Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

อีอีซี กางแผนลงทุน 2.5 ล้านล้านบาท ในช่วง 5 ปีหน้า

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธาน ได้เห็นชอบแผนการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ในระยะ 5 ปีต่อไป (2565 - 2569) กำหนดวงเงินลงทุน 2.5 ล้านล้านบาท ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งขั้นตอนจากนี้จะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ กพอ. ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในต้นเดือนต.ค.นี้ เห็นชอบต่อไป 

ทั้งนี้ในการลงทุน 5 ปีต่อไป มีโครงการสำคัญ คือ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 1 แสนล้านบาท โครงการพัมนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน 1 แสนล้านบาท และการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายอีกปีละ 4 แสนล้านบาท ทั้งการลงทุนพื้นที่ของทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ดำเนินการ ปีละ 2.5 แสนล้านบาท อีกส่วนคือ การเร่งรัดการลงทุนของ กพอ. เองอีกปีละ 1.5 แสนล้านบาท ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ปีละ 4 หมื่นล้านบาท, 5G ปีละ 5หมื่นล้านบาท, การแพทย์สมัยใหม่ ปีละ 3 หมื่นล้านบาท และอุตสาหกรรมขนส่ง ปีละ 3 หมื่นล้านบาท 

นายคณิศ กล่าวว่า ที่ประชุมยังรับทราบความคืบหน้าการลงทุนในช่วง 3 ปี 8 เดือน ของโครงการลงทุนในอีอีซี นับตั้งแต่เกิด พ.ร.บ. อีอีซี ปี 2561 – มิ.ย. 2564 เกิดการลงทุนรวมที่ได้รับอนุมัติแล้ว 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 94% จากเป้าหมายแผน 5 ปี (2561-65) ของอีอีซี 1.7 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าในปีนี้จะบรรลุเป้าหมายแน่นอน ถือเป็นการบรรลุเป้าหมายก่อนเวลา 1 ปี  โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอกชนร่วมลงทุน (PPP) 4 โครงการหลัก ทั้ง รถไฟฯ/สนามบินฯ/ 2 ท่าเรืออุตสาหกรรม มูลค่ารวม 633,401 ล้านบาท 2. การลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย จากการออกบัตรส่งเสริมบีโอไอ มูลค่า 878,881 ล้านบาท โดยโครงการที่ขอยื่นส่งเสริมลงทุน ช่วงปี 2560 - มิ.ย. 2564 ลงทุนจริงแล้วกว่า 85% 

3. การลงทุนผ่านงบบูรณาการอีอีซี มูลค่า 82,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่าน (ม.ค.-มิ.ย. 64) มีการขอรับส่งเสริมลงทุน 232 โครงการ เงินลงทุน 126,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งทั้งปีนี้ คาดว่าจะมีการลงทุนถึง 2 – 2.5 แสนล้านบาท โดยจำนวนขอโครงการสูงสุดคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ชิ้นส่วน ส่วนเงินลงทุนสูงสุดคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็คทรอนิกส์ สำหรับการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) คิดเป็น 64%ของคำขอลงทุนในอีอีซี ซึ่งนักลงทุนที่สนใจมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ตามลำดับ 

'อิสราเอล' จ่อปูพรมฉีดวัคซีนเข็ม 4 สู้โควิด พบ ประสิทธิภาพ 2 เข็มแรกลด หลังฉีดไป 5 เดือน

อิสราเอล กำลังเตรียมการต่าง ๆ เพื่อรับประกันว่าจะมีเสบียงวัคซีนพอเพียงในกรณีที่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 4 จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงของประเทศเมื่อวันอาทิตย์ (12 ก.ย.)

"เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะไม่เกิดขึ้นภายใน 6 เดือนดังเช่นเวลานี้ และหวังว่าเข็มที่ 3 จะอยู่ได้นานกว่าเดิม" นัชมาน อัช อธิบดีกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลกล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุ 103FM

อิสราเอลเริ่มโครงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และจนถึงตอนนี้ฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็ม 3 แก่ประชาชนไปแล้วราว ๆ 2.8 ล้านราย

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุว่าประสิทธิภาพของวัคซีน 2 เข็มแรกอ่อนแอลงหลังจากฉีดไป 5 เดือน ส่งผลให้การฉีดเข็มกระตุ้นมีความจำเป็น

จนถึงตอนนี้มีประชาชนชาวอิสราเอลราว 6 ล้านคนจากทั้งหมด 9.4 ล้านคนที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว และราว 5.5 ล้านคนฉีดครบ 2 เข็ม

ครั้งหนึ่งอิสราเอลเคยเป็นหนึ่งในประเทศลำดับต้น ๆ ของโลกที่ใกล้หลุดพ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทว่าพวกเขาต้องกลับกลายมาเป็นหนึ่งในจุดร้อนของโรคระบาดใหญ่ในช่วงต้นเดือนกันยายน ด้วยมีอัตราการติดเชื้อต่อจำนวนประชากรสูงสุดเหนือกว่าชาติไหน ๆ ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 กันยายน ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮ็อบกินส์

อัช ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดูเหมือนการเพิ่มขึ้นของเคสผู้ติดเชื้อชะลอตัวลง และเรื่องนี้น่าจะเป็นผลจากการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

ตามหลังการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตาในช่วงฤดูร้อน อิสราเอลพบเห็นเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งทะยาน และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 2 กันยายน ขณะที่รัฐบาลเริ่มดำเนินการตรวจเชื้ออย่างกว้างขวางแก่เด็ก ๆ ในช่วงต้นของปีการศึกษาใหม่

จากข้อมูลพบว่าอัตราผู้ติดเชื้ออาการรุนแรงต่อประชากร 100,000 คน ในกลุ่มคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน สูงกว่ากลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วเป็นอย่างมาก นั่นแสดงว่าแม้ภูมิคุ้มกันลดลงไป แต่วัคซีนยังคงสามารถมอบการป้องกันบางส่วนต่อการติดเชื้ออาการหนัก

เมื่อสอบถามเกี่ยวกับรายงานข่าวที่อ้างว่าอิสราเอลเคยสัญญากับไฟเซอร์ อิงค์ ว่าจะใช้วัคซีนโควิด-19 เฉพาะของไฟเซอร์แต่เพียงเจ้าเดียว ในเรื่องนี้ อัช ชี้แจงว่าไม่มีข้อตกลงดังกล่าว และเผยว่าเวลานี้บุคคลอายุ 18 ปีขึ้นไป กำลังฉีดวัคซีนเข็มแรกของโมเดอร์นา อิงค์


(ที่มา:บลูมเบิร์ก)
https://mgronline.com/around/detail/9640000090547

รมว. แรงงาน  ประชุมเตรียมความพร้อมแนวทางนำเข้า MOU เพื่อเสนอต่อศบค.พิจารณาต่อไป

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 6/2564 เพื่อพิจารณาแนวทางการนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MoU ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด และขยายเวลาดำเนินการของศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (TDCC) โดยมีนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมประชุม โดยนายสุชาติเปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยยังคงมีความรุนแรงและต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน จึงได้มอบหมายกระทรวงแรงงาน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมการการปกครอง สาธารณสุข รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว พร้อม ๆ ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่จำเป็น ต้องใช้แรงงานข้ามชาติอย่างเหมาะสม และสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชนได้


“ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานมีแนวทางในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในประเทศให้สามารถอยู่และทำงานได้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 และ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 อย่างไรก็ดีจากการสำรวจความต้องการแรงงานข้ามชาติจากนายจ้าง/สถานประกอบการ ยังพบว่าไม่เพียงพอกับความต้องการของนายจ้าง วันนี้ที่ประชุมจึงได้พิจารณาและเห็นชอบให้ แบ่งกลุ่มคนต่างด้าว
ที่อนุญาตให้เข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสีเขียว ที่ฉีดวัคชีนครบ 2 เข็ม เป็นระยะเวลา 1 เดือนขึ้นไป จะได้เข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศเป็นลำดับแรก โดยต้องแสดงวัคซีนพาสปอร์ตด้วย กลุ่มสีเหลือง ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม แต่ยังไม่ครบกำหนดระยะเวลา 1 เดือน และ กลุ่มสีแดงที่ฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็มหรือยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย โดยให้นายจ้าง/สถานประกอบ รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วยค่าสถานที่กักกัน ค่าตรวจหาเชื้อ COVID-19 ค่ารักษา (กรณีคนต่างด้าวติดเชื้อ COVID-19) หากอยู่ในกิจการที่อยู่ในระบบประกันสังคม และเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 หลังครบกำหนดระยะเวลากักตัวจะได้รับวัคซีนตามสิทธิผู้ประกันตน กรณีไม่ได้เป็นผู้ประกันตนม.33 นายจ้างจะเป็นผู้จัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่คนต่างด้าว ทั้งนี้ สถานที่กักกันของคนต่างด้าวต้องเป็นของรัฐหรือของเอกชนตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดให้การรับรอง และขยายระยะเวลาการดำเนินการของศูนย์ TDCC ณ จังหวัดสมุทรสาครต่อไปอีก 1 ปี เพื่อให้แรงงานเมียนมาสามารถทำเอกสารประจำตัว (Passport : PP) ไม่ต้องเดินทางกลับประเทศซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยสามารถเปิดทำการได้ทันทีหลังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครเห็นชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว
 
