Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

“นายกฯ” ย้ำ เตรียมพร้อมเปิด 5 จังหวัด รับไฮซีซั่น 1 ต.ค.นี้ เข้ม มาตรการสธ. คู่ดูแลความปลอดภัย นทท. เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมวิถีใหม่

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางขับเคลื่อนแผนเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่าหลังจากรัฐบาลเดินหน้าแผนเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยวางไว้เป็นระยะนำร่อง ระยะที่ 1 ในรูปแบบแซนด์บอกซ์ ได้แก่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ และสุราษฎร์ธานี ซึ่งโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์  2 เดือน ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่ดี เป็นที่น่าพอใจ รายจ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 6-7 หมื่นบาท รายได้สะสม 1,634 ล้านบาท สร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก 

นายธนกร กล่าวว่า ในเดือนต.ค.นี้ ได้วางแผนปรับมาตรการ ภายใต้การป้องกันตนเองแบบครอบจักรวาล เพื่อเตรียมเข้าสู่แผนการเปิดพื้นที่ระยะที่ 2 ใน 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ ซึ่งแต่ละจังหวัดได้เตรียมความพร้อมเร่งฉีดวัคซีนให้คนพื้นที่ และจัดแคมเปญต่าง ๆ รองรับนักท่องเที่ยว อาทิ กรุงเทพฯ แซนด์บอกซ์ หัวหิน รีชาร์จ และชาร์มมิง เชียงใหม่ เป็นต้น 

จากนั้นช่วงกลางเดือนต.ค.จะเข้าสู่แผนระยะที่ 3 เปิด 21 จังหวัด ครอบคลุมทั้งประเทศ 
ภาคเหนือ ลำพูน แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน เชียงราย สุโขทัย 
ภาคอีสาน อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ อุบลราชธานี 
ภาคตะวันตก กาญจนบุรี ราชบุรี ภาคตะวันออก ระยอง จันทบุรี ตราด 
ภาคกลาง อยุธยา ภาคใต้ นครศรีธรรมราช ระนอง ตรัง สตูล สงขลา

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลวางแผนการกระตุ้นให้คนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 3 รัฐสนับสนุนค่าโรงแรม 40เปอร์เซ็นต์ ให้คูปองอาหาร 600 บาทต่อคืน และสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 40 เปอร์เซ็นต์จำนวน 2 ล้านสิทธิ หรือห้องพัก รวมทั้งโครงการทัวร์เที่ยวไทย รัฐสนับสนุนวงเงิน 5,000 บาท ให้ประชาชนเดินทางเที่ยวผ่านบริษัททัวร์ จำนวน 1 ล้านสิทธิ คาดว่าจะเปิดลงทะเบียนภายในเดือนก.ย.นี้ เพื่อให้ท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยวไทย 

“นายกฯ กำชับให้ดูแลเรื่องมาตรการตรวจโควิด-19 และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทุกคน ส่วนปีหน้าเป็นแผนระยะที่ 4 จะเริ่มเดือนม.ค. 2565 โดยเปิดพื้นที่จังหวัดที่ติดชายแดนเพื่อนบ้าน อีก 13 จังหวัด จับคู่ท่องเที่ยวระหว่างกัน หรือ "Travel Bubble" ซึ่งทั้ง 4 ระยะ จะเปิดรับนักท่องเที่ยว รวม 43 จังหวัด 

นอกจากนั้นยังเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในแบบวิถีใหม่ ที่มีการผ่อนคลายมาตรการ ร่วมเดินหน้าเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบสาธารณสุข เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในวันนี้และอนาคต ลดช่องว่าง ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยกันเดินหน้าสู่การเปิดประเทศวิถีใหม่ต่อไป” นายธนกร กล่าว 

"สโมสรลูกพ่อเรย์และเพื่อน" แถลงข่าวเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในคำว่า "สังคมแบ่งปัน"เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่

ณ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ (พัทยา) บาทหลวง "ดร.พิชาญ ใจเสรี" เจ้าคณะพระมหาไถ่แห่งประเทศไทย / บาทหลวง "ภัทรพงศ์ ศรีวรกุล" ประธานมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เป็นเกียรติให้โอวาทแด่คณะกรมการการบริหารงานของสโมสรฯและขอบคุณทุกท่านที่มีพลังแห่งศรัทธาร่วมกันสร้างคุณงามความดีข่วยเหลือคนพิการ คนยากไร้ คนเด้อยโอกาส ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปวันข้างหน้า

