Tuesday, 17 September 2024
NEWS FEED

2 ช่างซ่อมจิตอาสา ขับมอเตอร์ไซค์กว่า 700 กม. มาจากกรุงเทพฯ เพื่อช่วยซ่อมรถจักรยานยนต์ให้ผู้ประสบอุทกภัยที่เชียงราย

(17 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากเหตุการณ์อุทกภัยในตัวเมืองเชียงรายเริ่มคลี่คลาย และหน่วยงานกู้ภัยต่างพื้นที่เริ่มถอยตัวออกจาก จ.เชียงราย เพื่อเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจุดอื่น แต่ภายในจังหวัดเชียงรายก็ยังคงมีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน จิตอาสา ที่ยังคงทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่

โดยที่บริเวณริมถนนพหลโยธิน ฝั่งขาล่อง ห่างจากห้าแยกพ่อขุนมาประมาณ 200 ม. ได้มีจุดบริการซ่อมแซมรถมอเตอร์ไซค์ให้กับผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งทางมูลนิธิสยามเชียงรายสำนักงานใหญ่และช่างซ่อมรถจิตอาสาได้ร่วมมือกัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประสบภัย 

ด้าน นายอนุสรณ์ อินทวงศ์ จากมูลนิธิสยามเชียงรายสำนักงานใหญ่ เผยว่า มูลนิธิสยามเชียงราย ร่วมกับช่างซ่อมรถจิตอาสาจากหลายที่ มาร่วมกันตั้งจุดบริการซ่อมแซมรถมอเตอร์ไซค์ให้กับผู้ประสบภัย โดยไม่คิดค่าบริการ แต่หากมีอะไหล่ชิ้นไหนเสียหาย เจ้าของรถก็สามารถซื้อมาให้ช่างเปลี่ยนให้ได้ ตั้งมาแล้วประมาณ 3 วัน ก็มีคนเอารถมาซ่อมไม่ต่ำกว่า 100 คันต่อวัน แต่ตอนนี้มีปัญหาใหญ่ เนื่องจากระบบประปาในตัวเมืองยังใช้การไม่ได้ จึงไม่มีน้ำสะอาดที่จะใช้ล้างทำความสะอาดรถ

ทั้งนี้ ในจุดดังกล่าว ได้พบว่า มีช่างซ่อมจิตอาสา ที่พากันขับขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจากเขตประเวศ กทม. เพื่อมาช่วยซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ให้กับผู้ประสบภัย ด้วย ได้แก่ นายอภิวัฒน์ เรืองโรจน์ อายุ 36 ปี ช่างซ่อมจิตอาสา ที่เล่าว่า ตนเดินทางมาจากกรุงเทพฯ มาพร้อมกับน้องชายคือ นายสุวิทย์ ขวัญแก้ว อายุ 31 ปี เดินทางมากว่า 700 กม. เพื่อร่วมซ่อมมอเตอร์ไซค์ให้ผู้ประสบภัย โดยตอนแรกไปซ่อมร่วมกับช่างของยามาฮ่าที่ด้านในตัวเมือง แต่ตอนนี้ก็ย้ายมาทำร่วมกับทางมูลนิธิสยามเชียงราย

นายอภิวัฒน์ เผยต่อว่า ตนเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันที่ กทม. ก็จะทำกิจกรรมแบบนี้อยู่ตลอด เมื่อรู้ว่าที่เชียงรายมีน้ำท่วมก็เลยชวนน้องชายมาด้วยกัน โดยบรรทุกอุปกรณ์ใส่กล่องรัดไว้ด้านหลังมอเตอร์ไซค์ ทีแรกกลัวว่าจะมาไม่ถึง เพราะระยะทางไกล และน้ำหนักอุปกรณ์ที่บรรทุกมาด้วยก็เยอะ แต่พอมาถึงก็ได้ช่วยซ่อมรถไปแล้วกว่า 100 คัน และคาดว่าจะอยู่ช่วยงานจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

'ม.เกษตรฯ' แจ้งระวัง!! 'มิจฉาชีพ' อ้างชื่อ 'คณะฯ-มหา’ลัย' จัดกิจกรรมรูดทรัพย์ หลอก!! จะมี 'แต้มต่อ' ในการเข้ามหาวิทยาลัยในรอบ TCAS1

(17 ก.ย. 67) ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเตือน ระบุว่า...

