Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

กนช.เคาะแผนบริหารจัดการน้ำดัน 2 โครงการรับอีอีซี 

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยภายหลังการการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้รับทราบแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ และเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  โดยจะเสนอขอตั้งงบประมาณปี 2566 ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน 2 โครงการ คือ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะพง จังหวัดฉะเชิงเทรา และโครงการสูบผันน้ำจากคลองสะพานแนวที่ 2 จังหวัดระยอง ระยะเวลาการดำเนินงาน 4 ปี (2565-2568) ซึ่งกรมชลประทาน จะเสนอ ครม. เห็นชอบต่อไป

สำหรับโครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะพง เป็น 1 ในโครงการเพิ่มน้ำต้นทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  มีแผนการดำเนินงาน 6 ปี (2565-2570) โดยในปี 2565 จะเตรียมความพร้อมด้านการมีส่วนร่วมและจัดหาที่ดิน และเริ่มก่อสร้างในปี 2566-2568  จากนั้นจะดำเนินการวางระบบส่งน้ำในปี 2568-2570  หากโครงการแล้วเสร็จจะทำให้มีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นประมาณ 35,000 ไร่ เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในเขตพื้นที่ EEC ได้ประมาณ 4 ล้าน ลบ.ม./ปี รวมทั้งยังใช้ผลักดันน้ำเค็ม รักษาระบบนิเวศได้ประมาณ 2 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ กรมชลประทาน ดำเนินการเร่งรัดจัดหาที่ดิน เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนด 

ส่วนโครงการสูบผันน้ำจากคลองสะพานแนวที่ 2 ในปี 2565 จะดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านการมีส่วนร่วมและจัดหาที่ดิน ก่อนจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2566-2568 หากโครงการแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับอ่างเก็บน้ำประแสร์ได้ประมาณ 50 ล้าน ลบ.ม./ปี เมื่อรวมกับปริมาณน้ำจากโครงการสูบผันน้ำจากคลองสะพานแนวที่ 1 จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับอ่างเก็บน้ำประแสร์ ได้มากถึง 100 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้กรมชลประทาน เร่งรัดออกแบบและจัดหาที่ดินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามแผน

'ตำรวจ' เตือน ซื้อ ‘รถออนไลน์- รถมือสอง’ ระวังได้แต่รูป ถูกแก๊งคนร้ายหลอกขายรถ

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม จับกุม นายพีรศิลป์ (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 197/2564 ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ซึ่งต้องหาว่า “ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” และยังมีหมายจับในข้อหาเดียวกันอีกสองหมาย คือ หมายจับศาล จ.ขอนแก่น และหมายจับศาล จ.สุรินทร์ รวมทั้งหมด 3 หมายจับ เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา

โดยคนร้ายได้เปิดเฟซบุ๊กชื่อ “เฮียบอล รถบ้าน” หลอกขายสินค้ามือสอง เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถไถนา รถเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพ่อวัวพันธุ์บลามันห์ โดยเปิดขายสินค้ามาแล้วประมาณ 3 ปี แต่ไม่เคยมีผู้เสียหายรายใดได้รับสินค้าตามที่ตกลงซื้อขาย ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประชาชนทั่วประเทศ มูลค่าความเสียหายจำนวนหลายล้านบาท

ก่อนหน้านี้ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ก็ได้มีการจับกุมผู้ต้องหาโพสต์ขายรถยนต์ดังกล่าวในเพจเฟซบุ๊ก “รถหลุดจำนำหลักหมื่น” ซึ่งมีการโพสต์ประกาศซื้อขายรถยนต์หรูและรถต่าง ๆ วันละไม่ต่ำกว่า 30 - 40 คัน ในราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก โดยอ้างว่าเป็นรถหลุดจำนำ สามารถซื้อไปใช้งานได้ถูกต้องตามกฎหมายและต่อภาษีประจำปีได้ แต่จากการตรวจสอบพบว่ารถยนต์ที่ประกาศขาย มีการใช้แผ่นป้ายทะเบียนและแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีปลอม

จะเห็นว่ามิจฉาชีพได้ใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ประชาชนนิยมใช้งาน เป็นช่องทางในการหลอกลวง ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เคยเตือนภัยแล้ว แต่ก็ยังมีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่ออยู่เรื่อยมา จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนที่มีความประสงค์ซื้อรถผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ว่า ควรเลือกซื้อรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ มีสมุดคู่มือการจดทะเบียน หมายเลขตัวถัง หมายเลขเครื่องยนต์ ไม่มีการขูดลบ แก้ไข และตรงตามคู่มือการจดทะเบียน มีเอกสารชุดโอนกรรมสิทธิ์ครบถ้วน และควรมีการทำสัญญาซื้อขายที่มีการลงลายมือชื่อทั้งฝ่ายผู้ขายและผู้ซื้อ หากเกิดกรณีมีปัญหาภายหลัง สามารถใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีทางกฎหมายได้ และเมื่อตกลงซื้อขายรถกัน ควรนัดไปแจ้งโอนกรรมสิทธิ์ที่กรมการขนส่งทางบกให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อ "หากท่านไม่อยากตกเป็นเหยื่อถูกฉ้อโกงหลอกขายรถ ควรตั้งสติอย่าเห็นแก่รถที่นำมาโฆษณาในราคาถูก และอย่ารีบโอนเงิน ควรตรวจสอบรายละเอียดเบื้องต้นของผู้โพสต์ขายว่าเป็นบัญชีสื่อสังคมออนไลน์จริงหรือบัญชีอวตาร (บัญชีที่สร้างขึ้นมาเพื่อก่ออาชญากรรมออนไลน์) และให้นำชื่อ, หมายเลขบัญชีธนาคาร, หมายเลขโทรศัพท์ และรายละเอียดของผู้ขายทั้งหมด ไปตรวจสอบในเว็บไซต์ Search engine เช่น Google ว่าเคยมีประวัติการโกงหรือไม่อย่างไร และไม่ควรซื้อรถมือสองจากเพจเฟซบุ๊กที่มีการโฆษณาขายรถในลักษณะ รถหลุดจำนำ รถหนีไฟแนนซ์ฯ เนื่องจากรถที่นำมาประกาศขายมักเป็นรถที่ได้มาโดยไม่ถูกต้อง เช่น ขาดการชำระค่างวดกับสถาบันการเงิน หรือเป็นรถที่ถูกโจรกรรม 

ซึ่งผู้ขายอาจมีการปลอมแปลงแผ่นป้ายทะเบียน ป้ายการแสดงการชำระภาษีประจำปี จากนั้นจึงนำมาประกาศขายให้กับประชาชนในราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก ซึ่งการซื้อรถลักษณะดังกล่าว หากผู้ซื้อรู้หรือควรรู้ได้ว่ารถคันดังกล่าวได้มาโดยผิดกฎหมาย ผู้ซื้อหรือผู้ครอบครองรถดังกล่าวอาจถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหา ลักทรัพย์หรือรับของโจร ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี นอกจากนี้ผู้ซื้อยังเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง หากผู้ขายขอให้โอนเงินมัดจำก่อน และเมื่อผู้ขายได้รับเงินมัดจำแล้วอาจบล็อกบัญชีของผู้ซื้อ ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้และสูญเสียเงินมัดจำได้"

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

รัฐมนตรีฯนิพนธ์ สั่งทำแผนแม่บทแก้ปัญหาน้ำท่วมสงขลา ทั้งระบบ ก่อนลงพื้นที่ดูปภ.เคลียร์เส้นทางระบายน้ำรับมือมรสุม 

ที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจของอำเภอเมืองสงขลา โดยมีนายวงศกร นุ่นชูคันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา รศ.ดร.ทัศนา ศิริโชติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา  ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม 

นายนิพนธ์  กล่าวว่า จังหวัดสงขลาถือเป็นจังหวัดที่มีฝนตกค่อนข้างดีจังหวัดหนึ่งของภาคใต้ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่อยู่ทางด้านตะวันออกของภาคใต้ และได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านอ่าวไทย ทำให้จังหวัดนี้มีฝนตกมากและยาวนาน โดยเฉพาะเดือนตุลาคมถึงธันวาคม  การเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมในห้วงระยะเวลาดังกล่าวโดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจของอำเภอเมืองสงขลา ตั้งแต่พื้นที่ราชภัฏสงขลา และบริเวณใกล้เคียง ตลอดจนแนวกาญจนวนิชไปจนถึงห้าแยกน้ำกระจาย อำเภอเมืองสงขลา และพื้นที่เกี่ยวข้อง จึงมีความสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และจากการติดตามความคืบหน้าในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินแผนการขับเคลื่อนโครงการแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ มีความสอดคล้อง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะสามารถรองรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝนได้เป็นอย่าง

