Friday, 25 April 2025
Hard News Team

จุรินทร์ นำ ข้าราชการพาณิชย์ขอบคุณ "วีรศักดิ์" มีส่วนสำคัญช่วยนโยบายบรรลุเป้าหมาย พร้อมยินดีกับตำแหน่งใหม่รัฐมนตรีช่วยคมนาคม

วันที่ 30 มีนาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ ปลัดกระทรวงพาณิชย์และข้าราชการกระทรวงพาณิชย์จัดพิธีอําลาอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล พร้อมแสดงความยินดีในตำแหน่งใหม่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ณ ห้องประชุมกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

นายจุรินทร์ กล่าวขอบคุณนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล โดยระบุว่าที่ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีเศษที่ทำงานด้วยกันมานายวีรศักดิ์มีส่วนสำคัญในการช่วยให้งานนโยบายทุกประการของกระทรวงพาณิชย์บรรลุเป้าหมายมีผลสัมฤทธิ์เป็นที่พอใจของพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนได้เป็นอย่างดีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 

"ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณในความทุ่มเทเสียสละและตั้งใจในการปฎิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาและในโอกาสพิเศษนี้ขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่ที่ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ไปดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมถือว่ายังอยู่ในรัฐบาลเดียวกัน จะได้มีโอกาสทำงานร่วมกันต่อไป เป็นมงคลอย่างยิ่งสำหรับท่านที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้รับตำแหน่งใหม่ในคณะรัฐบาลนี้อีกครั้งหนึ่ง" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

ด้านนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล กล่าวว่า ดีใจและไม่อยากจากกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งตั้งแต่ได้ตำแหน่ง ส.ส. และมาทำงานครั้งแรกที่กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง มีความรู้สึกอบอุ่น ในช่วงระยะเวลา 1 ปี 8 เดือนที่ผ่านมา ตนมีความสุขจะจดจำแต่สิ่งดี ๆ และท่านรองนายกฯให้ความสำคัญกับตนและตนได้เรียนรู้ 1 ปี 8 เดือน รู้สึกเหมือนไม่กี่วัน ถึงตนจะไปอยู่ที่กระทรวงคมมาคม แต่ก็ทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับท่านนายกและท่านรองนายกฯได้เป็นอย่างดี

จากนั้นนายจุรินทร์ได้มอบโมเดลเรือสำเภาเป็นที่ระลึกให้กับนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์โดยมี คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ได้มามอบดอกไม้เพื่อแสดงความขอบคุณเป็นจำนวนมาก

ครม.เห็นชอบ ก.คลัง จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส - เหรียญเฉลิมพระเกียรติพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

วันที่ 30 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 พ.ศ.... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อจัดทำเหรียญที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า วัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมสำนักในพระมหากรุณาธิกคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่ทั้งสองพระองค์ทรงตั้งมั่นในพระราชปณิธาน "สืบสาน รักษา ต่อยอด" แนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงแก้ไขและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยน้ำพระราชหฤทันอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย และเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของทั้ง 2 พระองค์ ให้แผ่ไพศาลไปทั้งในและนานาประเทศ

โดยกระทรวงการคลังได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสดังกล่าว ตามแบบที่ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละอองและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว สำหรับเหรียญกษาปณ์ที่กระทรวงการคลังจะดำเนินการจัดทำมีทั้งสิ้น  4 ชนิด ประกอบด้วยเหรียญกษาปณ์ทองคำ ประเภทขัดเงา ชนิดราคา 20,000 บาท จำหน่ายราคา 40,000 บาท  ผลิตตามจองจำนวนไม่เกิน 10,000 เหรียญ เหรียญกษาปณ์เงิน ประเภทขัดเงา ชนิดราคา 1,000 บาท จำหน่ายราคา 3,000 บาท ผลิตตามจองจำนวนไม่เกิน 50,000 เหรียญ เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ประเภทขัดเงา ชนิดราคา 20 บาท จำหน่ายราคา 200 บาท ผลิตจำนวนไม่เกิน 100,000 เหรียญ และเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิเกิล) ประเภทธรรมดาชนิดราคา 20 บาท จำหน่ายราคา 20 บาท ผลิตจำนวนไม่เกิน 5,000,000 เหรียญ

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ครม. ได้เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเหรียญเฉลิมพระเกียรติในโอกาสพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562 พ.ศ.... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ท่านให้แผ่ไพศาลไปทั้งภายในประเทศและนานาประเทศ ตลอดจนน้อมนำจิตใจของปวงชนชาวไทยให้แสดงความกตัญญูกตเวทีและความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า

