Friday, 25 April 2025
Hard News Team

‘รมว.คมนาคม’ แบ่งงาน รมช.คนใหม่ คุม 4 หน่วยงาน ขบ. - ทย. - สบพ. - โรงแรมสุวรรณภูมิ

วันที่ 31 มีนาคม 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2546 ได้ลงนามออกคำสั่งกระทรวงคมนาคม ที่ 183/2564 เรื่อง มอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทุ้งนี้ ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมนั้น

ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารราชการของกระทรวงคมนาคม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ.2550 จึงให้ยกเลิกคำสั่งที่ 429/2563 ที่ได้สั่ง ณวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เรื่อง มอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กำกับดูแลและปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และให้ใช้ดำสั่งนี้แทน

ทั้งนี้ มอบอำนาจให้นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ให้มีอำนาจในกำกับดูแล และปฏิบัติราชการแทนโดยทั่วไป ยกเว้นการบริหารงานบุคคล การอนุมัติงบประมาณ การอนุมัติ การอนุญาต การออกใบอนุญาตใดๆ ที่เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งใด หรือมติของ ครม. สำหรับงานของส่วนราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ประกอบด้วย

1.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)
2.) กรมท่าอากาศยาน (ทย.)
3.) สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.)
4.)บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด
5.)งานตอบกระทู้ถามในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและที่ประชุมวุฒิสภา

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ในการกำกับดูแล และปฏิบัติราชการแทน ที่ได้รับมอบอำนาจนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อาจมอบอำนาจการอนุมัติ อนุญาต การออกใบอนุญาตใดๆ หรือการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการอื่น ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งใด หรือมติของ ครม. อันอยู่ในอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้แก่รัฐมนตรีช่วยการการกระทรวงคมนาคมได้ โดยทำเป็นหนังสือ ขณะที่บรรดาเอกสารใด ๆ ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้สั่งหรือลงนามในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทน ให้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อทราบในโอกาสแรก

นอกจากนี้ ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาเห็นว่า เรื่องใดเป็นเรื่องนโยบายของรัฐบาลหรือมีผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาล หรือผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนและความไม่ยุติธรรมแก่ประชาชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสามารถสั่งการในเรื่องนั้นได้โดยตรง อีกทั้งในกรณีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ อำนาจในการกำกับดูแลและปฏิบัติราชการแทนให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรวมถึงในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับมอบอำนาจนี้ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ยึดมั่นในระเบียบกฎหมาย และหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2556 นอกจากนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 รวมทั้งหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด

จักษุแพทย์ชี้!! ฝังตะกรุดทองในเปลือกตา ช่วยเสริมเสน่ห์ เมตตามหานิยม เสี่ยงอันตรายถึงขั้นตาบอดได้ ด้านหลวงพี่ ‘เบรกแล้ว’ พร้อมอ้างแค่วางไว้ที่เปลือกตาล่าง ไม่ได้ฝังในดวงตาหรือเนื้อตา

จากกรณีโซเชียลมีการแชร์เรื่องการลงสาริกาตาหวานจากวัดแห่งหนึ่ง ในพื้นที่อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้น และกลายเป็นกระแสของความอันตรายในการนำตะกรุดทองแท้ไปฝัง

ล่าสุดพระพิพัฒน์กิจจาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดนายกวรรังสรรค์ (เขาดิน) อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าคณะอำเภอบางปะหัน เผยว่า ได้ทราบเรื่องจากลูกศิษย์ และได้มีการโทรไปพูดคุยกับ พระจิรพงษ์ กาญจนวิมาน หรือ ‘หลวงพี่เลี้ยง ธีรวโร’ แล้ว ถึงกรณีที่บนโลกโซเชียลได้มีการแชร์คลิปการฝัง ‘ตะกรุดทองแท้’ ไว้บริเวณเปลือกตาล่าง เรียกว่า ‘สาริกาตาหวาน' ซึ่งเชื่อว่าสามารถเรียกโชค เรียกทรัพย์ และเพิ่มเสน่ห์ได้นั้น