ในการนี้ "ดร.สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์" ในฐานะประธานสโมสรฯได้กลาาสรายงานวัตถุประสงค์ เจตนารมย์ร่วมก่อตั้ง "สโมสรลูกพ่อเรย์และเพื่อน"  ที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของคนพิการ ที่เคยได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจากคุณพ่อเรย์โดยทางตรงและทางอ้อม และมีความประสบสำเร็จในการดำเนินชีวิต มีงาน มีการทำ มีรายได้ และเป็นบุคคลที่ทําคุณประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ และเป็นการมอบโอกาสส่งต่อให้น้องๆเด็กๆเยาวชนคนพิการรุ่นใหม่ และ คำว่า "เพื่อน" มาจากสังคมโดยรอบไม่ว่าจะเป็นเจ้าของสถานประกอบการ คนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยจิตอันเป็นกุศล ก็สามารถมาร่วมกันสร้างคุณงามความดีด้วยการช่วยเหลือและแบ่งปัน ต่อไป

ทั้งนี้ "สโมสรลูกพ่อเรย์และเพื่อน" เริ่มก่อตั้งจากจำนวนสมาชิก 9 ท่าน  ในวันที่ 9 เดือน 9 เวลา 9.19 น.
โดยมีรายนามคณะกรรมการ ดังนี้
1.ดร.ธนโชติ.  หาญเจริญอัศวสุข
 2.ดร.สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์
3. อ.ณรงค์ ไปวันเสาร์
4.  อ. มานพ เอี่ยมสอาด
5.  คุณธนัช  คงคา
6. คุณชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล
7. ผอ.ชิด สุขหนู
8. อ.ประทีป ยอดสิงห์
9.นาย.สัมฤทธิ์  ชาภิรมย์

ชลบุรี-ภาคเอกชนร่วมมือลงนามสู่ความมั่นคงเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจด้านน้ำ ทั้งภาคประชาชน และเมืองอุตสาหกรรมในอนาคต รองรับการเจริญเติบโตพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ( EEC )

ณ สถานีผลิตน้ำประปา มรกตสยาม บ. อินดัสเตรียล วอเตอร์รีซอร์สแมนเนจเม้นท์ จก.49/2 ม.4  ต.มาบโป่ง อ.พานทอง จ.ชลบุรี อีกก้าวที่สำคัญ สู่ความร่วมมือเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำ อุปโภค /บริโภค และน้ำอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์สแมนเนจเม้นท์ จำกัด (IWRM) นำโดย คุณธนวัฒน์ สันตินรนนท์ กรรมการบริษัท  ร่วมกับบริษัท Wewater Supply (กลุ่มบริษัทพนัสวิศวกรรม) นำโดย คุณมนัส ศุภศิริลักษณ์ และคุณพนัส ศุภศิริลักษณ์ กรรมการบริษัท 

จัดพิธีลงนาม "ความร่วมมือเสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก" โดยนำอ่างเก็บน้ำภาคเอกชนบริเวณ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี พื้นที่กว่า 600ไร่ กักเก็บน้ำหลาก ช่วงฤดูฝน คาดสามารถกักเก็บน้ำดิบได้ไม่น้อยกว่า10 ล้านลบ.ม.ต่อปี เป็นการร่วมมือจากภาคเอกชนในพื้นที่ ที่มีศักยภาพด้านบ่อดินลูกรังร้าง เพื่อกักเก็บน้ำ ร่วมกับ IWRM ภาคเอกชน ที่มีประสบการณ์ ด้านบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรม กว่า 17 ปี ในการลงนามครั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจด้านน้ำ ในพื้นที่EEC อีกด้วย

“ช่วยทุกคน ทุกพื้นที่ 24 ชั่วโมง”  ทบ. ส่งหน่วยทหารช่วยประชาชนรับมือสถานการณ์น้ำตลอด กันยายน นี้  

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์สภาพอากาศ ห้วง 9-30 ก.ย. 64 ที่ประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงใต้และพายุโกนเซิน ทำให้ฝนตกหนักให้หลายพื้นที่ อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม โดยมีจังหวัดที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, เพชรบูรณ์, พิษณุโลก, ลำปาง, น่าน, พะเยา, ร้อยเอ็ด, จันทบุรี, ตราด และ นครราชสีมา

