดังที่ปรากฏในข้อตกลงปางหลวง ซึ่งถ้าทหารเมียนมาอ่อนกำลังลงข้อตกลงนี้จะมีน้ำหนักขึ้น อย่างเช่น รัฐฉานก็มีความพร้อมมากเพราะเขามีกำลังเยอะ ได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย มีจุดผ่านแดนเป็นร้อย และมีการค้าขายกับจีน ซึ่งจีนให้การสนับสนุนรัฐฉานอย่างมาก ที่ผ่านมากองกำลังชนกลุ่มน้อยก็จะจัดกองกำลังร่วมกับ PDF เพื่อจัดการทหารพม่าอยู่เป็นระยะ

รศ.ดร.ปณิธาน กล่าวต่อว่า สถานการณ์ในเมียนมาขณะนี้คงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด นักวิเคราะห์ตะวันตกมองว่า นี่คือ ‘จุดเริ่มต้นของหายนะ’ ของรัฐบาลทหารพม่า เมียนมากำลังจะแตกเป็นเสี่ยงเนื่องจากรัฐบาลทหารพม่าไม่สามารถต้านทานการโจมตีของบรรดากองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่ผนึกกำลังกันเข้ายึดเมืองต่างๆ และทหารพม่าจำนวนไม่น้อยเริ่มแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ ด้านประชาชนก็ไม่ให้การสนับสนุนทหาร ขณะที่การสนับสนุนเงินและอาวุธจากต่างประเทศไปยังกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะกองกำลัง PDF มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ได้อนุมัติงบประมาณผ่านสภาเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการครั้งนี้

ขณะที่บางฝ่ายมองว่ายังเร็วไปที่จะสรุปผลการสู้รบ เนื่องจากรัฐบาลทหารพม่าอ่อนแอลงก็จริง แต่ก็ยังสามารถรักษาฐานที่มั่นในเมืองใหญ่ไว้ได้ ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าพม่าจะแตกเป็นเสี่ยง รัฐบาลทหารจะแพ้หมดรูป ซึ่งกองกำลังติดอาวุธที่เคยรบกับทหารพม่ามองว่ายากที่จะถึงขั้นนั้น เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

1.) ในบรรดา 17-18 กลุ่มติดอาวุธในพม่า ทหารพม่าก็ยังเข้มแข็งที่สุดเนื่องจากมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่า ทั้งเครื่องบินรบ รถถัง

2.) รัฐบาลทหารพม่าสามารถเกณฑ์กำลังพลมาสู้รบได้เป็นแสนคน

3.) แม้จะมีทหารที่ยอมแพ้ ใน 7-8 สมรภูมิ เช่น แถวภาคสกาย ภาคพะโค แต่จำนวนดังกล่าวอยู่ที่หลักพัน

4.) รัฐบาลทหารพม่ามีพันธมิตรทางการทหารที่เข้มแข็ง อย่าง จีน เกาหลีเหนือ และรัสเซีย ซึ่งพร้อมสนับสนุน โดยมีรายงานจากผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติออกมาเมื่อเดือน ต.ค. 2566 ว่าประเทศเหล่านี้ส่งอาวุธให้รัฐบาลทหารพม่า

5.) ปัจจัยที่สำคัญคือรัฐบาลทหารพม่าไม่รู้จะหนีไปไหน ดังนั้นคงสู้หัวชนฝา

6.) รัฐบาลทหารพม่าและเครือข่าย มีผลประโยชน์มหาศาลจากธุรกิจต่างๆ ในเมียนมา จึงต้องปกป้องผลประโยชน์ดังกล่าวอย่างเต็มที่

อย่างไรก็ดี สถานการณ์หลังจากนี้ เป็นไปได้ยากที่รัฐบาลทหารพม่าจะสามารถกลับมาควบคุมพื้นที่ทั้งหมดของประเทศได้เหมือนเดิม

“นี่เป็นโอกาสครั้งแรกในรอบหลายสิบปีของกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา ที่ทำให้ทหารพม่าเพลี่ยงพล้ำได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ตีเหล็กตอนกำลังร้อน รัฐบาลทหารพม่าก็อาจจะตั้งหลักได้ ช่วงนี้กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์จึงบุกโจมตีอย่างหนัก โดยกองกำลัง PDF กองกำลังรัฐฉาน กองกำลังจากรัฐยะไข่ สนธิกำลังกันชั่วคราวเพื่อโจมตีพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของรัฐบาลทหารพม่า โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและพันธมิตร มีอาวุธส่งไปจากสิงคโปร์ อินเดีย แต่ทหารพม่ามีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอำนาจทำลายล้างสูง อีกทั้งยังมีจีนและรัสเซียหนุนหลัง การที่จะทำให้รัฐบาลทหารพม่าแพ้ราบคาบจึงเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปที่กลุ่มชาติพันธุ์จะทำก็คือ โจมตีเขตเศรษฐกิจ ให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นเยอะๆ หรือให้ทหารพม่าแตกกันเองและเกิดการยึดอำนาจจาก พล.อ.อ มิน อ่อง หล่าย น่าจะเป็นความหวังของกลุ่ม PDF มากกว่า” รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว

ส่วนผลกระทบที่จะมีต่อประเทศไทยนั้น รศ.ดร.ปณิธาน ชี้ว่าในปีหน้าสถานการณ์การสู้รบในเมียนมาจะหนักขึ้นเรื่อยๆ และจะกระทบเศรษฐกิจหนักกว่าเดิม เนื่องจากขณะนี้กองกำลังต่อต้านทหารพม่า ร่วมมือกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มในหลายพื้นที่โจมตีทหารพม่า โดยกำลังรุกเข้าไปโจมตีพื้นที่เศรษฐกิจ รวมถึงถล่มท่อส่งก๊าซและบริเวณที่แรงงานพม่าจะเดินทางเข้าออกไปยังไทย จีน อินเดีย ในส่วนของท่อก๊าซนั้นเชื่อว่า ถ้าหากมีการระเบิดท่อส่งก๊าซในพม่าจะสร้างปัญหาให้หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งใช้พลังงานจากก๊าซเกือบ 20% ของปริมาณพลังงานที่ใช้ทั้งหมด จะทำให้ราคาก๊าซและราคาพลังงานของไทยพุ่งสูงขึ้น

ถ้ามีการโจมตีตัดเส้นทางที่แรงงานพม่าจะเดินทางเข้าออกมายังไทย ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในไทย หรือหากการสู้รบขยายวงและเป็นไปอย่างยาวนาน ก็จะมีชาวเมียนมาอพยพเข้ามาในไทยมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีแรงงานพม่าอยู่ในไทยประมาณ 1.5 แสนคน โดยชาวเมียนมาที่อพยพออกนอกประเทศจะมี 4 ช่องทาง คือ หนีไปอินเดีย ซึ่งมีไม่มากเนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียไม่ดี, หนีไปบังกลาเทศเพื่อรออพยพตามข้อตกลงของ UN, หนีไปจีน ซึ่งจีนจะตรึงไว้ให้อยู่กับพวกชานซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยแต่ทำธุรกิจสีเทา และเข้ามาประเทศไทย ซึ่งไทยได้ทำค่ายพักผู้ลี้ภัย 8-9 แห่งไว้รองรับอยู่แล้ว เพื่อดูแลให้ผู้ลี้ภัยชาวพม่าไม่ไหลเข้ามาในเมือง

นอกจากนั้น หากเมียนมามีการสู้รบยาวนานก็จะกระทบต่อการค้าตามแนวชายแดนไทย-พม่า ซึ่งอาจจะทำให้ขนส่งสินค้าลำบาก และเมื่อกำลังซื้อของชาวเมียนมาลดลง ก็จะส่งผลให้ยอดส่งออกสินค้าของไทยตกลงตามไปด้วย

“รัฐบาลไทยต้องไปคุยกับประเทศสมาชิกอาเซียนว่า หากมีชาวเมียนมาอพยพหนีภัยสงครามออกมา แต่ละประเทศจะช่วยรับผู้ลี้ภัยไว้ได้เท่าไหร่ โดยเฉพาะมาเลเซีย สิงคโปร์ ไทยจะได้ไม่ต้องแบกรับภาระอยู่ประเทศเดียว อย่างไรก็ดี นี่อาจจะเป็นโอกาสของไทยที่จะได้แรงงานฝีมือชาวเมียนมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และได้นักธุรกิจเมียนมาเข้ามาลงทุนในไทยมาก ขึ้นซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยได้ไม่น้อย เนื่องจากชาวเมียนมาที่จะอพยพออกจากพื้นที่เศรษฐกิจ ที่ถูกโจมตีนั้นจะเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้และเป็นนักธุรกิจที่มีกำลังเงิน โดยปัจจุบันนักธุรกิจที่มาซื้อคอนโดในไทยอันดับต้น ๆ ก็คือชาวเมียนมา” รศ.ดร.ปณิธาน ระบุ

รศ.ดร.ปณิธาน ระบุว่า ทางออกที่จะสามารถยุติการสู้รบในเมียนมาได้ ก็คือ ‘การตั้งโต๊ะเจรจา’ ที่ผ่านมามีการเจรจาระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับกลุ่มชาติพันธุ์เรื่องยุติการสู้รบ ข้อตกลงปางหลวง และการปกครองแบบสหพันธรัฐ ซึ่งสำเร็จไปครึ่งหนึ่ง จากทั้งหมด 17 กลุ่ม แต่ยังไม่มีการพูดคุยในข้อตกลง ซึ่งมีรายละเอียดเยอะที่ต้องหารือกันว่าหากเป็นสหพันธรัฐจริงรูปแบบการปกครองจะเป็นแบบไหน อย่างไรก็ดีกลุ่ม PDF ไม่ยอมเจรจา จึงยังหาทางออกไม่ได้ เพราะการที่กลุ่มชาติพันธุ์จะกำจัดกองกำลังทหารให้สิ้นซากนั้น ในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้ หรือหากสามารถทำได้ ก็จะเกิดการสู้รบระหว่างกลุ่ม PDF กับกองกำลังชาติพันธุ์กลุ่มอื่นๆ อีกเพราะขณะนี้กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ก็ยังไม่มีการเจรจาสงบศึกกันอย่างแท้จริง ยังไม่มีการตกลงกันว่าใครจะปกครองตรงไหน จังหวะที่จีน เกาหลีเหนือ และรัสเซียจะเข้ามาสนับสนุนรัฐบาลพม่าก็ยังมีอยู่

“สิ่งที่รัฐบาลต้องระวังคือ อย่าให้ไทยถูกดึงเข้าไปเป็นคู่ขัดแย้งกับเมียนมา เนื่องจากอาจมีผู้อพยพชาวเมียนมาที่เข้ามาในไทยนัดหมายซ่องสุมกำลังกัน ซึ่งจะทำให้ไทยถูกมองว่าให้การสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก รัฐบาลจึงต้องควบคุมให้ดี แต่ในอีกมุมหนึ่งรัฐบาลไทยก็อาจใช้โอกาสนี้ ในการเป็นคนกลางในการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งในพม่า เพราะหากพม่าสงบก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยด้วย” รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top