เบื้องต้นได้รับทราบว่า เป็นเพียงการวางไว้บริเวณเปลือกตาล่าง และให้นำออกได้ตามสะดวก แล้วนำไปเลี่ยมใส่กรอบบูชา โดยวัสดุที่ทำคือทองแท้ 100% ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ไม่มีการฝังไว้กับดวงตาหรือเนื้อตาแต่อย่างใด

หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่วัดจอมเกษ ต.ขยาย อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อพบกับพระครูปราโมทย์ปิยธรรม เจ้าอาวาสวัดจอมเกษ ซึ่งเผยว่า ขณะนี้พระอาจารย์เลี้ยง ไม่อยู่ ไปกิจนิมนต์ที่ต่างจังหวัด ส่วนที่สำนักสักยันต์ได้มีการสั่งให้หยุดพิธีกรรมต่างๆ แล้ว

นอกจากนี้ ยังมีการชี้แจงอีกว่า จากกระแสข่าวที่เด็กนำไปไว้ในดวงตาแล้วนำไปลงโชเชียลนั้น มีการผิดเพี้ยน เนื่องจากวิธีขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมนั้น พระอาจารย์เลี้ยง ได้แค่ใส่ไว้ที่เปลือกตา และให้นำออกมาใส่กรอบบูชา โดยก่อนทำก็จะมีการต้มและแช่แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อก่อนทุกครั้ง ส่วนเรื่องของพุทธคุณนั้น เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของแต่ละคน

ด้านนายธนภาค ทับทิมทอง อายุ 43 ปี กำนันตำบลขยาย กล่าวว่า ชาวบ้านในพื้นที่เคารพ และศรัทธา พระอาจารย์เลี้ยง ตั้งแต่พระอาจารย์เลี้ยง มาอยู่ที่วัดจอมเกษ 20 ปี ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย มีแต่พัฒนาวัดให้เจริญ ช่วยเหลือชุมชน และชาวบ้านมาตลอด ช่วยเหลือโรงเรียน จนกระทั่งมีเป็นข่าว ชาวบ้านรู้สึกไม่สบายใจ และอยากให้คนที่วิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลหยุดคอมเมนต์ในสิ่งที่รู้ไม่จริง เพราะทำให้วัดเสื่อมเสีย

ที่มา: https://mgronline.com/local/detail/9640000030483


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ซีพี ออลล์ ผุดปั๊มชาร์จไฟฟ้า 100 แห่งในสาขาร้าน 7-ELEVEN เสริมแรงแนวคิด Green Building ตามแนวทางนโยบาย 7 Go Greenในปี 64

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล กรรมการผู้จัดการ (ร่วม) บมจ.ซีพี ออลล์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนผลักดันการติดตั้งโครงการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าข้างร้านสะดวกซื้อ7-ELEVEN ให้ได้ถึง 100 สาขาภายในปีนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Green Building ตามแนวทางนโยบาย ‘7 Go Green’

โดยแนวทางดำเนินงานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมภายใต้นโยบาย 7 Go Green ของปี 64 นี้ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ Green Building, Green Store, Green Logistic และ Green Living เพื่อลดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปีนี้รวม 128,426 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tC02e) หรือเปรียบเทียบการปลูกต้นไม้ยืนต้นจำนวน 347,648 ต้น จากปีก่อนสามารถลดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 120,031 ตัน หรือเทียบกับการปลูกต้นไม้ยืนต้นจำนวน 332,681 ต้น

Green Building เป็นการออกแบบและบริหารจัดการร้านอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะมุ่งเน้นการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมการปรับปรุงระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในร้าน 7-ELEVEN ภายใต้กลยุทธ์ร้านเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปรับปรุงประสิทธิภาพคอยล์เย็นสำหรับตู้แช่เย็นขนาดใหญ่, ใช้เครื่องปรับอากาศประเภท Inverter, ใช้หลอดไฟ LED, สำรวจและติดตามสภาพอากาศภายในร้านฯ, ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์, ปรับปรุงระบบทำความเย็นของตู้แสดงสินค้าชนิดไร้บานประตูเป็นแบบรวมศูนย์, Knockdown Store นำวัสดุเปลือกอาคารกลับมาใช้ใหม่ ขยายการติดตั้งปีละ 200 สาขา

นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า CPALL ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานทดแทนได้ 82,987,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกได้ 40,248 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tC02e) หรือเปรียบเทียงการปลูกไม่ยืนตันจำนวน 111,554 ต้น

Green Store เป็นโครงการด้านการจัดการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม หวังลดปริมาณขยะพลาสติกผ่านแนวคิด “ลด และ ทดแทน” โดยพิจารณาตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบและการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์คำนึงถึงทุกกระบวนการในวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ การหาวัสดุจากแหล่งทรัพยากรที่สามารถทดแทนได้ และสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reusable) หรือนำมาใช้ใหม่ (Recyclable) หรือสามารถย่อยสลายได้ (Compostable)

ได้แก่ การจัดการบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยได้เริ่มใช้ฝายกดื่มไม่พึ่งหลอด ตั้งแต่เดือน เม.ย.63 ในร้าน AI Cafe จำนวน 8,492 สาขาทั่วประเทศ และใช้แก้วรักษ์โลก หรือ กระดาษที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ สำหรับเครื่องดื่มร้อน -เย็น ในร้าน7-ELEVEN ทั่วประเทศ เริ่มใช้ตั้งแต่ปี ธ.ค.62 ปัจจุบันใช้แก้วรักษ์โลกในร้านสาขาพื้นที่เกาะ สถานศึกษา และ สำนักงาน รวมกว่า 874 สาขา

โครงการการลดใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastic) โดยการลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งและใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติทดแทน ได้แก่ ไม้คนกาแฟ ถุงกระดาษ และ กระดาษหุ้มหลอด เป็นตัน, การขับเคลื่อนโครงการ 7 Go Green ในพื้นที่เกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์พื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รณรงค์ให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมและมีความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ นำไปสู่การสร้างพฤติกรรมใหม่ให้เกิดแนวคิดท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์, โครงการเสื้อพนักงานที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล โดยการนำขวดพลาสติกมารีไซเคิลเป็นเสื้อ และโครงการใบเสร็จรับเงิน / ใบกำกับภาษีเต็มรูป แบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรณรงค์ในการลดใช้กระดาษ เป็นตัน

อย่างไรก็ตาม ในปี 64 CPALL ตั้งเป้าการลดปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจำนวน 10,813 ตัน, ลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจก 80,921 ตันคาร์บอนไดออกไชด์เทียบเท่า (tc02e) หรือเปรียบเทียบการปลูกไม้ยืนต้น จำนวน 224,283 ต้น

Green Logistic CPALL ได้ดำเนินงานด้านการขนส่งและการกระจายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการจัดการพลังงานผ่านโครงการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขนส่งและออกแบบศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊ซเรือนกระจก ภายใต้กลยุทธ์ ‘โลจิสติกส์เพื่อสิ่งแวดล้อม’

CPALL ได้นำหลักเกณฑ์สำหรับการประเมินอาคารสีเขียว (Leadership in Energy & Environmental Design: LEED) เป็นหลักเกณฑ์ที่ใช้การพัฒนาและออกแบบศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ ปัจจุบันมีทั้งหมด 20 แห่งใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ และได้ติดตั้งแผง Solar Cell เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วประเทศ อีกก็อยู่ระหว่างศึกษาพัฒนารถขนส่งไฟฟ้า ร่วมกับพันธมิตรเพื่อนำมาใช้ขนส่งสินค้าให้กับร้าน7-ELEVEN เพื่อลดการใช้พลังงาน และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จากปัจจุบันมีรถขนส่งรวมทั้งสิ้น 7,000 คัน และมีการขนส่ง 2 เที่ยวต่อวัน

โดยในปี 64 CPALL ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานทดแทนได้ 8,786,280 กิโลวัตต์ ชั่วโมง (kWh), ลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกได้ 4,261 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tc02e) หรือเปรียบเทียบการปลูกไม้ยืนต้นจำนวน 11,810 ต้น

