Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

"สัมฤทธิ์" จี้ถามมหาดไทย!! หลังกังหันลมได้ยกเว้นภาษี ชี้! ชาวบ้านได้รับมลพิษทางเสียงแต่ไม่ถูกเยียวยา "บิ๊กป๊อก" แจงทำตามกฎหมายที่ดิน ยันมติครม.มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลผู้ได้รับผลกระทบ

นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ตนได้ตั้งกระทู้ถาม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในการประชุมสภาผู้แทนรษฎร ว่าเพราะอะไร กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ถึงระบุว่า กังหันลมเป็นสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในข่ายได้รับการยกเว้นภาษี หลังมีการประกาศบังคับใช้พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562 เพราะที่ผ่านมาองค์กรส่วนปกครองท้องถิ่นไม่เคยมีปัญหาเรื่องการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการกังหันลมในจังหวัดชัยภูมิที่ไว้ใช้ผลิตไฟฟ้า แต่ปัจจุบันไม่สามารถเก็บภาษีได้ จนทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขาดรายได้นำไปพัฒนาพื้นที่และดูแลคุณภาพชีวิตคน

และกรณีก่อนการก่อสร้างติดตั้งกังหันลม จะต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือทำประชาคมเพื่อได้รับความยินยอมจากชาวบ้านในพื้นที่ก่อน ซึ่งชาวบ้านก็ยินยอม แต่ทำไมปัจจุบันชาวบ้านกลับถูกหลอกได้รับความเดือดร้อนจากมลพิษทางเสียงของกังหันลมโดยไม่ได้รับการเยียวยาหรือชดเชยใด ๆ และจะมีแนวทางอย่างไรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าไปจัดเก็บภาษีได้เหมือนเดิมเพื่อใช้ช่วยเหลือประชาชน

นายสัมฤทธิ์ กล่าวว่า พล.อ.อนุพงษ์ ระบุว่า เพราะเราเปลี่ยนมาใช้กฎหมายใหม่โดยจากเดิมเก็บภาษีจากรายได้ของสิ่งปลูกสร้าง แต่ตอนนี้ใช้เกณฑ์วัดตามมูลค่าของสิ่งปลูกสร้าง ยืนยันว่าทำตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้เหมือนก่อน ซึ่งทั่วโลกก็ยึดเกณฑ์เหล่านี้เป็นหลัก โดยขณะนี้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน มีการไปตรวจสอบต้นทุนว่าเมื่อไม่ต้องเสียภาษีและมีการรับซื้อจะซื้อได้เท่าไร ผู้ประกอบการจะได้รับความพึงพอใจและเป็นธรรม คนที่ได้รับผลประโยชน์จากพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคือ พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะคนจนที่ไม่ต้องแบกรับเรื่องภาษี เมื่อเทียบกับคนรวยที่ต้องแบกรับภาระมากกว่าเพราะเป็นเจ้าของที่ดิน และกฎหมายดังกล่าวกระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบ

สำหรับการเยียวยาประชาชน และประเด็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บรายได้ นั้น ตามมติครม. 7 มิ.ย. 2559 ได้มอบหมายให้คณะกรรมการกระจายอำนาจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขเพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง โดยมีการจัดสรรงบอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกปี

ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ประกาศ จะบริจาควัคซีนโควิด-19 อีก 100 ล้านโดสให้ประเทศกำลังพัฒนาภายในปีนี้

เฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความล่าสุด เผย ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศว่า จีนจะบริจาควัคซีนโควิด-19 จำนวนอีก 100 ล้านโดสให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาภายในปีนี้