ซึ่งกระทรวงการคลังได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติในโอกาสดังกล่าว ตามแบบที่ทูลเกล้าฯถวาย ซึ่งได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว สำหรับการดำเนินการนั้น กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง จะจัดทำเป็นเหรียญเงินชนิดบุรุษและสตรี จำนวนไม่เกิน 300,000 เหรียญ ราคาจำหน่ายเหรียญเฉลิมพระเกียรติทั้งชนิดบุรุษและชนิดสตรี ราคาเหรียญละ 1,600 บาท

สงกรานต์ปีนี้คนไทย.....อยากทำอะไร? | PoliticsQuiZ EP.5

PoliticsQuiZ พาทุกคนมาสำรวจความคิดเห็นคนไทยบางส่วน ว่าหยุดยาวสงกรานต์ปีนี้ พวกเขามีแผนอยากจะทำอะไรกัน!!

.

.


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ . #THESTATESTIMES #PoliticsQuiZ

ครม.อนุมัติงบ 2.93 พันลบ. โครงการประกันภัยข้าวนาปี คุ้มครอง 46 ล้านไร่

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ว่า ครม.เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 พื้นที่ประกันภัย รวม 46 ล้านไร่ ภายใต้วงเงิน 2,936 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย  โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันแทนรัฐบาลและเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง

ซึ่งโครงการปีการผลิต 2564 เป็นโครงการต่อเนื่องปีที่ 10 ซึ่งการดำเนินงานส่วนใหญ่มีลักษณะเดียวกันกับปี 2563 โดยปรับอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ลดลง 1 บาท (จาก 97 บาท/ไร่ เหลือ 96 บาท/ไร่) และปรับอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ซื้อประกันภัยเพิ่มและอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ำ ลดลง 3 บาท (จาก 58 บาท/ไร่เหลือ 55 บาท/ไร่) โดยมีรายละเอียดดังนี้

โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 มีพื้นที่เป้าหมายประกันภัย รวม 46 ล้านไร่  มีอัตราค่าเบี้ยประกันภัยดังนี้ 

1.) ค่าเบี้ยประกันภัยพื้นฐาน Tier 1 กำหนดตามความเสี่ยงจริงของเกษตรกร รวม 45 ล้านไร่ แบ่งเป็น

1.1) ลูกค้า ธ.ก.ส. ทุกราย ค่าเบี้ยประกันภัย 96 บาทต่อไร่ (รวม 28 ล้านไร่) โดยรัฐบาลเป็นผู้อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 58 บาทต่อไร่ และ ธกส. อุดหนนุนให้ 38 บาทต่อไร่ (ยังไม่รวมค่าอาการแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)

1.2) เกษตรกรทั่วไป และลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่ซื้อเพิ่ม ค่าเบี้ยประกันภัยในพื้นที่เสี่ยงต่ำ 55 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 210 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 230 บาทต่อไร่ (รวม 17 ล้านไร่) โดยรัฐบาลเป็นผู้อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 55 บาทต่อไร่ (ยังไม่รวมค่าอาการแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยคุ้มครองความเสี่ยงจาก 7 ภัยธรรมชาติ ไร่ละ 1,260 บาท ได้แก่ 1)น้ำท่วมหรือฝนต กหนัก 2)ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง

1.3) ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น 4)ภัยอากาศหนาว หรือน้ำค้างแข็ง 5)ลูกเห็บ 6)ไฟไหม้ 7)ช้างป่า และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดไร่ละ 630 บาท

2.) ค่าเบี้ยประกันภัยแบบสมัครใจ Tier 2 กำหนดตามความเสี่ยงจริงของเกษตรกร จำนวน 1 ล้านไร่ ซึ่งเกษตรกรจะต้องเป็นผู้ชำระเอง แบ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่ำ 24 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 48 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 101 บาทต่อไร่ โดยคุ้มครองความเสี่ยงจาก 7 ภัยธรรมชาติ ไร่ละ 240 บาท และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดไร่ละ 120 บาท