Green Living CPALL ได้สานต่อโครงการ ‘ลดและทดแทน’ ภายใต้แนวคิด ‘ปลูกจิตสำนึกเพื่อสิ่งแวดล้อม’ โดยการรณรงค์และเชิญชวนลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม และคำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนแนวคิดหลัก เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy โดยล่าสุดจัดให้มีโครงการ ‘ถังคัดแยกขยะ’ เพื่อรณรงค์ให้คนไทยช่วยกันคัดแยกขยะพลาสติก เพื่อนำขยะพลาสติกเข้าสู่กระบวนการ แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy อย่างยั่งยืน

สำหรับในส่วนของการขยายปั๊มชาร์จรถไฟฟ้าในสาขา 7-ELEVENนั้น หากพิจารณาจากจำนวนสาขาในไทยที่มีอยู่มากกว่า 12,000 สาขา ดูเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากหากซีพี ออลล์ คิดทำให้สถานีชาร์จรถไฟฟ้าเข้าไปอยู่ในสาขาอื่นๆ ที่มีพื้นที่รองรับได้พอสัก 10-20% รวมถึงหากใช้โมเดลธุรกิจค้าปลีกของเครือซีพี ก็ยังมี ‘แม็คโคร’ และ ‘โลตัส’ เสริมอีกทาง ก็น่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเมืองไทยเติบโตได้อีกไม่น้อย

ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2021/74406


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

“วิษณุ” แจง ประมวลจริยธรรม ขรก.การเมือง แตกต่างจากลงโทษ ส.ส. เปรียบมาตรฐานชี้วัดความผิดอะไรทำได้หรือไม่ได้ ก่อนส่งไปจัดการตามกม.ที่เกี่ยวข้อง

วันที่ 31 มีนาคม 2564 นายวิษณุ เครืองาม กล่าวถึง สาระสำคัญ ภายหลัง ครม.เห็นชอบร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ว่า สืบเนื่องมาจากเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา มี พ.ร.บ. มาตรฐานทางจริยธรรมเป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญ 60 กำหนด ซึ่งกำหนดว่าให้มีคณะกรรมการมาตรฐานจริยธรรมเพื่อกำกับกับสอดส่องให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภทไปจัดทำประมวลจริยธรรมของตัวเองขึ้น ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งดูแลข้าราชการประมาณ 3 แสนคน ไปจัดทำประมวลจริยธรรมของข้าราชการพลเรือนซึ่งขณะนี้ยังไม่เสร็จ ยกตัวอย่างครู ก็ต้องไปทำประมวลจริยธรรมครู ซึ่งขณะนี้กำลังทำอยู่ ซึ่งทั้งหมดที่กำลังทำอยู่จะต้องเสร็จในวันที่ 6 เมษายน 2564

นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนข้าราชการการเมือง ครม. จะเป็นผู้จัดทำประมวลจริยธรรม โดย ครม.ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฎีกาเป็นผู้ทำ ซึ่งฉบับเมื่อวันที่ 30 มีนาคม เป็นของข้าราชการการเมือง ที่ สำนักงานคณะกรรมการกฎีกา ทำแล้วเสร็จ โดยข้าราชการการเมืองคือผู้มีตำแหน่ง ตามที่กฎหมายระเบียบข้าราชการการเมืองกำหนดไว้ ไล่ตั้งแต่ นายกฯ รองนายกฯ จนถึง เลขานุการรัฐมนตรี และ ผู้ช่วยรัฐมนตรี แต่ไม่รวม ส.ส. และ ส.ว. เพราะคนเหล่านี้ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง แต่ส.ส.และ ส.ว. มาตรฐานจริยธรรมต่างหาก ซึ่งรัฐธรรมนูญแยกออกมา โดยการกำหนดให้องค์กรอิสระทั้งหลายรวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้จัดทำเพื่อใช่เป็นประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระทั้งหลาย เช่น กกต. ป.ป.ช. และ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นต้น ซึ่งรวมถึง ครม. ส.ส. และ ส.ว.ด้วย โดยจัดทำเสร็จมาและประกาศใช้แล้วมา 2 ปี

