Monday, 21 July 2025
NEWS FEED

พล.ต.อ.วิระชัย ก่อเหตุ!! เปิดศึกสายเลือด ชิงอำนาจบริษัทหมื่นล้าน บุก!! ขโมยเอกสารบริษัทขณะบวช ชี้!! ร้ายแรงเท่ากับ การเสพเมถุน

(20 ก.ค. 68) พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อดีตรองผบ.ตร. งานเข้าอีกแล้ว โดนบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานหมุนเวียน 2 แห่ง ส่งฝ่ายกฎหมายแจ้งความ สน.บางรัก ข้อหาลักทรัพย์ สัญญาซื้อขาย และเอกสารสำคัญอื่นๆ ของบริษัท

ที่พีคมากก็คือ หลักฐานภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด ของบริษัท เผยให้เห็นว่า พล.ต.อ.วิระชัย ลงมือก่อเหตุ ในขณะบวชเป็นพระ เลยทีเดียว ตามหลักพุทธศาสนา เท่ากับว่าในขณะนั้น พระวิระชัย ต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว เพราะการลักทรัพย์ ถือเป็นโทษที่ ร้ายแรงเท่ากับการเสพเมถุน

ท่ามกลาง กระแสข่าวพระราคะครองเมือง ก่อเรื่องเสพสีกา โกงเงินวัด เต็มไปหมด ไปๆมาๆ ดันมีอดีต บิ๊กตำรวจที่ไปบวชเป็นพระ ส่อว่าไปกระทำผิดวินัยสงฆ์อย่างร้ายแรงไม่แพ้กัน แล้วอะไรคือแรงจูงใจ ให้พระภิกษุ ต้องบุกไป ฉกเอกสาร สำคัญของบริษัทดังกล่าว?
เรื่องของเรื่องก็คือ พล.ต.อ.วิระชัย ก็เป็นหนึ่งในเจ้าของบริษัททั้งสอง โดยถือหุ้นอยู่ ประมาณ 22%

อันส่งผลให้เขาเคยมีฉายาว่า ตำรวจหมื่นล้าน มีทรัพย์สมบัติ ติด 50 อันดับ เศรษฐีเมืองไทย
พออกหักจากชีวิตราชการ ไม่สามารถขึ้นเป็น ผบ.ตร. อย่างที่หวัง อันเนื่องจาก ดันไปเดินทางผิดกับบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล จนจูงมือลงเหวไปด้วยกัน

พล.ต.อ.วิระชัย ก็เป็นกระแสข่าวฮือฮา เมื่อลาบวช พร้อมประกาศว่า จะเป็นการบวชตลอดชีวิต หลังจากที่เคย บวชๆ สึกๆ มาแล้วหลายครั้งกลายเป็นชายหลายโบสถ์ เวลามีสื่อไปสัมภาษณ์ ก็บอกว่า ชีวิตได้พบความสุขแท้จริงแล้ว ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ สามารถปล่อยวางธุรกิจ 10,000 ล้านให้ลูกๆ ดูแล
จากวัดในกรุงเทพฯ พระวิระชัย ย้ายไปจำวัดที่วัดพุทธเมตตาบุญญานุภาพ อ.เถิน จ.ลำปาง เพราะที่นั่นมีพระอาจารย์กิตติเชษฐ์ ซึ่งเป็นตำรวจเก่าเหมือนกัน เป็นเจ้าอาวาส โดยพระอาจารย์กิตติเชษฐ์ จบ นรต.รุ่น 38 เป็นรุ่นน้องของ พระวิระชัย 1 รุ่น

เมื่อพระอาจารย์กิตติเชษฐ์ ย้ายมาเปิดที่พักสงฆ์ ธรรมสถานมูลนิธิพุทธมหาเมตตา อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา พระวิระชัยก็ติดตามมาด้วย
ภายใต้บุคลิกที่ดูเคร่งน่าเลื่อมใส แต่มีคนน้อยมาก ที่จะรู้ความจริงว่า แท้จริงแล้ว พระวิระชัย อยู่ในสภาพ ผ้าเหลืองร้อนรุ่มอยู่เนืองๆ โดยคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดก็คือ

น.ส.จิรฐา ดำเนินชาญวนิชย์ ภรรยาเก่าของพระวิระชัยนั่นเอง อดีตเธอเป็น ลูกสาวของเสี่ยกิตติ ดำเนินชาญวนิชย์ เจ้าของ สวนป่ากิตติ และผู้ก่อตั้งบริษัทกระดาษดับเบิลเอ

ส่วนผู้เป็นสามีอย่าง พล.ต.อ.วิระชัย ก็เหมือนหนูตกถังข้าวสาร ฉายาตำรวจหมื่นล้าน ได้มา จากฐานะของฝ่ายภรรยาล้วนๆ ปัจจุบัน น.ส.จิรฐา นั่งเป็นประธานบริษัท ช่วยกันบริหารบริษัท ร่วมกับ ลูกชายที่เกิดกับพล.ต.อ.วิระชัย รวม 3 คน