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า นายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวตาม MoU ต้องยื่นแบบคำร้องขอนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศ ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดหรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ทำงานของแรงงานต่างด้าว ในส่วนประเทศต้นทางจัดทำและส่งบัญชีรายชื่อคนงานต่างด้าวให้นายจ้างไทยพิจารณา นายจ้าง/สถานประกอบการยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว พร้อมชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน (2 ปี) จำนวน 1,900 บาท เมื่อแรงงานต่างด้าวเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย จะต้องแสดงหลักฐานการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 โดยวิธี RT-PCR ระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วย โดยคนต่างด้าว

ต้องเข้ารับการกักตัวก่อนเริ่มทำงาน และตรวจหาเชื้อโควิดโดยวิธี RT-PCR ซึ่งหากผลตรวจโรคไม่ผ่าน ให้เข้ารับการรักษาโดยมีนายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการกักตัวและตรวจไม่พบเชื้อโควิด - 19 หรือได้รับการรักษาจนหายแล้ว ให้คนต่างด้าวแสดงหลักฐานใบรับรองแพทย์ เพื่อรับใบอนุญาตทำงานต่อไป โดยคนต่างด้าวที่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับการฉีดวัคซีนตามสิทธิผู้ประกันตน 

ทั้งนี้ หากนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ

'หมอยง' ชี้ ฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มแล้วติดเชื้อ ทำให้ภูมิพุ่งสูง ไม่จำเป็นต้องฉีดเข็มกระตุ้น

13 ก.ย. 64  ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความว่า โควิด-19 วัคซีน ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ หลังได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม

ในรูปนี้จะเห็นว่าคนที่ได้รับวัคซีนเชื้อตายครบ 2 (Sinovac) เข็ม เมื่อมีการติดเชื้ออาการลดลง ไวรัสจะกระตุ้นภูมิต้านทานเหมือนการให้วัคซีนอีก 1 ครั้ง ทำให้ระดับภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นสูงมาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อน และติดเชื้อ ภูมิต้านทานจะห่างกันถึงกว่า 100 เท่า 

ในผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วมีการติดเชื้อ การกระตุ้นภูมิต้านทานจะขึ้นเร็วมาก ภายหลังการติดเชื้อไม่กี่วันภูมิขึ้นสูงเป็นแบบ booster effect หรือที่เรียกว่า Anamnestic response จึงสามารถกำจัดไวรัสได้เร็ว อาการจึงน้อยลง ดีกว่าการได้ monoclonal antibodies ที่มีขาย ถึงแม้ว่าวัคซีนจะเป็นสายพันธุ์อู่ฮั่น การติดเชื้อไวรัสจะเป็นสายพันธุ์เดลตา (คนไข้ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์เดลตา)

ระดับภูมิต้านทานที่สูงขึ้นนี้ บ่งบอกชัดเจนว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้น หรือฉีดวัคซีนเพิ่มอีก 

ยกเว้นว่าคนที่ติดเชื้อแล้ว ยังไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อน ควรจะได้รับวัคซีน และวัคซีนที่จะกระตุ้นได้ดีจะต้องไม่ใช่เชื้อตาย วัคซีนเชื้อตายจะไม่ใช้เป็นตัวกระตุ้น สามารถฉีดได้ตั้งแต่ 1 เดือนหลังกลับบ้าน 