โดยจังหวัดสงขลาได้ดำเนินโครงการในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจของอำเภอเมืองสงขลา อาทิ โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ราชภัฏสงขลา และบริเวณใกล้เคียง ตลอดแนวถนนกาญจนวนิชไปจนถึงห้าแยกน้ำกระจาย และพื้นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น : ระดับพื้นที่ของจังหวัดสงขลา, โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำเดิมบนทางหลวงหมายเลข 407 (หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา) โดยเพิ่มขนาดท่อระบายน้ำและก่อสร้างอาคาร ระบายน้ำเชื่อมต่อกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาในซอยกาญจนวนิช 13 เพื่อระบายน้ำลงสู่คลองสำโรง, โครงการปรับปรุงคลองสิ่งแวดล้อมบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และมหาวิทยาลัยทักษิณ เพื่อระบายน้ำในช่วงฤดูฝน โครงการขุดลอกคลองตอเตี้ย คลองน้ำกระจาย คลองบางดาน และคลองหมู่ที่ 5 สายกลางบ้าน (พะวง) การสูบโคลนจากบ่อพักอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับการล้างท่อ/คูระบายน้ำบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดแนวถนนกาญจนนิชไปจนถึงห้าแยกน้ำกระจาย และพื้นที่เกี่ยวข้อง, การสำรวจท่อลอดทางเข้าสำนักงาน/อาคารบ้านเรือนให้ได้มาตรฐานกรมทางหลวงเพื่อรองรับการระบายน้ำในช่วงฤดูฝนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ รมช.มท.ยังได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จัดทำแผนแม่บทเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยของจังหวัดสงขลาทั้งระบบ อีกด้วย

จากนั้นนายนิพนธ์ รมช.มท และคณะลงพื้นที่สำรวจและเตรียมความพร้อมในการขุดลอกสิ่งกีดขวางทางน้ำในคูคลองในพื้นที่ชุมชนในเขตเทศบาลตำบลพะวง พื้นที่บริเวณห้าแยกน้ำกระจาย และพื้นที่ใกล้เคียง โดยมี ผอ.ปภ


เขต12 หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยแขวงทางหลวงสงขลาที่ 1 ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้  สำหรับการลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อป้องกันอุทกภัยในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง และบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่เกิดน้ำท่งมขังอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นเหตุให้น้ำระบายลงสู่คลองสายหลักได้ยาก จึงได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน จึงต้องดำเนินการแก้ไขเพื่อให้น้ำระบายลงสู่คลองสายหลักได้ง่าย รวดเร็ว และพร้อมรับกับฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง อีกทั้งเป็นการเตรียมการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง และแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป

'จีน' เตรียมขึ้นไลน์ผลิต ‘ARCoVax’ วัคซีน mRNA ตัวแรกของประเทศ แบบฉีดเข็มเดียวจบ เริ่มผลิตตุลาคมนี้

กลุ่มสื่อจีนรายงาน (10 ก.ย.) จีนเตรียมเปิดสายการผลิตวัคซีน “ARCoVax” ซึ่งเป็นวัคซีนต้านโควิด-19 แบบ mRNA ชนิดแรกที่จีนพัฒนาขึ้นเองในเดือน ต.ค. 64

รายงานระบุว่า ARCoVax พัฒนาร่วมกันโดย บ. ซูโจว อบอเจน (Suzhou Abogen), บ.ยูนนาน วาวแวกซ์ ไบโอเทคโนโลยี (Yunnan Walvax Biotechnology) และสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารจีน (Academy of Military Medical Sciences)

โรงงานผลิตวัคซีนดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมืองอวี้ซี มณฑลยูนนาน ด้วยเงินลงทุนรวม 520 ล้านหยวน หรือราว 2,600 ล้านบาท มีกำลังการผลิตวัคซีน mRNA 200 ล้านโดสต่อปี

วัคซีน ARCoVax มีวิธีการใช้โดยการฉีดเพียงครั้งเดียว สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 1 สัปดาห์หรือที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาวัคซีนนี้ต่ำกว่ายี่ห้อต่างประเทศ ทั้งนี้ วัคซีน ARCoVax ได้รับการอนุมัติให้เริ่มการทดลองทางคลินิกระยะสุดท้ายในเม็กซิโกและอินโดนีเซียแล้ว

ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า ความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนดังกล่าวจะทำให้ทางเลือกในการฉีดวัคซีนในจีนมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการฉีดไขว้ระหว่างวัคซีน mRNA กับวัคซีนเชื้อตาย และการใช้วัคซีน mRNA เป็นบูสเตอร์


ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9640000089709

‘สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’ พระราชทานอุปกรณ์การแพทย์ เครื่องวัดความดันโลหิตชนิดสอดแขน แก่โรงพยาบาลบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19

วันนี้ (10 ก.ย.64) ที่โรงพยาบาลบ้านโพธิ์ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานในพิธีรับมอบอุปกรณ์การแพทย์พระราชทานเครื่องวัดความดันโลหิตชนิดสอดแขน เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งพระราชทานให้โรงพยาบาลบ้านโพธิ์  จำนวน 2 เครื่อง พร้อมด้วย นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา  นายอำเภอบ้าน โพธิ์  บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบ้านโพธิ์ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมในพิธีรับมอบฯ ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

เนื่องด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ของจังหวัดฉะเชิงเทรา มีผู้ป่วยสะสมและระลอกใหม่ 28,635 ราย  ณ วันที่ 9 กันยายน 2564 โดยเป็นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19)  ของอำเภอบ้านโพธิ์ จำนวน 2,438 ราย สูงเป็นอันดับที่ 3 ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจุบันโรงพยาบาลบ้านโพธิ์ เปิดให้บริการผู้ป่วย Cohort Ward จำนวน 47 เตียง เปิดให้บริการโรงพยาบาลสนามใต้ร่มพระบารมีจำนวน 200 เตียง เปิดบริการโดยการกักตัวที่บ้าน (home Isolation) จำนวน 17 ตำบลและศูนย์แยกกักกันตัวในชุมชน (community Isolation) จำนวน 5 แห่ง เพื่อรองรับผู้ป่วยในอำเภอบ้านโพธิ์

จากสถานการณ์ดังกล่าว จำนวนผู้ป่วยมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลบ้านโพธิ์ขาดแคลนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่จำเป็นเร่งด่วน ทางโรงพยาบาลจึงขอความอนุเคราะห์จากมูลนิธิชัยพัฒนา สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์พระราชทานเครื่องวัดความดันโลหิตชนิดสอดแขนจำนวน 2 เครื่อง เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19


ภาพ/ข่าว  สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ / ฉะเชิงเทรา

รัฐบาลเปิดแอปฯ “ทางรัฐ” ช่วยเข้าถึงบริการรัฐได้ด้วยง่ายขึ้น 

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือ DGA ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และหน่วยงานพันธมิตร ได้จัดทำแพลตฟอร์มกลางภายใต้ชื่อ “ทางรัฐ” เพื่อช่วยลดความยุ่งยากของประชาชนในการติดต่อหน่วยงานราชการ ลดภาระค่าใช้จ่าย ลดอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจและดำเนินชีวิตของประชาชน โดยปัจจุบันประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปผ่านสมาร์ทโฟน และสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ จากภาครัฐ ได้ง่ายขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ 

สำหรับแอปพลิเคชันทางรัฐนี้เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ช่วยให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถตรวจสอบสิทธิ์ จ่ายบิล หรือติดตามสถานะการขอใช้บริการจากภาครัฐได้อย่างง่ายดาย ได้ทุกที่ทุกเวลา สำหรับหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการยกระดับการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็สามารถนำข้อมูล และบริการต่าง ๆ มาให้บริการผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐได้ด้วย 