ผู้สื่อข่าวถามว่า โทษของข้าราชการการเมืองเหมือนกับ ส.ส. หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เหมือน เพราะจะไล่ไปตามกฎหมายของตัวเอง ประมวลจริยธรรมจะบอกแค่เรื่องมาตรฐานในความประพฤติ และ ปฏิบัติเท่านั้นว่าพึงกระทำอะไร และ พึงละเว้นอะไร แต่กรณีที่มีการฝ่าฝืนเกิดขึ้นจะไล่ไปใช้กฎหมายต่างๆเช่น ข้าราชการการเมืองจะมีจริยธรรมตามประมวลที่เข้าครม.เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา แต่หากฝ่าฝืนต้องไปดูว่าผู้กระทำฝ่าฝืนมีตำแหน่งอะไร เช่น เลขานุการรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรี กรณีนี้ใช่วิธีปรับครม.เอาออก และ ตั้งคณะกรรมการสอบ เป็นการไล่ไปใช้กฎหมายอื่น ส่วนความผิดอาญาก็ไปที่ ป.ป.ช. หรือไปที่ตำรวจ ดังนั้นอย่ามาดูว่าไม่เห็นบอกว่าผิดอะไรแล้วทำอย่างไร แต่บอกว่าทำอย่างไรเรียกว่าผิด  แค่นี้ก็มีสะพานจะเดินอีกเยอะแล้ว ส่วนข้อห้ามตามร่างประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง ขอให้ไปดูรายละเอียด ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้มีประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า มีตามรัฐธรรมนูญฉบับเก่า ก็เลิกไปแล้ว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาระสำคัญ ของร่างประมวลจริยธรรมร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ...มีสาระสำคัญดังนี้ 

1.) กำหนดนิยามคำว่า ข้าราชการการเมือง หมายความว่า ข้าราชการการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง และให้หมายความรวมถึงกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีด้วย 

2.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหาษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

3.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสำนึกที่ดีและรับผิดชอบต่อหน้าที่  

4.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องกล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม 

5.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม และมีจิตสาธารณะ 

6.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน โดยต้องดำรงตน ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

7.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ

8.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ

"วิษณุ" ย้ำคำบิ๊กตู่ อย่าให้ พ.ร.บ. ประชามติ พลาดอีก พร้อมปัด! ถกเตรียมขึ้นภาษีVAT ชี้ ต้องดูจังหวะเวลา

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายกรัฐมนตรีกำชับ ให้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลให้ความสำคัญต่อ การพิจารณาร่างกฎหมายในสภาว่า นายกรัฐมนตรีหมายถึงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. การออกเสียงประชามติ ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ห่วงแค่จะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะถึงอย่างไรก็ผ่านอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ ถ้าผ่านแล้ว ไม่ได้เป็นไปตามร่างที่รัฐบาลเสนอไว้ ซึ่งได้พิจารณามาโดยรอบคอบ และหากโหวตแพ้เพียง 4-5 คะแนน ก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าสภาไม่พร้อม

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำในที่ประชุม ครม. ถึงกรณี การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยยืนยันว่าเดินหน้าแก้ไขใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี พูดในที่ประชุม ครม. ว่ารัฐบาลเสนอให้เดินหน้าต่อไป ขอให้ไปคิดแนวทางกันให้ตกผลึก และให้นำกลับมาบอก ให้ทราบ เมื่อถามต่อว่า หากตกผลึกแล้ว รัฐบาลไม่ขัดข้องที่จะเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่กล้าแปลเป็นอย่างอื่นเพราะนายกฯพูดเพียงเท่านี้ พวกคุณก็จ้องกันอยู่เรื่อย

