โดนัลด์ ทรัมพ์ เตรียมรับชะตากรรมหนัก หลังเป็นส่วนหนึ่งในต้นเหตุการจราจลที่ส่อเค้าบานปลาย

ในที่สุด ม็อบผู้สนันสนุน โดนัลด์ ทรัมพ์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะกลายเป็นอดีตก็มาตามนัด อย่างที่ทรัมพ์เคยส่งสัญญาณประกาศนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 6 มกราคม 2021 ที่สภาคองเกรสในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่หลายคนเคยปรามาสว่า ยังจะมีแฟนคลับเดนตายของทรัมพ์เหลืออยู่สักเท่าไหร่ หลังจากที่ผลการนับคะแนนการเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐเมื่อ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 มีการรับรองอย่างเป็นทางการแล้วว่าผู้ชนะคือ นาย โจ ไบเดน ไม่มีพลิกโผ

แต่พอถึงเวลาช่วงบ่าย เริ่มประชุมสภารับรองนายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ม็อบของเหล่าบรรดาแฟนคลับของทรัมพ์ก็มาชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภากันอย่างล้นหลามเต็มพื้นที่ บางส่วนมาพร้อมอาวุธปืน ชูป้ายสนับสนุนทรัมพ์ และไม่มีใครสวมหน้ากากอนามัย

จุดประสงค์ของการมาชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ เพื่อต้องการประท้วงผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาว่ามีการทุจริต โกงคะแนนการเลือกตั้ง ตามที่โดนัลด์ ทรัมพ์เคยสื่อสารผ่านทางทวิตเตอร์มาโดยตลอดว่าเขาถูกโกง และมีการบุกรุกเข้าไปในรัฐสภา จนสมาชิกผู้แทนหนีกันกระเจิง เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เกิดเสียงปืนดัง และมีผู้บาดเจ็บเป็นเจ้าหน้าที่หญิงที่โดนกระสุนปืน ภายหลังมีรายงานว่าเสียชีวิตแล้ว

ม็อบทรัมพ์ ได้บุกยึดรัฐสภาได้กว่า 3 ชั่วโมง ก่อนที่จะมีการประกาศเคอร์ฟิวในเวลา 6 โมงเย็น และทางการจัดส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิมาควบคุมสถานการณ์จนสงบเรียบร้อย จึงสามารถเปิดประชุมสภาต่อได้ในเวลา 2 ทุ่ม

วันนี้จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในความอัปยศอดสูของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ได้เห็นภาพของกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และใช้กำลังและอาวุธบุกรุกเข้าไปในรัฐสภา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบบการปกครองของสหรัฐ และมีการใช้ความรุนแรงจนเกิดความสูญเสีย

ฟากประธานาธิบดีทรัมพ์ ที่ตอนนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของปัญหา แม้จะพยายามออกมาโพสต์ทวิตเตอร์ ให้ร่วมชุมนุมกันอย่างสงบ และเคารพกฎหมาย แต่ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแม้แต่น้อย ซึ่งตอนนี้ ทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และ อินสตาแกรม ต่างระงับบัญชีผู้ใช้ของทรัมพ์เป็นการชั่วคราวแล้ว

และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้คลี่คลายลง ผลกระทบตามหลังย่อมสะท้อนกลับไปทางโดนัลด์ ทรัมพ์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเขามีเวลาเหลือในตำแหน่งเพียงแค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์จนถึงวันที่ โจ ไบเดน เข้าพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม หลังจากนี้ โดนัลด์ ทรัมพ์ อาจต้องเจอพายุลูกใหญ่ จากคดีความค้างเก่าในการใช้คำสั่งประธานาธิบดีที่ศาลสูงบางรัฐพิจารณาว่าไม่ชอบด้วยกฏหมาย หรือยุยงปลุกปั่นจนเกิดความรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิต ในวันที่เขาไม่มีสิทธิ์คุ้มกันในตำแหน่งแล้ว