ทั้งนี้ประชาชนเพียงแค่ดาวน์โหลด และลงทะเบียนไม่กี่ขั้นตอน จะพบกับบริการของแต่ละหน่วยงานที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้ทุกท่านได้ในทุกช่วงวัยกว่า 30 บริการ ทั้งการตรวจสอบสิทธิ การจ่ายบิล หรือติดตามสถานการณ์ขอใช้บริการจากภาครัฐ การตรวจสอบข้อมูลใบสั่งจราจรและการชำระค่าปรับ การตรวจสอบสถานะข้อมูลเงินสะสม กบข. การตรวจสอบสิทธิประกันสังคม การตรวจสอบสิทธิรักษาพยาบาล เป็นต้น

'มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์' ร่วมกับกลุ่ม 'บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้' และ 'บริษัท เน็กซ์ พ้อยท์ จำกัด (มหาชน)' มอบกล่องแห่งความหวัง เพื่อใช้ในภารกิจ โควิด-19

วันนี้ 10 กันยายน 2564 ที่หอประชุม อ.บางปะกง มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ร่วมกับ กลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) นิคมอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ และ บริษัท เน็กซ์ พ้อยท์ จำกัด (มหาชน) ได้ตระหนักถึงผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มอบ Box Of Hope หรือ “กล่องแห่งความหวัง” และข้าวสาร จำนวน 2,400 ชุด  

เพื่อส่งต่อ ความห่วงใยไปยังพี่น้องชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา และพื้นที่ อ.บางปะกง ให้ปลอดภัยจากโควิด-19  ซึ่งภายในกล่องมีสิ่งของจำเป็นสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ประกอบด้วย ชุดตรวจ Antigen test kit  เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ยาขั้นพื้นฐาน ฟ้าทะลายโจร พาราเซตามอล  หน้ากากอนามัย เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย รวมไปถึง ข้าวสาร ถุงละ 5 กิโลกรัม

โดยมีนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์  / นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานที่ปรึกษามูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ และนางสุรีย์ วศินพิตรพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ

บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด ร่วมมอบกล่องแห่งความหวัง และข้าวสาร จำนวน 2,400 ชุด ให้กับ นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายสรายุทธ แก้วกุลปรีชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา และนายสุรชัย ยุติธรรมนนท์ นายอำเภอบางปะกง พร้อมด้วยผู้แทนจากตำบลต่าง ๆ ของอำเภอบางปะกง เพื่อนำไปใช้ในภารกิจโควิด-19 ของจังหวัดฉะเชิงเทรา

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ /กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) /นิคมอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้  และบริษัท เน็กซ์ พ้อยท์ จำกัด (มหาชน) ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนภารกิจโควิด-19 และช่วยเหลือสังคม เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวจังหวัดฉะเชิงเทราทุกภาคส่วน ผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

ผู้นำสหรัฐฯ งัดไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่รัฐและพนักงานเอกชน ต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 หากไม่ปฏิบัติตามมีบทลงโทษแรง!! ด้านรีพับลิกันจ่อฟ้อง ถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐ และพนักงานในสถานประกอบการที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐบาลต้องฉีดวัคซีน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่พุ่งสูงขึ้น

โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ จะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนภายใน 75 วันหลังจากนี้ หากผู้ใดปฏิเสธการฉีดวัคซีน 'อาจถูกไล่ออกได้' ขณะที่เจ้าหน้าที่เอกชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนจะต้องตรวจโควิด-19 ทุกสัปดาห์

แถลงการณ์จากทำเนียบขาวระบุว่า "บริษัทต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานของตนได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน หรือกำหนดให้พนักงานที่ไม่ได้รับวัคซีนแสดงผลตรวจเชื้อเป็นลบอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง"

ด้านกระทรวงแรงงานออกแถลงการณ์ว่า บริษัทใดที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวต้องชำระค่าปรับประมาณ 14,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 448,000 บาท)

ทันทีที่ข่าวดังกล่าวสะพัด ด้านรอนนา แมคแดนเนียล ประธานคณะกรรมธิการพรรครีพับลิกัน ก็ได้ออกมาแย้งว่า การฉีดวัคซีนต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ อีกทั้งเป็นการผลักภาระให้แก่เจ้าของสถานประกอบการที่ต้องจัดหาชุดตรวจโควิด-19 หรือวัคซีนให้แก่พนักงาน โดยทางพรรคจะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องเสรีภาพของชาวอเมริกันทันทีที่คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้!! 