นอกจากนี้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าในที่ประชุมครม เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา มีการพิจารณา เรื่องการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ว่าไม่มีการพิจารณาและไม่มีใคร พูดถึงเรื่องดังกล่าว เมื่อถามว่า การจัดเก็บภาษี ของไทยลดลงน้อยมากจริงหรือไม่ และส่งผลกระทบต่องบประมาณหรือไม่นายวิษณุกล่าวว่า ขอให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ทางด้านภาษีน่าเป็นห่วงหรือไม่ ทางนายวิษณุ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม พร้อมย้อนถามกลับว่าอยากให้ขึ้นอย่างนั้นหรือ เขาก็ต้องดูจังหวะเวลา เพราะจากเดิม ประกาศให้จัดเก็บภาษีที่ 10% แต่ลดลงมาเหลือ 7% และพอคิดจะขึ้น ในครั้งใดก็มักจะเจอปัญหา เช่นครั้งนี้เจอกับ covid-19 และสภาพเศรษฐกิจ ฟองสบู่แตกบ้าง

สั่งปูพรมตรวจร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มีมาตรฐาน

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตั้งทีมลงตรวจค้นร้านจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ ป้องกันการลักลิบขายสินค้าไม่มีคุณภาพ โดยต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเลือกซื้อสินค้าอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานผ่านการตรวจสอบรับรองจาก สมอ.แล้ว 

ขณะเดียวกันยังต้องการแจ้งเตือนประชาชนที่สั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ ที่กำลังเป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน ให้ดูเครื่องหมายมาตรฐานที่รับรองคุณภาพสินค้าก่อนซื้อทุกครั้ง เพราะสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินในวงกว้าง

นายวันชัย กล่าวว่า ล่าสุดได้ตรวจสอบร้านค้าย่านศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์ 3 คูหา 5 ชั้น โดยชั้น 1 เปิดเป็นร้านจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ส่องสว่าง ชั้น 2 - 5 เป็นแหล่งพักเก็บสินค้าอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบโคมไฟ หลอดไฟ อุปกรณ์แปลงไฟ และสายไฟฟ้าไม่มีเครื่องหมาย มอก. จำนวน 142 รายการ กว่า 60,000 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท

“เทพไท" ฟังธง 3 ทางออกของ พรบ. ประชามติ ที่รัฐบาลจำใจเลือก

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญวันที่ 7 - 8 เมษายน เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประชามติ ที่กำลังพิจารณาค้างคาอยู่ ว่า หลังจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประชามติ ในมาตรา 9 และมีการลงมติแพ้โหวตให้แก่คณะกรรมาธิการวิสามัญเสียงข้างน้อย ทำให้รัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภาเสียหน้า และไม่สามารถที่จะเอาคืนได้ แม้จะพยายามที่จะเสนอทบทวนให้ลงคะแนนใหม่ ในมาตรา 9 แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นผล จึงจำเป็นให้การพิจารณา พรบ. ประชามติต้องนำเดินหน้าต่อไป 

สำหรับทางออก หรือจุดจบของพรบ.ประชามติฉบับนี้ น่าจะมีอยู่ 3 แนวทางคือ

1.) เมื่อพิจารณา พรบ.ประชามติ ในวาระ 2 เสร็จสิ้นแล้ว ก็จะลงมติคว่ำร่าง พรบ.ฉบับนี้ในวาระ3 ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะ พรบ.ประชามติ เป็นกฎหมายสำคัญ ที่เสนอโดยรัฐบาล ถ้ากฎหมายฉบับนี้ถูกคว่ำไป รัฐบาลจะต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง โดยการยุบสภาหรือลาออกเท่านั้น

2.) เมื่อที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา พรบ.ประชามติ ฉบับนี้เสร็จสิ้นแล้ว ก็จะมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อตีความว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่  และมีความเป็นไปได้สูง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ จะทำให้ พรบ.ประชามติ ตกไป จะมีผลกระทบต่อการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ต้องล่าช้าออกไป

3.) มีมติผ่านวาระ3ไปก่อน เมื่อมีการประกาศใช้พรบ.ประชามติฉบับนี้แล้ว รัฐบาลก็จะรีบเสนอ พรบ.แก้ไขในทันที ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาแบบศรีธนญชัย ซึ่งจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างกว้างขวางแน่นอน