ส่วนการดำเนินการขายกรมธรรม์จะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค คือ 1)ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กลุ่มที่1) ภายใน 30 เมษายน 2564 2)ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กลุ่มที่ 2)  ภายใน 31 พฤษภาคม 2564  3)ภาคตะวันตก ภายใน 30 มิถุนายน 2564 และ4)ภาคใต้ ภายใน 31 ธันวาคม 2564 จากผลการดำเนินโครงการปีการผลิต 2563 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา มีเกษตรกรทำประกันภัย Tier 1 จำนวน 3.30 ล้านราย พื้นที่รวม 44.36 ล้านไร่ ส่วนประกันภัยเพิ่มเติม Tier 2 มีเกษตรทำประกันภัยจำนวน 3.33 หมื่นราย พื้นที่รวม 4.79 แสนไร่ รวมเบี้ยประกันภัยทั้ง 2 ประเภท จำนวน 4.04 พันล้านบาท และมีคำขอรับค่าสินไหมทดแทนจากเกษตรกรแล้ว 3.67 หมื่นราย เป็นเงิน 516 ล้านบาท

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า รัฐบาลขอประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรร่วมทำประกันภัยข้าวนาปี เพื่อเป็นการลดความสูญเสียหากเกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติและศัตรูพืชหรือโรคระบาด นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับลดสัดส่วนการอุดหนุนของภาครัฐในการจ่ายเบี้ยประกัน เพื่อให้ระบบประกันภัยมีการซื้อขายได้โดยทั่วไป เหมือนการทำประกันภัยรถยนต์หรืออุบัติเหตุ เพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐ

สถานการณ์บ้านเมืองในพม่ายังคงดำดิ่งไร้จุดสิ้นสุด และล่าสุดมีข่าวจากทางสื่อรัสเซียว่า รัฐบาลทหารพม่า เตรียมสานพันธมิตรร่วมกับรัสเซีย ในการยกระดับการติดอาวุธกองทัพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจรจาเปิดดีลสั่งอาวุธจากรัสเซียมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท

รายงานข่าวนี้ สืบเนื่องจากการนัดประชุมระดับสุดยอดระหว่าง อเล็กซานเดอร์ โฟมิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย กับ นายพล มิน อ่อง ลาย ผู้นำสูงสุดของรัฐบาลทหารพม่า เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มีนาคม และนับเป็นการเยือนพม่าอย่างเป็นทางการครั้งแรกของรัสเซีย หลังจากเกิดการรัฐประหารในพม่าตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์

มีการเปิดเผยว่า การประชุมสุดยอดระหว่างพม่า และ รัสเซีย ครั้งนี้เป็นความตั้งใจของทางรัสเซีย ที่ต้องการแสวงหาพันธมิตรในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพม่าก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสำคัญในในเชิงยุทธศาสตร์ในย่านเอเชียแปซิฟิค อย่างมากที่รัสเซียไม่อาจปล่อยไปได้

และทั้งพม่า และ รัสเซีย ต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผ่านข้อตกลงซื้ออาวุธเข้ามาเสริมกองทัพพม่าเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันนานหลายปี และเมื่อต้นปี 2021 พม่าเพิ่งตกลงสั่งซื้ออาวุธล็อตใหญ่จากรัสเซีย รวมถึง ระบบยิงขีปนาวุธพื้นดินสู่อากาศ Pansir - S1 โดรนสอดแนม Orlan-10E ระบบเรดาร์รุ่นล่าสุด และรถคอนวอยทหารอีกจำนวนหนึ่ง

จากข้อมูลของสถาบัน Stockholm International Peace Research Institute เปิดเผยว่า กองทัพพม่าได้สั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากรัสเซีย ไม่น้อยกว่า 807 ล้านเหรียญสหรัฐ (25,000 ล้านบาท) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และมากที่สุดในบรรดาประเทศคู่ค้าอาวุธที่กองทัพพม่าได้เลยจัดซื้อ

ดังนั้นการมาเยือนของฝ่ายกลาโหมรัสเซีย ที่พม่าในครั้งนี้ จึงเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซีย และ กองทัพพม่ายังคงเหมือนเดิม ตราบใดที่ข้อตกลงเรื่องอาวุธยังคงอยู่

หลังการเปิดหน้าของรัสเซียในพม่าอย่างชัดเจน ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์หลังจากนี้อาจเลวร้ายลงถึงขีดสุด จนหลายคนเห็นภาพสถานการณ์ในพม่า ซ้อนทับกับสงครามกลางเมืองในซีเรีย ดินแดนที่ถูกใช้เป็นสงครามตัวแทนระหว่างชาติมหาอำนาจ จนประเทศล่มสลายเหลือเพียงซากปรักหักพัง