สำหรับนักเรียนที่กำลังทำ Port อยู่นะ

ช่วงนี้ เห็นแล้วเศร้าใจ มีคนพยายามสร้างกระแสกันว่า การไปร่วมกิจกรรมของคณะที่เราสนใจ เช่น อบรม แคมป์ จะมี 'แต้มต่อ' ในการเข้ามหาวิทยาลัยในรอบ TCAS1 โดยมีการเรียกเก็บเงินการเข้าร่วมกิจกรรมหลายพันบาท ขอบอกว่า คณะต้องการคนที่มีความสำเร็จ ไม่ใช่คนที่ความสนใจที่หลากหลายจากการเข้าร่วม ซึ่งแต้มน้อยมาก

วิธีการง่าย ๆ อันนึงของคนเหล่านั้น คือ...
- ไปเช่าสถานที่ของคณะยอดฮิต เพื่อจัดกิจกรรม เพื่อจะได้ใช้ชื่อ และทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าคณะจัด
- เชิญอาจารย์บางท่านของคณะนั้นมาบรรยาย ซึ่งท่านก็อาจมาบรรยายโดยสุจริต
- ขอแปะโฆษณาภายในมหาวิทยาลัย
- แอบใส่ Logo และมหาวิทยาลัย ในโครงการ เช่น อ้างว่าเป็นอาจารย์ที่ไหน หรือนิสิตเรียนที่ไหน ใช้ภาพถ่ายอาคารหรือสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย

- อาจมีแจกประกาศ แต่ออกให้โดยองค์กรอื่นที่ไม่ใช่ มหาวิทยาลัย
- ใบเสร็จไม่ใช่ของมหาวิทยาลัย
- อ้างว่าเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยนั้น แต่ไม่ได้ทำงานกับมหาวิทยาลัย

ซึ่งจะดูเนียนเหมือนว่าคณะนั้นจัด แต่คณะก็แค่ให้เช่าสถานที่อบรม และการตรวจสอบเจตนาแฝงมันดูยาก

ที่แย่คือ คนอาจคิดว่า คณะหิวเงินโดยทำโครงการที่มี Conflict of interest 

ที่แย่กว่านั้น ก็คิดไปไกลว่า พยายามสร้างช่องรับ 'แป๊ะเจี๊ยะ'

โครงการดีๆ ก็มีเยอะแยะนะครับ แต่ข้อสังเกตที่สำคัญคือ...
- จะต้องเขียนชัดๆ เลยนะว่า 'จัดโดย คณะ... มหาวิทยาลัย...' ไม่ใช่บอกแค่ว่าจัดที่นั่น
- โครงการอาจมีค่าใช้จ่าย แต่ส่วนใหญ่เขาจะจัดเอาแค่คุ้มทุน ไม่แพงมาก
- ถ้าสงสัย สอบถามโดยตรงจากคณะ (ไม่ใช่ไปถามที่โครงการนั้นนะ) เลยว่า คณะเกี่ยวอย่างไร มีผลต่อ TCAS มากน้อยเพียงใด เดี๋ยวนี้ คณะมีช่องทางออนไลน์ให้ติดต่อกันทั้งนั้นแหละ อย่างเช่นที่นี่เลย คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

มีลูกหลานก็ฝากแชร์ด้วยครับ สงสารเด็กๆ #dek67 #dek68 #dek69 #dek70

'รศ.ดร.นงนุช' ชี้!! หากนำเงินไปฝากแบงก์-ได้ดอกเบี้ย = ผู้ฝากเงินเป็นเจ้าหนี้ สะท้อนมุม 'เงินสด' ไม่ใช่หนี้-อยู่ฝั่งสินทรัพย์ ส่วน 'หนี้' ก็ไม่มีทางเป็นรายได้

(17 ก.ย. 67) รศ.ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ การเงินและการคลังและภาษี มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม เทรนต์ ประเทศอังกฤษ และ Visiting Academic, School of Electronics & Computer Science, University of Southampton ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'เงินสดคือหนี้ เงินกู้คือรายได้….จริงหรือไม่ ถูกหรือผิด' ระบุว่า...