ผมเห็นว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะเดินหน้า พรบ.ประชามติ ในแนวทางไหนก็ตาม ความเสียหายทางการเมือง ก็จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร ที่จะสร้างความเสียหายทางการเมืองให้กับรัฐบาลน้อยที่สุด

“ธนกร” เชื่อ ศาลปกครอง ให้ความเป็นธรรม ปม “ยิ่งลักษณ์” ฟ้อง “บิ๊กตู่” พร้อมขอให้เพิกถอนคำสั่งชดใช้ 3.5 หมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีกับพวกรวม 9 คน และขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ให้ นางสาวยิ่งลักษณ์  ในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในขณะนั้น ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 35,000 ล้านบาท ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่ เป็นเหตุให้กระทรวงการคลัง ได้รับความเสียหาย 

ซึ่ง ศาลปกครองกลาง ได้นัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 2 เมษายน 2564 เวลา 9.00 น.นี้ จึงขอให้เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม อย่าไปก้าวล่วง และระวังอย่าไปละเมิดอำนาจศาลที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกคนเสมอ หากมีความพยายามที่จะแทรกแซงก็จะเป็นเหมือนกรณีคดีในอดีต ที่ทนายความบางคนซึ่งพยายามแทรกแซงถูกตัดสินให้จำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ในคดีถุงขนม 2 ล้านบาท ที่เป็นตัวอย่างของการละเมิดศาล ซึ่งเอาไว้เตือนใจให้กับคนที่คิดจะทำไม่ดีได้เป็นอย่างดี

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนที่นายมนัส สร้อยพลอย นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง นายทิฆัมพร นาทวรทัต นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และ นายภูมิ สาระผล ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง ต่อศาลปกครองกลาง ที่ให้ทั้ง 5 คน ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ 

ต่อมาศาลมีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา เพราะเห็นว่าผู้ฟ้องทั้ง 5 แบ่งหน้าที่ในลักษณะจงใจทำให้เกิดความเสียหายในโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกว่า 20,000 ล้านบาท ไม่อาจขายข้าวสอดคล้องกับการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ มีการส่งมอบหน้าคลังสินค้า ทำให้มีการนำข้าวหน้าคลังมาเวียนขายในประเทศ เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม คำสั่งที่ให้ชดใช้สินไหมทดแทน 20 เปอร์เซ็นต์ของความเสียหายรวมเกือบ 15,000 ล้านบาท จึงชอบแล้ว

ดร.พิมพ์รพี แนะ มท. ทบทวนคำสั่งห้ามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดหาวัคซีนเอง หวังเพิ่มทางเลือกปชช. - ลดภาระรัฐฯ ชี้! เอกชนพร้อมจ่าย เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ ปชช. ดึงดูดนักท่องเที่ยว เปิดประเทศอย่างเป็นระบบ จี้ รัฐเร่งวางแผนร่วมเอกชน หวั่นยิ่งช้า ยิ่งเสียโอกาส

ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขการเปิดประเทศ นำร่องที่ภูเก็ต เริ่มวันที่ 1 เมษายนนี้ ว่า ถือว่ารัฐบาลเริ่มเดินมาถูกทางแล้ว ที่เริ่มมีการเปิดประเทศอย่างเป็นระบบ แต่ที่อยากให้เร่งรัดดำเนินการให้เร็วคือ แผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งควรเร่งนำเข้ามากระจายให้เอกชน ที่พร้อมจะแบ่งเบาภาระด้านงบประมาณให้กับรัฐบาล พร้อมควักเงินตัวเองร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฉีดวัคซีนให้กับประชาชน

โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะกระทรวงมหาดไทยมีหนังสือห้ามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีน ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น เป็นการสูญเสียโอกาสที่ประชาชนจะได้ฉีดวัคซีนเร็วขึ้น และยังตัดทางเลือกวัคซีนของประชาชนด้วย  ซึ่งจะช่วยลดภาระรัฐบาลกลางได้ด้วย จึงอยากให้มีการทบทวนหนังสือฉบับดังกล่าว เปิดทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนมาบริหารจัดการภายในจังหวัดตัวเองได้ 