การกระตุ้นจะต้องใช้ไวรัสเวกเตอร์หรือ mRNA เพียงเข็มเดียวก็เพียงพอ (เรามีการศึกษารองรับ)

เราได้มีโอกาสให้วัคซีนในการศึกษาวิจัยผู้ที่ติดเชื้อ และไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน โดยการให้วัคซีนและดูการตอบสนองจำนวน 120 คน จะแสดงผลให้ดูในโอกาสต่อไปและรอเผยแพร่ในวารสารนานาชาติ


ที่มา : https://www.facebook.com/yong.poovorawan/posts/6281511538558077

“บิ๊กบี้” ปรับการทำงานตามแนวทางป้องกันเชื้อโควิด-19 ตาม “มาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล” และ “มาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร”

พ.ต.หญิง จุฑาทิพย์ วุฒิรณฤทธิ์ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 33) ที่มีการแนะนำแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันตนเองขั้นสูงสุดตาม “มาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล” (Universal Prevention for COVID-19) รวมถึงให้ปฏิบัติตาม “มาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร” (Covid Free Setting) ตามที่สาธารณสุขกำหนด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่โรคของสถานที่ กิจการหรือกิจกรรมที่ได้อนุญาตให้เปิดดำเนินการได้ โดยเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการบังคับใช้ในอนาคตในการเปิดสถานที่และการดำเนินกิจการและกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นไปอย่างปลอดภัย ต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งมาตรการดังกล่าว จะประเมินผล
ภายในหนึ่งเดือน (ภายใน 30 กันยายน 2564)


ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากำลังพลของกองทัพบกได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิดแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) เป็นแนวปฏิบัติเพื่อการปรับพฤติกรรมในการป้องกันโรคส่วนบุคคล ยกระดับมาจาก DMHTT ตลอดจนมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (Covid Free Setting) ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติในองค์กรในการเตรียมความพร้อมสู่การกลับใช้ชีวิตตามปกติ ทั้งการสร้างระบบระบายอากาศที่ดี ถูกสุขลักษณะ สะอาด ปลอดภัย เว้นระยะห่าง รับวัคซีนครบตามเกณฑ์และมีการ ATK ทุกสัปดาห์ และการตรวจสอบผู้ติดต่อราชการกับกองทัพบกว่ามีการรับวัคซีนครบถ้วนหรือมีผล ATK เป็นลบ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ของโรค 

ซึ่งที่ผ่านมากองทัพบกยังคงสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายสนับสนุนภารกิจของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง ด้วยการจัดชุดตรวจกิจการ/กิจกรรมเพื่อตรวจสอบตามข้อกำหนดฯ ของ ศบค. และจัดตั้งด่านตรวจ/ชุดสายตรวจร่วม เพื่อบังคับใช้มาตรการห้ามออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 21.00 – 04.00 น. ตลอดจนขอความร่วมมือประชาชนเดินทางต่อเมื่อมีเหตุจําเป็นบริเวณพื้นที่รอยต่อของพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ นอกจากการย้ำเตือนให้กำลังพลของกองทัพบกมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคลขั้นสูงสุดที่ ศบค. กำหนดอย่างเคร่งครัดตลอดจนยึดถือมาตรการปฏิบัติราชการ ณ ที่พักอาศัย (Work From Home) รวมทั้งลดการเดินทางข้ามเขตพื้นที่ควบคุมสุงสุดและเข้มงวดไปยังพื้นที่อื่นในกรณีที่จำเป็นจนถึง 30 กันยายน 2564 เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนมาตรการรัฐและลดการแพร่กระจายโรคCOVID-19 อีกทางหนึ่ง
 
ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในการสนับสนุนความช่วยเหลือต่อรัฐบาลและประชาชนให้สามารถผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของCOVID-19 ไปด้วยกันซึ่งต้องอาศัยความเข้มแข็งในการปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค. กำหนด ตลอดจนปฏิบัติตามมาตรการพิทักษ์พลอย่างเคร่งครัด เพื่อความพร้อมในการเข้าช่วยเหลือประชาชนในทุกโอกาส

7 สยาม 7 มหัศจรรย์ เอ่ยถึงทีไร 'ไทย' จะไม่ใช่ 'ไต้หวัน' ในสายตาต่างชาติ

เรื่องมหัศจรรย์ของประเทศไทย ที่ใครเห็นเป็นต้องรู้ว่านี่ คือ 'ประเทศไทย' ที่ล้วนทรง ‘คุณค่าแห่งความเป็นไทย’ แห่งเดียวเท่านั้น!!