ช่วงที่บวชอยู่ พระวิระชัย ก็เคลื่อนไหวเงียบๆ ตลอดมา จะขอมาคุมบริษัทเอง แต่ถูกต่อต้านจากภรรยาเก่า ขณะที่ลูกๆ ของเขา ก็เลือก ยืนข้างแม่กันทุกคน เพื่อกล่อมให้พระวิระชัย เลิกล้ม ความตั้งใจที่จะมายุ่งกับบริษัท ภรรยาเก่าถึงกับสั่งให้จ่ายเงินเดือนให้ถึงเดือนละ 1 ล้านบาทฟรีๆ โดยไม่ต้องทำงานใดๆ แต่เงินเดือน 1 ล้าน ไม่พอซื้อใจพระวิระชัย ซึ่งเขาลงมือก่อเหตุบุกเข้าไปในบริษัท ใจกลางกรุง ทั้งที่ยังมีจีวรคลุมร่าง ไปนำเอกสารสำคัญของบริษัทออกมา คงเป็นเพราะต้องการมีอำนาจในบริษัท

ขณะที่ทางบริษัทก็ทราบดี แต่เก็บหลักฐานคลิปภาพเหตุการณ์ไว้นาน เพิ่งจะมาปล่อยออกสื่อเป็นหมัดน็อก เมื่อส่งฝ่ายกฎหมาย เอาผิดคดีอาญา พระวิระชัย สึกราวเดือนเมษายนปีนี้ แต่ระหว่างที่ พระวิระชัยยังห่มเหลืองอยู่นั้น อดีตภรรยาซึ่งรู้จักกับ พระผู้ใหญ่มากมาย ก็ได้ร้องเรียน พฤติกรรมของพระวิระชัย ที่ยังไม่ยอมอยู่สงบๆ เพื่อให้พระผู้ใหญ่ กล่อม ให้พระวิระชัย สึกไป เมื่อยอมสึกออกมา พล.ต.อ.วิระชัย ก็ลุยร้องเรียนต่อคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. จนบริษัทถูกสอบสวน เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย นำมาสู่การแตกหัก แจ้งจับและเปิดโปงกันแบบ ไม่ไว้หน้าอีกต่อไป

‘มกธ.’ ร่วมกับ ‘สกร.’ จัดงานขับเคลื่อนผลการดำเนินงาน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ‘BTU NEXT’

(20 ก.ค. 68) ณ ศูนย์ปฏิบัติการการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี  โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี (มกธ.) ให้การสนับสนุนและขับเคลื่อนโครงการอย่างเต็มที่ เพื่อเปิดประตูการศึกษายุคใหม่ให้กับนักเรียนและนักศึกษาทั่วประเทศ ร่วมกับ  กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) โดย นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ จัดงานขับเคลื่อนผลการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางการศึกษา เพื่อเปิดโอกาสให้คณะครูและนักศึกษาจากศูนย์การเรียนรู้ชุมชน (สกร.) ทั้ง 50 เขตในกรุงเทพมหานคร ได้รับข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา

ซึ่งพิธีการเปิดงานอย่างเป็นทางการ ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา เป็นประธานในพิธีร่วมกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมด้วย ดร.ยุพิน บัวคอม รองอธิการบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้  ร่วมกดปุ่มเปิด “Start the 30-Day Learning Registration Period @BTU” สู่การเริ่มต้นแห่งโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต อันเป็นสัญลักษณ์เริ่มต้นโครงการ ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้รับชมวีดิทัศน์แนะนำมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และสถาบันการศึกษาทางไกล ตามด้วยกิจกรรมพิเศษ "Idol สกร." ที่ผู้เข้าร่วมจะได้พบปะกับผู้ประสบความสำเร็จจากศิษย์เก่า สกร. และกิจกรรม "BTU NEXT" ที่ผู้เข้าร่วมจะได้พบกับวาไรตี้ทอล์คโดยทีมผู้อำนวยการหน่วยงานและคณะอาจารย์ที่ดูแลนักศึกษา สกร. โดยตรงพร้อมช่วงถาม-ตอบสำหรับทุกคำถามที่ผู้เข้าร่วมสนใจปิดท้ายด้วยการชมนิทรรศการด้านการศึกษาต่อโดยทีมงานจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

บรรยากาศภายในงานมีการจัดแสดงผลงานผ่านบูธต่างๆ ประกอบด้วย บูธคณะบริหารธุรกิจ บูธคณะรัฐศาสตร์ บูธสถาบันทางไกลมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และบูธกิจกรรมต่างๆ อาทิ บูธถ่ายภาพ 360 องศา สำหรับโพสต์ลงเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม และจุดเช็กอินพร้อม Standy นักกีฬาดาวเด่นของมหาวิทยาลัย การจัดงานในครั้งนี้สำหรับศูนย์การเรียนรู้ชุมชนทั้ง 50 เขต สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองหน่วยงานในการเป็นแรงผลักดันสำคัญของระบบการศึกษาไทย ผ่านความร่วมมือกับภาครัฐและการนำเทคโนโลยีการเรียนรู้สมัยใหม่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและตอบโจทย์ต่อผู้เรียนในทุกระดับส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนในระบบการศึกษานอกโรงเรียน เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