“ดิฉันคิดว่ารัฐต้องหยุดผูกขาดวัคซีนโควิด-19 แต่ควรหารือร่วมกับภาคเอกชน กำหนดแผนกระจายวัคซีนในส่วนของภาคเอกชนให้ชัดเจน คู่ขนานไปกับแผนเดิมของรัฐบาลที่จะฉีดวัคซีนฟรีให้กับประชาชนวางบทบาทเป็นผู้เจรจาแทนภาคเอกชน เพราะวัคซีนหลายยี่ห้อจะเจรจากับรัฐบาลเท่านั้น บางประเทศถึงขั้นใช้การฉีดวัคซีนเป็นจุดขายดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว ยิ่งช้าเท่าไหร่ เศรษฐกิจไทยก็ยิ่งเสียโอกาสเท่านั้น อย่าลืมว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเส้นเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยคิดเป็นร้อยละ 16-17 ต่อจีดีพี ถ้าวัคซีนยังล่าช้า การฟื้นเศรษฐกิจก็เป็นไปได้ยาก” ดร.พิมพ์รพี กล่าว

ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวลคือภาครัฐยังมีการประมาณการสถานการณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ดีเกินความจริง ไม่เว้นแม้กระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระบุตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้ว่าจะมีมากถึง 3 ล้านคน ซึ่งตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ตราบใดที่การเปิดประเทศยังล่าช้า การฉีดวัคซีนยังไม่ได้ตามเป้าหมาย  ล่าสุดมีการทำโกดังหนี้ช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นเรื่องดี แต่ปัญหาคือถ้าไม่รีบสร้างรายได้ให้เร็วที่สุด แม้มีโกดังเก็บหนี้แต่ผู้ประกอบการก็ไม่มีกำลังจ่ายหนี้อยู่ดี สุดท้ายก็ไปต่อไม่ได้อยู่ดี คนที่รอดทุกสถานการณ์กลายเป็นสถาบันการเงิน

“บิ๊กป้อม” ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าสะเมิง สั่งเข้มเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายพวกเผาป่า

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก ประจำ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รับทราบและแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ พร้อมกับชื่นชมและให้กำลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้และอุทยาน ฝ่ายปกครองและทหาร รวมทั้งส่วนราชการและอาสาสมัครในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่ร่วมกันควบคุมสถานการณ์ไฟป่าที่ลุกลามขยายเป็นวงกว้างในพื้นที่ อ.สะเมิงใต้ ต่อเนื่องที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ขอให้ยังคงเข้มเฝ้าระวังพื้นที่ไฟไหม้ป่า ที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลุกลามจากพื้นที่ที่ยังระอุใต้ดินและซากตอไม้ที่ยังไม่ดับ สำหรับพื้นที่ทางเหนือ ขึ้นไป 2 ไมล์ ซึ่งเป็นภูเขาสูงชันและกำลังเกิดไฟลุกไหม้ป่าขยายเป็นวงกว้าง  ขอให้ กองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า โดยการนำของ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้บูรณาการกำลังภาคพื้นและอากาศยานของกองทัพอากาศ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยให้ระมัดระวังอุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บและสูญเสียของเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ที่อาจเกิดขึ้นจากความอ่อนล้าในการปฏิบัติงานในพื้นที่เป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะเวลากลางคืน

พล.อ.ประวิตร ยังได้ย้ำ ขอให้เร่งสอบสวนสาเหตุการเกิดไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้น โดยขอให้ทำความเข้าใจและสร้างความร่วมมือกับประชาชนในพื้นที่โดยเน้นมาตรการป้องกัน  ทั้งนี้ต้องเข้มบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มบุคคลและนายทุนที่อยู่เบื้องหลังการบุกรุกแผ้วถางและเผาป่า เพื่อครอบครองพื้นที่ทำการเกษตรอย่างต่อเนื่องและจริงจัง  โดยถือเป็นความเห็นแก่ได้ ที่นำมาซึ่งความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ รวมทั้งสร้างปัญหามลภาวะหมอกควัน PM 2.5 กระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในภาพรวม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top