Saturday, 5 July 2025
Hard News Team

สำนักงานประกันสังคม แจง ไม่รับวอล์ค อิน ผู้ประกันตนมาตรา 33 เข้ารับวัคซีนโควิด-19 ย้ำ! ต้องลงทะเบียนผ่านระบบ e-service และได้รับแจ้งนัดฉีดวัคซีนจากนายจ้างเท่านั้น

นางสาวลัดดา แซ่ลี้ ผู้อำนวยการสำนักสิทธิประโยชน์ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานประกันสังคมเปิดเผยว่าตามที่ สปส. ได้เปิดให้บริการศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 45 จุดทั่วกรุงเทพฯ โดยร่วมกับสถานพยาบาลเครือข่ายประกันสังคมให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับผู้ประกันตน ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา มีเป้าหมายการฉีดวันละ 50,000 คน ปรากฏว่ามีผู้สอบถามและติดต่อเข้ามาจำนวนมาก รวมถึงผู้ประกันตนที่ไม่ได้ลงทะเบียน หรือลงทะเบียนไว้แต่ยังไม่ถึงกำหนดนัด ได้ walk in มาที่ศูนย์เพื่อขอรับบริการฉีดวัคซีน

สำนักงานประกันสังคมขอแจ้งให้ทราบว่า ศูนย์ฉีดวัคซีนฯ จะให้บริการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่แจ้งความประสงค์กับนายจ้าง มีการบันทึกเข้าระบบ e-service ของสำนักงานประกันสังคม และมารับการฉีดวัคซีนตามที่ได้รับการนัดหมายแล้วเท่านั้น โดยจะไม่ให้บริการฉีดวัคซีนแก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับการนัดหมาย หรือ walk in มายังศูนย์ฯ

รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม ชี้แจงต่อไปว่า กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้รับจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรกทั้งสิ้น 1 ล้านโดส จะใช้ฉีดให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่เป็นลูกจ้างสถานประกอบการในเขตกรุงเทพมหานครซึ่งสำนักงานประกันสังคมสำรวจความประสงค์ไว้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้แจ้งความประสงค์มามากเกินกว่าวัคซีนที่ได้รับจัดสรร

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอน ลดความแออัด และให้ผู้ลงทะเบียนได้รับวัคซีนตามลำดับอย่างครบถ้วน สำนักงานประกันสังคมจะทำการแจ้งนัดวันและสถานที่ฉีดให้นายจ้างทราบ และจัดให้ลูกจ้างมาฉีดตามกำหนดนัดหมายเท่านั้น อย่างไรก็ดีหากสำนักงานประกันสังคมได้รับจัดสรรวัคซีนล็อตที่สอง จะแจ้งให้ผู้ประกันตนที่นายจ้างลงทะเบียนไว้ในลำดับถัดไปมารับการฉีดวัคซีนเพิ่มเติม ซึ่งขอย้ำว่า จะไม่มีการเปิดให้ walk in เข้ารับการฉีดวัคซีน

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ติดต่อสายด่วน 1506 กด 7 เจ้าหน้าที่พร้อมให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ศ.ดร.กนก” แนะ 3 แนวทางใช้เงินกู้ 5 แสนล้าน ให้บริหารราชการแบบวิกฤติ-ทวนปัญหาจากเงินกู้ 1 ล้านล้าน-ห้ามพลาดเป้าใช้ให้ตรงจุด หวังฟื้นเศรษฐกิจฐานราก

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง พรก.เงินกู้ 500,000 ล้าน ที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ว่า เป็นความจำเป็นของรัฐบาลเพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชน ดังนั้นการใช้เงินกู้ก้อนนี้จึงจำเป็นต้องให้เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยตรง ซึ่งจะทำได้ในสามประเด็น คือ  

1.) รัฐบาลต้องไม่บริหารเงินกู้นี้แบบราชการปกติ แต่บริหารราชการแบบวิกฤติ ที่ต้องการความรวดเร็วทั่วถึง เป็นธรรม และโปร่งใส ต้องบริหารอย่างแม่นยำ รู้จริง ตรงเป้า 

2.) ทบทวนปัญหาและข้อผิดพลาดที่เกิดจากการใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องการจัดหาและบริหารการฉีดวัคซีน ที่ตอบคำถามไม่ได้ว่า ทำไมจึงได้วัคซีนช้า, ทำไมจึงได้วัคซีนเพียง 2 ยี่ห้อ, ทำไมบางจังหวัดจึงได้วัคซีนก่อนและมากกว่าจังหวัดอื่นๆ เป็นต้น ส่วนเรื่องการเยียวยาและช่วยเหลือประชาชน ทำไมจึงยุ่งยาก ไม่ทั่วถึง จนถึงทำไมกลุ่มเกษตรกร รัฐวิสาหกิจชุมชน และ SME ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของภาคธุรกิจฐานราก จึงไม่ได้รับการช่วยเหลือให้รักษาธุรกิจไว้ได้ คำถามเหล่านี้ควรนำไปสู่การประเมินและแก้ไข 