ส่วนคนที่จะได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์นี้ ไม่ต่างจากทรัมพ์ หนีไม่พ้นรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ที่เขาคาดหวังจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า แต่ภาพลักษณ์และการกระทำของทรัมพ์อาจฝังแน่นลงในประวัติชีวิตในการดำรงตำแหน่งที่ไม่อาจสลัดหลุดได้ แม้ว่า ไมค์ เพนซ์ ได้ออกมาทวิตเตอร์ประณามกลุ่มผู้ประท้วงที่ใช้ความรุนแรง และแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิต โดยเน้นย้ำว่าฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงจะไม่มีวันชนะ รวมถึงสมาชิกพรรครีพับลิกัน ต่างออกมาปฏิเสธว่าม็อบในวันนี้ ไม่ใช่กลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน แต่เป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่ไม่เคารพกฎหมายที่ไม่อาจรับได้

และนี่อาจจะเป็นจุดแตกหัก แยกทางระหว่างทรัมพ์ และชาวรีพับลิกันแล้วก็เป็นได้

ส่วนทั่วโลกก็จับตาเหตุการณ์ในสหรัฐในมุมมองที่ต่างกันออกไป

ประธานาธิบดีเอมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงวอชิตัน ดี.ซี. วันนี้ ไม่สมกับชาวอเมริกันเลย” และยังโพสต์ต่อในทวิตเตอร์ว่า “พวกเราเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย”

สตีเฟ่น โลฟเวน นายกรัฐมนตรีสวีเดนออกมากล่าวว่า ทั้งประธานาธิบดีทรัมพ์ และ ชาวสภาคองเกรสหลายคนต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์ครั้งนี้

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็ไม่พลาด ออกมากล่าวประณามความรุนแรงที่สภาคองเกรสว่าช่างเป็นซีนที่น่าหดหู่ใจที่ได้เห็น ยิ่งเกิดที่สหรัฐอเมริกา ประเทศที่กล่าวว่าเป็นเสาหลักของประชาธิปไตยทั่วโลก ซึ่งไม่ควรเลยที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ในวันที่มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจ

ส่วนสำนักข่าว Global Times ของจีนรายงานความเห็นของชาวเน็ตจีน ที่มีต่อเหตุการณ์บุกยึดสภาคองเกรสของสหรัฐว่า เป็นเรื่องของกรรมเก่า ที่สหรัฐเคยสนับสนุนกลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงให้ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง และวันนี้ก็ได้มาเจอกันตัวเอง โดยมามีการเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่ชาวม็อบฮ่องกงบุกทำลายสภาฮ่องกงเมื่อปี 2019 กับเหตุการณ์ที่สภาคองเกรสของสหรัฐในวันนี้อย่างประชดประชันว่า อยู่ฮ่องกงเรียกฮีโร่ แต่อยู่ที่สหรัฐเรียกผู้ก่อการร้าย

แต่เรื่องนี้จะเป็นกรรมเก่าของสหรัฐ กรรมใหม่ของทรัมพ์ หรือกรรมสะสมของโจ ไบเดน ที่จะต้องมีดูแลชาวสหรัฐที่มีความแตกแยกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไร และจากเหตุการณ์นี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศโลกที่ 3 หรือ ประเทศพัฒนาแล้ว หากประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ผิด ข่าวปลอม ข้อความในสื่อโซเชียลเต็มไปด้วยข้อความรุนแรง วาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง ความแตกแยกและความรุนแรงก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่


แหล่งข่าว

https://www.theguardian.com/us-news/2021/jan/06/trump-blows-up-us-democracy-the-world-watches-on-in-horror

https://www.aljazeera.com/news/2021/1/6/pro-donald-trump-protesters-storm-us-capitol

https://www.globaltimes.cn/page/202101/1212074.shtml

https://abcnews.go.com/US/timeline-pro-trump-protesters-stormed-capitol/story?id=75096094