 จากสถานการณ์ดังกล่าวศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก หน่วยทหารในทุกกองทัพภาคและมณฑลทหารบก ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและประเมิน รวมถึงเตรียมแผนการป้องกันและช่วยเหลือหากเกิดผลกระทบจากปริมาณน้ำฝนที่มากเกินจนทำให้เกิดน้ำท่วม ตลอดจนบูรณาการร่วมกับจังหวัดและหน่วยป้องกันบรรเทาภัยท้องถิ่น, เตรียมความพร้อมของกำลังพลและเครื่องมือบรรเทาสาธารณภัย ชุดแพทย์เคลื่อนที่ รถครัวสนาม เป็นต้น เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนได้ทันต่อเหตุการณ์ ปัจจุบันในบางพื้นที่ได้มีการแจ้งเตือนประชาชน อพยพสิ่งของและสัตว์เลี้ยงขึ้นที่สูง รวมทั้งการเตรียมชุดประเมินภัยพิบัติพร้อมปฏิบัติทันทีหากเกิดเหตุการณ์ ส่วนในพื้นที่ชุมชนหนาแน่นหรือเขตเมือง เช่น กทม. และปริมณฑล หน่วยทหาร จะเน้นการอำนวยความสะดวกด้านการสัญจร สนับสนุนหน่วยงานต่างๆ ในการเร่งระบายน้ำ 

 ล่าสุด พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้หน่วยทหารดูแลประชาชนในสถานการณ์น้ำตลอดฤดูฝนนี้ เนื่องจากหากมีฝนตกมากผิดปกติ อาจทำให้ประชาชนเดือนร้อนหรือเกิดอุทกภัย การเข้าช่วยเหลือทันทีจึงมีความจำเป็นและเร่งด่วน โดยให้นำศักยภาพของหน่วยทหารทั้งในด้านกำลังพล เครื่องมือ เตรียมแผนการช่วยเหลือ เข้าสนับสนุนหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ในขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญควบคู่ไปกับการบรรเทาสาธารณภัย คือ การป้องกันตนเองและป้องกันประชาชนไม่ให้มีการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้การช่วยเหลือในสถานการณ์พิเศษ ต้องสอดคล้องกับมาตรการป้องกันโรค การพิทักษ์พลและสามารถเข้าดูแลประชาชนได้ในทุกเหตุการณ์ สิ่งสำคัญคือการรักษาสุขภาพตนเอง เนื่องจากในช่วงนี้มีฝนตกต่อเนื่อง ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิดในหลายพื้นที่ยังมีอยู่ 

ส่วนสถานการณ์น้ำในวันนี้ กรมทหารราบที่ 16 ได้นำกำลังพลจิตอาสาเข้าช่วยเหลือโรงพยาบาลพนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ขนย้ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมสูบน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วม,  จ.เลย จากภาวะน้ำล้นตลิ่งที่ อ.ด่านซ้าย มณฑลทหารบกที่ 28 ได้ส่งกำลังพลวางกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วมบ้านประชาชนร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่  และที่ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี เกิดอุทกภัยน้ำป่าไหลหลาก กรมทหารราบที่ 2 รอ. จัดกองร้อยบรรเทาสาธารณภัยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน

 สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะฝนตกหนักในช่วงนี้ ขอรับความช่วยเหลือได้จากหน่วยทหารใกล้บ้านหรือติดต่อศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก โทร. 02-2977648, กองทัพภาคที่ 1 (กลาง) โทร. 02-2815443, กองทัพภาคที่ 2 (อีสาน) โทร. 04-4245946, กองทัพภาคที่ 3 (เหนือ) โทร. 055242859, และกองทัพภาคที่ 4 (ใต้) โทร. 07-5383405

รมว.ยุติธรรม แจง พืชกระท่อมปลูก ใช้ ครอบครอง ขายใบสดได้เสรี น้ำต้มกินเอง-แจกจ่ายได้ แต่หากจะนำมาทำอาหาร-น้ำสมุนไพรขาย ยังผิดกฎหมาย สาธารณสุขกำลังเร่งปรับแก้ให้สอดคล้อง 

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ภายหลังจากที่รัฐสภาได้เห็นชอบ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) ซึ่งเป็นการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ไปแล้วนั้น แต่ยังมีหลายคนสงสัย เกี่ยวกับการใช้พืชกระท่อมว่าสามารถทำในส่วนใดได้บ้าง ดังนั้นตนจึงขอชี้แจงว่า ในส่วนของการเคี้ยวใบ การปลูก การครอบครองและการขายใบสดที่ไม่ได้ปรุงหรือทำเป็นอาหารทำได้อย่างเสรีไม่ผิดกฎหมาย แต่ส่วนการนำไปทำผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่แจ้งว่ามีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ต้องไปขออนุญาตตามกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข เพราะมี พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 ควบคุมอยู่ 

