Saturday, 14 December 2024
The States Times World Team

เปิดเรื่องราวการแข่งขันของสองมหาเศรษฐีอันดับ 1 และ 2 ของโลก อีลอน มัสก์ และ เจฟฟ์ เบโซส์ ที่นอกจากความร่ำรวย พวกเขายังแข่งกันสร้างอาณาจักรนอกโลกอีกด้วย

ข่าวยืนยันล่าสุดรับปี 2021 อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง Space X ขึ้นแท่นเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเป็นที่เรียบร้อย ด้วยทรัพย์สินที่เขาครอบครองในปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 1.85 แสนล้านเหรียญ หรือ ราว ๆ 5.55 ล้านล้านบาท เบียดแซง เจฟฟ์ เบโซส์ เจ้าพ่อ Amazon คู่แข่งคนสำคัญ ที่มีทรัพย์สินมูลค่า 1.84 แสนล้านเหรียญ

สิ่งที่ทำให้ อีลอน มัสก์ มาถึงจุดสูงสุดนี้ได้ เนื่องจากปีที่ผ่านมา มูลค่าของ Tesla พุ่งทะยานถึง 7 แสนล้านเหรียญ ทำให้ Tesla กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงกว่า โตโยต้า โฟล์คสวาเกน ฮุนได GM และ ฟอร์ด รวมกัน

ซึ่ง อีลอน มัสก์ ไม่ได้ตื่นเต้นกับตำแหน่งที่คนทั้งโลกใฝ่ฝันเลยแม้แต่น้อย แค่โพสต์ในทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า “ก็แปลกดี” และ “ไปทำงานต่อได้แล้ว” แค่นั้น จบ! แยก! เป็นทัศนคติที่มักพบเจอในมหาเศรษฐีระดับโลก ที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อผลสำเร็จในการทำงานมากกว่ามูลค่าของเงินในกระเป๋า

แต่สิ่งที่ทำให้ชาวโลกสนใจยิ่งกว่าอันดับของความมั่งคั่ง คือการขับเคี่ยวกันมาอย่างสูสีราวกับแข่งเรือยาว ระหว่าง 2 อภิมหาเศรษฐีระดับโลก อีลอน มัสก์ และ เจฟ เบโซส์ ที่ไม่ใช่แค่การแข่งกันรวย แต่แข่งกันเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดสูงสุดของความฝันของตัวเอง ที่ไม่หยุดอยู่เพียงแค่บนโลกอีกต่อไป

เบื้องหลังความสำเร็จของคู่แข่งตลอดกาลอย่าง อีลอน มัสก์ และ เจฟฟ์ เบโซส์ เริ่มต้นจากความคลั่งไคล้ในอินเตอร์เน็ต เทคโนโลยี และใช้โอกาสในช่วงยุคธุรกิจดอทคอมเฟื่องฟู โดย เจฟฟ์ เบโซส์ ได้ก่อตั้งร้านหนังสือออนไลน์ ทื่ชื่อว่า Amazon ในปี 1993 จนขยายตัวกลายเป็นธุรกิจค้าปลีกที่สามารถทำรายได้มากกว่า 2.8 แสนล้านเหรียญในแต่ละปี

ด้านอีลอน มัสก์ ก็ตัดสินใจยกเลิกแผนการเรียนปริญญาเอกด้านฟิสิกส์ ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เพื่อมาลุยธุรกิจออนไลน์ของตัวเอง ด้วยการตั้งเว็บ Zip2 ในปี 1995 ที่สามารถขายต่อให้ Compaq ได้ถึง 300 ล้านเหรียญ และนำเงินมาลงทุนสร้างเว็บไซต์ X.com ในปี 1999 ที่ให้บริการด้านการเงินออนไลน์ ซึ่งได้ควบกิจการร่วมกับ Confinity และพัฒนากลายเป็น Paypal ในเวลาต่อมา

ในปี 2008 อีลอน มัสก์ ได้เข้ามารับตำแหน่ง CEO พ่วงผู้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับบริษัทรถยนต์ Tesla ที่ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้นำด้านยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด และยั่งยืน ที่จะเป็นทิศทางของรถยนต์แห่งโลกอนาคต และเขาก็ทำได้จริง ๆ ในปัจจุบัน Tesla เป็นรถยนต์แบตเตอรี่ที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งตลาดถึง 17% ทำรายได้ให้กับบริษัทถึง 3.33 หมื่นล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา

แม้จะเริ่มต้นจับธุรกิจที่ต่างกัน แต่ทั้ง อีลอน มัสก์ และ เจฟฟ์ เบโซส์ มีความฝันอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ การมุ่งหน้าสู่อวกาศ

ธุรกิจสู่อวกาศนี้ เจฟฟ์ เบโซส์ ได้ออกตัวก่อนด้วยการก่อตั้ง Blue Origin ในปี 2000 ด้วยทุนที่ได้จากความสำเร็จของ Amazon.com ของเขา ซึ่ง เจฟฟ์ เบโซส์ ตั้งเป้าหมายของ Blue Origin ไว้ว่า ต้องการสร้างสถานีอวกาศนอกโลก ที่จะกลายเป็นเมืองอวกาศของมนุษยชาติในอนาคต โดยที่ เจฟฟ์ ต้องการให้โครงการเขาเติบโตอย่างค่อยเป็น ค่อยไป ไม่ได้ตั้งเป้าที่จะแข่งกับใครจนกระทั่งการมาถึงของคู่แข่งที่มาแรงที่สุดก็คือ SpaceX

ในขณะที่ เจฟฟ์ เบโซส์ ต้องการสร้างเมืองทางเลือกให้กับมนุษยชาตินอกโลก อีลอน มัสก์ ฝันไกลกว่านั้น สิ่งที่เขาต้องการคือการสร้างอาณานิคมบนดาวอังคาร โดยเขาใช้เงินทุนที่ได้กำไรจากธุรกิจ Paypal มาลงทุนก่อตั้ง SpaceX สร้างยานขนส่งอวกาศเอกชน ที่จะพามนุษย์มุ่งสู่อวกาศ

ในช่วงที่ทำโครงการใหม่ ๆ ทั้งเจฟฟ์ เบโซส์ และ อีลอน มัสก์ ก็ยังมีนัดคุยปรึกษากันถึงโครงการสร้างอาณานิคมมนุษย์ในจักรวาลอยู่เลย จนกระทั่งเกิดเรื่องบาดหมางกันในการขอสัมปทานใช้ฐานปล่อยยานของ NASA ในปี 2013 โดยที่ อีลอน มัสก์ ต้องการได้สัญญาการใช้ฐานปล่อยยานของ NASA ที่เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะของ SpaceX เจฟฟ์ เบโซส์ ยื่นคำคัดค้านถึงรัฐบาลสหรัฐ เนื่องด้วยฐานปล่อยยาน NASA ควรเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนที่พัฒนายานอวกาศทั่วไปได้ใช้

ด้านอีลอน มัสก์ ไม่ยอม และยังแซะ เจฟฟ์ เบโซส์ ว่าจะจองฐานปล่อยยานล่วงหน้าไว้ทำไมให้กับบริษัทที่พัฒนายานอวกาศกว่า 10 ปีแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ และในที่สุด SpaceX ก็ได้สิทธิ์สัมปทานฐานปล่อยยานของ NASA เฉพาะสำหรับยานของ SpaceX

ต่อมา เจฟฟ์ เบโซส์ พยายามยื่นสิทธิบัตรยานโดรนที่ใช้ในการจอดยาน Rocket Booster ของ Blue Origin อีลอน มัสก์ ยื่นคัดค้านหาว่า ยานโดรนนี้ เป็นเทคโนโลยีเก่า ที่ใครก็สามารถเข้าถึงได้ ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ ซึ่งศาลสหรัฐเข้าข้าง SpaceX ในกรณีนี้