ในช่วงเย็นของวันที่ 9 กันยายน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เข้าร่วมการประชุมสุดยอด BRICS ครั้งที่ 13 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยกล่าวว่า ปัจจุบัน จีนได้จัดสรรวัคซีนสำเร็จรูปและวัคซีนรอบรรจุภัณฑ์มากกว่า 1 พันล้านโดส ให้นานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศกว่า 100 แห่ง และจะจัดสรรวัคซีนจำนวน 2 พันล้านโดส ให้ทั่วโลกภายในสิ้นปีนี้ จีนจะบริจาควัคซีนโควิด-19 เพิ่มอีก 100 ล้านโดส ให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาภายในปีนี้ หลังจากได้บริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้โครงการโคแวกซ์ (COVAX) แล้ว


https://www.facebook.com/ChineseEmbassyinBangkok/photos/a.846557328724407/4373888505991254/

รพ.ศิริราช แจ้งยกเลิก การลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี เหตุเข้าใจคลาดเคลื่อน ระบุ ต้องฉีดซิโนแวคเป็นเข็มแรก

ตามที่ โรงพยาบาลศิริราชเปิดให้ประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ลงทะเบียนจองวันและเวลาการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท AstraZeneca สำหรับเดือนกันยายน 2564 ตั้งแต่วันที่ 10-20 กันยายน 2564 สำหรับการฉีดเข็ม 1 เท่านั้น แต่เนื่องจากมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ซึ่งไม่ตรงกับนโยบายการบริหารจัดการวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุขที่จะจัดให้มีการเข้ารับวัคซีนชนิด Sinovac เป็นเข็มที่ 1 และวัคซีนชนิด AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2

รพ.ศิริราช จึงขอยกเลิกการลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 10-20 กันยายน 2564 ดังกล่าว และขอแสดงความเสียใจ รวมทั้งขออภัยในความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นมา ณ ที่นี้ หากรพ.ศิริราชได้รับการจัดสรรวัคซีนสำหรับดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขแล้วจะรีบดำเนินการต่อไปโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ การประกาศยกเลิกดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังจากรพ.ศิริราช ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 ว่า "โรงพยาบาลศิริราช" เปิดให้ประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป สามารถจองวันและเวลาการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของ "แอสตร้าเซเนก้า" สำหรับเดือนกันยายน 2564 โดยสามารถดาวน์โหลด และจองผ่านแอปพลิเคชัน Siriraj Connect ได้ตั้งแต่วันที่ 10-20 กันยายน 2564 เพื่อรับการฉีดวัคซีนระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2564 ถึง 3 ตุลาคม 2564 เวลา 08.00 - 15.30 น. ที่โรงพยาบาลศิริราช

Moderna เตรียมผสมสูตรวัคซีนป้องกัน Covid-19 กับไข้หวัด กรุยทางสู่แผนการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ทุกปี

แล้วก็เป็นอย่างที่หลายคนคาดไว้จริง ๆ ว่า วัคซีน Covid-19 จะออกแบบมาเพื่อให้เราต้องฉีดกระตุ้นภูมิกันเป็นประจำทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 เข็ม 

ล่าสุดบริษัท Moderna กำลังพัฒนาวัคซีนรวมป้องกันทั้ง Covid-19 และ ไข้หวัด ฉีดครบ จบในเข็มเดียว และจะผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจเช่นนี้เป็นประจำทุกปี 

สเตฟาน บานเซน CEO ของบริษัท Moderna ได้กล่าวในงานนำเสนอแผนการตลาดกับนักลงทุนว่าทางบริษัทเชื่อมั่นว่าสูตรวัคซีนผสมนี้ จะสามารถตีตลาดกลุ่มที่ต้องการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ประจำปีได้อย่างแน่นอน เพราะครอบคลุมการป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจได้กว้างขึ้น

และมั่นใจด้วยว่า Moderna จะเป็นผู้ผลิตวัคซีนเจ้าแรกที่เข้ามาลุยตลาดวัคซีนบูสเตอร์ ด้วยกลยุทธ์ชิงตลาดก่อนเพื่อความได้เปรียบ