นอกจากนี้การนำไปทำเป็นอาหารหรือเป็นส่วนผสมในอาหารเพื่อขายนั้น  พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ยังไม่ปลดล็อกให้สามารถนำพืชกระท่อมไปทำอาหารหรือผสมในอาหารเพื่อจำหน่ายได้ โดยประกาศของกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 424 ) พ.ศ. 2564 ออกตามความใน พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย ซึ่งกำหนดให้อาหารที่ปรุงจากพืชกระท่อมเป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย หรือแม้กระทั่งน้ำต้มกระท่อมที่ไม่ได้ผสมกับสิ่งใดเลยก็เป็นสิ่งที่ห้ามผลิตเพื่อจำหน่ายตามประกาศฉบับนี้ การฝ่าฝืน ผลิต และขาย อาหาร ที่ พ.ร.บ. อาหาร ห้าม มีโทษตามมาตรา 50 จำคุก 6 เดือน - 2 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสำอาง ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อมได้อย่างเต็มที่ กระทรวงสาธารณสุขจึงสมควรที่จะแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อมเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสำอางได้ เรื่องนี้เป็นอุปสรรคในการค้าขายแบบชาวบ้าน 

ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... คณะกรรมาธิการฯ ซึ่งตนเป็น ประธานฯ ได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจะส่งให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไปแล้ว 

แต่สำหรับในช่วงนี้ที่ประกาศยังไม่ถูกแก้ไข หากผู้ประกอบการที่อยากจะพัฒนาต่อยอดเพื่อสกัดหรือแปรรูปพืชกระท่อมโดยใช้ประโยชน์จากสารสำคัญในใบกระท่อมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือยาแผนโบราณ ที่มีสรรพคุณในการบำบัดหรือบรรเทาอาการต่าง ๆ นั้น สามารถขอคำแนะนำหรือติดต่อได้ที่ กองควบคุมผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

ก.แรงงาน เร่งระดมสมองวางแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve

วันที่ 9 กันยายน 2564 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 4/2564 ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล และผ่านระบบ Video Conference โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงแรงงาน อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้แทนสภาองค์การนายจ้าง ผู้แทนสภาองค์การลูกจ้าง ผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะกรรมการจากทุกภาคส่วนร่วมประชุม

โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเสนอ 4 เรื่องให้ที่ประชุมพิจารณา ได้แก่

การเสนอรายชื่อบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กพร.ปจ. แทนตำแหน่งที่ว่างลง

การแก้ไขเพิ่มเติมรายชื่ออนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กพร.ปจ. (ร่าง) แ

ผนพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve (พ.ศ.2565-2570)

และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพ (พ.ศ.2564-2570) 

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและแนวทางในการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพของกำลังแรงงานให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประสานแผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างระบบการศึกษากับระบบการพัฒนากำลังแรงงาน ประสานนโยบายแผนการพัฒนาฝีมือแรงงาน และแผนการฝึกอาชีพของ ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อความเป็นเอกภาพในการพัฒนาแรงงาน ขจัดปัญหาความซ้ำซ้อนและความสิ้นเปลือง รวมถึงติดตามและประเมินผลการดำเนินงานการพัฒนาแรงงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพ โดยมีคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพจังหวัด (กพร.ปจ.) เป็นกลไกระดับจังหวัดในการขับเคลื่อนติดตามและดำเนินงานตามแผนการพัฒนากำลังแรงงานในพื้นที่จังหวัด

การประชุมในวันนี้ นอกจากเรื่องที่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอแล้ว กพร. ได้รายงานถึงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 ได้ปรับปรุงคำสั่งให้เป็นปัจจุบัน เพิ่มองค์ประกอบของ กพร.ปช. และปรับปรุงอำนาจหน้าที่แล้ว

การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ขณะนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ จัดทำแผนพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแล้วเสร็จ กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็น ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ นั้น อยู่ระหว่างการประชุมร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อยกร่างแผนผังตำแหน่งงานและแนวโน้มการจ้างงานใน แต่ละอุตสาหกรรมเป้าหมายในรูปแบบการระดมความคิดเห็นผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพ สรุปการจัดงานสัมมนาออนไลน์ “ให้กลไกตลาดทุน เกื้อหนุนผู้พิการ สร้างงานสร้างอาชีพ” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ผ่านระบบไมโครซอฟท์ทีม และถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊ค ของ กลต. กระทรวงแรงงาน และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน  ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาประกอบด้วยผู้บริหาร ผู้แทนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ องค์กร สมาคมคนพิการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จำนวน 524 คน โดยมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์สนใจทำ CSR ด้านคนพิการ จำนวน 75 แห่ง ซึ่ง กพร. จะติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่อไป และการสนับสนุนซิมการ์ดพัฒนาฝีมือแรงงานออนไลน์ 500 ซิม จาก บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ในการนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดพิธีแถลงข่าวและรับมอบซิมการ์ด จำนวน 500 ชุด เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ณ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดย กพร. ร่วมกับสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ดำเนินการแจกจ่ายซิมการ์ดให้แก่กลุ่มแรงงานคนพิการและกลุ่มเปราะบางเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น ยกระดับศักยภาพด้านดิจิทัล ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

และการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผลการช่วยเหลือแรงงานกลุ่มเปราะบาง ประจำปี 2564 กระทรวงแรงงานเป้าหมาย 72,150 แห่ง ผลการสำรวจแล้ว 22,370 แห่ง และการเตรียมรองรับการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 อีกด้วย

“คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) มีองค์ประกอบมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยร่วมกันบูรณาการและวางแผนการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อความเป็นเอกภาพในการพัฒนาแรงงาน เพื่อให้แรงงานมีความรู้และทักษะตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ให้แรงงานไทยสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป ภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ และเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลง” อธิบดี กพร. กล่าวทิ้งท้าย

แผนอยู่ร่วมกับไวรัสของสิงคโปร์ส่อยุติ เหตุยอดติดเชื้อใหม่สูงสุดในรอบปี แม้ฉีดวัคซีนครบแล้ว 80%

สิงคโปร์เตือนว่าบางทีอาจต้องกลับมากำหนดข้อจำกัดสกัดโควิด-19 อีกรอบ หากว่าไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของตัวกลายพันธุ์เดลตา ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก ซึ่งเสี่ยงทำให้ประเทศแห่งนี้อาจต้องละทิ้งยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับไวรัส

กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์รายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่ในชุมชน 347 คนเมื่อวันพุธ (8 ก.ย.) สูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2020 หลังจากเพิ่งสร้างสถิติดังกล่าวไปหมาด ๆ เมื่อ 1 วันก่อนหน้านี้ ที่จำนวน 328 รายในวันอังคาร (7 ก.ย.)

จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ของสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นเท่าตัวในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขของประเทศ เพิ่มเป็นมากกว่า 1,200 ราย ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 กันยายน

จนถึงวันพุธ (8 ก.ย.) จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมของสิงคโปร์อยู่ที่ 69,582 ราย เสียชีวิตสะสม 56 คน

ลอว์เรนซ์ หว่อง หัวหน้าทีมเฉพาะกิจสู้โควิด-19 ของสิงคโปร์ ยอมรับว่าไม่ใช่แค่จำนวนเคสผู้ติดเชื้อรายวันเท่านั้นที่สร้างความกังวลแก่รัฐบาลสิงคโปร์ แต่ยังรวมถึงอัตราการที่ไวรัสกำลังแพร่ระบาดด้วย

"เราเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่น ๆ ที่เมื่อใดก็ตามเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก จะมีผู้ติดเชื้ออาการหนักในห้องไอซียูเพิ่มขึ้นมาก และมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสเพิ่มขึ้นเช่นกัน" เขากล่าว

สิงคโปร์เคยผลักดันนโยบายเชิงรุก "โควิดเป็นศูนย์" ระหว่างโรคระบาดใหญ่ กำหนดข้อจำกัดอันเข้มข้นต่าง ๆ นานา ปิดร้านอาหาร ปิดพรมแดนและบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม

แต่ในเดือนมิถุนายน รัฐบาลแถลงแผนเดินหน้าสู่ยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับไวรัส ความพยายามควบคุมการแพร่ระบาดด้วยวัคซีนและคอยเฝ้าระวังอัตราผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แทนการกำหนดมาตรการเข้มข้นที่จำกัดวิถีชีวิตของพลเมือง

"ข่าวร้ายคือโควิด-19 อาจไม่มีวันหายไป ข่าวดีคือมีความเป็นไปได้ที่เราจะใช้ชีวิตตามปกติร่วมกับมันได้" เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านโควิด-19 ของสิงคโปร์ ระบุในข้อเขียนแสดงความคิดเห็น (Op-Ed) เมื่อเดือนมิถุนายน

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงที่สุดในโลก ด้วยตอนนี้มีประชากรมากกว่า 80% ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว

ตลอดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สิงคโปร์เริ่มผ่อนปรนข้อจำกัดสกัดโควิด-19 บางอย่าง อนุญาตให้คนฉีดวัคซีนครบแล้วออกไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้าน และรวมกลุ่มกันได้ไม่เกิน 5 คน จากเดิมที่จำกัดแค่ 2 คน