เผย!! บทสนทนา ถาม-ตอบ ‘ชายชุดดำ’ ที่กัมพูชา ‘ฮุนเซน’ ให้อาวุธสงคราม สนับสนุน ให้ก่อความวุ่นวาย

(20 ก.ค. 68) รองศาสตราจารย์ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักประวัติศาสตร์ชาวไทย อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ  ชายชุดดำ เวทีคนเสื้อแดง และสมเด็จฮุนเซน โดยมีใจความว่า ...

ผมได้พูดคุยกับ ‘ชายชุดดำ’ อย่างใกล้ชิด โดยมีการสัมภาษณ์ ‘ถาม-ตอบ’ กันที่กัมพูชาดังนี้  

1. เป็นทหารบก ทหารเรือ หรือทหารอากาศ?? 
ปรากฏว่าผิดหมด!! เขาเป็นสามัญชนที่อาสามาร่วมต่อสู้โดยไม่ได้เป็นทหารสังกัดเหล่าทัพใด

2. เมื่อไม่ได้เป็นทหารแล้วเอาอาวุธมาจากไหน??
คำตอบก็คือ ‘เวทีคนเสื้อแดง’ ...เป็นคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกเหนือความคาดหมายมากยิ่งขึ้น

3. ผมต้องถามย้ำเวทีคนเสื้อแดง แล้วเสื้อแดงทำไม จึงมีอาวุธสงครามให้ใช้??
คำตอบก็คือ ‘สมเด็จฮุนเซน’ ให้มาเพื่อการต่อสู้จำนวน 2 ตู้ คอนเทนเนอร์ 
ซึ่งนายจักรภพ เพ็ญแข ก็ยืนยันในข้อเท็จจริง ทำให้เชื่อสนิจใจ จากที่เคยได้ยินมาบ้าง

4. อาวุธมากมายขนาดนี้ น่าจะเพียงพอสำหรับการต่อสู้แบบกองโจร หรือโจมตีแล้วพรางตัวเข้ากับมวลชน สร้างความระส่ำให้กับเจ้าหน้าที่??
คำตอบคือ ไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง เพราะแค่กระสุนหมด จะเบิกกระสุนรอบใหม่ยังต้องจ่ายตัง เลยถอดใจทิ้งอาวุธ และหนีมาอยู่กัมพูชา

5. ก็ไหนบอกว่า ‘เป็นอาวุธที่ฮุนเซนให้มา’ เพื่อช่วยการต่อสู้ เหตุใดจึงต้องซื้อ??
คำตอบคือ ใช่ ‘ฮุนเซน’ ให้มาเพื่อการต่อสู้จริง แต่ ‘คนเสื้อแดง’ เอาไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองไม่ได้เก็บไว้สำหรับต่อสู้

ผมหวังว่า ‘พี่น้องเสื้อแดง’ ที่ได้อ่านบทความนี้ คงจะกระจ่างถึงสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้!!

‘เชียงใหม่’ ของไทย ขึ้นเมืองน่าอยู่อันดับ 1 แซงหน้า ‘เสียมเรียบ’ จาก กัมพูชา

(20 ก.ค. 68) ขอแสดงความยินดีกับชาวเชียงใหม่ อันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุดในเอเชีย ตามมาด้วย โตเกียว กรุงเทพฯ เสียมเรียบ 

‘กองทัพไทย’ ประณาม!! การรุกล้ำชายแดนของกัมพูชา พร้อมเรียกร้อง!! ความรับผิดชอบ อย่างเป็นรูปธรรม

(20 ก.ค. 68) พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดน ซึ่งทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเขตแดนเข้ามาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ของประเทศไทย กองทัพไทยขอยืนยันจุดยืนที่ชัดเจนว่า การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ ไม่อาจยอมรับได้ และ กัมพูชาจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม

แม้เราจะยึดมั่นในหลักการของสันติวิธีและความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอด แต่การละเมิดอธิปไตยและสร้างภัยคุกคามต่อชีวิตของประชาชนและกำลังพลของเราเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความไว้วางใจและความร่วมมือที่เราพยายามสร้างสรรค์มา กองทัพไทยตระหนักดีว่าความขัดแย้งที่ยืดเยื้อไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใด ดังนั้น เราจึงเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้

เราคาดหวังว่ากัมพูชาจะแสดงความรับผิดชอบโดย:

* ชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใส: การสอบสวนอย่างละเอียดและเปิดเผยถึงสาเหตุและผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

* ดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิด: ผู้ที่รับผิดชอบต่อการวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ของไทยจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการจัดการปัญหาและป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการนอกขอบเขตอำนาจอีก

* ให้หลักประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกกัมพูชาต้องมีมาตรการที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีการรุกล้ำอธิปไตยหรือการกระทำที่เป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทยเกิดขึ้นอีกในอนาคต

* เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น: การประเมินและชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ทรัพย์สิน และขวัญกำลังใจของประชาชนชาวไทย ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความรับผิดชอบที่จำเป็น

กองทัพไทยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายเคารพในอธิปไตยซึ่งกันและกัน และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด หากไม่มีการดำเนินการเพื่อแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงใจจากฝ่ายกัมพูชา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อบรรยากาศความร่วมมือและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างสองประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะทำให้สถานการณ์ชายแดนไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้

เราพร้อมเสมอที่จะหารือและร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างสันติวิธี แต่ในขณะเดียวกัน กองทัพไทยก็มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนไทยในทุกสถานการณ์

อพท. ดัน!! ชุมชนท่องเที่ยว คว้า 6 รางวัลนานาชาติ ด้านความยั่งยืน และความรับผิดชอบต่อสังคม

(20 ก.ค. 68) สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ PATA ประกาศผลผู้ชนะรางวัลด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. คว้ารางวัลชนะเลิศระดับ Grand Award จำนวน 1 รางวัล และอีก 5 รางวัลระดับ Gold Awards ประจำปี 2568 จาก 10 ประเภทรางวัล รวมทั้งหมด 6 รางวัล 

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการ อพท. เปิดเผยว่า ในนามทีมงาน อพท. นักพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบของ อพท. ที่ได้รับรางวัลทั้งระดับ Grand และ Gold Awards ของสมาคม PATA ประจำปี 2568 รวมถึงหน่วยงานภาคีเครือข่ายในพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ได้ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่กันมาอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง ปีนี้นับเป็นปีแรกของการได้รับรางวัลชนะเลิศ หรือ PATA Grand Award 2025 และได้รับรางวัลระดับ PATA Gold Awards 2025 อีก 5 รางวัลจาก 10 ประเภทรางวัล รวมได้รางวัลทั้งสิ้น 6 รางวัล 

ถือเป็นความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่ได้รับการยอมรับถึงกระบวนการทำงานและผลลัพธ์ของการพัฒนาการท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืนของ อพท. ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่ง อพท. ดำเนินงานภายใต้ปรัชญาการทำงาน Co-Creation ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ ร่วมรับผิดชอบ ร่วมรับผลประโยชน์และร่วมเป็นเจ้าของ ตามแนวทางเกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก หรือ Global Sustainable Tourism Criteria (GSTC) ของสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก ผ่านกระบวนการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม ติดตามและประเมินผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับชุมชนท่องเที่ยวและหน่วยงานภาคีเครือข่ายในพื้นที่พิเศษ กระบวนการทำงานและชุมชนท่องเที่ยวที่ได้รับรางวัลนี้ จะได้เป็นต้นแบบในการขยายผลองค์ความรู้ไปยังพื้นที่อื่นๆ เพื่อพัฒนาจุดหมายปลายทางทางการท่องเที่ยวและชุมชนท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล รองรับตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่มุ่งเป้าหมายกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง 

สำหรับรางวัลที่ อพท. ได้รับในปีนี้ ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ PATA Grand Award 2025 ด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม (Sustainability and Social Responsibility: SSR) ในผลงาน “การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมวิสาหกิจชุมชนกลุ่มโฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่นอย่างยั่งยืน (Sustainable Cultural Heritage Preservation of the Ban Na Ton Chan Homestay Community Enterprise)” 

รางวัล PATA Gold Awards 2025 จำนวน 5 รางวัล ได้แก่ 

1. ประเภท การริเริ่มด้านการปฏิบัติการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ดีที่สุด (ระดับแหล่งท่องเที่ยว) (Best Climate Action Initiative (Destination) ในผลงาน “ต้นแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่ปลดปล่อยคาร์บอนอย่างสมดุล (Carbon Neutral Community-based Tourism Prototype)”

2. ประเภท การท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Tourism for All: Best Inclusion and Diversity Initiative) ในผลงาน “การริเริ่มด้านการมีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่มและความแตกต่างหลากหลายที่ดีที่สุด (Community-based Tourism for All : CBT for All)”

3. ประเภท การปรับตัวและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว (ทุกพื้นที่) (Destination Resilience (All Destinations)) ในผลงาน “พื้นที่สร้างสรรค์ สู่การพลิกฟื้นคืนเมืองเก่าสงขลา สู่ย่านเมืองเก่าที่มีชีวิต (Creative Spaces Revitalizing the Old Town into a Lively Heritage District)”