ต่อไปนี้จะเป็นคำอธิบายจากคนที่อยู่กับเศรษฐศาสตร์มาปีนี้ ปีที่ 30 เป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ที่ทำทั้ง Macro Economic Model, Policy and Research มา 20 ปี และทำงานที่เกี่ยวกับสายการเงินการธนาคารมาตั้งแต่ปี 1998 ทั้งสอน วิจัย และทำงานตั้งแต่ฝึกงานยันบริหารทีม

📌 เวลาสอนวิชาการเงิน (Finance) 

เงินสด (Cash) คือ เงิน (Money) และเงินกู้ (Loan) คือ หนี้ (Debt)

📌 เวลาสอน Balance Sheet ให้กับคนเรียน Corporate Finance

เงินสด (Cash) อยู่ฝั่งสินทรัพย์ (Assets) ส่วนเงินที่ยืมเขามาใช้ดำเนินกิจการหรือลงทุน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปเงินกู้ (Loan) หรือตราสารหนี้ (Debenture) เช่น หุ้นกู้ จะอยู่ฝั่งหนี้สิน (Liabilities) ค่ะ

📌 เวลาสอน Balance Sheet ให้กับคนเรียนสายธนาคาร Banking

เงินสด (Cash) อยู่ฝั่งสินทรัพย์ (Assets) เงินที่ธนาคารให้กู้ (Loans) ก็อยู่ฝั่งสินทรัพย์ (Assets) ค่ะ ส่วนเงินฝาก (Deposits) หรือก็คือเงินที่ธนาคารยืมมาจากผู้ฝากเงินอยู่ฝั่งหนี้สิน (Liabilities)

📌 เวลาสอนหรือทำวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ (Economics) 

เงินสด (Cash: Currency and Notes) รวมเหรียญและธนบัตร คือ ส่วนหนึ่งของอุปทานเงิน (Money Supply)

เงินกู้ (Loan) คือ เงินที่ผู้มีความต้องการใช้เงินกู้ยืมจากผู้มีเงินส่วนเกิน โดยมีกำหนดจ่ายคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่ถือเป็นการตอบแทนการให้ใช้เงิน จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของอุปสงค์ต่อเงิน (Money Demand)

เงินสดจึงไม่ใช่หนี้ เพราะผู้ถือเงินสด อยู่ในฝั่ง Money Supply ที่จะได้ดอกเบี้ยหากนำไปให้ผู้อื่นใช้ เช่น เอาเงินไปฝาก ก็ได้ดอกเบี้ยจากธนาคารค่ะ ผู้ฝากเงิน ถือเป็นเจ้าหนี้

ในขณะที่ผู้ที่ก่อหนี้ เป็นลูกหนี้ที่มีภาระจ่ายคืนหนี้พร้อมดอกเบี้ย ส่วนจะเอาหนี้ที่ก่อไปทำอะไร สร้างรายได้เพิ่มหรือผลาญเล่น มันก็อยู่ที่คนก่อหนี้ค่ะ…แต่ยังไงซะ หนี้ (Debt) ไม่มีทางเป็นรายได้ (Income) เป็นได้แค่ตัวที่อาจสามารถนำไปใช้เพื่อทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น

ถึงเวลา ‘กองทุนน้ำมันฯ’ เก็บเงินชดเชยจากผู้ใช้ ช่วยติดลบน้อยลง เผย!! เก็บสูงถึง 3.59 บาทต่อลิตร ส่วนเกรดพรีเมียม 5.09 บาท

กองทุนน้ำมันฯ เรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลถึง 3.59 บาทต่อลิตร ขณะที่ดีเซลเกรดพรีเมียมถูกเรียกเก็บ 5.09 บาทต่อลิตร สูงสุดในรอบปี 2567 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เร่งรีดเงินเข้ากองทุนฯ ได้กว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน เพื่อปรับฐานะกองทุนฯ ให้ติดลบน้อยลง และใช้คืนหนี้เงินกู้ก้อนแรกให้ทัน พ.ย. 2567 ปัจจุบันเงินกองทุนฯ ติดลบเหลือ 1.05 แสนล้านบาท

ไม่นานมานี้ ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2567 คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้มีมติให้เรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซลสูงถึง 3.59 บาทต่อลิตร เพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมกันนี้ยังได้เรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซล เกรดพรีเมี่ยม สูงถึง 5.09 บาทต่อลิตร ส่งเข้ากองทุนฯ เช่นกัน ซึ่งนับเป็นการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราสูงที่สุดของปี 2567

โดยปัจจุบันมียอดการใช้น้ำมันดีเซลถึง 68.06 ล้านลิตรต่อวัน ทำให้มีเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากน้ำมันกลุ่มดีเซลรวมประมาณ 213.96 ล้านบาทต่อวัน  โดยราคาจำหน่ายดีเซลยังคงไว้ที่ 32.94 บาทต่อลิตร