ความสุ่มเสี่ยงที่พม่าจะกลายเป็นซีเรียแห่งอาเซียน เป็นการคาดการณ์ในระดับที่เลวร้ายที่สุดที่ไม่มีใครอยากให้เกิด เพราะไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพของอาเซียนทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะผลกระทบกับไทย ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุดของพม่า จึงเริ่มมีการคุยกันระหว่างชาติในอาเซียนแล้วว่า คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วที่จะต้องมีการแทรกแซงจากต่างประเทศ หากจำเป็น ซึ่งจะดีกว่าหากสามารถเจรจากันได้ในระดับอาเซียน

เพราะหากต้องถึงมือชาติมหาอำนาจตะวันตก ที่อาจไม่เข้าใจในปัญหา และสังคมพื้นถิ่นของชาวพม่าที่แท้จริง หรือเข้ามาเพื่อผลประโยชน์แอบแฝง ฉากจบคงไม่สวยงามดังในหนังฮอลลีวูดอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ก็เป็นได้

.

อ้างอิง:

https://www.themoscowtimes.com/2021/03/26/russia-to-deepen-ties-with-myanmar-military-junta-top-defense-official-says-in-first-visit-after-coup-a73387


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

“ดอน” เผย ถกอาเซียนซัมมิท เม.ย. นี้ ยกปัญหาเมียนมาพูดคุย แจง ดูแลผู้อพยพบริเวณชายแดนตามหลักมนุษยธรรม ชี้ สถานการณ์ดีขึ้นต้องกลับ

วันที่ 30 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงสถานการณ์ชายแดนไทยที่ติดกับประเทศเมียนมา ว่า รายละเอียดจะมีการประชุมอาเซียนซัมมิทในช่วงต้นหรือปลายเดือน เมษายนนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวว่าทางการไทยผลักดันผู้ที่หลบหนีการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังกะเหรี่ยง นายดอน กล่าวว่า เป็นไปตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชี้แจงว่าหากเดือดร้อนจะดูแลตามหลักมนุษยธรรม แต่หากเลยจุดนั้นแล้วต้องกลับไป เพราะประเทศไทยไม่สามารถรับคนได้มาก เพราะทุกประเทศหรือประเทศใดที่มีปัญหาเรื่องผู้หนีภัยเข้ามาก็ต้องได้รับการดูแลในช่วงระยะหนึ่งและต้องกลับบ้านเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น  

เมื่อถามว่าขณะนี้ศูนย์รองรับผู้ลี้ภัยยังดูแลได้หรือไม่ นายดอน กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ถึงกับตั้งศูนย์ เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเรื่องจำนวนต้องไปถามในพื้นที่ แต่ตามหลักการแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาอีกฝั่งหนึ่ง เช่น อินเดียก็ปฏิเสธ ซึ่งเป็นปกติของทุกแห่ง ไม่ใช่เฉพาะบริเวณนี้เท่านั้น 

เมื่อถามว่าไทยจะดูแลผู้อพยพจนกว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วให้กลับบ้านใช่หรือไม่ นายดอน กล่าวว่า เมื่อพ้นความจำเป็นด้านมนุษยธรรมก็กลับ เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ฝั่งเมียนมาหรือไม่ นายดอน กล่าวว่า ภายหลังจากผู้อพยพเข้ามาที่ประเทศไทยก็ได้พูดคุยกันเพื่อหาทางทำให้บ้านเมืองเขาเรียบร้อยโดยเร็ว เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ มีหลายปัจจัยด้วยกันที่ทำให้รุนแรง เราพยายามบอกเขาว่าต้องลดความรุนแรงหรือลดปัญหาทั้งปวง ซึ่งเขารับทราบแต่จะทำได้แค่ไหนอยู่ที่สถานการณ์ และได้ประสานไปประเทศบรูไนในฐานะประธานอาเซียนในหลายเรื่องรวมถึงการจัดประชุมอาเซียนซัมมิทที่จะเกิดขึ้นด้วย 

เมื่อถามว่าในการประชุมอาเซียนซัมมิทครั้งนี้ประเด็นหลักจะมีเรื่องอะไรบ้าง และจะกดดันเมียนมาอย่างไร นายดอน กล่าวว่า ต้องรอไว้ไปจนถึงจุดนั้น ส่วนเรื่องที่จะคุยนั้นยังพูดตอนนี้ไม่ได้ แต่ประเด็นหลักคือ การหาทางทำให้เกิดสันติสุขขึ้นในเมียนมา เรื่องนี้คือหลักใหญ่ให้ปัญหาทั้งมวลคลี่คลายลง และให้อาเซียนกลับมาเป็นภูมิภาคที่สงบสุข เป็นเป้าหมายที่กำลังดำเนินการ 

ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลเรื่องสถานะทางการทูตของประเทศไทยหรือไม่ เพราะขณะนี้สถานการณ์ในเมียนมาถือว่ารุนแรงมาก นายดอน กล่าวว่า ไม่กังวล ความรุนแรงเป็นปัญหาหนึ่งที่เขาพยายามรับมือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเขาต้องการลดจะสามารถลดได้เลย ขณะเดียวกัน เราพยายามบอกเขาว่าให้หาทางคลี่คลาย ลดความรุนแรง เพราะสิ่งที่ออกมาเป็นข่าว ทั้งความเสียหายและการล้มตายไม่เป็นประโยชน์ต่อทั้งเมียนมาและอาเซียน รวมถึงไทยด้วย เพราะจะบานปลายกันไป เมื่อบานปลายแล้วจะเป็นความเสียหายที่ใหญ่ บางครั้งใหญ่เกินกว่าที่จะรับได้ด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าเหตุการณ์ในเมียนมาไม่มีใครอยากให้เป็น แต่เมื่อหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก เกี่ยวข้องกับอำนาจ ฐานะของประเทศ หลายอย่างไม่สามารถหยุดได้เร็วอย่างที่คิด

เมื่อถามว่า มีข่าวว่าเมียนมาจะปิดสนามบิน คนไทยยังสามารถเดินทางกลับมาได้หรือไม่ นายดอน กล่าวว่า ปัจจุบันยังเปิดและยังเดินทางได้อยู่

ป.ป.ส. – UNODC ผนึกกำลังควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทย

วันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564 พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (รอง เลขาธิการ ป.ป.ส.) พร้อมด้วย นายเจเรมี ดักลาส ผู้แทนจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก เป็นประธานในการเปิดประชุมหน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมายด้านการควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานภาคีที่มีหน้าที่กำกับดูแลควบคุมการใช้สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ระหว่างวันที่ 30 – 31 มีนาคม 2564 

โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยเข้าร่วมประชุม ได้แก่ สำนักงาน ป.ป.ส.  กรมศุลกากร กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมการค้าภายใน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) กองบัญชาการกองทัพไทย กรมการค้าต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ที่ถูกนำไปใช้ในการผลิตยาเสพติดในระดับภูมิภาค และหารือเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรคเพื่อร่วมกันหาแนวทางในการพัฒนาการควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทย ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพมหานคร  

พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า  “การประชุมในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการประชุมที่มีความสำคัญที่ทุกหน่วยงานจะได้แลกเปลี่ยน และร่วมรับฟังปัญหา อุปสรรคในการทำงานของทุกหน่วยงาน ว่ามีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง อันจะส่งผลต่อการควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมุ่งหวังว่าการประชุมนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และทราบถึงแนวโน้มกฎหมายการควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ตลอดจนสามารถประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานได้ 

โดยสำนักงาน ป.ป.ส. จะนำผลจากการประชุมในครั้งนี้ ไปจัดทำเป็นกรอบการทำงานด้านการควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ของประเทศไทย และสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาความร่วมมือ ในการควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ของประเทศไทย และกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ต่อไป

‘สมยศ - ไผ่ - หมอลำแบงค์’ รับปากศาลหากได้ประกันตัวจะไม่พูดพาดพิงสถาบันฯอีก ด้านหมอลำแบงค์ บอกเพิ่ม ‘เลิกชุมนุม - ยุ่งการเมือง - ขอติดกำไลEM’ ส่วน ‘รุ้ง’ เสียงสั่น โอดกระทบเรียน - สอบ จ่ออดอาหารประท้วงตาม ‘เพนกวิน’

ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานคดีหมายเลขดำ อ.287/2564 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้อง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน กับพวกรวม 22 คน แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร เป็นจำเลย ในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตาม ป.อาญา ม.112, ยุยงปลุกปั่นฯ ม.116 และข้อหาอื่นๆ จากกรณีร่วมกันชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19 - 20 ก.ย.63 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ - สนามหลวง โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวจำเลยซึ่งถูกคุมขังไม่ได้รับการประกันตัวมาศาล ส่วนจำเลยที่ได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาลครบ

ทั้งนี้สาระสำคัญตามรายงานกระบวนพิจารณาได้เผยถึง นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข จำเลยที่ 4 ว่า เนื่องจากจำเลยที่ 4 ไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว ทำให้ไม่อาจหาพยานหลักฐานมาต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ และไม่สามารถตรวจดูพยานหลักฐานโจทก์ได้โดยละเอียด เกรงว่าหากไม่ได้รับโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ จะเป็นเหตุให้ตนไม่ได้รับความยุติธรรม หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะไม่ ‘พูดพาดพิงเกี่ยวกับสถาบันฯ อีก’

ขณะที่ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง จำเลยที่ 5 แถลงว่า ขณะนี้กำลังศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะสังคมและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ การถูกคุมขังในระหว่างพิจารณา โดยไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นอุปสรรคต่อการเรียนและสอบ ทำให้ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษา ทั้งเป็นเหตุให้ไม่อาจตรวจดูพยานหลักฐานของโจทก์ และหาพยานหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ ทั้งขาดโอกาสในการปรึกษาทนายความเพื่อจะต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ ขอศาลพิจารณาเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อให้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ น.ส.ปนัสยา ยังระบายความอัดอั้นตันใจต่อศาล ขอโอกาสได้รับการประกันตัวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ถ้าไม่ได้รับการประกันตัว ‘จำเป็นจะต้องอดอาหารประท้วงเป็นเพื่อนเพนกวิน’

ส่วน นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ จำเลยที่ 7 แถลงว่า หากได้รับการปล่อยชั่วคราว ‘จะไม่พูดกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อีก’

นอกจากนี้ นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ จำเลยที่ 3 แถลงว่า หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ‘จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองและพูดพาดพิงสถาบันฯ อีกอย่างเด็ดขาด’ โดยจะไปประกอบอาชีพร้องหมอลำเพื่อหาเลี้ยงชีพต่อไป ทั้งยินดีที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) การวางเงื่อนไขห้ามออกนอกเขตกำหนด หรือการวางเงื่อนไขห้ามยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุม และจะมาศาลทุกนัด หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือไม่มาศาลนัดหนึ่งนัดใด ก็ยินดีที่จะให้ศาลถอนประกัน

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำแถลงของจำเลยที่ 3 กรณีมีข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป โดยจำเลยที่ 3 มีการเสนอเงื่อนไขที่จะไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมพูดพาดพิงถึงสถาบันฯ หากได้รับการปล่อยชั่วคราว ยินยอมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการติดเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) หรือห้ามออกนอกเขตกำหนดและจะมาศาลตามนัดทุกนัด จึงบันทึกไว้เพื่อประกอบดุลพินิจในการปล่อยชั่วคราว

.

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/politics/834050


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

กลาโหมฯ จัดกิจกรรมช่วยเหลือประชาชน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม พร้อม นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมให้กำลังใจกำลังพลและข้าราชการที่บริจาคโลหิต

พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานในการจัดกิจกรรมการช่วยเหลือประชาชน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ 134 ปี  ณ บริเวณลานภูธเรศ ชุมชนแพร่งภูธร โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ชุมชนโดยรอบศาลาว่าการกลาโหมเข้าร่วมกิจกรรม สำหรับการจัดกิจกรรม ประกอบด้วย การบริจาคโลหิตสำหรับประชาชนในชุมชน

การบริการตัดผมให้กับประชาชน การมอบยาสามัญประจำบ้าน การมอบถังดับเพลิง และดวงไฟส่องสว่าง การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับสุนัขและแมว การสาธิตการทำเจลล้างมือ โดยวิทยากรจิตอาสา 904 การมอบถุงยังชีพให้กับผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ชุมชน ซึ่งปลัดกระทรวงกลาโหมได้เดินมอบตามบ้านให้กับผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงด้วยตนเอง  นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรีอีกด้วย 

ซึ่งกิจกรรมการช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ให้ชุมชนในพื้นที่โดยรอบศาลาว่าการกลาโหม ได้รับทราบถึงความเป็นมา และความสำคัญของวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม รวมถึงได้รับทราบถึงความรักความห่วงใยที่มีร่วมกัน ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กับประชาชนโดยรอบศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งจะก่อให้เกิดความรักความสามัคคี และความสัมพันธ์อันดีระหว่างทหารกับชุมชนต่อไป

และในวันเดียวกันสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ 134 ปี เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ณ ห้องพินิตประชานาถในศาลาว่าการกลาโหมซึ่งกิจกรรมดังกล่าว มี คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางมาให้กำลังใจกำลังพลและข้าราชการของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ร่วมบริจาคโลหิต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top