อย่างไรก็ตาม ไบเดน ได้ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ได้เป็นการละเมิดเสรีภาพหรือความต้องการส่วนบุคคล แต่เป็นความรับผิดชอบที่ต้องทำเพื่อป้องกันตนเองและคนรอบข้าง

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ขอความร่วมมือให้สถานบันเทิงและสถานศึกษาดำเนินการฉีดวัคซีนหรือตรวจคัดกรองโควิด-19 ให้แก่พนักงานของตน

ตลอดจนมีการออกมาตรการลงโทษสำหรับผู้โดยสารบนระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย และดำเนินการเพื่อเพิ่มการผลิตชุดตรวจหาเชื้อด้วย

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนไปแล้วราว 377 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วประมาณ 177 ล้านคนหรือคิดเป็น 54% ขณะที่ยังมีชาวอเมริกันอีกส่วนหนึ่งต่อต้านการฉีดวัคซีน

ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมาอยู่ที่ 188,823 คน และผู้เสียชีวิต 2,276 คน ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อสะสมราว 40.7 ล้านคน และผู้เสียชีวิต 6.56 แสนคน


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/662827

‘ลิซ่า BLACKPINK’ สวมชุดไทยสไบเฉียง อวดสายตาชาวโลก ผ่านโซโล่แรก ‘LALISA’

สิ้นสุดการรอคอยของชาวบลิ๊งค์ทั่วโลก!! “ลิซ่า BLACKPINK” หรือ “ลลิษา มโนบาล” ไอดอลสาวชาวไทยสุดฮอต ได้ปล่อยซิงเกิลอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรก โดยล่าสุดวันนี้ 10 กันยายน เวลา 11.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ค่าย YG ENTERTAINMENT ได้ปล่อยเพลงและเอ็มวีตัวเต็มเพลง “LALISA” ออกมาเป็นที่เรียบร้อย และบอกเลยว่า ยอดสตรีมผู้ชมสดและยอดเข้าเข้าชมวิดีโอทะลุล้านวิวไม่ถึง 2 นาที ซึ่งล่าสุดทะลุสูงกว่า 10 ล้านวิว และพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง!!

เรียกได้ว่าเป็นการปลุกกระแสความปังให้วงการเพลงได้ลุกเป็นไฟอีกครั้ง!! โดยเฉพาะ 1 ในฉาก ที่ทำให้แฟนคลับชาวไทย รู้สึกเซอร์ไพรส์ไม่น้อย คือฉากที่สาวลิซ่า ปรากฏตัวในชุดสไบเฉียง สวมชฎา โดยมีด้านหลังเป็นปราสาทหิน แสดงถึงบ้านเกิดที่ประเทศไทย 

ทั้งนี้ ชุดสไบดังกล่าว เป็นผลงานการออกแบบของ Asava แบรนด์ชื่อดังของไทย ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อเธอ โดยเป็นกระโปรงสั้น และ สไบเฉียง ตัดเย็บจากผ้าไหมยกลำพูนลายพานจักรพรรดิยกทอง ปักคริสตัลสวารอฟสกี้ด้วยมือ และดอกไม้อลังการประดับผมจาก SARRAN และชฎาทองสุดอลังการเป็นผลงานจาก Hook's by Prapakas 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้หลังจากที่ซิงเกิลอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของ ลิซ่าได้สร้างสถิติงานเพลงของไอดอลหญิงในวงการเพลงเค-ป็อป ที่มียอด “พรีออร์เดอร์” ถึงหลัก 200,000 ออร์เดอร์ ซึ่งเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ภายในระยะเวลาเพียง 3 วันกับอีก 17 ชั่วโมงเท่านั้น และล่าสุด YG Entertainment ประกาศวันที่ 10 ก.ย. 64 ว่ายอดพรีออเดอร์สำหรับอัลบั้มโซโล่เดี่ยวบั้มแรกของ ลิซ่า BLACKPINK ‘LALISA’ มียอดเกิน 800,000 ก๊อบปี้แล้ว ซึ่งเป็นยอดของศิลปินเดี่ยวหญิง K-pop ที่มีสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