4. ประเภท การริเริ่มด้านการพัฒนาบทบาทสตรีที่ดีที่สุด (Best Women Empowerment Initiative) ในผลงาน “พลังสตรีกับการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวโดยชุมชน: กรณีศึกษา บ้านสันทางหลวง จังหวัดเชียงราย (Women’s Empowerment in Driving Community-Based Tourism: A Case Study of Ban San Thang Luang, Chiang Rai Province)”

5. ประเภท การริเริ่มด้านการพัฒนาบทบาทเยาวชนที่ดีที่สุด (Best Youth Empowerment Initiative) ในผลงาน “กลุ่มชวนน้องออมถวายพ่อหลวง” (องค์กรสาธารณประโยชน์) SE For Youth in Thailand - Loei Youth Saving Group / SE For Youth in Thailand

ในโอกาสเดียวกันนี้ ร่วมแสดงความยินดีกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ที่ได้รับ 2 รางวัล PATA Gold Awards 2025 ในด้านการส่งเสริมการตลาด ประเภท Best Integrated Digital Marketing Campaign (Destination) “Love Season” Initiative และ Best Travel Photography “The Hidden Romance of Sam Roi Yot”

นอกจากนี้ อพท. ยังมีเครื่องมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่เป็นมาตรฐานสากลและเกิดผลสำเร็จเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติสำหรับหน่วยงานภาคีในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงยังมีพื้นที่ชุมชนท่องเที่ยวและพื้นที่พิเศษที่พัฒนาเป็นต้นแบบ อยู่ระหว่างการพิจารณาการรับรองมาตรฐานและรางวัลทางการท่องเที่ยวในระดับประเทศและนานาชาติ และพร้อมส่งมอบสู่ตลาดการท่องเที่ยวคุณภาพสูงต่อไป

‘พี่วิทย์’ โพสต์ TikTok!! 4 แนวทาง ดันท่องเที่ยว เน้น!! เที่ยวเมืองไทย ให้เงินหมุนเวียนในประเทศ

(20 ก.ค. 68) นาวาตรีวรวิทย์ เตชะสุภากูร อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นไว้ใน TIKTOK #พี่วิทย์วรวิทย์ เกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยว โดยมีใจความว่า ...

เห็นข่าวการขึ้นกำแพงภาษีจากต่างประเทศแล้ว ถ้าเรากินของไทย ใช้ของไทย เที่ยวเมืองไทย เงินก็จะหมุนเวียนในประเทศไทย คนก็จะมีอาชีพ มีงานทำ เราสามารถช่วยกันได้ เพราะปัญหาของวันนี้คือ ชาวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยน้อยลง ส่วนคนไทยก็ยังไม่ค่อยไปเที่ยวเมืองรอง ทางแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ ทำให้เรื่องการท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ ทุกหน่วยงานของทางภาครัฐต้องเน้นเรื่องการท่องเที่ยว และต้องมุ่งแก้ไขปัญหา 4 เรื่องดังนี้

1. การเดินทางไม่สะดวก มีรถโดยสารวิ่งภายในจังหวัดมากถึง 75% แต่วิ่งข้ามจังหวัดแค่ 10% จึงต้องจัดการเชื่อมต่อให้เป็นระบบ ทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน ให้ดีขึ้น

2. แก้ไขเรื่องความพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงแรมที่พัก ห้องน้ำ ให้ได้คุณภาพและจำนวน เรามีห้องพัก 65% กระจุกอยู่ใน 11 จังหวัดเมืองหลัก และมีอัตราการเข้าพักในเมืองรองก็ยังต่ำแค่ 30-50%

3. เพิ่มโปรโมชั่นที่เน้นเมืองรอง เช่น เอาใบเสร็จค่าใช้จ่าย ที่เที่ยวเมืองรอง มาหักภาษีได้เยอะๆ รวมถึงสนับสนุนให้บริษัทเอกชน จัดอบรมสัมมนาเพิ่มด้วย

4. เร่งฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้สะอาด สะดวกและปลอดภัย

‘เอกนัฏ’ สั่ง!! ‘สุดซอย’ กวาดล้างจับปลั๊กไฟ ปลั๊กพ่วง เถื่อน-ตกเกรด อายัดสินค้าของกลาง 7.2 ล้านบาท ดำเนินคดี!! มีโทษ ทั้งจำและปรับ

(20 ก.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ ทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า เข้าตรวจค้นโกดังและสถานที่ตั้งบริษัทนำเข้าจำนวน 3 แห่ง หลังได้รับรายงานว่าเป็นโกดังจัดเก็บสินค้าไม่มี มอก. และสินค้าตกมาตรฐาน ที่จำหน่ายในร้านค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวว่า จากการเข้าตรวจสอบทั้ง 3 จุด พบว่า จุดที่ 1 เป็นโกดังของ บริษัท ทีที-วัน เทคโนโลยี จำกัด ตั้งอยู่ในโครงการ ซีทีที ศาลายา ปาร์ค โกดังเลขที่ 52/36-39 และโกดังเลขที่ 52/34 มีร้านค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์กว่า 21 ร้านค้า เจ้าหน้าที่ตรวจพบเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายรายการ เช่น ปลั๊กไฟ ปลั๊กพ่วง เพาเวอร์แบงค์ หม้อทอดไร้น้ำมัน พัดลม และสินค้าอื่นๆเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศจีน ที่ไม่มี มอก. และไม่ได้ขออนุญาตจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