ซึ่งทาง THE STATES TIMES ได้รวบรวม 7 ความ Amazing สุดภาคภูมิใจไว้ที่นี่เรียบร้อยแล้ว!! เชิญชม!!!

ทบ. นำยุทโธปกรณ์ รุดช่วยประชาชนประสบอุทกภัย พร้อมร่วมกำจัดผักตบชวา เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศในปัจจุบันที่ประเทศไทยเผชิญกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคอีสานตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทย ทำให้หลายพื้นที่เกิดฝนตกหนักและตกสะสม ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ โดย พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวและห่วงใยประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ กำชับให้หน่วยทหารทั่วประเทศติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และเตรียมความพร้อมทั้งด้านกำลังพล เครื่องมือและยุทโธปกรณ์ ประสานร่วมกับทุกภาคส่วนดูแลช่วยเหลือประชาชนในทันทีที่ประสบเหตุ ตลอด 24 ชม. 

ล่าสุดในพื้นที่ จ.ตาก, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, ชลบุรี, ปราจีนบุรี, ฉะเชิงเทรา, ลพบุรี และ จ.สมุทรปราการ ที่ประสบอุทกภัย ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ไหลเข้าบ้านเรือนประชาชนและเส้นทางจราจรถูกตัดขาด หน่วยทหาร ในพื้นที่ได้จัดกำลังพลจิตอาสาพร้อมยุทโธปกรณ์กองทัพบก อาทิ รถยนต์บรรทุก ขนาด 2 ½ ตัน แบบ 4x4 รุ่น FTS, รถยนต์บรรทุก 2 ½ ตัน 6x6 รุ่น GMC, เรือยางและเรือท้องแบน ที่มีความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับภารกิจในครั้งนี้นอกจากการใช้ทางด้านยุทธวิธี โดยลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน พร้อมประสานทุกภาคส่วนเร่งบรรเทาความเดือดร้อน อำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ อย่างดีที่สุด อาทิ การเคลื่อนย้ายผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ประชาชนรวมทั้งสิ่งของต่างๆ ไปยังที่ปลอดภัย, การบรรจุกระสอบทรายทำแนวกั้นน้ำ และการมอบเครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของดำรงชีพที่จำเป็นให้กับประชาชนที่ประสบภัย ซึ่งกองทัพบกจะดำรงการปฏิบัติเคียงข้างประชาชน ดูแลฟื้นฟูให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว 

นอกจากนี้ กองทัพบกโดย กรมการทหารช่างและหน่วยทหารช่างทั่วประเทศ ได้จัดกำลังพลจิตอาสา พร้อมยุทโธปกรณ์ อาทิ รถปั้นจั่น, รถโกยตัก, เรือท้องแบนติดเครื่องยนต์ และเรือกำจัดวัชพืช ร่วมกับส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่ ดำเนินการพัฒนาขุดลอกคูคลอง กำจัดผักตบชวาและวัชพืช ภายใต้มาตรฐานงานช่าง เพื่อเปิดเส้นทาง เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ สนับสนุนรัฐบาลในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบและป้องกันปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทหารบกได้เน้นย้ำให้กำลังพลตระหนักถึงความปลอดภัยจากการปฏิบัติหน้าที่ ปรับรูปแบบภารกิจ การแต่งกายและยุทโธปกรณ์ตามความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามมาตรการพิทักษ์พลป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด เพื่อให้ปลอดภัยทั้งกำลังพลและประชาชน ทั้งนี้ หากประชาชนประสบอุบัติภัย สามารถติดต่อหน่วยทหารในพื้นที่ หรือศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก (กทม.) โทร. 02-297-7648-9, ภาคกลาง โทร. 02-280-3977, ภาคอีสาน โทร. 044-255-976, 044-245-0946, ภาคเหนือ โทร. 055-252-859 และภาคใต้ โทร. 075-383-405