เวลานี้ บรรดาบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีวัคซีนของโลกทั้ง Moderna, Pfizer และ BioNTech ต่างขยับเข้าสู่ตลาดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ ที่นักลงทุนคาดการณ์ได้ว่าจะสามารถทำกำไรได้อีกหลายพันล้านดอลลาร์ และอาจเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวถ้าสามารถพัฒนาสูตรผสมควบรวมกับวัคซีนโรคอื่น ๆ อย่างไข้หวัดใหญ่ และโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ ได้อีก เพราะจะยิ่งจูงใจให้คนเข้ามารับวัคซีนประจำปีอีกเป็นจำนวนมาก 

และทันทีที่มีประกาศจากทางผู้บริหาร Moderna ในการพัฒนาวัคซีน Covid-19 บูสเตอร์สูตรผสม ก็ส่งผลให้หุ้นของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอีก 6% ทันที 

ด้วยแรงจูงใจในมูลค่าการตลาดนี้เอง ก็น่าจะมีวัคซีนอีกหลายเจ้าที่จะขยับเข้ามาแข่งขันในตลาดวัคซีนบูสเตอร์เพิ่มมากขึ้น เช่นล่าสุด Novavax ที่กำลังปล่อยวัคซีน Covid-19 ตัวใหม่ออกสู่ตลาด ก็ประกาศว่ากำลังพัฒนาวัคซีนสูตรผสมป้องกัน Covid-19 และ ไข้หวัดใหญ่เช่นเดียวกัน

ปรากฏการณ์ตลาดตื่นวัคซีนนี้ อาจมองได้ 2 แง่ว่า เป็นการสร้างภูมิต้านทานโรคติดต่อทางลมหายใจได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ที่จะสามารถก้าวข้ามปัญหาการระบาดของ Covid-19 ไปได้

แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง ก็มีหลายฝ่ายยังวิตกว่า จริง ๆ แล้ว ร่างกายคนเราต้องการวัคซีน ฉีดกันเป็นประจำทุกปีจริงหรือไม่ เพราะเรายังไม่เห็นผลกระทบของการได้รับวัคซีนต่อเนื่องในระยะยาว และอาจผิดเป้าหมายของการใช้วัคซีนเพื่อขจัดโรคระบาดให้หมดไปจากโลก 

หรือนี่จะเป็นเพียงการเลี้ยงไข้ ให้สามารถขายวัคซีน เพื่อผลกำไรมหาศาลในแต่ละปีกันแน่? 


เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

อ้างอิง: Straits Times

กนช.เคาะแผนบริหารจัดการน้ำดัน 2 โครงการรับอีอีซี 

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยภายหลังการการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้รับทราบแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ และเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  โดยจะเสนอขอตั้งงบประมาณปี 2566 ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน 2 โครงการ คือ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะพง จังหวัดฉะเชิงเทรา และโครงการสูบผันน้ำจากคลองสะพานแนวที่ 2 จังหวัดระยอง ระยะเวลาการดำเนินงาน 4 ปี (2565-2568) ซึ่งกรมชลประทาน จะเสนอ ครม. เห็นชอบต่อไป

สำหรับโครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะพง เป็น 1 ในโครงการเพิ่มน้ำต้นทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  มีแผนการดำเนินงาน 6 ปี (2565-2570) โดยในปี 2565 จะเตรียมความพร้อมด้านการมีส่วนร่วมและจัดหาที่ดิน และเริ่มก่อสร้างในปี 2566-2568  จากนั้นจะดำเนินการวางระบบส่งน้ำในปี 2568-2570  หากโครงการแล้วเสร็จจะทำให้มีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นประมาณ 35,000 ไร่ เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในเขตพื้นที่ EEC ได้ประมาณ 4 ล้าน ลบ.ม./ปี รวมทั้งยังใช้ผลักดันน้ำเค็ม รักษาระบบนิเวศได้ประมาณ 2 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ กรมชลประทาน ดำเนินการเร่งรัดจัดหาที่ดิน เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนด 