ส่วนกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ กบน. ยังคงเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ในอัตราสูงถึง 4.90 บาทต่อลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 2.91 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ E85 เรียกเก็บ 1.46 บาทต่อลิตร และเบนซินออกเทน 95 เรียกเก็บ 10.68 บาทต่อลิตร

โดยปัจจุบันยอดการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ อยู่ที่ 31.55 ล้านลิตรต่อวัน ส่งผลให้มีเงินไหลเข้ากองทุนฯ รวม 134.26 ล้านบาทต่อวัน ทำให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าทั้งจากดีเซลและกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ รวม 348.22 ล้านบาทต่อวัน หรือ 10,446 ล้านบาทต่อเดือน

อย่างไรก็ตามการเรียกเก็บเงินดังกล่าวเนื่องจากราคาน้ำมันโลกปรับลดลง แต่ในส่วนของฐานะเงินกองทุนฯ ยังคงติดลบกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดย ณ วันที่ 8 ก.ย. 2567 สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) รายงานว่าสถานะเงินกองทุนฯ ติดลบรวม -105,121 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -57,646 ล้านบาท และมาจากบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -47,475 ล้านบาท

โดยกองทุนฯ จะต้องเร่งเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซล เพื่อจ่ายคืนหนี้เงินกู้ เนื่องจากกองทุนฯ นำเงินไปพยุงราคาดีเซลตั้งแต่ปลายปี 2564 ทำให้เงินกองทุนฯ เคยติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.3 แสนล้านบาทในปี 2565 และทำให้กองทุนฯ ต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินถึง 105,333 ล้านบาท ในปี 2566  ซึ่งจะถึงกำหนดต้องชำระหนี้เงินต้นก้อนแรกในเดือน พ.ย. 2567 นี้ ดังนั้นการเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลเข้ากองทุนฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นการเรียกเก็บในช่วงที่ราคาน้ำมันโลกปรับลดลง แต่ยังไม่มีการปรับลดราคาจำหน่ายดีเซลให้แต่อย่างใด เพื่อให้ทันใช้หนี้สถาบันการเงินที่จะถึงนี้

สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกล่าสุด ณ วันที่ 16 ก.ย. 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 70.92 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น  1.21 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 69.37 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 72.21 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ขณะที่ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมัน ที่รายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 16 ก.ย. 2567 พบว่าค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาดถึง 5.39 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.63 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.70 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.38 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 1.42 บาทต่อลิตร, น้ำมันดีเซล อยู่ที่ 1.82 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซล B20 อยู่ที่ 0.45 บาทต่อลิตร  ซึ่งโดยเฉลี่ยค่าการตลาดตั้งแต่ 1-16 ก.ย. 2567 อยู่ที่ 2.5 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่ควรได้ที่ 1.50-2 บาทต่อลิตร)

เพจแซะ 'ดอยคำ' แจกข้าวเหนียวไก่ห่อใบตองช่วยน้ำท่วม ถูกชาวเน็ตถามกลับ "ตัวเองเคยช่วยอะไรบ้าง?"

(17 ก.ย. 67) จากกรณี 'ดอยคำ' นำข้าวเหนียวไก่ย่างห่อใบตองไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมทางภาคเหนือ โดยระบุว่าน่าจะเก็บไว้กินได้หลายวัน พร้อมโพสต์ภาพพนักงานดอยคำ กำลังช่วยกันห่อข้าวเหนียวใบตองอย่างขะมักเขม้น

ต่อมาพบว่าเพจหนึ่งในเฟซบุ๊กที่ชอบแซะถึงสถาบันได้ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้าวเหนียวไก่ห่อใบตองของดอยคำว่า...“โถ เอ็นดูดอยคำ นำข้าวเหนียวไก่ย่างห่อใบตอง ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม น่าจะเก็บไว้กินได้หลายวันเลยนะคะ”

อย่างไรก็ตาม พบว่าหลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาคอมเมนต์วิจารณ์และมองว่าเป็นการด้อยค่าความตั้งใจของ 'ดอยคำ' และทีมงานที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยมีชาวเน็ตส่วนหนึ่งได้เข้ามาคอมเมนต์ว่า...