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดระลอกใหม่ทำให้มาตรการเปิดเศรษฐกิจเพิ่มเติมต้องสะดุดลง และ หว่อง เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (6 ก.ย.) ว่า สิงคโปร์จะพยายามควบคุมการแพร่ระบาดระลอกใหม่ด้วยการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดเชิงรุกยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับสกัดเคสผู้ติดเชื้อและคลัสเตอร์ต่าง ๆ

การบังคับตรวจเชื้อแรงงานที่มีความเสี่ยงสูงจะเกิดขึ้นถี่ขึ้น เป็น 1 ครั้งต่อสัปดาห์จากเดิม 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง และบัญชีแรงงานต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้คำสั่งบังคับตรวจเชื้อจะถูกขยายให้ครอบคลุมกว่าเดิม โดยจะนับรวมพนักงานห้างค้าปลีก ธุรกิจจัดส่งสินค้าและเจ้าหน้าที่ระบบขนส่งสาธารณะเข้าไปด้วย

สิงคโปร์ยังได้ห้ามการรวมตัวของพนักงานตั้งแต่วันพุธ (8 ก.ย.) เป็นต้นไป และ หว่อง แนะนำประชาชนหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็น ท่ามกลางความพยายามควบคุมการแพร่ระบาด

เขาระบุ มันสะท้อนว่า นโยบายใหม่ของสิงคโปร์และอัตราการฉีดวัคซีนระดับสูง ช่วยให้ประเทศสามารถคงระดับการเปิดเศรษฐกิจระหว่างการแพร่ระบาดระลอกใหม่ "แต่แม้เราได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว เราพบว่าเคสผู้ติดเชื้ออาการสาหัสในห้องไอซียูที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เมื่อถึงเวลาเราอาจไม่มีทางเลือก ยกเว้นแต่ยกระดับความเข้มข้นในภาพรวม ดังนั้นเราจึงไม่ควรตัดความเป็นไปได้"


(ที่มา : ซีเอ็นเอ็น/รอยเตอร์)
https://mgronline.com/around/detail/9640000089302

"พรรคกล้า" จับมือภาครัฐ-เอกชน สร้างศูนย์พักคอย โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ รองรับผู้ป่วยเคสสีเหลือง-แดง เขตจอมทอง , บางบอน , บางขุนเทียน ย้ำวัฒนธรรมการลงมือทำสำคัญ 

กลุ่มกล้าอาสา พรรคกล้า นำโดยนายอรรถวิชช์  สุวรรณภักดี ร่วมกับสำนักงานเขตจอมทอง ศูนย์บริการสาธารณสุข 29 โรงพยาบาลคลองตัน การไฟฟ้านครหลวง ทพ.ศิรศักดิ์ ตั้งทองหยก - ทพ.ธัญวิชญ์ เผือกขาว และกลุ่มเพื่อนกรุงเทพคริสเตียน กลุ่มหมออาฟ Mastermind มูลนิธิบูรณพุทธ กลุ่มสหวิชาชีพจิตอาสา และโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ เปิดศูนย์พักคอย โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร 

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า เขตจอมทอง ถือเป็นอีกหนึ่งเขตที่มีผู้ติดเชื้อสูงที่สุดติดอันดับ 5 ของ กทม. ซึ่งหวังว่าศูนย์แห่งนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน รองรับผู้ติดเชื้อที่เข้ามากักตัว รักษาอาการ รวมถึงฟื้นฟูร่างกายหลังพ้นระยะวิกฤต เป็นศูนย์ดูแลสำหรับผู้ป่วยขาเข้าและขาออก 

"การสร้างศูนย์พักคอยแห่งนี้ เป็นความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคงที่มีทหารเรือ ทหารบก เข้ามาช่วย และภาคเอกชน พรรคการเมือง โดยปราศจาการเมือง การแบ่งฝ่าย  เราเป็นมุมเล็กๆ แต่สิ่งที่เรามีคือการร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมกันทำให้มันเกิดขึ้น วัฒนธรรมการลงมือทำ สำคัญ จุดพักคอย อย่าหยุดสร้าง มีหรือไม่มีคนใช้ สร้างไปก่อน" นายอรรถวิชช์ กล่าว 