ส่วนโครงการสูบผันน้ำจากคลองสะพานแนวที่ 2 ในปี 2565 จะดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านการมีส่วนร่วมและจัดหาที่ดิน ก่อนจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2566-2568 หากโครงการแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับอ่างเก็บน้ำประแสร์ได้ประมาณ 50 ล้าน ลบ.ม./ปี เมื่อรวมกับปริมาณน้ำจากโครงการสูบผันน้ำจากคลองสะพานแนวที่ 1 จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับอ่างเก็บน้ำประแสร์ ได้มากถึง 100 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้กรมชลประทาน เร่งรัดออกแบบและจัดหาที่ดินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผน

'ตำรวจ' เตือน ซื้อ ‘รถออนไลน์- รถมือสอง’ ระวังได้แต่รูป ถูกแก๊งคนร้ายหลอกขายรถ

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม จับกุม นายพีรศิลป์ (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 197/2564 ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ซึ่งต้องหาว่า “ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” และยังมีหมายจับในข้อหาเดียวกันอีกสองหมาย คือ หมายจับศาล จ.ขอนแก่น และหมายจับศาล จ.สุรินทร์ รวมทั้งหมด 3 หมายจับ เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา

โดยคนร้ายได้เปิดเฟซบุ๊กชื่อ “เฮียบอล รถบ้าน” หลอกขายสินค้ามือสอง เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถไถนา รถเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพ่อวัวพันธุ์บลามันห์ โดยเปิดขายสินค้ามาแล้วประมาณ 3 ปี แต่ไม่เคยมีผู้เสียหายรายใดได้รับสินค้าตามที่ตกลงซื้อขาย ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประชาชนทั่วประเทศ มูลค่าความเสียหายจำนวนหลายล้านบาท

ก่อนหน้านี้ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ก็ได้มีการจับกุมผู้ต้องหาโพสต์ขายรถยนต์ดังกล่าวในเพจเฟซบุ๊ก “รถหลุดจำนำหลักหมื่น” ซึ่งมีการโพสต์ประกาศซื้อขายรถยนต์หรูและรถต่าง ๆ วันละไม่ต่ำกว่า 30 - 40 คัน ในราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก โดยอ้างว่าเป็นรถหลุดจำนำ สามารถซื้อไปใช้งานได้ถูกต้องตามกฎหมายและต่อภาษีประจำปีได้ แต่จากการตรวจสอบพบว่ารถยนต์ที่ประกาศขาย มีการใช้แผ่นป้ายทะเบียนและแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีปลอม

จะเห็นว่ามิจฉาชีพได้ใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ประชาชนนิยมใช้งาน เป็นช่องทางในการหลอกลวง ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เคยเตือนภัยแล้ว แต่ก็ยังมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่ออยู่เรื่อยมา จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนที่มีความประสงค์ซื้อรถผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ว่า ควรเลือกซื้อรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ มีสมุดคู่มือการจดทะเบียน หมายเลขตัวถัง หมายเลขเครื่องยนต์ ไม่มีการขูดลบ แก้ไข และตรงตามคู่มือการจดทะเบียน มีเอกสารชุดโอนกรรมสิทธิ์ครบถ้วน และควรมีการทำสัญญาซื้อขายที่มีการลงลายมือชื่อทั้งฝ่ายผู้ขายและผู้ซื้อ หากเกิดกรณีมีปัญหาภายหลัง สามารถใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีทางกฎหมายได้ และเมื่อตกลงซื้อขายรถกัน ควรนัดไปแจ้งโอนกรรมสิทธิ์ที่กรมการขนส่งทางบกให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อ "หากท่านไม่อยากตกเป็นเหยื่อถูกฉ้อโกงหลอกขายรถ ควรตั้งสติอย่าเห็นแก่รถที่นำมาโฆษณาในราคาถูก และอย่ารีบโอนเงิน ควรตรวจสอบรายละเอียดเบื้องต้นของผู้โพสต์ขายว่าเป็นบัญชีสื่อสังคมออนไลน์จริงหรือบัญชีอวตาร (บัญชีที่สร้างขึ้นมาเพื่อก่ออาชญากรรมออนไลน์) และให้นำชื่อ, หมายเลขบัญชีธนาคาร, หมายเลขโทรศัพท์ และรายละเอียดของผู้ขายทั้งหมด ไปตรวจสอบในเว็บไซต์ Search engine เช่น Google ว่าเคยมีประวัติการโกงหรือไม่อย่างไร และไม่ควรซื้อรถมือสองจากเพจเฟซบุ๊กที่มีการโฆษณาขายรถในลักษณะ รถหลุดจำนำ รถหนีไฟแนนซ์ฯ เนื่องจากรถที่นำมาประกาศขายมักเป็นรถที่ได้มาโดยไม่ถูกต้อง เช่น ขาดการชำระค่างวดกับสถาบันการเงิน หรือเป็นรถที่ถูกโจรกรรม 