“ก็แซะมันทุกอย่าง มือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำ โพสต์อื่นไม่เคยเมนต์แต่โพสต์นี้ไม่ไหว แซะให้ถูกเวลาหน่อยไม่ใช่แซะเอาสนุกปาก“

“ห่อใหญ่เบ้อเริ่ม เอาจริง ๆ ข้าวเหนียวไก่ทอดหมูทอดพวกนี้ ได้เยอะและอิ่มกว่าพวกข้าวผัด หรือข้าวกล่อง ที่ใส่กล่องซะอีกค่ะ”

“เคยช่วยอะไรเขาบ้างละ มีแต่แซะ ให้จ้องตาอย่างเดียวมันจะอิ่มไหม ถ้าไม่ช่วยก็หุบปากไปเลย”

“สำหรับภาคเหนือ ข้าวเหนียวห่อใบตองกับหมูทอดทานง่าย ไม่บูดง่ายมีน้ำพริกหน่อยอร่อยเลย เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานได้แถมไม่มีโฟมทำลายต่อสิ่งแวดล้อม”

“สวยน่าทาน กินง่าย อิ่มท้อง สะดวกแจก ตรงไหนที่ไม่ดี ???”

“อย่าลบโพสต์นะคะ เก็บไว้เป็นที่ระทึก”

“ในฐานะที่เคยเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วยตัวเอง อันนี้ถือว่าดี น่ากินมาก เค้าไม่ต้องเก็บไว้หลายวันหรอกครับ พอได้รับก็กินได้เลย ข้าวเหนียวหมูทอด อยู่ท้องและไม่บูดง่าย คนเคยเจอน้ำท่วมเข้าใจดี”

โรงพยาบาลตำรวจ ใส่ใจสุขภาพประชาชน นำทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ทุกสาขาวิชาชีพ 10 หน่วยงาน ตรวจสุขภาพฟรี ตามโครงการ ตำรวจรักษ์ประชาชน' ครั้งที่ 2 

(17 ก.ย.67) ณ โดมสนามกีฬาแฟลต 51-53 ชุมชนเคหะนครหลวงสาขาดินแดง2 ซอยประชาสงเคราะห์11 แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม.พล.ต.ท. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่(สบ 8)พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา ตรวจเยี่ยมมอบขวัญกำลังใจแก่คณะเเพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ 10 หน่วยงาน ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการตรวจสุขภาพให้แก่ข้าราชการตำรวจ และครอบครัว รวมถึงประชาชนทั่วไป ที่เข้ารับบริการตรวจสุขภาพฟรี อาทิ ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง Echo 2 เครื่อง, ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG, ตรวจไขมันพอกตับ, ตรวจคัดกรองกระดูกพรุน, คัดกรองภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองในช่องท้อง, กายภาพบำบัด, ฝังเข็ม และเยี่ยมบ้านผู้ป่วย 3 ราย มอบของขวัญให้กำลังใจกับผู้ป่วยและครอบครัว 

พล.ต.ท. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)กล่าว ขอบคุณทีมแพทย์ พยาบาล และ ทุกภาคส่วน ที่ให้ความสนับสนุนร่วมแรงร่วมใจ จัดกิจกรรมในครั้งนี้ การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลสุขภาพของประชาชน เป็นภารกิจหลักของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องให้ทั่วทุกพื้นที่

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า โครงการ 'ตำรวจรักษ์ประชาชน' เป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการสานต่อเรื่องการดูเเลสุขภาพร่างกาย และจิตใจของข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และประชาชน โดยมีกลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลตำรวจ เป็นกลุ่มงานหลักในการดำเนินงาน นำอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยตรวจสุขภาพร่างกายฟรี อีกทั้งนำอาหาร เครื่องดื่ม ให้บริการด้วย เพื่อสร้างความสุขให้กับผู้ร่วมกิจกรรมทุกคน เป็นการสร้างความรักความสามัคคีระหว่างตำรวจกับประชาชน

โรงพยาบาลตำรวจยังให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ส่งทีมแพทย์พยาบาล ลงพื้นที่ดูแลสุขภาพกายและจิตใจ อีกทั้งมีสายด่วน ให้คำแนะนำปรึกษาสุขภาพจิตให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่เบอร์081-932-0000 และ เบอร์เฉพาะกิจ 081-352-4591 เวลา 8.00-18.00 น.