3.) การใช้เงินกู้ก้อนสุดท้ายนี้จะพลาดไม่ได้ เพราะจะชนเพดานเงินกู้ 60% ของ GDP แล้ว ต้องรักษาชีวิตและธุรกิจของประชาชนให้สำเร็จ โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก ถ้าเศรษฐกิจฐานรากอยู่ได้ ประเทศจึงจะอยู่รอด ดังนั้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและอาหารจึงเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ของประเทศและสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้รวดเร็ว

ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเร่งจัดหาวัคซีนให้มาก และเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างน้อย 45-46 ล้านคน โดยเร็วที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ทั้งประเทศ เราจะได้เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่อยากออกไปเที่ยวมากแล้ว คนไทยจะได้กลับมาประกอบอาชีพตามปกติได้ รัฐบาลต้องแสดงความสามารถให้เต็มที่ เพื่อรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ตามหลักการและเหตุผลของพรก.เงินกู้นี้คนไทยทุกคนเอาใจช่วย

รัฐบาลจีนไฟเขียว อนุมัติการใช้วัคซีน Sinovac ในกลุ่มเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 3-17 ปี ได้ในกรณีฉุกเฉิน หลังผ่านการทดสอบเฟส 2 ฉลุยในกลุ่มตัวอย่างเด็กเล็กว่ามีประสิทธิภาพ และปลอดภัยเพียงพอ

รัฐบาลจีนไฟเขียว อนุมัติการใช้วัคซีน Sinovac ในกลุ่มเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 3-17 ปีได้ในกรณีฉุกเฉิน หลังผ่านการทดสอบเฟส 2 ฉลุยในกลุ่มตัวอย่างเด็กเล็กว่ามีประสิทธิภาพ และปลอดภัยเพียงพอ พร้อมเดินหน้าฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กรอเพียงการประเมินจากทีมสาธารณสุขว่าจะเริ่มฉีดให้เด็กในช่วงอายุเท่าใดก่อน

รัฐบาลจีนสั่งเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีน Covid-19 ทั่วประเทศอย่างเต็มกำลัง ด้วยวัคซีนที่พัฒนาขึ้นเองจากบริษัทยาในประเทศ ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ 80% ของประชากร หรือราวๆ 1.12 พันล้านคน

ซึ่งตอนนี้จีนก็มีวัคซีนได้รับการรับรองจากรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการแล้วถึง 5 บริษัท ได้แก่ Sinovac, Sinopharm, Wuhan Institute ที่ต้องฉีด 2 เข็ม CanSinoBIO ฉีดเพียงเข็มเดียว และล่าสุดคือ Anhui Zhifei ที่ต้องฉีดถึง 3 เข็ม

ข้อได้เปรียบของวัคซีนจีนทั้งหมดนี้คือ สามารถเก็บได้ในตู้เย็นอุณหภูมิทั่วไปได้ จึงง่ายต่อการเก็บ และขนส่งทั้งใน และต่างประเทศ

รัฐบาลจีนยอมรับว่า โครงการฉีดวัคซีนของจีนในช่วงแรก ดำเนินการได้อย่างล่าช้ามาก มีปัญหาเรื่องการผลิต และกระจายวัคซีนได้ไม่เต็มที่ ส่วนประชาชนก็ยังวิตกกังวลกับการฉีดวัคซีน

แต่จนถึงวันนี้ มีชาวจีนได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มแล้วราวๆ 723.5 ล้านคน แซงขึ้นมาเป็นที่ 1 ของโลก ด้วยอัตราการฉีดวัคซีนเฉลี่ย 19 ล้านเข็มต่อวัน ซึ่งเร็วมากกว่าช่วงเริ่มต้นโครงการในเดือนเมษายนที่ฉีดได้เพียง 3.4 ล้านคนต่อวัน

หากเทียบความเร็วระดับนี้ จะสามารถฉีดวัคซีนเข็มแรกให้คนไทยอย่างน้อย 80% ทั่วประเทศได้ภายใน 3 วันเท่านั้น