ทรัมป์ซัดไบเดน! ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์ล้ำสมัยไว้ในอัฟกัน เชื่อจีน-รัสเซียยิ้มร่าเริ่มถอดรหัสก๊อบปี้แล้ว

อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเดินหน้าประณามการถอนตัวออกจากอัฟกานิสถานของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน และคาดเดาว่าป่านนี้จีนและรัสเซียอาจเริ่มกระบวนการวิศวกรรมย้อนรอย (Reverse Engineering) อาวุธยุทโธปกรณ์ที่กองทัพสหรัฐฯ ทิ้งไว้เบื้องหลังกันแล้ว

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับพิธีกร ชารีล แอทคิสสัน ในรายการ "Full Measure" ที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ (12 ก.ย.) ทรัมป์ประณามการถอนกกำลังอีกครั้งด้วยถ้อยคำรุนแรง ว่า "ไร้ความสามารถ" และเตือนมันเสี่ยงก่ออันตรายแก่สหรัฐฯ และเป็นประโยชน์แก่ศัตรูของอเมริกา

ทรัมป์ ยังแสดงความสงสัยด้วยว่าสงครามในอัฟกานิสถานจบลงแล้วจริงหรือ และตั้งคำถามด้วยว่ามีผู้ลี้ภัยอัฟกันที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนจำนวนมากน้อยแค่ไหนที่เข้ามาตั้งรกรากในสหรัฐฯ และทั่วโลก

"ผมไม่รู้เพราะผู้คนกระจายกันไปทั่วโลก และไปอยู่ทั่วทุกมุมโลกในเวลานี้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ชารีล" ทรัมป์กล่าว "คนเหล่านี้ไม่ใช่พวกล่ามที่เรารับมา คนเหล่านี้เร่งรีบขึ้นเครื่องบิน ที่น่าสนใจคือพวกเขากำลังพยายามทำให้มันดูเหมือนว่า โอ้ ทำได้ดีมาก คนเหล่านี้จำนวนมากอาจเป็นพวกก่อการร้าย ใช่หรือเปล่า? พวกเขาอาจเป็นพวกก่อการร้าย พวกเขามีกำลังมาก พวกเขากระตือรือร้นขึ้นไปบนเครื่องบินด้วย"

อดีตประธานาธิบดีรายนี้ยังบ่งชี้ด้วยว่าพวกศัตรูของสหรัฐฯ เริ่มฉวยความได้เปรียบจากคลังอาวุธ ยานยนต์หุ้มเกราะและเครื่องบินที่กองกำลังสหรัฐฯ ทิ้งไว้เบื้องหลังกันแล้ว

"พวกเขาจะจัดการอย่างไรก็ตามยุทโธปกรณ์เหล่านี้ ผมรับประกันได้เลยว่าจีนและรัสเซียคงมีเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ของเราไว้ในครอบครองแล้ว และพวกเขาคงกำลังถอดชิ้นส่วน เพื่อหาคำตอบว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร จนถึงตอนนี้พวกเขาเก่งที่สุดในโลกในเรื่องนี้ และพวกกำลังแยกชิ้นส่วนมัน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์แบบเดียวกันเป๊ะ ๆ พวกเขาเก่งในเรื่องนี้ มันน่าอดสูจริง ๆ"

นับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา สหรัฐฯ มอบอาวุธยุทโธปกรณ์และการฝึกฝนแก่กองกำลังความมั่นคงอัฟกานิสถาน คิดเป็นมูลค่าราว ๆ 83,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.7 ล้านล้านบาท)

รายงานของยูเอสเอทูเดย์ก่อนหน้านี้ ระบุว่าเครื่องบินทหาร 73 ลำถูกทิ้งไว้ในอัฟกานิสถาน บางส่วนถูกทำให้ใช้งานไม่ได้แล้ว ขณะที่มีรายงานว่านักบินอัฟกานิสถานได้ขับอากาศยานล้ำสมัยบางส่วนในนั้นออกไปยังต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่นั้นยังคงตกค้างอยู่ในอัฟกานิสถาน