จุดที่ 2 ได้เข้าตรวจสถานที่จำหน่าย ของบริษัท เอ็นทีพี อิเล็กทรอนิก 2019 จำกัด ตั้งอยู่บนถนนพุทธมณฑลสาย 3 เขตบางแค กรุงเทพฯ มีร้านค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 3 ร้านค้าชื่อ ONESAM เนื่องจากก่อนหน้านี้ทาง เจ้าหน้าที่ สมอ. ได้เข้าตรวจสอบตามข้อร้องเรียนของประชาชนและได้นำตัวอย่างชุดปลั๊กพ่วงที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ภายใต้ยี่ห้อ ONESAM ไปตรวจสอบ ผลทดสอบผลิตภัณฑ์ชุดสายพ่วง ปรากฏไม่เป็นไปตามมาตรฐาน จึงลงพื้นที่เข้าตรวจสอบโกดังสินค้าเพิ่มเติม พบว่ามีการจำหน่ายเครื่องจ่ายไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือแท็บเล็ตและชุดสายพ่วงด้วย จึงได้ทำการอายัดสินค้าดังกล่าวไว้ทั้งหมด 

และเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลจากตัวแทนของบริษัท เอ็นทีพีฯ จำกัด ทราบว่ามีการสั่งซื้อสินค้านำเข้ามาจากประเทศจีน โดยผ่าน บริษัท เอ็ม จี ที อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าหน้าที่จึงเดินทางไปตรวจสอบยังจุดที่ 3 คือ บริษัท เอ็ม จี ที ฯ เพิ่มเติม พบผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ และแท็บเล็ตพร้อมเครื่องจ่ายไฟฟ้า นำเจ้าจากประเทศจีน ไม่พบการแสดงเครื่องหมายมาตรฐานที่ตัวเครื่องจ่ายไฟฟ้า จึงทำการยึดอายัดสินค้าทั้งหมด

โดยเจ้าหน้าที่สั่งให้ทั้ง 3 บริษัทฯ นำสินค้าที่ไม่มี มอก. และสินค้าที่ตกมาตรฐานออกจากระบบการซื้อขายในร้านค้าออนไลน์ทั้งหมด พร้อมดำเนินคดีจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีมาตรฐาน มีโทษทั้งจำและปรับ

"ตามนโยบายปราบดัมพ์ สู้ ทรัมป์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่สั่งกวาดล้างสินค้าเถื่อน ไม่มีมาตรฐาน นำเข้ามาดัมพ์ตลาดในไทย ทั้งปลั๊กพ่วง ปลั๊กราง สายไฟ เพาเวอร์แบงค์ เครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด ที่นำเข้ามาขายราคาถูก ไม่มีการขอ มอก. ซ้ำยังมีบางสินค้า แอบแปะสัญลักษณ์ มอก. เอง แบบไม่ถูกต้อง นอกจากจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ซื้อไปใช้แล้ว ผู้นำเข้าบางรายยังใช้ไทยเป็นทางผ่านหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี บางรายมีการนำชิ้นส่วนรวมไปถึงฉลากมาประกอบในไทย แต่แอบติดตรา Made in Thailand ทำให้เกิดความเสียหาย ทำลายชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือประเทศไทยแล้ว ยังทำลายผู้ประกอบการไทยที่ทำสินค้าดีมีมาตรฐานในประเทศอีกด้วย" นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

คนไทย ได้ใช้ ‘ยารักษามะเร็ง’ ราคาถูก ด้วยพระปรีชาของ ‘กรมพระศรีสวางควัฒนฯ’

(20 ก.ค. 68) นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศิษย์เก่าปริญญาโท คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟสบุ๊ค กรณียารักษาโรคมะเร็ง อิมครานิบ 100 ชนิดเม็ดที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย โดยพัฒนาขึ้นจากพระปรีชาสามารถของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนา ระบุว่า …

ยารักษามะเร็ง

พวกเราที่ต้องกินยาฝรั่งเป็นประจำ ต้องรูัว่ามันแพง บางอย่างแพงมากๆ
แล้วคนไหนที่เปลี่ยนจากยาฝรั่งต้นตำรับที่เรียกว่า innovator (อิน-โน-เว-เต้อร์) เป็นยาตัวเดียวกันที่หมดความคุ้มครองของสิทธิบัตรแล้วที่เรียกว่า generic (เจ-เนอ-หริก) ที่ผลิตในประเทศ หรือประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะรู้ด้วยว่า ราคาถูกลงเยอะมาก ถูกลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง บางอย่างราคาแค่ 10% เท่านั้นเอง