หลังจากนั้น ก็มีข่าวว่า ทั้งอีลอน มัสก์ และ เจฟฟ์ เบโซส์ มักจะแซะกันไปมาผ่านทางทวิตเตอร์ หรือ การให้สัมภาษณ์ จนเป็นที่จับตาของชาวโลกว่า ความศรศิลป์ไม่กินกันระหว่างอภิมหาเศรษฐีเบอร์ 1 และ เบอร์ 2 ของโลกจะจบลงแบบไหน

จนกระทั่งมาในวันนี้ ที่อีลอน มัสก์ ได้ขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก แซงเจฟฟ์ เบโซส์ ที่เคยครองตำแหน่งนี้มานานถึง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2017 จึงเรียกเสียงฮือฮาไม่น้อย ว่าอีลอน มัสก์ จะไปไกลได้ถึงไหน ซึ่งเจ้าตัวก็ออกมาบอกแล้วว่า อีลอน มัสก์ ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ มากไปกว่างานพัฒนาเทคโนโลยีของเขา ที่ทำให้เขาภาคภูมิใจในตัวเองมากกว่าทรัพย์สินเงินทองล้นฟ้าที่เขาหาได้

และนี่ก็คือเรื่องราว เส้นทางสู่ความเป็นมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของโลก อีลอน มัสก์ ผู้ที่ประกาศความฝันว่าเขาต้องไปดาวอังคารก่อนตายให้ได้นั่นเอง


แหล่งข่าว

https://www.bbc.com/news/technology-55578403

https://edition.cnn.com/2021/01/07/investing/elon-musk-jeff-bezos-richest-person/index.html

https://www.businessinsider.com/jeff-bezos-elon-musk-rivalry-history-timeline-2020-7#the-feud-isnt-just-about-space-ambitions-however-musk-has-taken-issue-with-blue-origins-hiring-practices-and-has-taunted-bezos-in-interviews-7

https://www.businessinsider.com/elon-musk-jeff-bezos-fights-disagreements-insults-list-2019-6

นายแพทย์เกรกอรี ไมเคิล วัย 56 ปี สูตินรีเวชวิทยา จากศูนย์การแพทย์เมาท์ไซนาย ในไมอามีบีช รัฐฟลอริดา กลายเป็นอีกหนึ่งรายที่ต้องสงสัยว่าเสียชีวิตจากวัคซีนของบริษัทใหญ่แห่งสหรัฐอเมริกา

โดยเขาได้เสียชีวิตลงเมื่อวันจันทร์ (4ม.ค.) หลังจากมีอาการหลอดเลือดสมอง ชนิดเลือดออกในสมอง (hemorrhagic stroke) ซึ่งในทางการแพทย์เชื่อว่าอาการดังกล่าวมีต้นตอจากการขาดเกล็ดเลือด

ไมเคิล ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม จากนั้นก็มีอาการรุนแรง จากการเปิดเผยของ เฮดี เนคเคิลมันน์ ภรรยาของเขา

เนคเคิลมันน์ ได้เขียนลงบนเฟซบุ๊กเมื่อวันอังคาร (5 ม.ค.) ว่า 3 วันหลังจากได้รับวัคซีน ไมเคิลต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากมีตุ่มผุดขึ้นบริเวณผิวหนังของเขา ซึ่งบ่งชี้ว่าเขาอาจมีอาการตกเลือดภายใน

แพทย์สรุปว่าเขามีอาการเกล็ดเลือดต่ำซึ่งพวกเขาพยายามเพิ่มเกล็ดเลือด แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

“พวกผู้เชี่ยวชาญจากทั่วประเทศเข้ามามีส่วนร่วมดูแลรักษาเขา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร เกล็ดเลือดก็ไม่เพิ่มขึ้น” เธอเขียนบนทวิตเตอร์

เนคเคิลมันน์ เล่าว่า "ไมเคิล มีสติและดูกระฉับกระเฉงตลอดกระบวนการทั้งหมด จนกระทั่งเขามีอาการหลอดเลือดสมอง ซึ่งคร่าชีวิตเขาภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที"

กระทรวงสาธารณสุขรัฐฟลอริดา ระบุว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์กำลังนำการสืบสวน และจะมอบผลการค้นพบแก่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคต่อไป

ด้าน ไฟเซอร์ บริษัทผู้พัฒนาวัคซีนบอกว่า ทางบริษัทฯ จะเปิดการสืบสวนต่อเหตุเสียชีวิตของไมเคิลเช่นกัน “เรากำลังสืบสวนอย่างกระตือรือร้นในคดีนี้ในเวลานี้ เราไม่เชื่อว่ามันจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงใดๆ กับวัคซีน”

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่กี่วัน หลังจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคนหนึ่งในโปรตุเกส เสียชีวิต 2 วันหลังจากได้รับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งข่าวคราวที่สร้างความช็อกแก่ประชาคมโลกนี้ ยิ่งเพิ่มข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพวัคซีนของไฟเซอร์ไปอีกขั้น


ที่มา : นิวยอร์กโพสต์

โดนัลด์ ทรัมพ์ เตรียมรับชะตากรรมหนัก หลังเป็นส่วนหนึ่งในต้นเหตุการจราจลที่ส่อเค้าบานปลาย

ในที่สุด ม็อบผู้สนันสนุน โดนัลด์ ทรัมพ์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะกลายเป็นอดีตก็มาตามนัด อย่างที่ทรัมพ์เคยส่งสัญญาณประกาศนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 6 มกราคม 2021 ที่สภาคองเกรสในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่หลายคนเคยปรามาสว่า ยังจะมีแฟนคลับเดนตายของทรัมพ์เหลืออยู่สักเท่าไหร่ หลังจากที่ผลการนับคะแนนการเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐเมื่อ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 มีการรับรองอย่างเป็นทางการแล้วว่าผู้ชนะคือ นาย โจ ไบเดน ไม่มีพลิกโผ

แต่พอถึงเวลาช่วงบ่าย เริ่มประชุมสภารับรองนายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ม็อบของเหล่าบรรดาแฟนคลับของทรัมพ์ก็มาชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภากันอย่างล้นหลามเต็มพื้นที่ บางส่วนมาพร้อมอาวุธปืน ชูป้ายสนับสนุนทรัมพ์ และไม่มีใครสวมหน้ากากอนามัย

จุดประสงค์ของการมาชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ เพื่อต้องการประท้วงผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาว่ามีการทุจริต โกงคะแนนการเลือกตั้ง ตามที่โดนัลด์ ทรัมพ์เคยสื่อสารผ่านทางทวิตเตอร์มาโดยตลอดว่าเขาถูกโกง และมีการบุกรุกเข้าไปในรัฐสภา จนสมาชิกผู้แทนหนีกันกระเจิง เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เกิดเสียงปืนดัง และมีผู้บาดเจ็บเป็นเจ้าหน้าที่หญิงที่โดนกระสุนปืน ภายหลังมีรายงานว่าเสียชีวิตแล้ว

ม็อบทรัมพ์ ได้บุกยึดรัฐสภาได้กว่า 3 ชั่วโมง ก่อนที่จะมีการประกาศเคอร์ฟิวในเวลา 6 โมงเย็น และทางการจัดส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิมาควบคุมสถานการณ์จนสงบเรียบร้อย จึงสามารถเปิดประชุมสภาต่อได้ในเวลา 2 ทุ่ม

วันนี้จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในความอัปยศอดสูของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ได้เห็นภาพของกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และใช้กำลังและอาวุธบุกรุกเข้าไปในรัฐสภา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบบการปกครองของสหรัฐ และมีการใช้ความรุนแรงจนเกิดความสูญเสีย

ฟากประธานาธิบดีทรัมพ์ ที่ตอนนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของปัญหา แม้จะพยายามออกมาโพสต์ทวิตเตอร์ ให้ร่วมชุมนุมกันอย่างสงบ และเคารพกฎหมาย แต่ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแม้แต่น้อย ซึ่งตอนนี้ ทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และ อินสตาแกรม ต่างระงับบัญชีผู้ใช้ของทรัมพ์เป็นการชั่วคราวแล้ว

และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้คลี่คลายลง ผลกระทบตามหลังย่อมสะท้อนกลับไปทางโดนัลด์ ทรัมพ์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเขามีเวลาเหลือในตำแหน่งเพียงแค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์จนถึงวันที่ โจ ไบเดน เข้าพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม หลังจากนี้ โดนัลด์ ทรัมพ์ อาจต้องเจอพายุลูกใหญ่ จากคดีความค้างเก่าในการใช้คำสั่งประธานาธิบดีที่ศาลสูงบางรัฐพิจารณาว่าไม่ชอบด้วยกฏหมาย หรือยุยงปลุกปั่นจนเกิดความรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิต ในวันที่เขาไม่มีสิทธิ์คุ้มกันในตำแหน่งแล้ว

ส่วนคนที่จะได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์นี้ ไม่ต่างจากทรัมพ์ หนีไม่พ้นรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ที่เขาคาดหวังจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า แต่ภาพลักษณ์และการกระทำของทรัมพ์อาจฝังแน่นลงในประวัติชีวิตในการดำรงตำแหน่งที่ไม่อาจสลัดหลุดได้ แม้ว่า ไมค์ เพนซ์ ได้ออกมาทวิตเตอร์ประณามกลุ่มผู้ประท้วงที่ใช้ความรุนแรง และแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิต โดยเน้นย้ำว่าฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงจะไม่มีวันชนะ รวมถึงสมาชิกพรรครีพับลิกัน ต่างออกมาปฏิเสธว่าม็อบในวันนี้ ไม่ใช่กลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน แต่เป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่ไม่เคารพกฎหมายที่ไม่อาจรับได้

และนี่อาจจะเป็นจุดแตกหัก แยกทางระหว่างทรัมพ์ และชาวรีพับลิกันแล้วก็เป็นได้

ส่วนทั่วโลกก็จับตาเหตุการณ์ในสหรัฐในมุมมองที่ต่างกันออกไป

ประธานาธิบดีเอมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงวอชิตัน ดี.ซี. วันนี้ ไม่สมกับชาวอเมริกันเลย” และยังโพสต์ต่อในทวิตเตอร์ว่า “พวกเราเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย”

สตีเฟ่น โลฟเวน นายกรัฐมนตรีสวีเดนออกมากล่าวว่า ทั้งประธานาธิบดีทรัมพ์ และ ชาวสภาคองเกรสหลายคนต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์ครั้งนี้

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็ไม่พลาด ออกมากล่าวประณามความรุนแรงที่สภาคองเกรสว่าช่างเป็นซีนที่น่าหดหู่ใจที่ได้เห็น ยิ่งเกิดที่สหรัฐอเมริกา ประเทศที่กล่าวว่าเป็นเสาหลักของประชาธิปไตยทั่วโลก ซึ่งไม่ควรเลยที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ในวันที่มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจ

ส่วนสำนักข่าว Global Times ของจีนรายงานความเห็นของชาวเน็ตจีน ที่มีต่อเหตุการณ์บุกยึดสภาคองเกรสของสหรัฐว่า เป็นเรื่องของกรรมเก่า ที่สหรัฐเคยสนับสนุนกลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงให้ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง และวันนี้ก็ได้มาเจอกันตัวเอง โดยมามีการเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่ชาวม็อบฮ่องกงบุกทำลายสภาฮ่องกงเมื่อปี 2019 กับเหตุการณ์ที่สภาคองเกรสของสหรัฐในวันนี้อย่างประชดประชันว่า อยู่ฮ่องกงเรียกฮีโร่ แต่อยู่ที่สหรัฐเรียกผู้ก่อการร้าย

แต่เรื่องนี้จะเป็นกรรมเก่าของสหรัฐ กรรมใหม่ของทรัมพ์ หรือกรรมสะสมของโจ ไบเดน ที่จะต้องมีดูแลชาวสหรัฐที่มีความแตกแยกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไร และจากเหตุการณ์นี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศโลกที่ 3 หรือ ประเทศพัฒนาแล้ว หากประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ผิด ข่าวปลอม ข้อความในสื่อโซเชียลเต็มไปด้วยข้อความรุนแรง วาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง ความแตกแยกและความรุนแรงก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่


แหล่งข่าว

https://www.theguardian.com/us-news/2021/jan/06/trump-blows-up-us-democracy-the-world-watches-on-in-horror

https://www.aljazeera.com/news/2021/1/6/pro-donald-trump-protesters-storm-us-capitol

https://www.globaltimes.cn/page/202101/1212074.shtml

https://abcnews.go.com/US/timeline-pro-trump-protesters-stormed-capitol/story?id=75096094

เรื่องจริงที่มาเลเซีย ร้านอาหารตกแต่งสไตล์คอมมิวนิสต์จนกลายเป็นไวรัล แต่โดนดีถูกตำรวจเรียกซิวตัว

คอลัมน์ สายตรงเคแอล

เหตุเกิดในจอร์จทาวน์ รัฐปีนัง

ตำรวจมาเลเซีย (PDRM) ได้เข้าตรวจสอบร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งได้รับแจ้งว่ามีการตกแต่งร้านในรูปแบบของลัทธิคอมมิวนิสต์ ร้านอาหารนี้มี 2 สาขา ในภาพคือสาขาปูเลาติกัส (Pulau Tikus) และอีกแห่งใน Auto City, Juru

โดยพบว่าภายในร้านมีการติดวอลเปเปอร์รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งในธีมคอมมิวนิสต์รวมถึงปรากฎใบหน้าของเหมาเจ๋อตุง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน

รูปภาพของร้านอาหารถูกแชร์สู่โลกออนไลน์เมื่อวันเสาร์ที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา โพสต์ดังกล่าวกลายเป็นกระแสไวรัลอย่างรวดเร็ว พร้อมตามมาด้วยการวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเน็ตซึ่งเป็นไปในทางลบอย่างมาก

หลายคนเรียกร้องให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับเจ้าของร้าน บางคนถึงกับเรียกร้องให้ปลดสัญชาติเขาไปเลยทีเดียว! (โอ้โห...ใคร ๆ ก็ไม่ปลื้มคอมมิวนิสต์)

รายงานเพิ่มเติมจาก New Straits Times รายงานว่า หัวหน้าแผนกสอบสวนคดีอาญาของรัฐปีนัง ผู้ช่วยผู้บัญชาการอาวุโส นาย Rahimi Ra’ais ได้ให้สัมภาษณ์ว่า

ทางตำรวจได้เข้าตรวจสอบทันทีหลังจากได้รับเรื่องและในการสอบถามเบื้องต้นพบว่า ร้านอาหารแห่งนี้เป็นของชายวัย 40 ปี แต่ยังไม่ได้สามารถพบตัวได้ในขณะนี้ เนื่องจากเขาอยู่ระหว่างการกักตัวโควิด -19 เป็นเวลา 14 วัน

Rahimi กล่าวว่า คดีนี้จะถูกสอบสวนภายใต้มาตรา 47 ในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อเข้าสู่สังคมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเข้าข่ายมาตรา 505 (b) ของประมวลกฎหมายอาญาสำหรับการจัดทำการเผยแพร่หรือเผยแพร่คำแถลงการณ์อันเป็นข่าวลือหรือรายงานใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความกลัวหรือความตื่นตระหนกสู่สาธารณะ

และภาพวอลเปเปอร์รวมทั้งของตกแต่งในร้านได้ถูกรื้อออกโดยตำรวจในเวลาอันรวดเร็ว (มาไวเคลมไวมาก)

สำหรับโทษที่ต้องได้รับในคดีดังกล่าว ภายใต้มาตรา 47 ผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดนี้จะต้องถูกจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต

ในขณะเดียวกันผู้ที่พบว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 505 (b) ต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึงสองปีหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ

ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นพวกฝักใฝ่ใจรักคอมมิวนิสต์หรือแค่พิเรนสร้างกระแสให้ร้านกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ เล่นแบบนี้ปังจริง ๆ ปังปินาศ! 555

Credit news story: https://www.thesundaily.my/local/penang-cops-probe-cafe-owner-for-putting-up-communism-themed-wallpaper-DL5915270


เรื่องโดย "ผิงกั่ว"

สาวเมืองชล ตั้งรกรากอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามสามีชาวจีนมาเลย์ ชีวิตท่ามกลางคนจีน แขกมาเลย์ และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรม ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

ตีแผ่ที่มาของการหายตัวลึกลับของ แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของจีน

แจ็ค หม่า เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก ที่ใครๆ ต่างก็รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจ e-Commerce ชื่อดัง อาลีบาบา ที่มีมูลค่าสูงถึง 527,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้อาลีบาบา กลายเป็นเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

แต่นอกเหนือจากบทบาทของการเป็นผู้ริเริ่มสร้างธุรกิจ e-Commerce จากศูนย์ ให้กลายเป็นธุรกิจแสนล้าน แจ็ค หม่า ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบการหัวสมัยใหม่ ที่มักแสดงวิสัยทัศน์ที่ทันยุค และน่าสนใจ กลายเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายคนที่ยกให้เป็น "วิถี แจ็ค หม่า"

แต่วันนี้ แจ็ค หม่า กลับเดินหายเข้ากลีบเมฆ ไม่ออกสื่อมานานหลายเดือน แม้กระทั่งในรายการเรียลลิตี้ โชว์ ของตัวเอง ที่เขาเป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินอย่าง Africa's Business Heroes ในตอนสุดท้ายก็ยังไม่ปรากฏตัว ซึ่งผิดปกติมากๆ เพราะรายการนี้ ถือเป็นรายการใหญ่ ได้รับทุนจากมูลนิธิของแจ็ค หม่า โดยตรง ที่มีเงินรางวัลสูงสุดถึง 300,000 เหรียญสำหรับผู้ชนะ

ครั้งสุดท้ายที่แจ็ค หม่า ได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็คืองาน 2nd Bund Financial Summit งานประชุมสุดยอดนักลงทุนที่เซี่ยงไฮ้ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา และในงานนั้น แจ็ค หม่าก็ได้เอ่ยวาทะสะเทือนวงการธนาคารจีน เมื่อเขาเปรียบระบบธนาคารของจีน ไม่ต่างจากโรงรับจำนำที่ล้าหลัง และขาดความเข้าใจในตัวนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงเงินกู้ในยุคปัจจุบัน

ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ แจ็ค หม่า กำลังเข็นบริษัท Ant Group เตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์จีน และคาดว่าจะเปิดตัวด้วยมูลค่า IPO ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่กลับถูกทางการจีนออกคำสั่งด่วน ระงับการซื้อขายเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน และเมื่อขยี้มดตะนอยของแจ็ค หม่า เรียบร้อย รัฐบาลจีนก็จัดการบุกรังใหญ่ ด้วยการสั่งสอบสวนกลุ่มบริษัท อาลีบาบา ว่าเข้าข่ายกระทำความผิดฐานผูกขาดตลาดทางการค้าหรือไม่

ตลอดช่วงที่เกิดพายุลูกใหญ่พัดใส่บริษัทในเครืออาลีบาบา ไม่มีใครได้เห็นแจ็ค หม่า ปรากฏกายอีกเลย จึงกลายเป็นเรื่องราวที่สำนักข่าวทั่วโลกออกประกาศตามหาแจ็ค หม่า กันอย่างครึกโครมว่าเขาหายไปไหนกันแน่

หลายคนเป็นห่วงว่า ตัวแจ็ค หม่า อาจถูกทางการจีนควบคุมตัวเข้ม ไม่ให้ออกสื่อใด ๆ เนื่องจากแจ็ค หม่า ได้ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์ระบบธนาคารของจีน ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งในโครงสร้างการบริหารของรัฐบาลจีน และอย่างที่เราทราบกันว่า การแสดงความเห็นที่ขัดแย้งกับรัฐบาลจีนไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตัวคนพูดยังอยู่ในแผ่นดินจีน มักจบไม่ค่อยสวยนัก

แม้จะเป็นถึงอภิมหาเศรษฐีเบอร์ 1 อย่างแจ็ค หม่า ก็ไม่เว้นเช่นเดียวกัน

แต่ก็มีสื่อบางสำนักยังเชื่อว่า แจ็ค หม่า ยังไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เก็บตัวอยู่เงียบ ๆ รอมรสุมผ่านไปก่อนเท่านั้น เข้าตำราเมื่อเจ้ามือเห่า เราต้องหมอบ แต่บางสื่อกลับไม่คิดเช่นนั้น โดยมีกระแสข่าวว่า แจ็ค หม่า ถูกทางการจีนรวบตัว และสั่งให้เขาห้ามออกนอกประเทศ แม้แต่งานประกาศความสำเร็จของเว็บไซต์ อาลีบาบาในแคมเปญ เซลกระหน่ำในวันเทศกาลคนโสด หรือ 11.11 ที่แจ็ค หม่า เป็นผู้ริเริ่ม จะทำรายได้อย่างถล่มทลายทุบสถิติในปีนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครได้เห็นตัวแจ็ค หม่า เลย

ซึ่งสาเหตุการหายตัวไปของแจ็ค หม่า นั้นอาจจะพอคาดเดาได้ แต่คำถามที่ใหญ่กว่านั้นคือ แล้วเมื่อไรที่เราจะได้เห็น แจ็ค หม่าอีกครั้ง? และจะปรากฏตัวในรูปแบบไหน? เพราะแจ็ค หม่า ไม่ใช่อภิมหาเศรษฐีรายแรกของจีน ที่ถูก “เก็บเข้ากรุ” ตัวอย่างเศรษฐีตกสวรรค์ในจีนมีให้เห็นมาแล้วมากมาย

ไม่ว่าจะเป็น อู๋ เสี่ยวฮุย ประธานบริษัท อันปัง อินชัวรันซ์ กรุ๊ป บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ของจีน ถูกศาลตัดสินจำคุก 18 ปี และยึดทรัพย์อีกกว่า 1 หมื่นล้านหยวน ในข้อหาใช้อำนาจมิชอบ และเปิดระดมทุนอย่างผิดกฎหมายเมื่อปี ค.ศ. 2018 และล่าสุด เหริน จื้อเฉียง มหาเศรษฐีอดีตเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปักกิ่ง ผู้ซึ่งเคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีน เรื่องการจัดการปัญหา Covid-19 และด่าท่านประธาน สี่ จิ้นผิง ว่าเป็นตัวตลก ถูกจับดำเนินคดีในข้อหาคอร์รัปชั่น และตัดสินจำคุกนานถึง 18 ปี ปรับอีก 4.2 ล้านหยวน

นาทีนี้ จึงได้แต่หวังว่า แจ็ค หม่า จะไม่ตกในชะตากรรมเดียวกัน


แหล่งข่าว

https://www.theguardian.com/business/2021/jan/05/where-is-jack-ma-chinese-tycoon-not-seen-since-october-alibaba

https://www.cnbc.com/2021/01/05/alibaba-founder-jack-ma-is-laying-low-for-the-time-being-not-missing.html

https://www.chinabankingnews.com/2020/10/26/jack-ma-calls-for-replacing-pawnshop-mentality-of-traditional-banks-with-big-data-based-credit-system/

https://www.aljazeera.com/economy/2020/11/5/what-does-ant-groups-frozen-ipo-say-about-business-in-china

https://www.facebook.com/XinhuaNewsAgency.th/posts/2083532988529379

10 วิธีง่าย ๆ สร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง

คอลัมน์ "ข้างครัวริมแม่น้ำบริสเบน"