ศูนย์พักคอยโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ รองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึงระดับเหลืองและแดง คือกลุ่มที่มีอาการปานกลางไปจนถึงหนัก โดยมีทีมแพทย์ พยาบาลจากศูนย์บริการสาธารณสุข 29 และโรงพยายบาลคลองตัน เป็นผู้ดูแล สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 40 เตียง ในพื้นที่จอมทอง บางบอน บางขุนเทียน และพื้นที่ใกล้เคียง โดยผู้ติดเชื้อ ต้องลงทะเบียนทางสายด่วน 1330 หรือโทรไปที่ 20 คู่สายเขต จากนั้นทางเจ้าหน้าที่จะประสานเพื่อให้มาพักที่ศูนย์พักคอยแห่งนี้

รมว.ยุติธรรม แจง พืชกระท่อมปลูก ใช้ ครอบครอง ขายใบสดได้เสรี น้ำต้มกินเอง-แจกจ่ายได้ แต่หากจะนำมาทำอาหาร-น้ำสมุนไพรขายยังผิดกฎหมาย สาธารณสุขกำลังเร่งปรับแก้ให้สอดคล้อง 

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ภายหลังจากที่รัฐสภาได้เห็นชอบ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) ซึ่งเป็นการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ไปแล้วนั้น แต่ยังมีหลายคนสงสัย เกี่ยวกับการใช้พืชกระท่อมว่าสามารถทำในส่วนใดได้บ้าง ดังนั้นตนจึงขอชี้แจงว่า ในส่วนของการเคี้ยวใบ การปลูก การครอบครองและการขายใบสดที่ไม่ได้ปรุงหรือทำเป็นอาหารทำได้อย่างเสรีไม่ผิดกฎหมาย แต่ส่วนการนำไปทำผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่แจ้งว่ามีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ต้องไปขออนุญาตตามกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข เพราะมี พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 ควบคุมอยู่ นอกจากนี้การนำไปทำเป็นอาหารหรือเป็นส่วนผสมในอาหารเพื่อขายนั้น  พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ยังไม่ปลดล็อคให้สามารถนำพืชกระท่อมไปทำอาหารหรือผสมในอาหารเพื่อจำหน่ายได้ โดยประกาศของกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 424 ) พ.ศ. 2564 ออกตามความใน พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย ซึ่งกำหนดให้อาหารที่ปรุงจากพืชกระท่อมเป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย หรือแม้กระทั่งน้ำต้มกระท่อมที่ไม่ได้ผสมกับสิ่งใดเลยก็เป็นสิ่งที่ห้ามผลิตเพื่อจำหน่ายตามประกาศฉบับนี้ การฝ่าฝืน ผลิต และขาย อาหาร ที่ พ.ร.บ. อาหาร ห้าม มีโทษตามมาตรา 50 จำคุก 6 เดือน - 2 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสำอาง ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อมได้อย่างเต็มที่ กระทรวงสาธารณสุขจึงสมควรที่จะแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อมเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสำอางได้เรื่องนี้เป็นอุปสรรคในการค้าขายแบบชาวบ้าน ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... คณะกรรมาธิการฯ ซึ่งตนเป็น ประธานฯ ได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจะส่งให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไปแล้ว แต่สำหรับในช่วงนี้ที่ประกาศยังไม่ถูกแก้ไข หากผู้ประกอบการที่อยากจะพัฒนาต่อยอดเพื่อสกัดหรือแปรรูปพืชกระท่อมโดยใช้ประโยชน์จากสารสำคัญในใบกระท่อมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือยาแผนโบราณ ที่มีสรรพคุณในการบำบัดหรือบรรเทาออาการต่าง ๆ นั้น สามารถขอคำแนะนำหรือติดต่อได้ที่ กองควบคุมผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)

"กรณ์ พรรคกล้า" ชี้!! หลังโควิดโลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ แนะไทยต้องมีรัฐบาลมืออาชีพด้านเศรษฐกิจ-เทคโนโลยี

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ก่อตั้งสมาคมไทย-ฟินเทค ร่วมเวทีสัมมนาใหญ่ประจำปีของเครือหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยเขาได้รับเชิญในฐานะรัฐมนตรีคลังของไทย ที่ได้รับการยกย่องจากสื่อดังกล่าวให้เป็นรัฐมนตรีคลังโลกเมื่อปี 2553 เพื่อร่วมสัมมนาและหาทางออกให้กับความเปลี่ยนแปลงของโลกร่วมกับนักการเมืองชั้นนำของโลกหลายคน 