ที่ราคาต่างกันราวกับฟ้ากะเหวเป็นเพราะว่า การวิจัย พัฒนา ยารักษาโรคใหม่ขึ้นมา มันทั้งแพงและใช้เวลายาวนาน
เรามาดูกันว่า แพงแค่ไหน นานแค่ไหน

การพัฒนายารักษาโรคใหม่ๆ เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน และต้องผ่านขั้นตอนการวิจัยและทดสอบที่เข้มงวดหลายขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัยก่อนที่จะนำไปใช้กับผู้ป่วยได้จริง ดังนี้

1. การค้นพบและพัฒนา (Discovery and Development) - ระยะเวลา: 2-4 ปี
ศึกษาค้นคว้าโรค สาเหตุและกลไกของโลก หาสารออกฤทธิ์ที่มีเป็นแสนๆชนิดที่มีศักยภาพใฃในการรักษาโรค

2. การวิจัยพรีคลินิก (Preclinical Research) - ระยะเวลา: 1-2 ปี
ทดสอบตัวยาที่เลือกไว้ว่ามีผลลัพธ์ที่ต้องการ ประสิทธิภาพ และเป็นพิษ ทั้งในหลอดทดลองมาจนเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ สัตว์ทดลอง เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย
รวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นขออนุญาตทำการวิจัยทางคลินิก ต่อหน่วยงานกำกับดูแล เช่น อย. (FDA ในสหรัฐอเมริกา)

3. การวิจัยทางคลินิก (Clinical Research) - การทดสอบในมนุษย์ ระยะเวลา: 6-7 ปี โดยเพิ่มจำนวนขึ้นทีละขั้นจนแน่ใจว่าปลอดภัย และรูัว่าผลข้างเคียงทั้งหมดคืออะไร

4. การยื่นขอขึ้นทะเบียนและอนุมัติ (Regulatory Review and Approval) - ระยะเวลา: 1-2 ปี

5. การเฝ้าระวังหลังการวางตลาด (Post-Market Safety Monitoring)

โดยเฉลี่ยแล้ว กระบวนการพัฒนายาใหม่ตั้งแต่ต้นจนถึงการได้รับอนุมัติให้ขายได้ ใช้เวลาประมาณ 10 - 15 ปี ในบางกรณีอาจนานกว่านั้นถึง 20 ปี

ส่วนเรื่องของต้นทุน จากการศึกษาล่าสุด ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการพัฒนายาใหม่ 1 ขนาน (รวมถึงต้นทุนของยาที่ล้มเหลวในกระบวนการ) อยู่ระหว่าง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 35,000 ล้านบาท ถึง 91,000 ล้านบาท) หรือสูงกว่านั้นในยาบางชนิด โดยเฉพาะยารักษาโรคมะเร็งที่จะต้องไม่เป็นพิษต่อผู้ป่วย อย่างเช่น

ยารักษามะเร็งไขสันหลังชื่อ Carvykit ของบริษัท Janssen Biotech ที่ราคาต่อการเข้ารักษาหนึ่งครั้งอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาท และจะต้องได้รับการรักษาหลายครั้งจึงจะมีโอกาสหาย

ด้วยเหตุนี้ ในโลกตะวันตก ผู้ป่วยโรคร้ายแรงจำนวนไม่น้อยจึงไม่ได้รับการรักษาหรือเลือกที่จะไม่รักษา เพราะราคายาที่นั่นแพงสุดๆ ใครไม่มีประกันสุขภาพ ก็หมดโอกาสรักษาตัว แต่ถ้ารักษาก็จะสิ้นเนื้อประดาตัว

แต่ไม่ใช่ที่บ้านของเรา เมืองไทยของเรา

เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา องค์การอาหารและยา หรือ อย. ได้ขึ้นทะเบียนยารักษามะเร็ง 2 ขนาน ชื่อ Herdara และ Imcranib 100 ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดย สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี

จากตรงนี้ไป ผมขอเรียกพระองค์ว่า เจ้าหญิงของคนไทย ในโพสต์นี้

คนไทยเป็นมะเร็งมากขึ้นเพราะอายุขัยเฉลี่ยยาวนานขึ้น ควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อมและอาหารที่มีสารก่อมะเร็งปนเปื้อนมากขึ้นๆ แต่คนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงยารักษามะเร็งราคาแพง

เจ้าหญิงของเราจึงทรงมีพระกรุณาธิคุณ ให้หน่วยงานของพระองค์วิจัยพัฒนายาทั้ง 2 ขนานจากยาต้นตำรับ (Innovator) ที่ถูกพิสูจน์จากการใช้งานจริงแล้วว่า ใช้ได้ผลและมีประสิทธิภาพดี เพื่อให้ได้ยาที่ราคาถูกลง คนไทยทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ โดยใช้เวลานานนับปีๆ และทรัพยากรทุกอย่างที่พระองค์ทรงสนับสนุน ส่งเสริม และจัดหาให้