ซึ่งผู้ขายอาจมีการปลอมแปลงแผ่นป้ายทะเบียน ป้ายการแสดงการชำระภาษีประจำปี จากนั้นจึงนำมาประกาศขายให้กับประชาชนในราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก ซึ่งการซื้อรถลักษณะดังกล่าว หากผู้ซื้อรู้หรือควรรู้ได้ว่ารถคันดังกล่าวได้มาโดยผิดกฎหมาย ผู้ซื้อหรือผู้ครอบครองรถดังกล่าวอาจถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหา ลักทรัพย์หรือรับของโจร ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี นอกจากนี้ผู้ซื้อยังเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง หากผู้ขายขอให้โอนเงินมัดจำก่อน และเมื่อผู้ขายได้รับเงินมัดจำแล้วอาจบล็อกบัญชีของผู้ซื้อ ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้และสูญเสียเงินมัดจำได้"

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

รัฐมนตรีฯนิพนธ์ สั่งทำแผนแม่บทแก้ปัญหาน้ำท่วมสงขลา ทั้งระบบ ก่อนลงพื้นที่ดูปภ.เคลียร์เส้นทางระบายน้ำรับมือมรสุม 

ที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจของอำเภอเมืองสงขลา โดยมีนายวงศกร นุ่นชูคันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา รศ.ดร.ทัศนา ศิริโชติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา  ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม 

นายนิพนธ์  กล่าวว่า จังหวัดสงขลาถือเป็นจังหวัดที่มีฝนตกค่อนข้างดีจังหวัดหนึ่งของภาคใต้ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่อยู่ทางด้านตะวันออกของภาคใต้ และได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านอ่าวไทย ทำให้จังหวัดนี้มีฝนตกมากและยาวนาน โดยเฉพาะเดือนตุลาคมถึงธันวาคม  การเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมในห้วงระยะเวลาดังกล่าวโดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจของอำเภอเมืองสงขลา ตั้งแต่พื้นที่ราชภัฏสงขลา และบริเวณใกล้เคียง ตลอดจนแนวกาญจนวนิชไปจนถึงห้าแยกน้ำกระจาย อำเภอเมืองสงขลา และพื้นที่เกี่ยวข้อง จึงมีความสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และจากการติดตามความคืบหน้าในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินแผนการขับเคลื่อนโครงการแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ มีความสอดคล้อง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะสามารถรองรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝนได้เป็นอย่าง