นอกจากนี้ ยังมีศิลปิน ดารา ที่มีชื่อเสียง อาทิ คุณเอส กันตพงศ์, คุณชมพูและปิง ฟรุ๊ตตี้, คุณจิตติมา เจือใจ, คุณอุมาพร บัวพึ่ง ,คุณสดใส รุ่งโพธิ์ทอง มาขับกล่อมบทเพลงอันไพเราะร่วมกับวงดนตรีจิตอาสา 'PGH BAND' ของโรงพยาบาลตำรวจ 

การออกหน่วยครั้งนี้มีประชาชนร่วมกิจกรรม ประมาณ 600 กว่าราย ทุกคนมีรอยยิ้ม แห่งความสุข พร้อมขอบคุณโรงพยาบาลตำรวจ ที่นำทีมแพทย์พยาบาลมาตรวจสุขภาพให้ในครั้งนี้ และหวังว่าโครงการดีดีแบบนี้จะมีต่อไปเรื่อยๆ

ทั้งนี้ ข้าราชการตำรวจ, ครอบครัวข้าราชการตำรวจ และประชาชน ที่มีความประสงค์ที่จะปรึกษา หรือเข้ารับการตรวจรักษา สามารถติดต่อไปยังโรงพยาบาลในสังกัดโรงพยาบาลตำรวจในพื้นที่ของท่านทั่วประเทศ หรือติดต่อมายังโรงพยาบาลตำรวจ ผ่านช่องทาง facebook Fanpage รวมถึงช่องทางให้คำปรึกษาสุขภาพจิตความรุนแรงในครอบครัว ที่สายด่วน 081-932-0000 และ เพจ Depress We Care , Because We Care ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน”

'อลงกรณ์' พอใจ 'เอฟเคไอไอบิสซิเนส ฟอรั่ม' ประสบความสำเร็จเชื่อมโยงธุรกิจไทย-เกาหลี บรรลุข้อตกลงจับคู่ธุรกิจการลงทุนกิจการเทคโนโลยีชีวภาพ-สุขภาพ-สิ่งแวดล้อมพร้อมขยายความร่วมมือกับโกลบอลESG

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์( FKII Thailand)เปิดเผยวันนี้ภายหลังเป็นประธานเปิดงาน FKII Global Business Forum : THAI - KOREA COLLABORATION และบรรยายพิเศษเรื่อง อนาคตความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-เกาหลี (Thailand - Korea Collaboration Outlook)ซึ่งจัดร่วมกับสถาบันทิวา โดย นายชยดิฐ หุตานุวัตรและการบรรยายพิเศษเรื่องการขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจของเกาหลีในเอเซีย (Korea-Asia Economic Cooperation)โดย อดีตรัฐมนตรี ดร.ลี นัมคี ( Dr. Lee Nam Kee ) ประธานสมาคมโคเอก้า( Korea-Asia Economic Cooperation Association : KOAECA) ณ สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์

งานดังกล่าว เปิดโอกาสให้ ผู้ประกอบการเกาหลีในนามสมาชิก KOAECA ได้นำเสนอ Profile ของบริษัทและสิ่งที่ต้องการในการเชื่อมโยงธุรกิจกับไทย และแนะนำผู้ประกอบการไทยโดย คุณชนานนท์ นรภูมิพิภัชน์ CEO บริษัท ทิวา แคปิตอลคอนซัลแทนซี่ จำกัด อีกทั้งมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเกาหลีและไทย 4 ฉบับ ได้แก่ 1) N-Biotek กับ TVA Capital Consultancy Ltd. 2) KNJ Engineering & Health กับ EnvitechLtd. 3) Mealbon Inc. กับ Neo Venture Solutions Ltd. และ 4) Global ESG Association กับ TVA Instituteโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมเช่น

ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะที่ปรึกษาเอฟเคไอไอ. ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันสร้างชาติ รศ.ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล รองประธานเอฟเคไอไอ. นายสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) ดร.กนก อภิรดี อดีตผู้อำนวยการใหญ่การบินไทย นายปรพล อดิเรกสาร อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ศจ.ดร.ฐาปนา บุญหล้า ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษเรื่อง โอกาสการลงทุนในประเทศไทย(Investment Opportunity in Thailand)โดย นางสาวฐนิตา ศิริทรัพย์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และได้รับเกียรติจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ได้ส่งคุณคิมมินเฮ (Ms. Kim Minhye) ที่ปรึกษาด้านพาณิชย์ (Commercial Attache) มาร่วมงาน

FKII Thailand (Field for Knowledge Integration and Innovation) เป็นองค์กรความร่วมมือเพื่อส่งเสริมองค์ความรู้และนวัตกรรม ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (Non- Profit Organization) ในรูปของวิสาหกิจเพื่อสังคม 100% โดยมี คุณอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นประธานคณะกรรมการและมี คุณชยดิฐ หุตานุวัชร์ ผู้บริหารสถาบันทิวา เป็นผู้อำนวยการ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการและภาคีภาคส่วนต่าง ๆ ทางด้านการพัฒนาโดยองค์ความรู้ นวัตกรรมและเชื่อมโยงการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ FKII Thailand มีพันธกิจมุ่งเน้นจะสร้างเศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation Economy)