เรียกได้ว่างานนี้สาวลิซ่า นอกจากสวยดังระดับโลกแล้วยังไม่ลืมบ้านเกิดจัดเต็มความเป็นไทยลงไปในเอ็มวีกันเลยทีเดียว ทำเอาเหล่าแฟนชาวไทยปลื้มปริ่มกับฉากสุดปังอลังการนี้ จนดัน #TodayIsLalisaDay ทะยานขึ้นเทรนด์อันดับ 1 บนโลกทวิตเตอร์ไทย และเทนรด์โลกไปเป็นที่เรียบร้อย

ญาติเหยื่อ 9/11 ถอดใจ!! หลังสหรัฐฯ ส่อแววเลื่อนการพิจารณาคดี

ข่าวดังที่ชาวอเมริกันเริ่มกลับมาให้ความสนใจใหม่ในช่วงนี้ก็คือ การไต่สวนคดีเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา ช่วงวันที่ 11 กันยายน 2001 ที่มีกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ 19 คน จี้เครื่องบินพาณิชย์อเมริกันพุ่งชนอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์ก และ อาคารแพนทากอน ศูนย์บัญชาการฝ่ายกลาโหมสหรัฐฯ จนมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 2,996 คน และบาดเจ็บมากกว่า 2 หมื่นคน

เหตุการณ์ผ่านมาเนิ่นนานจนจะครบรอบ 20 ปีในปีนี้ แต่ทว่าคดีไต่สวนผู้ต้องหาที่เป็นเบื้องหลังคนสำคัญนอกเหนือจาก โอซามา บิน ลาเดน กลับยังค้างอยู่ในศาล จนถึงวันนี้ ก็ยังไต่สวนไม่แล้วเสร็จ

และยิ่งมาเจอการระบาด Covid-19 ครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ เลยทำให้ตลอดทั้งปี 2020 การพิจารณาคดีต้องถูกระงับไปโดยปริยาย จนญาติผู้เสียชีวิตบางคนถึงกับถอดใจว่า พวกเขาจะได้โอกาสเห็นผู้กระทำผิดถูกตัดสินลงโทษอย่างสาสมหรือไม่  

และผู้ต้องหาคดี 9/11 คนสำคัญ ที่เชื่อว่าเป็นผู้ชักใย เจ้าของแผนการโจมตีสหรัฐฯ ที่ตอนนี้ยังไม่ถูกตัดสินก็คือ นายคาลิด ชีค โมฮัมเหม็ด ที่สื่อสหรัฐฯ มักเรียกชื่อย่อว่า "KSM"

KSM เกิดในคูเวต และได้มีโอกาสมาเรียนจบด้านวิศวกรรมเครื่องกลถึงสหรัฐอเมริกา แต่กลับฝักใฝ่ในขบวนการใต้ดิน และเข้าร่วมขบวนการมูจาฮีดีนในปากีสถาน เพื่อต่อสู้กับกองทัพโซเวียตในอัฟกานิสถาน จึงทำให้ได้รู้จักกับโอซามา บิน ลาเดน และร่วมก่อตั้งกลุ่มอัลกออิดะห์ด้วยกันในยุคบุกเบิก 

ทางการสหรัฐฯ เชื่อว่า KSM คนนี้จุดประกายให้เกิดแผนการที่จะโจมตีสหรัฐฯ ในวันที่ 11 กันยายน 2001 และถูกหน่วย CIA จับได้ที่ปากีสถานพร้อมผู้ร่วมขบวนการจำนวนหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2003 และส่งไปขังคุกที่กวนตานาโม ในเขตประเทศคิวบา 

ดังนั้นการสืบสวนคดี จึงต้องเริ่มที่นั่น ที่กลายเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการทำงานสืบคดีของบรรดาทนายของฝ่ายญาติ ไม่เว้นแม้แต่ทีมอัยการ ผู้พิพากษา ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การต้องเดินทางไปถึงที่กวนตานาโมนั้น มัน 'นรก' ชัด ๆ 