โดยจังหวัดสงขลาได้ดำเนินโครงการในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจของอำเภอเมืองสงขลา อาทิ โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ราชภัฏสงขลา และบริเวณใกล้เคียง ตลอดแนวถนนกาญจนวนิชไปจนถึงห้าแยกน้ำกระจาย และพื้นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น : ระดับพื้นที่ของจังหวัดสงขลา, โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำเดิมบนทางหลวงหมายเลข 407 (หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา) โดยเพิ่มขนาดท่อระบายน้ำและก่อสร้างอาคาร ระบายน้ำเชื่อมต่อกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาในซอยกาญจนวนิช 13 เพื่อระบายน้ำลงสู่คลองสำโรง, โครงการปรับปรุงคลองสิ่งแวดล้อมบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และมหาวิทยาลัยทักษิณ เพื่อระบายน้ำในช่วงฤดูฝน โครงการขุดลอกคลองตอเตี้ย คลองน้ำกระจาย คลองบางดาน และคลองหมู่ที่ 5 สายกลางบ้าน (พะวง) การสูบโคลนจากบ่อพักอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับการล้างท่อ/คูระบายน้ำบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดแนวถนนกาญจนนิชไปจนถึงห้าแยกน้ำกระจาย และพื้นที่เกี่ยวข้อง, การสำรวจท่อลอดทางเข้าสำนักงาน/อาคารบ้านเรือนให้ได้มาตรฐานกรมทางหลวงเพื่อรองรับการระบายน้ำในช่วงฤดูฝนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ รมช.มท.ยังได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จัดทำแผนแม่บทเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยของจังหวัดสงขลาทั้งระบบ อีกด้วย

จากนั้นนายนิพนธ์ รมช.มท และคณะลงพื้นที่สำรวจและเตรียมความพร้อมในการขุดลอกสิ่งกีดขวางทางน้ำในคูคลองในพื้นที่ชุมชนในเขตเทศบาลตำบลพะวง พื้นที่บริเวณห้าแยกน้ำกระจาย และพื้นที่ใกล้เคียง โดยมี ผอ.ปภ


เขต12 หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยแขวงทางหลวงสงขลาที่ 1 ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้  สำหรับการลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อป้องกันอุทกภัยในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง และบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่เกิดน้ำท่งมขังอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นเหตุให้น้ำระบายลงสู่คลองสายหลักได้ยาก จึงได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน จึงต้องดำเนินการแก้ไขเพื่อให้น้ำระบายลงสู่คลองสายหลักได้ง่าย รวดเร็ว และพร้อมรับกับฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง อีกทั้งเป็นการเตรียมการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง และแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป

'จีน' เตรียมขึ้นไลน์ผลิต ‘ARCoVax’ วัคซีน mRNA ตัวแรกของประเทศ แบบฉีดเข็มเดียวจบ เริ่มผลิตตุลาคมนี้

กลุ่มสื่อจีนรายงาน (10 ก.ย.) จีนเตรียมเปิดสายการผลิตวัคซีน “ARCoVax” ซึ่งเป็นวัคซีนต้านโควิด-19 แบบ mRNA ชนิดแรกที่จีนพัฒนาขึ้นเองในเดือน ต.ค. 64

รายงานระบุว่า ARCoVax พัฒนาร่วมกันโดย บ. ซูโจว อบอเจน (Suzhou Abogen), บ.ยูนนาน วาวแวกซ์ ไบโอเทคโนโลยี (Yunnan Walvax Biotechnology) และสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารจีน (Academy of Military Medical Sciences)

โรงงานผลิตวัคซีนดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมืองอวี้ซี มณฑลยูนนาน ด้วยเงินลงทุนรวม 520 ล้านหยวน หรือราว 2,600 ล้านบาท มีกำลังการผลิตวัคซีน mRNA 200 ล้านโดสต่อปี

วัคซีน ARCoVax มีวิธีการใช้โดยการฉีดเพียงครั้งเดียว สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 1 สัปดาห์หรือที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาวัคซีนนี้ต่ำกว่ายี่ห้อต่างประเทศ ทั้งนี้ วัคซีน ARCoVax ได้รับการอนุมัติให้เริ่มการทดลองทางคลินิกระยะสุดท้ายในเม็กซิโกและอินโดนีเซียแล้ว

ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า ความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนดังกล่าวจะทำให้ทางเลือกในการฉีดวัคซีนในจีนมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการฉีดไขว้ระหว่างวัคซีน mRNA กับวัคซีนเชื้อตาย และการใช้วัคซีน mRNA เป็นบูสเตอร์


ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9640000089709

‘สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’ พระราชทานอุปกรณ์การแพทย์ เครื่องวัดความดันโลหิตชนิดสอดแขน แก่โรงพยาบาลบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19

วันนี้ (10 ก.ย.64) ที่โรงพยาบาลบ้านโพธิ์ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานในพิธีรับมอบอุปกรณ์การแพทย์พระราชทานเครื่องวัดความดันโลหิตชนิดสอดแขน เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งพระราชทานให้โรงพยาบาลบ้านโพธิ์  จำนวน 2 เครื่อง พร้อมด้วย นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา  นายอำเภอบ้าน โพธิ์  บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบ้านโพธิ์ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมในพิธีรับมอบฯ ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

เนื่องด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ของจังหวัดฉะเชิงเทรา มีผู้ป่วยสะสมและระลอกใหม่ 28,635 ราย  ณ วันที่ 9 กันยายน 2564 โดยเป็นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19)  ของอำเภอบ้านโพธิ์ จำนวน 2,438 ราย สูงเป็นอันดับที่ 3 ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจุบันโรงพยาบาลบ้านโพธิ์ เปิดให้บริการผู้ป่วย Cohort Ward จำนวน 47 เตียง เปิดให้บริการโรงพยาบาลสนามใต้ร่มพระบารมีจำนวน 200 เตียง เปิดบริการโดยการกักตัวที่บ้าน (home Isolation) จำนวน 17 ตำบลและศูนย์แยกกักกันตัวในชุมชน (community Isolation) จำนวน 5 แห่ง เพื่อรองรับผู้ป่วยในอำเภอบ้านโพธิ์

จากสถานการณ์ดังกล่าว จำนวนผู้ป่วยมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลบ้านโพธิ์ขาดแคลนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่จำเป็นเร่งด่วน ทางโรงพยาบาลจึงขอความอนุเคราะห์จากมูลนิธิชัยพัฒนา สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์พระราชทานเครื่องวัดความดันโลหิตชนิดสอดแขนจำนวน 2 เครื่อง เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19


ภาพ/ข่าว  สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ / ฉะเชิงเทรา

รัฐบาลเปิดแอปฯ “ทางรัฐ” ช่วยเข้าถึงบริการรัฐได้ด้วยง่ายขึ้น 

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือ DGA ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และหน่วยงานพันธมิตร ได้จัดทำแพลตฟอร์มกลางภายใต้ชื่อ “ทางรัฐ” เพื่อช่วยลดความยุ่งยากของประชาชนในการติดต่อหน่วยงานราชการ ลดภาระค่าใช้จ่าย ลดอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจและดำเนินชีวิตของประชาชน โดยปัจจุบันประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปผ่านสมาร์ทโฟน และสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ จากภาครัฐ ได้ง่ายขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ 

สำหรับแอปพลิเคชันทางรัฐนี้เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ช่วยให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถตรวจสอบสิทธิ์ จ่ายบิล หรือติดตามสถานะการขอใช้บริการจากภาครัฐได้อย่างง่ายดาย ได้ทุกที่ทุกเวลา สำหรับหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการยกระดับการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็สามารถนำข้อมูล และบริการต่าง ๆ มาให้บริการผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐได้ด้วย 

ทั้งนี้ประชาชนเพียงแค่ดาวน์โหลด และลงทะเบียนไม่กี่ขั้นตอน จะพบกับบริการของแต่ละหน่วยงานที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้ทุกท่านได้ในทุกช่วงวัยกว่า 30 บริการ ทั้งการตรวจสอบสิทธิ การจ่ายบิล หรือติดตามสถานการณ์ขอใช้บริการจากภาครัฐ การตรวจสอบข้อมูลใบสั่งจราจรและการชำระค่าปรับ การตรวจสอบสถานะข้อมูลเงินสะสม กบข. การตรวจสอบสิทธิประกันสังคม การตรวจสอบสิทธิรักษาพยาบาล เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top