ปีใหม่ถือเป็นฤกษ์ดีในการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ หลาย ๆ คนอาจมีแผนในปีเก่าไว้ว่าฉันจะทำนั่นทำนี่ แต่สุดท้ายแล้วแผนที่วางไว้ก็ไม่ได้ลงมือทำหรือทำไม่สำเร็จเสียที วันนี้เชฟก็เลยขอเขียนอะไรง่าย ๆ เป็นแนวทางในการ สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่อยากจะลงมือทำอะไรจริง ๆ จัง ๆให้สำเร็จเสียทีไว้ให้ 10 ข้อตามนี้

1.) เขียนลิสต์แพลนและเป้าหมายที่ชัดเจน

เข้าใจว่าในหัวเรามีอะไรมากมายที่อยากจะทำ และอยากจะประสบความสำเร็จมันทุกอย่าง แต่เมื่อของหลายสิ่งอยู่ในหัว แน่นอนว่ามัน ก็จะดูมั่วๆ ในที่สุดก็ถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา เพราะฉะนั้น ปีใหม่นี้คุณคิดจะทำอะไรบ้าง เขียนมันออกมาให้เห็นในกระดาษ แปะ ไว้ที่ฝาบ้านหรือจะที่ไหนก็ได้ให้เห็นว่าฉันจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ เขียนถึงสิ่งที่เป็นไปได้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือ การควบคุมเช่นฉันจะถูกหวย 30 ล้านนั่นเขียนให้ตายสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ก็ไม่มีทางเป็นจริง

2.) ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

โอเค เมื่อเขียนถึงสิ่งที่เราต้องการทำแล้ว ลำดับต่อมาคือต้องหาแนวทางในการ ทำสิ่งนั้น ให้เป็นจริงแบบเป็นขั้นเป็นตอน กำหนดวัน เวลาในการเริ่มปฏิบัติการ กำหนดระยะเวลาที่จะทำ สำเร็จแบบคร่าวๆ เวลาที่กำหนดกับเวลาที่ทำได้จริงอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้างก็อย่าไปซีเรียส แต่ไม่ใช่ วางแผนปีนี้จะทำสำเร็จอีก 50 ปีข้างหน้า นั่นก็นานไป สำหรับผู้เริ่มหัดวางแผนใหม่ควรกำหนดแผนระยะ สั้น ๆ และทำสำเร็จได้ง่าย ๆ ก่อน เหนืออื่นใดคือ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะถ้าผัดวันนี้ พรุ่งนี้ก็ผัดอีกไปผลสุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือทำเสียที

3.) มีไอดอลเป็นของตัวเอง

เลือกให้ดีเลือกให้โดนเลือกคนที่คุณรักและเทิดทูนบูชาที่ว่าชาตินี้จะต้องเป็น แบบเขาให้ได้ ถ้าหาไม่ได้ก็ให้หาว่าเป้าหมายในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ฉันเขียนขึ้น มานี้ฉันต้องการทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไรเพราะการที่คุณมีไอดอลหรือมีเป้าหมายในสิ่งที่ทำอย่างชัดเจนมันจะเป็นแรงผลักดันให้คุณ ทำสิ่งนั้น ได้อย่างเต็มที่แบบที่ไม่รู้จัก เหน็ดจัก เหนื่อย ยกตัวอย่างเช่น ฉันจะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลกรัม ภายในปีนี้เพราะฉันอยากจะหุ่นดีแบบพี่อั้ม พัชราภา ถ้าคุณเป็นแฟนคลับพี่อั้มตัวยงและอยากสวยอย่างเธอ คุณก็จะมีแรงบันดาลใจไปส่องภาพเธอชุดเธออาหารที่เธอรับประทานและการออกกำลังกายที่เธอทำเป็นประจำ และเมื่อคุณรักเธอ อินกับสิ่งที่เธอทำมาก ๆ คุณ ก็จะพยายามทำในสิ่งนั้น ๆ ให้ได้อย่างที่เธอทำ

4.) มั่นคงในเป้าหมายและลงมือทำอย่างต่อเนื่อง

ความฝันที่วาดไว้อย่างสวยงามจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าคุณทำแล้วล้มเลิก ไม่ว่าคุณ จะลงมือทำมันมาอย่างยาวนานเพียงใด ถ้ามันยังไม่สำเร็จก็คือไม่สำเร็จ คุณจำเป็นต้องเดินทางต่อไปจนกว่าจะถึงเป้าหมายนั้น ๆ แต่ถ้าหากคุณ เกิดล้มเลิกกลางคันเส้นทาง สู่เป้าหมายนั้นก็จะมลายหายไปในทันทีงานแต่ละงานเป้าหมายแต่ละอย่างคนแต่ละคนใช้เวลาในการเดินทางไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณทำได้คือ Keep walking while being patient จนกว่าจะถึงเป้าหมายนั้น

5.) ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

เราจะไม่ดูถูกความสามารถของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่คิดว่าตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีกว่าคนอื่นเราทาในสิ่งที่เราทำได้มองเฉพาะเป้าหมายที่เราวางไว้และพัฒนา ต่อไปในแต่ละวัน ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ คุณทำอาหารไม่เป็นเลยและคุณตั้งใจว่าคุณจะเริ่มต้นทำอาหารให้ได้ จากวันแรกที่ทำอะไรไม่เป็นเลย วันต่อมาคุณ ทอดไข่ได้ คุณ ควรภูมิใจในตัวเอง ไม่ใช่ว่าเอาตัวเองไป เปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านที่เป็นมาสเตอร์เชฟแล้วบ่นกับตัว เองว่าฉันมันไม่เอาไหนเลย ๆ ไข่ดาวของฉันสู้อาหารที่เขาทำก็ไม่ได้หรือในอีกมุมหนึ่งเมื่อคุณทอดไข่ได้แล้วคุณก็ไม่ควรที่จะหลงระเริงคิดว่าฉันมันสุดยอดจนปิดหูปิดตารับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบกายไม่เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม สุดท้ายคุณก็จะเป็นแค่คนคนหนึ่งที่ทอดไข่ ได้เท่านั้นเอง แต่อาหารอย่างอื่นคือทำไม่เป็น

6.) ไม่บ่นว่าเหนื่อย ยาก ลำบาก

ทุกครั้งที่เราบ่นว่าเหนื่อย มันก็เหมือนกับการ repeat ความเหนื่อยให้เพิ่มขึ้นมาอีกเท่า บ่นว่ายาก บ่นว่าลำบากก็เช่นกัน ยิ่งบ่นยิ่งตอกย้ำว่าเราทำมันไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ เลิกบ่นกับความเหนื่อยยากลำบากใด ๆ คิดว่าเราทำได้แทนที่จะบั่นทอนตัวเองด้วยพลังลบ ก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มพลังบวกให้กับตัวเองซะ

7.) เหนื่อยก็หยุดพักสักพัก แต่ไม่ใช่ล้มเลิก

ในบางเวลาสถานการณ์แม้ว่าเราจะคิดบวกแบบสุด ๆ แล้วแต่มันก็ต้องมีบางจังหวะหละน่าที่เรารู้สึกว่าเราเหนื่อยเราท้อจริง ๆ เหนื่อยมาก ๆ ก็หยุดพัก หันไปทำอบ่างอื่นที่ตัวเองชอบที่จะเป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้กับตัวเองเสียก่อน เมื่อหายเหนื่อยหายท้อแล้วก็หันกลับมาสานต่อสิ่งที่ทำไว้กันต่อ เหนื่อยก็พัก พักได้แต่อย่านานเสียจนสุดท้ายคือล้มเลิกไม่ทำมันดื้อ ๆ เสียเลย

8.) เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ให้พิจารณาตัวเองเพื่อปรับปรุงแก้ไข