จึงทำให้จีนค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถบรรลุเป้าหมายโครงการฉีดวัคซีนในประเทศได้ภายในไม่เกินสิ้นปี 2021 นี้อย่างแน่นอน

รวมถึงการผลิตวัคซีนจำนวนหลายพันล้านโดส ที่ต้องเพิ่มกำลังการผลิตออกมาได้อย่างรวดเร็วให้ทันกันกับโครงการของรัฐบาล และยังต้องมากพอที่จะส่งไปต่างประเทศอีกด้วย

และเมื่อพูดถึงความเร็วในระบบการผลิตของจีน ก็มักทึ่งในศักยภาพของจีน ที่แทบไม่มีใครสู้ได้เลย ไม่เว้นแม้แต่การผลิตวัคซีน ที่ยังสามารถผลิตได้ทันกับความต้องการในประเทศ ยังสามารถส่งวัคซีนให้ชาติอื่น ไม่ว่าจะขาย หรือเข้าโครงการทูตวัคซีนได้นับพันล้านโดสในเวลาเดียวกัน

จุดสำคัญที่ทำให้จีนยังสามารถขยายการผลิตวัคซีนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะที่อินเดีย ประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดในโลกทำไม่ได้ในวันที่อินเดียเผชิญหน้ากับวิกฤติ Covid-19 ครั้งใหญ่ที่สุดในโลกก็คือ จีนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสารเคมีตั้งต้นในการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศ ซึ่งต่างจากอินเดียที่ต้องใช้สารเคมีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ที่ตอนนี้กลายเป็นสินค้าควบคุมในการส่งออก เพื่อป้องโรงงานวัคซีนในสหรัฐก่อน

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้จีน ที่เคยทุลักทุเลในโครงการวัคซีนช่วงแรก สามารถตั้งหลักได้ และกลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของโลกในการผลิตวัคซีน Covid-19 ซึ่งตอนนี้ ทั้งบริษัทผู้ผลิตวัคซีนต่างก็เร่งขยายโรงงานผลิตอย่างรวดเร็วในหลายเมือง โดยเฉพาะผู้ผลิต 2 วัคซีนหลักที่ใช้ในจีน และได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกแล้ว อย่าง Sinovac สามารถผลิตได้ถึง 2 พันล้านโดสต่อปี ส่วน Sinopharm ก็มั่นใจว่า 3 พันล้านโดสต่อปีก็ไม่เกินความสามารถ

แต่ข้อเสียของจีนที่แก้ไม่หายคือเรื่องของความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล ที่ตอนนี้ก็ยังรู้ตัวเลขแน่นอนว่ามีชาวจีนกี่คนที่ได้รับวัคซีนครบโดส ตามจำนวนวัคซีนที่ต้องฉีดในแต่ละประเภท หรือจำนวนวัคซีนที่ได้ผลิตออกมาแล้วจริงๆ ในตอนนี้มีเท่าไหร่

หากจีนสามารถแก้ไขจุดเสีย ที่เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพในตัววัคซีน ก็น่าจะทำให้วัคซีนของจีนก้าวขึ้นมาทัดเทียมวัคซีนจากชาติตะวันตกได้ไม่ยากเลยทีเดียว

 

อ้างอิง :

https://www.reuters.com/world/china/sinovacs-covid-19-vaccine-gains-china-approval-emergency-use-children-2021-06-05

https://www.ndtv.com/world-news/coronavirus-china-authorises-coronavac-covid-19-vaccine-for-children-above-3-years-2457570

https://www.aljazeera.com/news/2021/6/3/slow-to-start-china-mobilizes-to-vaccinate-at-headlong-pace

https://www.bmj.com/content/373/bmj.n912


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

Click on Clear เที่ยงตรง ประจำวันที่ 9 มิถุนายน 2564

Click on Clear เที่ยงตรง ประจำวันที่ 9 มิถุนายน 2564 กับประเด็น ปลดล็อกท้องถิ่นนำเข้าวัคซีนต้านโควิด-19 พูดคุยสถานการณ์โควิด-19 กับคนไทยในประเทศอินเดีย

สัมภาษณ์สด คุณอภิรมย์ รอดปฐม คนไทยในประเทศอินเดีย
.

.