ติดตาม FKII Thailand
FB: FKIIThailand https://shorturl.at/87OHy
LineOA: FKIIThailand https://lin.ee/BgPCPvd
 
FKII Thailand มุ่งมั่นสร้างสรรค์ ความร่วมมือ ร่วมทุน ร่วมค้า ระหว่างประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ MOU ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อเป็นสถาบันพี่เลี้ยงและจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นปีที่ 1-3 กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผลิตแพทย์ที่มีอัตลักษณ์ตำรวจที่มีประสิทธิภาพ

(17 ก.ย. 67) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมาย พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อเป็นสถาบันพี่เลี้ยงและจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นปีที่ 1-3 ให้กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ณ ห้องพรหมนอก อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ ตามเจตนารมณ์นโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ในเรื่องศักดิ์ศรี ขวัญกำลังใจ คุณภาพชีวิต สวัสดิการของข้าราชการตำรวจและครอบครัว จึงมอบหมายให้โรงพยาบาลตำรวจดำเนินการเปิดหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตของสำนักงกงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อผลิตแพทย์ที่มีอัตลักษณ์ตำรวจ มีลักษณะเด่น คือ มีความรู้ด้านการแพทย์ ด้านกฎหมาย ด้านนิติเวชศาสตร์ และด้านนิติวิทยาศาสตร์ โดยมอบหมายให้โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการสนับสนุนการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1-3 และเป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือแก่คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ 

โดยในปี 2529 จนถึงปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติและมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือให้โรงพยาบาลตำรวจเป็นโรงพยาบาลสมทบ ในการจัดการเรียนการสอนและการฝึกปฏิบัติทางคลินิกให้กับนิสิตแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเป็นสถาบันที่มีประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาแพทย์ ตรงตามข้อกำหนดของแพทยสภา ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 สถาบัน ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ ในโอกาสนี้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจึงจะได้เป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และให้การสนับสนุนการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาแพทย์ตำรวจ ชั้นปีที่ 1-3 คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ต่อไป

พล.ต.อ.สราวุฒิฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติตกลงทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒยินดีเป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้แก่คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และจะให้การสนับสนุนการศึกษาเพื่อผลิตแพทย์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของทั้งสองฝ่าย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ แก่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตามการดำเนินการตามบันทึกความร่วมมือนี้ ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสนับสนุนด้านการพัฒนาทางการแพทย์ งานวิชาการ งานวิจัยและด้านอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาด้านการเรียนการสอนด้านการแพทย์อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง

'ผบ.ตร.' เป็นประธาน มอบโล่เกียรติคุณด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้แก่หน่วยงาน, ตำรวจ และประชาชน ที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนงานด้านยาเสพติด

(17 ก.ย. 67) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เป็นประธานเป็นประธานมอบโล่เกียรติคุณ

ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้แก่หน่วยงาน, ตำรวจ และประชาชนที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนงานด้านยาเสพติด ณ ห้องประชุมพรหมนอก ชั้น 2 บช.ปส. โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.นิรันดร์ เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ร่วมงาน ตามที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยการใช้หลัก “การลดความต้องการการใช้ยาเสพติด และลดปริมาณยาเสพติดรวมทั้งดำเนินการกับ ผู้ค้ายาเสพติด อย่างเด็ดขาด” ดังนั้น ทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรต่างๆ และภาคประชาชน จึงต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างเต็มกำลัง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงมีนโยบายเน้นหนักด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในทุกมิติอย่างเป็นระบบ และมอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้รับผิดชอบขับเคลื่อนการปฏิบัติ ด้านการป้องกันยาเสพติด ได้ดำเนินการนําผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาในสถานพยาบาล และการบำบัดด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน การเสริมสร้างให้ประชาชนและชุมชนเข้าใจ และรับรู้ปัญหายาเสพติดที่มีผลกระทบต่อตนเอง ครอบครัวชุมชน ส่วนด้านการปราบปรามยาเสพติด ได้ดำเนินการจับผู้ค้ารายย่อยในชุมชน การขยายผลจับกุมและยึดทรัพย์ผู้ค้าทุกระดับ เพื่อทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด รวมทั้งการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่ประเทศ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงาน ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ทหาร และที่สำคัญคือการได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน ซึ่งทำให้มีผลการปฏิบัติงานเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับวันนี้ มีหน่วยงานที่ได้รับรางวัลผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติด ดีเด่น 12 รางวัล ได้แก่ ระดับ บช. ดีเด่นอันดับ 1 คือ ภ.4, ดีเด่นอันดับ 2 คือ ภ.8, ดีเด่นอันดับ 3 คือ ภ.1 / ระดับ บก. ดีเด่น อันดับ 1 คือ ภ.จว.นครศรีธรรมราชดีเด่นอันดับ 2 คือ ภ.จว.สมุทรปราการ, ดีเด่นอันดับ 2 คือ ภ.จว.กาฬสินธุ์/ ระดับ สน./สภ. สถานีตำรวจระดับใหญ่ ดีเด่น สภ.ชะอวด ภ.จว.นครศรีธรรมราช, สถานีตำรวจระดับกลาง (ผกก.) ดีเด่น สภ.ทองแสนขัน ภ.จว.อุตรดิตถ์, สถานีตำรวจระดับกลาง (สวญ.) ดีเด่น สภ.ห้วยไร่ ภ.จว.แพร่, สถานีตำรวจระดับเล็ก ดีเด่น สภ.หนองซอน ภ.จว.มหาสารคาม และ หน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติงานด้านการสืบสวน (บก.สส. และกก.สส./กก.สายตรวจ) ได้แก่ บก.สส. ดีเด่น คือ บก.สส.ภ.5 และ กก.สส. ดีเด่น คือ กก.3 บก.สส.ภ.5  ในส่วนของรางวัลผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันยาเสพติด แบ่งเป็นกลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการชุมชนบำบัดอย่างยั่งยืน และตำบลที่มีผลการปฏิบัติดีเด่นต้นแบบ ได้แก่ สภ.จัตุรัส ภ.จว.ชัยภูมิ, ระดับดีมาก ได้แก่ สภ.บางละมุง ภ.จว.ชลบุรี, สภ.วังสะพุง ภ.จว.เลย, สภ.หนองแค ภ.จว.สระบุรี และ ระดับดี ได้แก่ สภ.โคกโพธิ์ ภ.จว.ปัตตานี, สภ.ฝาง ภ.จว.เชียงใหม่, สน.ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร, สภ.บางสะพานน้อย ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์, สภ.หล่มสัก ภ.จว.เพชรบูรณ์ และ สภ.หลังสวน ภ.จว.ชุมพร รวม 22 รางวัล, กลุ่มที่ 2 ข้าราชการและบุคคลผู้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ จำนวน 18 รางวัล รวมทั้งสิ้น 42 รางวัล

'กรณ์' ให้มุมมอง #เงินสดคือหนี้ หลังกลายเป็นไวรัลแพร่สะพัด ชี้!! 'ค่าเงิน' แม้ลดลงจากสภาวะเงินเฟ้อ แต่ก็มิใช่การเป็นหนี้ใคร

เมื่อวานนี้ (16 ก.ย. 67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมไม่รู้เจตนาของผู้โพสต์ แต่ข้อดีของโพสต์ไวรัล '#เงินสดคือหนี้' คือ การฉุดให้คนคิดเรื่องเงิน เรื่องหนี้ เรื่องเงินเฟ้อ เรื่องการลงทุน เรื่อง compound interest ฯลฯ

ซึ่งจริง ๆ จะเรียกเงินสดเป็นหนี้มันไม่ถูกอยู่แล้ว อย่างเก่งคือ การถือเงินสดคือ การสูญเสียโอกาส ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราเป็นหนี้ใคร

หากมีคน 100 คนเห็นโพสต์ไวรัลนี้ แล้วมี 80 คนงง ๆ แล้วก็ไถผ่านไป (พร้อมด่าอยู่ในใจ) แต่มี 20 คนที่หยุดคิด และจาก 20 คน มีสัก 2 คนที่มีคำตอบให้ตัวเองในเรื่องค่าของเงินที่จะลดลงจากสภาวะเงินเฟ้อ (ถ้าเราถือมันไว้เฉย ๆ) และความจำเป็นที่จะต้องแปลงเงินสดเป็นอย่างอื่นที่มีผลตอบแทน (เช่นเงินฝาก พันธบัตร หรือเงินลงทุน)...แค่นี้โพสต์นี้ผมถือว่าทำประโยชน์แล้ว!


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top