เป็นปกติที่คนเรามักจะโทษสิ่งต่าง ๆ รอบกาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ โอกาส ดวง หรือแม้กระทั่งบุคคลที่เป็นอุปสรรคทำให้พวกเขาเหล่านั้นไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้สักที ซึ่งจริง ๆ แล้วการโทษสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้นเป็นแค่ข้ออ้างหรือจข้อแก้ตัวว่าเราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่สำเร็จเพราะอะไรเท่านั้นเอง แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เราหันกลับมามองตัวเอง สำรวจตัวเองแทนที่จะโทษนั่นโทษนี่ เราก็จะเขยิบเข้าใกล้เป้าหมายของเราได้มากขึ้น เพราะการสำรวจตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเองคือการควบคุมในสิ่งเราควบคุมได้ เมื่อเราแก้ไขมันให้ถูกทิศถูกทางแล้ว สิ่งที่หวังไว้ก็จะไม่ไกลเกินความเป็นจริง

9.) อยู่ใกล้ ๆ คนคิดบวกและห่างให้ไกลพวกลบ ๆ

การมองโลกเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้เช่นเดียวกับการเข้าสังคม ทุกเป้าหมายมีอุปสรรคระหว่างการเดินทาง ดังนั้นเราจึงต้องหัดเป็นคนมองโลกที่มองโลกในแง่ดีและไม่ท้อถอยกับแม้ปัญหาและอุปสรรคจะถาโถมเข้ามามากมายสักแค่ไหนก็ตาม เราต้องคิดเสมอว่าเราทำได้ และในขณะเดียวกันพยายามรายล้อมตัวเองด้วยผู้คนที่มองโลกในความเป็นจริงและมีพลังบวกให้กับเรา ไม่ใช่ว่า”ไอ้นั่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็อย่าทำ ความสามารถอย่างเธอทำงานนี้ไม่ได้หรอก อย่าทำเลยเสียเวลา” อะไรทำนองนี้ ถ้าเจอเพื่อนหรือคนประเภทนี้ควรอยู่ให้ไกลซะ

10.) ให้รางวัลกับตัวเองแม้เป็นความสำเร็จเพียงเล็ก ๆ

ความสำเร็จเพียงก้าวเล็ก ๆ ในแต่ละวันอาจนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้น เราควรให้รางวัลกับตัวเองแม้มันจะเป็นความสำเร็จเพียงก้าวเล็ก ๆ ก็ตาม ใครไม่เห็นความสำคัญของมันแต่ขอให้ตัวเรา เห็นก็พอ รางวัลสำหรับตัวเองนั้นอาจรวมถึงสิ่งของ หรือ อาจเป็นคำชมเชยตัวเองก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น เราตั้งเป้าหมายไว้ปลายภาคปีนี้เราจะกวาดเกรด 4 ให้ได้ในทุกวิชา แต่ ณ เวลานี้ยังไม่ถึงปลายภาคเรียน เราทำคะแนนเก็บได้ดี เรามีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นจากปีก่อน เราก็ควรภูมิใจในสิ่งที่เราได้ทำลงไปให้รางวัลกับตัวเองด้วยการพักผ่อนบ้าง ออกไปข้างนอกหาอะไรอร่อย ๆ ที่เราชอบทาน ชมเชยตัวเองบ้าง เสร็จแล้วเราก็มานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคกันต่อไป

การสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองในแต่คนอาจไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะใช้ทั้ง 10 ข้อนี้ ขณะที่บางคนอาจใช้เพียง 2 หรือ 3 ข้อก็ได้ แต่ไม่ว่าแรงบันดาลใจของคุณจะเป็นอะไร ก็ขอให้คุณหามันให้เจอและนำพาคุณไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีใหม่นี้ค่ะ


แพร

อดีตผู้ประกาศข่าว สำนักริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชีวิตดิ้นรนมาเป็นเชฟในเมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ประเทศออสเตรเลีย สรรหามุมมองเรื่องเล่าจากดินแดนดาวน์อันเดอร์ มาให้อ่านกันบ่อย ๆ

'เยอรมนี' ขึ้นแท่น!! 'จ้าวพาสปอร์ต' สุดทรงพลังแห่งปี 2021 ทะลุผ่าน 134 ประเทศแบบไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า ส่วนไทยรั้งอันดับ 52 สามารถเดินทางไป 61 ประเทศ

การจัดอันดับ 'พาสปอร์ต' หรือหนังสือเดินทางที่ทรงพลังที่สุดในโลกจาก Global Passport Power Rank 2021 by 'Passportindex' ซึ่งมีเกณฑ์การวัดจากจำนวนประเทศที่ผู้ถือพาสปอร์ตนั้น ๆ สามารถเดินทางไปได้แบบไม่ต้องขอ 'วีซ่า' ล่วงหน้า

โดยในปี 2021 พาสปอร์ตของประเทศเยอรมนี 'ครองแชมป์' เพราะสามารถเดินทางไปได้กว่า 134 ประเทศ

ทั้งนี้ ยอดของการเข้าประเทศ จะนับจากจำนวนประเทศที่ Free-Visa หรือเดินทางเข้าได้เลยโดยไม่ต้องขอวีซ่า และประเทศที่ Visa on Arrival หรือการที่ต้องไปขอวีซ่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศปลายทาง ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบนี้ โดยปกติถ้าไม่ติดปัญหาอะไร เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ก็จะอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศปลายทางได้ตามปกติ

ปล. สำหรับประเทศไทย อยู่ในกลุ่มอันดับที่ 52 สามารถเดินทางไป 61 ประเทศ โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า


อ้างอิง: www.passportindex.org/byRank.php

หลังจากที่เริ่มมีการนำเข้าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของประเทศต่าง ๆ จากหลายบริษัทผู้ผลิตมาใช้ ก็มีกระแสของผลข้างเคียงต่าง ๆ นานาออกมา จนเกิดเสียงวิจารณ์ในวงกว้างถึงความกังวลในผลลัพธ์ที่อาจกระทบชีวิตพอสมควร

เพราะต้องยอมรับว่าการเร่งผลิตวัคซีนในครั้งนี้มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูง เนื่องจากระยะเวลาการพัฒนาและทดสอบวัคซีนส่วนใหญ่สั้นมากเพียง 10 เดือน ซึ่งถือว่าสั้นกว่าวัคซีนโรคอุบัติใหม่ก่อนหน้านี้ที่ต้องใช้เวลาพัฒนาและทดสอบกัน 2 - 5 ปี ขึ้นไป เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าวัคซีนที่ได้มานั้นใช้ได้ผล ปลอดภัย และป้องกันเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ไปเป็นชนิดย่อย ๆ ได้ครอบคลุมที่สุด

แต่กับโควิด-19 ที่เหมือนว่าวัคซีนจะต้องเร่งพัฒนาแข่งกับเวลา จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไม่มีหยุด รวมทั้งเดิมพันด้วยเศรษฐกิจของโลกใบนี้ที่หยุดชะงักไปเพราะไวรัสทำพิษ มันกลายเป็นการบีบแบบไม่มีทางเลือกนอกจากเร่งทำมันออกมาให้เร็วที่สุด

แน่นอนว่าความเร็วที่ได้มาจากการเร่งผลิตนั้นย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากใครติดตามข่าวจะพบว่าการฉีดวัคซีนในตอนนี้ เริ่มมีผู้รับวัคซีนหลายรายเกิดอาการแพ้ ทั้งแบบเบาๆ และรุนแรงถึงขนาดต้องเข้าห้องไอซียู และส่วนใหญ่จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ที่ได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ๆ

ทั้งนี้วัคซีนที่ดูจะมีปัญหาเรื่องผลข้างเคียงมากที่สุดก็เป็นของบริษัท Pfizer/BioNTech จากสหรัฐอเมริกา ที่เป็นบริษัทแรก ๆ ที่เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วในหลายประเทศ และเริ่มมีผู้มีอาการแพ้วัคซีนให้เห็นตามที่เป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปริมาณไม่มากเท่ากับสัดส่วนของผู้ที่ได้รับวัคซีนทั้งหมด แต่บางรายก็มีอาการรุนแรงมากจนต้องเข้าห้องฉุกเฉินอย่างที่กล่าวไป ซึ่งเป็นแพทย์ในประเทศเม็กซิโก ที่เกิดอาการช็อกวัคซีนแทบจะทันทีที่ได้รับ

ไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลของสหราชอาณาจักรถึงกับต้องนำเอกสารกำกับยาของวัคซีนจากบริษัท Pfizer/BioNTech เผยแพร่ขึ้นบนเว็บไซต์ทางการของรัฐบาล เพื่อแจ้งไปยังประชาชนพร้อมกับคำเตือนสำหรับผู้ที่จะมารับวัคซีนที่จะต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อยว่า ตัวเองไม่ได้อยู่ในข้อต้องห้ามรับวัคซีนเหล่านี้ ซึ่งผู้เขียนได้สรุปย่อมาให้จากเอกสารของ “Regulatory approval of Pfizer/BioNTech vaccine for COVID-19” อัปเดตเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ Gov.uk ซึ่งเป็นสิ่งที่สื่อของไทยยังไม่ค่อยพูดถึงหรือนำเสนอ

- วัคซีนโควิด-19 ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีสภาวะภูมิแพ้

- บุคคลที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือผู้ที่มีโรคเลือดออกซึ่งจะห้ามการฉีดเข้ากล้ามไม่ควรได้รับวัคซีน

- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรวมถึงบุคคลที่ได้รับการบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน อาจมีการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนลดลง รวมทั้งผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้ม

- วัคซีนไม่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับแม่และทารกในครรภ์

- วัคซีนไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ภายในไม่กี่เดือนหลังจากได้รับวัคซีน

- ผู้ได้รับวัคซีนจะไม่สามารถให้นมบุตรได้

- ผลข้างเคียงของวัคซีนอาจส่งผลกระทบให้มีอาการไม่พึงประสงค์บางอย่างที่ส่งผลต่อความสามารถในการขับขี่หรือใช้เครื่องจักรชั่วคราว

- มีอาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยที่สุดจากกลุ่มทดสอบอายุ 16 ปีขึ้นไป ได้แก่ อาการปวดบริเวณที่ฉีด (> 80%) ความเมื่อยล้า (> 60%) ปวดศีรษะ (> 50%) ปวดกล้ามเนื้อ (> 30%) หนาวสั่น (> 30 %), ปวดข้อ (> 20%) และ เป็นไข้ (> 10%) และมักจะมีความรุนแรงน้อยหรือปานกลางและจะหายภายในไม่กี่วันหลังการฉีดวัคซีน

- พบความผิดปกติของต่อมน้ำเหลือง ระบบภูมิคุ้มกัน และความผิดปกติของระบบประสาท

- ในบางรายพบอาการอัมพาตที่ใบหน้าส่วนปลายเฉียบพลัน

- อาจมีอาการสูญเสียการรับรสชาติหรือรับกลิ่น เจ็บคอ ท้องเสีย หรืออาเจียน

- หากมีอาการแพ้จากสารออกฤทธิ์หรือส่วนผสมอื่น ๆ ของวัคซีนที่รวมถึงผื่นคันที่ผิวหนัง หายใจถี่ และบวมที่ใบหน้าหรือลิ้น ต้องติดต่อแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทันทีหรือไปที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

- วัคซีนยังไม่มีการทดสอบหรือทดลองเพื่อหาผลข้างเคียงในระยะยาว

- วัคซีนไม่มีการทดสอบหรือทดลองเพื่อตรวจสอบผลข้างเคียงหากรับประทานร่วมกับยาอื่นๆ ที่กำหนด

- การฉีดวัคซีนอาจไม่สามารถปกป้องผู้ที่ได้รับจากการติดเชื้อ COVID-19 ได้ 100% และยังไม่มีข้อมูลในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือกำลังรับการรักษาเรื้อรังที่ยับยั้งหรือป้องกันการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน

- การฉีดวัคซีนยังไม่ยืนยัน100% ว่าจะป้องกันไม่ให้ผู้รับวัคซีนจะไม่เป็นพาหะแพร่กระจายไวรัสไปสู่ผู้อื่น

- ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน เนื่องจากยังไม่เคยมีการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง

- และ 'ไฮไลท์' ของเอกสารดังกล่าวอยู่ที่...หากเกิดอาการเจ็บป่วยส่วนบุคคล หรือ 'เสียชีวิต' อันเป็นผลมาจากการรับวัคซีน รัฐบาลสหราชอาณาจักรและผู้ผลิตวัคซีนจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น

นี่เป็นเพียงข้อมูลที่สกัดได้จากเอกสารกำกับยาของวัคซีนจาก Pfizer/BioNTech ที่เรียบเรียงเป็นภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย แต่ใช่ว่าทุกคนที่รับวัคซีนของบริษัทนี้จะมีอาการดังกล่าวทั้งหมด แต่ถือว่าเป็นเอกสารรัฐบาลสหราชอาณาจักรเผยแพร่ให้ผู้ที่ต้องการจะฉีดวัคซีนต้องศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ เพื่อให้เกิดผลกระทบกับตัวเองน้อยที่สุด


อ้างอิง: https://www.gov.uk/government/publications/regulatory-approval-of-pfizer-biontech-vaccine-for-covid-19?fbclid=IwAR0iHwRPKxp_BicBt3YRMaVu-kQ4GlD_gytzpaS-8C3MDb_k5pAv86jRvRw

สาวจีนมาเลย์เครียด! ทำไมจ่ายค่าไฟแพงมา 5 ปี พอรู้ความจริงถึงกับเงิบ!

คอลัมน์ สายตรงเคแอล

หญิงสาวชาวจีนมาเลย์รายหนึ่งได้โพสต์บน Facebook ส่วนตัวจนกลายเป็นกระแสไวรัล ซึ่งเธอเปิดเผยว่า เธอรู้สึกเครียดกับบิลค่าไฟของเธอมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากค่าไฟมันแพงเกินกว่าความน่าจะเป็นมาก ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะพยายามลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านให้น้อยที่สุด แต่จนในที่สุดเธอก็สามารถไขปริศนาคาใจนี้ได้

โดยหญิงสาวรายนี้ใช้ชื่อบนเฟซบุ๊กว่า อีฟ ลิม เธอโพสต์ระบายว่า เธอพบว่ามันแปลกมากที่บิลค่าไฟฟ้าของเธอในทุกเดือนมีจำนวนไม่น้อยไปกว่า 700-800 ริงกิต (ประมาณ 5,000 - 6,000 กว่าบาท) เธอพยายามโทรหาเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าหลายต่อหลายครั้งเพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบปัญหาบิลค่าไฟแพงแม้กระทั่งขอความช่วยเหลือไปยังรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

เธอพยายามทุกอย่างตั้งแต่การดึงปลั๊กตู้เย็นออก ไปจนถึงลองไปอาศัยอยู่บ้านเพื่อนเพื่อลองลดค่าไฟ แถมยังหมดเงินไปจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่คิดว่ามันอาจเกิดการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้า แต่ก็ไม่นำพา !!

“ฉันคาดหวังถึงผลลัพธ์ทุกครั้ง แต่มันไม่ได้ผลเลย ค่าไฟยังคงแพง แต่จะทำยังไงได้ ฉันไม่ต้องการให้ไฟฟ้าถูกตัด ฉันจึงต้องจำใจจ่ายต่อไป และพยายามหาวิธีแก้ปัญหาในเวลาเดียวกัน” เธอกล่าว

แต่แล้วความอดทนของเธอเริ่มสิ้นสุดลง! หลังจากที่เธอได้รับบิลค่าไฟจำนวนถึง 1,500 ริงกิต หรือประมาณหนึ่งหมื่นกว่าบาทในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา! เธอจึงตัดสินใจเรียกช่างไฟฟ้ามาตรวจสอบอีกครั้งว่าตู้เย็นนั้นเป็นสาเหตุของปัญหาหรือไม่ แต่ช่างไฟไม่พบปัญหาใด ๆ กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ จึงขอให้เธอลองขอให้ TNB (Tenaga Nasional Berhad) ซึ่งเป็นหน่วยงานการไฟฟ้ารัฐวิสาหกิจ ลองตัดมิเตอร์ไฟแทนเพื่อดูว่ามิเตอร์ยังคงทำงานอยู่หรือไม่

และนั่นนำมาซึ่งคำตอบที่เธอพยายามไขปริศนามาโดยตลอด...