ภายในงานมีการจัดเวทีเป็นลักษณะ 8 เวทีคู่ขนานสามารถเลือกฟังได้ตามประเด็นที่สนใจ ธีมหลักของงานคือ "โลกหลังโควิด และความเปลี่ยนแปลงในขั้วอำนาจหลักของโลก" เพื่อให้ทุกประเทศเตรียมความพร้อมยุคที่เรียกว่า 'ดิสรัปชั่น' โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐอเมริกาและ NATO ได้ถอนตัวจากอัฟกานิสถาน หลายคนเอาประสบการณ์ของตนมาใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ เช่น อดีตนายกรัฐมนตรี John Major และ Dame Sarah Gilbert ผู้ค้นคว้าวัคซีน Oxford Astra Zeneca ซึ่งความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดมีผลต่อประเทศไทยทุกเรื่อง 

นายกรณ์ ได้ตั้งคำถามภายหลังร่วมงานว่า จากการเปลี่ยนแปลงระดับโลกในครั้งนี้ รัฐมนตรีหรือ ส.ส.ของเราติดตามหรือใส่ใจมากพอหรือไม่ ทุกประเด็นในเวทีการเมืองของไทย กลับกลายเป็นประเด็นการแบ่งข้างทางการเมือง ทุกปัญหาจึงเป็นเรื่องความขัดแย้ง หาทางออกได้ยาก ซึ่งหากใครคิดว่าโลกจะเป็นอย่างไร เราก็อยู่ของเราได้ คงต้องคิดใหม่ครับ ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาเรามีบทเรียนมากมายจาก Financial Crisis : Hamburger Crisis ปี 2008, Covid, Climate Crisis หรือการแข่งขันระหว่างขั้วอำนาจจีน-สหรัฐอเมริกา ทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ส่งผลตรงกับเราทั้ง ๆ ที่เราอยู่ของเราดี ๆ ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับใครมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่แคล้วต้องรับผลของปัญหามาเป็นภาระของเราที่ต้องแก้ไข 

“วันนี้ประเทศไทยเราแทบไม่อยู่ในสายตาต่างชาติ หากเทียบกับ 20-30 ปีที่แล้วในยุค 'โชติช่วงชัชวาล' ระดับความสนใจต่อประเทศเรามีน้อยลงมาก เสน่ห์เราหาย เราเหมือนหนุ่มสาวที่พึ่งพารูปร่างหน้าตาจนลืมที่จะพัฒนาตัวเอง วันดีคืนดีเราพบว่ามีคนอื่นเขาสดกว่าเรามาดึงดูดความสนใจไป แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือเพื่อนวัยเดียวกันก็ไปไกลแล้ว เพราะเขาเพิ่มทักษะและเสริมความรู้มาตลอด ในขณะที่เราต้องแต่งหน้าเสริมสวยมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเลิกพึ่งพาหน้าตามานานแล้ว ซึ่งก็อีก หากใครบอกว่า ใครไม่สนก็ช่างเขา ก็คงไม่ได้อีก เพราะวันนี้เราต้องพึ่งทั้งการลงทุน ทั้งนักท่องเที่ยว และทั้งการส่งออกสินค้านานาชนิดไปต่างประเทศ และทั้งหมดนี้กลับกลายเป็นเงินเข้ากระเป๋าพี่น้องชาวไทยของเราทั้งหมด เราเลยยิ่งต้องใส่ใจ” นายกรณ์ กล่าว

และยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า โควิดทำให้เราเห็นว่า รัฐบาลมีความสำคัญกับชีวิตเราแค่ไหน มีอำนาจและบทบาทเหนือชีวิตเราในระดับที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน สั่งให้เราห้ามออกจากบ้านได้เป็นเดือน ๆ จัดยา จัดวัคซีนให้กับเรา ดูแลให้เรามีเงินใช้ มีข้าวกิน (ช้าบ้าง ไม่พอบ้าง) ออกคำสั่งปิด-เปิดประเทศ ปิด-เปิดร้านค้าร้านอาหาร และสร้างภาระหนี้มหาศาลให้เราและลูกหลานเรา อำนาจนี้เสมือน ดาบอำนาจรัฐที่เมื่อดึงออกจากฝักแล้วคงไม่ใส่กลับง่าย ๆ 

เราจึงยิ่งจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่รอบรู้ มีความสามารถ มีความเป็นมืออาชีพโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจและ เทคโนโลยี และต้องพร้อมฟังและตัดสินใจด้วยหลักศีลธรรมและความเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่า ยิ่งรัฐบาลมีบทบาทและอำนาจมาก ยิ่งต้องมีความโปร่งใส และมีความรับผิดชอบต่อประชาชน ซึ่งรัฐบาลจะเป็นเช่นนี้ได้ต้องเป็นรัฐบาลโดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง และนี่คือบทเรียนที่สำคัญที่สุดของเราจากโควิด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top