ด้วยการเดินทางที่ยากลำบาก กว่าจะไปถึง และการสอบปากคำของผู้ต้องหา ต้องทำผ่านห้องสอบสวนที่มีกระจกชนิดหนากั้น พูดคุยผ่านหูฟังที่เสียงปลายสายต้องดีเลย์ประมาณ 40 วินาทีเพื่อการตรวจสอบ และหากมีเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนกระทบกับฝ่ายความมั่นคง ก็จะถูกเซ็นเซอร์ออกไป

แต่นอกเหนือจากกระบวนการสอบสวนที่ยุ่งยากแล้ว สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สุดที่ทำให้คดีไปต่อได้ยาก คือ ทีมกฎหมายไม่สามารถเข้าถึงเอกสารการสืบสวนที่ทางฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นความลับสุดยอด และเปิดเผยไม่ได้ 

ทำไมการสอบปากคำผู้ต้องหาถึงเป็นความลับเปิดเผยไม่ได้?

นั่นก็เพราะคำให้การของผู้ต้องหาเหล่านั้น ถูกเค้นออกมาจาก "เทคนิคการสอบปากคำพิเศษ" ของหน่วย CIA ในฐานลับ ก่อนที่จะถูกส่งตัวมาที่กวนตานาโมนั่นเอง 

ซึ่งเทคนิคพิเศษที่ CIA อ้างถึงนั้น ล้วนมาจากการบีบเค้น ทรมานผู้ต้องหาอย่างรุนแรง จนต้องยอมรับสารภาพ ซึ่งความจริงเรื่องนี้เองที่ทำให้ทางการสหรัฐฯ ไม่สามารถปล่อยเอกสารการสอบปากคำเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้

จึงทำให้กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 9/11 พยายามร้องเรียนมาตลอด ให้ช่วยลดขั้นตอน และอุปสรรคการสอบสวน รวมถึงให้เปิดเผยเอกสารการสอบสวนทั้งหมดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีออกมา 

โดยในสมัยอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา มีการเสนอให้ส่งตัวผู้ต้องหาคดี 9/11 จากกวนตานาโม มาคุมขังที่สหรัฐฯ เพื่อง่ายต่อการสอบสวนกว่านี้ แต่ถูกสภาคองเกรซคัดค้าน และตีตกไป 

จนมาถึงสมัยของโจ ไบเดน ญาติผู้เสียชีวิตได้ร่วมกันส่งจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้เปิดเผยเอกสารลับการสอบสวนคดีออกมาทั้งหมด ไม่เช่นนั้นพิธีไว้อาลัยในวันครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ 9/11 ประธานาธิบดีก็ไม่ต้องมา! 

ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน เองก็ยืนยันว่าคดีนี้มันต้องจบเสียที จึงได้เซ็นคำสั่งประธานาธิบดีถึงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ FBI ให้เปิดเผยเอกสารการสืบสวนทุกอย่างที่เคยลับให้เผยแพร่ได้ แม้จะมีข้อเท็จจริงบางส่วนที่อาจกระทบกับความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียก็ตาม 

แต่ขั้นตอนไขเอกสารลับ ก็ต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือน และสังเกตได้ว่าเอกสารที่โจ ไบเดนสั่งให้เปิดเผยได้ มีเพียงส่วนของฝ่ายกฎหมาย และ FBI เท่านั้น ไม่ได้พูดถึงข้อมูลของ CIA และฝ่ายกลาโหมแต่อย่างใด 

และล่าสุดการพิจารณาคดีที่เคยระบุว่าจะกลับมาปัดฝุ่นเริ่มได้ภายในปีนี้ อาจต้องเลื่อนออกไปอีกจนถึงปี 2022 

คดีที่หลายคนคาดว่าจะจบได้ในปีนี้ ดูท่าจะไม่จบง่าย ๆ เสียแล้ว และเริ่มสงสัยว่าจะปิดคดีได้ภายในสมัยรัฐบาลโจ ไบเดนได้จริงหรือ จากที่เคยสัญญาเสียดิบดี แต่สุดท้ายดูท่าจะกลายเป็นบัวแล้งน้ำเสียแล้ว

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

อ้างอิง: NY Times / NBC News / ABC News  /  Wikipedia


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top