หลังจากตัดสวิตช์มิเตอร์หลักของเธอแล้ว ก็พบว่าไฟและเครื่องใช้ต่าง ๆ ของเธอยังคงทำงานอยู่ และเจ้าหน้าที่ TNB ก็หัวเราะ อีฟถึงกับงง ถามพวกเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้น! และเขาขอให้เธอรอ เดี๋ยวคงจะมีใครสักคนออกมา!

และไม่กี่นาทีต่อมา...สาวใช้จากบ้านเพื่อนบ้านของเธอก็ออกมาถามว่า "ทำไมไม่มีไฟฟ้าอ่ะคะ"

ปรากฎว่ามิเตอร์ไฟฟ้าของเธอมีเลขที่สลับกับของเพื่อนบ้านที่คงติดสลับกันตั้งแต่ตอนทำโครงการบ้าน ซึ่งทำให้เธอต้องจ่ายค่าไฟของเพื่อนบ้านแทนเป็นเวลาถึงห้าปี! OMG!

“บางวันฉันต้องยอมไม่ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นเพื่อประหยัดค่าไฟ…” อีฟบอกเพิ่มเติม (คนที่นี่ติดการอาบน้ำจากเครื่องทำน้ำอุ่นมาก ๆ นี่ขนาดไม่ใช่เมืองหนาวนะ 555)

เธอบอกว่า...ในที่สุดเธอก็ไม่ต้องเครียดกับเรื่องนี้อีกต่อไป และโชคดีที่ทาง TNB จะคืนเงินส่วนต่างให้เธอเป็นเงินราว ๆ 15,000 ริงกิตที่เธอต้องจ่ายเกินจริงไปให้เพื่อนบ้านโดยไม่รู้ตัว และชี้แจงว่าเพื่อนบ้านก็ไม่มีความผิด เพราะไม่ได้ตั้งใจขโมยใช้ไฟของเธอ!

ในที่สุดเราก็ดีใจกับเธอที่แก้ปัญหาที่ทำให้เธอเครียดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา...เฮ้ออออ


Info via: Eve Wei-Jia Lim / Facebook

https://hitz.com.my/trending/trending-on-hitz/woman-pay-neighbour-tnb-bill-electric-malaysian-vi


"ผิงกั่ว"

สาวเมืองชล ตั้งรกรากอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามสามีชาวจีนมาเลย์ ชีวิตท่ามกลางคนจีน แขกมาเลย์ และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรม ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

โปรเจครถไฟความเร็วสูง มาเลย์-สิงคโปร์ ล่ม! เซ่นพิษโควิด-19

ในที่สุดก็ล่มจนได้ กับเมก้าโปรเจคร่วมระหว่าง มาเลเซีย และสิงคโปร์ในการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อกันระหว่างกัลลาลัมเปอร์ด่วนตรงถึงใจกลางสิงคโปร์ เนื่องจากทั้งสองประเทศไม่อาจบรรลุข้อตกลงในการลงทุนร่วมกันในขั้นสุดท้ายได้

โปรเจครถไฟความเร็วสูง หรือ Malaysia-Singapore High-Speed Rail (HSR) เป็นโครงการที่เริ่มคุยกันมาตั้งแต่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายิบ ราซัค ที่ต้องการสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่าง 2 ประเทศเศรษฐกิจหลักในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมระยะทางยาวถึง 350 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในฝั่งมาเลเซีย 335 กิโลเมตร และในสิงคโปร์ 15 กิโลเมตร ที่จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางด้วยรถยนต์จากเดิม 4 ชั่วโมงเหลือเพียง 90 นาทีเท่านั้น

หากโครงการนี้ตกลงเริ่มสร้างกันตั้งแต่ที่เจรจากันในช่วงแรก ก็จะสามารถสร้างให้แล้วเสร็จได้ภายในปี 2026 โดยใช้ประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 8 พันล้านริงกิต (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท) ซึ่งอันที่จริงมีการเซ็นข้อตกลงความเข้าใจร่วมกันไปแล้วตั้งแต่ปี 2016

แต่โครงการมาหยุดชะงักชั่วคราวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจาก นายิบ ราซัค มาเป็นดร. มหาเธร์ มูฮัมหมัด ที่ชนะเลือกตั้งเข้ามาได้อย่างพลิกล็อคถล่มทลายในปี 2018 และก็เป็น ดร.มหาเธร์ ที่เป็นผู้สั่งระงับโครงการเนื่องจากงบประมาณก่อสร้างสูงเกินไป จึงนำรายละเอียดทั้งโครงการมาพิจารณาใหม่ ปรับงประมาณ ปรับรูปแบบสถานี ที่จะทำให้ใช้งบน้อยลง และยืดระยะเวลาการชำระเงินให้นานขึ้นให้กับมาเลเซีย

ซึ่งการเจรจาระงับโครงการอยู่ในช่วงระยะเวลา 2 ปี สิ้นสุดภายในปี 2020 นี้ ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จาก ดร. มหาเธร์ มูฮัมหมัด เป็นนายมูห์ยิดดิน ยัสซิน จึงมีการหยิบยกโปรเจคนี้ขึ้นมาพิจารณากันใหม่

และหลังจากการประชุมร่วมกันระหว่าง นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน กับ นาย ลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในช่วงโค้งสุดท้าย ก็ปรากฏว่ายังตกลงที่จะเดินหน้าโครงการต่อไม่ได้ เนื่องจากงบประมาณ และผลพวง Covid-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศอย่างหนัก มาเลเซียจึงตัดสินใจเทโปรเจครถไฟความเร็วสูง มาเลย์-สิงคโปร์ไปด้วยประการฉะนี้

เมื่อมาเลเซียไม่สานต่อโครงการที่เคยตกลงว่าจะทำร่วมกันมานานเกือบ 10 ปี ทางสิงคโปร์อาจต้องดำเนินเรื่องปรับเงินเป็นค่าฉีกสัญญา หรือที่บ้านเรามักเรียกว่า "ค่าโง่" เป็นเงินกว่า 250 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือราวๆ 5.6 พันล้านบาท

แต่ทั้งนี้ ชาวมาเลเซียบางส่วนก็โล่งใจมากกว่า ที่โครงการนี้พับลงไปได้ เพราะเรื่องงบประมาณที่สูงบีบหัวใจ และคิดว่าคนมาเลเซียอาจได้รับผลประโยชน์จากเส้นทางนี้น้อย ไม่คุ้มค่าในการลงทุน เมื่อการเดินทางโดยเครื่องบินอาจเป็นทางเลือกที่สะดวกอยู่แล้ว ซึ่งค่าตั๋วโดยสารของสายการบิน Low cost ก็มีความใกล้เคียงกับตั๋วรถไฟความเร็วสูง

แต่ว่าค่าโง่ที่ต้องจ่าย อาจต้องมาคุยกันอีกยาว


แหล่งข่าว

https://news.cgtn.com/news/2021-01-01/Malaysia-Singapore-high-speed-rail-project-terminated-WH5zVeT2jm/index.html

https://www.malaymail.com/news/malaysia/2021/01/01/malaysia-to-pay-singapore-compensation-as-high-speed-rail-hsr-contract-term/1936420

https://asia.nikkei.com/Politics/International-relations/Singapore-and-Malaysia-terminate-high-speed-rail-project


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top