ยา Herdara เป็นยารักษามะเร็งเต้านม ถูกพัฒนามาจากยา Herceptin ที่ราคาสูงถึง 45,000 บาทต่อ หนึ่ง ไวอัล และการรักษาแต่ละคอร์สต้องใช้ยาหลายไวอัล แม้ว่ายังไม่มีการประกาศราคา แต่เจ้าหญิงของคนไทยทรงมุ่งมั่นที่จะทำให้ราคายาของพระองค์ราคาถูกกว่ายาต้นแบบมาก

ยา Imcranib 100 ที่ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง พัฒนาจากยาต้นตำรับ Gleevec ที่มีราคาสูงถึงเม็ดละหลายพันบาท โดยยาของเจ้าหญิงของเราจะมีราคาถูกกว่า 10 เท่าคือเม็ดละร้อยกว่าบาทเป็นอย่างสูง

ยาทั้งสองนี้จะถูกผลิตที่โรงงานผลิตยาของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ที่จังหวัดชลุบรี เพื่อคนไทย พสกนิกรไทยต่อไป

เจ้าหญิงของคนไทยเรา ทรงศึกษาวิชาการสายวิทยาศาสตร์ถึงขั้นสูงสุด ทรงพระเมตตา ทรงงานด้านสาธารณสุขอย่างหนักเพื่อคนไทยของพระองค์มาตลอดโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพของพระองค์เอง เช่นเดียวกับ ในหลวงรัชกาลที่เก้า พ่อของพระองค์ และสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ปู่ของพระองค์

ขอพระองค์ทรงพระเจริญเป็นขวัญเป็นมงคลให้กับคนไทยชั่วกาลนานด้วยเทอญ

‘อาจารย์อุ๋ย’ เรียกร้อง!! รัฐบาลให้กดดัน ‘กัมพูชา’ รับผิดชอบ ‘กับระเบิด’ ชี้!! ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ห้ามใช้ กักตุน ผลิต ทุ่นระเบิดสังหาร

(19 ก.ค. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพเฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า …

จากกรณีที่พลทหาร 3 นาย ของไทย เหยียบกับระเบิดของกัมพูชาขณะเดินลาดตระเวนริมชายแดนนั้น นอกเหนือจากการเยียวยาความเสียหายให้กับตัวผู้บาดเจ็บแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลต้องกระทำทันทีคือการเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งห้ามการใช้ กักตุน ผลิตหรือขนส่งทุ่นระเบิดสังหารส่วนบุคคล (anti-personnel mines) 

ซึ่งการแสดงความรับผิดชอบของรัฐเมื่อเกิดการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศนั้นมีได้หลากหลายวิธี โดยบัญญัติไว้ในบทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดของรัฐในกรณีการกระทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ 2544 (Articles on Responsibility of States for Internationally Wrongful Acts 2001) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ARSIWA ซึ่งร่างโดย คณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (ILC) ซึ่งเป็นองค์กรย่อยของสหประชาชาติ โดยรัฐใดรัฐหนึ่งจะต้องรับผิดต่ออีกรัฐหนึ่งเมื่อเกิดการกระทำที่ฝ่าฝืนพันธกรณีระหว่างประเทศ 

ซึ่งในกรณีนี้กัมพูชาฝ่าฝืนอนุสัญญาออตตาวา จนทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและพิการ ซึ่ง ARSIWA กำหนดให้รัฐที่กระทำผิดต้องยุติการกระทำผิด และป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดซ้ำ (cessation and non-repetition) ตามมาตรา 30 ซึ่งในกรณีนี้กัมพูชาต้องแถลงขอโทษ เอาทุ่นระเบิดสังหารออกทั้งหมด และ รับผิดชอบเยียวยาและชดใช้ความเสียหายให้กับทหารไทยที่บาดเจ็บและทุพพลภาพ (reparation, restitution and compensation) ตามมาตรา 31 35 และ 36 โดยรัฐที่ทำผิดจะต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งทางวัตถุ ร่างกายและจิตใจ  

โดยรัฐบาลไทยสามารถใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้โดยใช้วิธีกดดันทางการทูต หรือนำเรื่องเข้าสู่ประชาคมระหว่างประเทศเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศก่อน เพื่อที่ไทยจะได้สงวนสิทธิในการป้องกันตนเองโดยการใช้กำลังอาวุธตามมาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) หรือสามารถนำเรื่องเข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ หรือกลไกเฉพาะอื่น ๆ ขององค์กรระหว่างประเทศต่อไป เช่น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)   

ทั้งนี้ ก็เพื่อรักษาศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชาติบนเวทีโลก และสำแดงให้นานาอารยประเทศเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่รักสงบ เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอย่างถึงที่สุด เว้นแต่จะถูกรุกรานด้วยการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศก่อน ด้วยความปรารถนาดี   


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top