(ที่มา:ฟ็อกซ์นิวส์)
https://mgronline.com/around/detail/9640000090590

คุณหญิงวิมล เจียมเจริญ เจ้าของนามปากกา 'ทมยันตี' เสียชีวิตแล้วในวัย 85 ปี

สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ได้โพสต์แสดงความอาลัยยิ่งต่อการจากไปของ คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ (ทมยันตี, ลักษณวดี, กนกเรขา, โรสลาเรน, มายาวดี) ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2555

สำหรับ ทมยันตี หรือ คุณหญิงวิมล เจียมเจริญ เกิดเมื่อ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 สิริรวมอายุ 85 ปี เป็นนักประพันธ์ชาวไทย ชื่อดัง ที่มีนามปากกาอย่าง ทมยันตี, ลักษณวดี, กนกเรขา, โรสลาเรน, วัสสิกา, มายาวดี โดยเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขา วรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2555 มีผลงานที่แฟนนักอ่านชาวไทย รู้จักมากมาย อาทิ คู่กรรม ทวิภพ ดาวเรือง ล่า พิษสวาท ดั่งดวงหฤทัย และ เลือดขัตติยา


ที่มา : https://www.facebook.com/128367000513429/posts/5000255569991190/

ผู้นำสูงสุด 'อัลกอ-อิดะห์' โผล่คลิปครบรอบ 20 ปี โศกนาฏกรรม 9/11 ทั้งที่เชื่อว่าตายไปแล้ว

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 12 ก.ย. กลุ่มข่าวกรอง SITE ซึ่งมีสำนักงานในสหรัฐฯ และติดตามความเคลื่อนไหวบนสื่อสังคมออนไลน์ของกลุ่มญิฮาด ได้พบว่า กลุ่มอัล-กออิดะห์เผยแพร่คลิปของนายไอย์มาน อัล-ซาวาฮิรี ผู้นำสูงสุดคนปัจจุบัน เป็นการแถลงเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี เหตุวินาศกรรม 9/11 

ขณะเดียวกัน อัล-ซาวาฮิรี กล่าวถึงการที่กองทัพสหรัฐยุติภารกิจทางทหารในอัฟกานิสถาน โดยยกทัพเข้ามาประมาณ 1 เดือน หลังผ่านพ้นเหตุวินาศกรรมดังกล่าว เพื่อโค่นอำนาจรัฐบาลตอลิบาน และติดตามล่าตัวนายโอซามา บิน ลาเดน ผู้ก่อตั้งกลุ่มอัล-กออิดะห์

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าการบันทึกคลิปนี้เกิดขึ้นเมื่อใด แม้มีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เนื่องจากแผนการถอนทหารของสหรัฐฯ เป็นที่ทราบกันดี ตั้งแต่การที่รัฐบาลวอชิงตันลงนามในข้อตกลงร่วมกับกลุ่มตาลีบัน ที่กรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ เมื่อเดือน ก.พ.ปีที่แล้ว 

ขณะเดียวกัน อัล-ซาวาฮิรี ไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจน เกี่ยวกับการที่กลุ่มตอลิบานยึดครองกรุงคาบูล เมื่อกลางเดือนที่แล้ว แต่พูดถึงการที่เครือข่ายของกลุ่มอัล-กออิดะห์โจมตีทหารรัสเซีย ในเมืองรักกาของซีเรีย เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ปีนี้ 

ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์ด้วยว่า คลิปล่าสุดของอัล-ซาวาฮิรี ซึ่งมีความยาวประมาณ 61 นาที น่าจะเป็นความต้องการของกลุ่มอัล-กออิดะห์ ในการยุติกระแสข่าวที่แพร่สะพัดในหมู่นักรบมูจาฮิดีน ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า อัล-ซาวาฮิรี วัย 70 ปี เสียชีวิตจากอาการป่วยเรื้อรังหลายโรค

สำหรับ อัล-ซาวาฮิรี นั้น ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ หลังหน่วยรบพิเศษซีล (SEAL) แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ปฏิบัติการจู่โจมสังหาร อุซามะห์ บิน ลาดิน ในปากีสถาน ปี 2011


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/news/263893/
https://mgronline.com/around/detail/9640000090559
นิวยอร์กโพสต์/บลูมเบิร์ก/SITE Intel – Jihadist Threat


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top