ราชกิจจานุเบกษา ประกาศปลดล็อค ‘วัคซีนโควิด-19’ เปิดโอกาสให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, เอกชน, รพ.เอกชน ซื้อวัคซีนโควิด-19 ได้ พร้อมให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดหา-สั่ง หรือนำเข้าวัคซีนอย่างเร่งด่วน

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ดังนี้

1.) ให้มีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มีคุณภาพและมีจำนวนเพียงพอแก่ประชาชน โดยอย่างน้อยให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของจำนวนประชากร (ไม่น้อยกว่าจำนวนประชากรห้าสิบล้านคน)

2.) ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประสานงาน ส่งเสริม และสนับสนุนผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในการดำเนินการขึ้นทะเบียนวัคซีนให้เป็นไปอย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ

3.) ให้กรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภากาชาดไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่และอำนาจในการให้บริการทางการแพทย์ หรือสาธารณสุข แก่ประชาชน ร่วมมือกันในการดำเนินการจัดหา สั่ง หรือนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ภายใต้กฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง หรือตามหลักเกณฑ์ที่หน่วยงานนั้นๆ กำหนด

4.) เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้มากขึ้น สถานพยาบาลเอกชนและภาคเอกชนอาจจัดหาหรือขอรับการสนับสนุนวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากหน่วยงานตามข้อ 3 ภายใต้กฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาให้บริการประชาชนหรือบุคลากรในความดูแลได้ตามความเหมาะสม โดยวัคซีนดังกล่าวต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยา และต้องพิจารณากำหนดราคาวัคซีนและการให้บริการที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

5.) โดยที่ในปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ผลิตหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร ยังมีจำนวนจำกัด หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ ให้จัดหาจากหน่วยงานตามข้อ 3 และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

รวมถึงหลักเกณฑ์หรือแผนการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต้องสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือนายกรัฐมนตรีกำหนด

การดำเนินการตามวรรคหนึ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ ให้เป็นไปตามแนวทางหรืออยู่ในการกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการจัดหาวัคซีนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพด้านงบประมาณและรายได้ที่แตกต่างกัน และเพื่อให้การกระจายวัคซีนในห้วงเวลาวิกฤติมีความเป็นธรรมมากที่สุด ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนและให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวก แก่ประชาชนในพื้นที่ในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อประโยชน์ต่อประชาชน ส่วนรวมของประเทศ

6.) ให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทุกภาคส่วนเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูล กับระบบแพลตฟอร์มหมอพร้อมของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และเพื่อให้การบริหารจัดการข้อมูลเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ

โดยให้มีผลตั้งแต่วันนี้ 8 มิ.ย.64 เป็นต้นไป


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ดำรง พุฒตาล’ เข้าแจ้งความเอาผิด เพจเฟซบุ๊ก The Yello Painting ละเมิดลิขสิทธิ์ และใช้นิตยสารคู่สร้าง คู่สม เป็นเครื่องมือทางการเมือง

นายดำรง พุฒตาล เจ้าของนิตยสารคู่สร้าง คู่สม อดีตสมาชิกวุฒิสภา เข้าร้องทุกข์ กล่าวโทษ กับว่าที่ ร.ต.อ. สายยนต์ ขึ้นนกซุ้ม ตำแหน่ง รอง สว. (สอบสวน) สภ.ชะอำ จว.เพชรบุรี

แจ้งว่า เมื่อวันที่ 7 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2564 เวลา 16.34 น. ผู้แจ้งได้ตรวจสอบพบว่ามีบุคคลไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดได้โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Facebook) ชื่อบัญชี The Yellow Painting ขายเสื้อซึ่งมีการสกรีนรูป โดยการนำเอาปกนิตยสาร คู่สร้าง คู่สม ไปประกอบรูปภาพตัดต่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

และนำเสนอจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป ราคาตัวละ ๗๕o บาท และมีการนำภาพบุคคลทั้งสอง ไปวางประกอบกับปกนิตยสาร คู่สร้าง คู่สม ให้มีลักษณะรูปแบบเหมือนกับ นิตยสาร คู่สร้าง คู่สม ที่ได้ดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวออกมาวางจำหน่าย และอาจทำให้ประชาชนโดยทั่วไปเข้าใจผิดว่า

นิตยสาร คู่สร้าง คู่สม เกี่ยวข้องกับการผลิตเสื้อออกจำหน่ายและการพิมพ์ปกหนังสือดังกล่าว

โดยผู้แจ้งขอยืนยันว่า นิตยสาร คู่สร้าง คู่สม ได้ยุติการผลิตหนังสือ คู่สร้าง คู่สม เพื่อออกจำหน่ายให้กับประชาชน ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2560 แล้ว และยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้แต่อย่างใค

ในส่วนของการดำเนินการทางกฎหมาย จะได้ดำเนินการในภายหลังต่อไป ในชั้นนี้จึงมา สภ.ชะอำ เพื่อขอให้บันทึกข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้เป็นพยานหลักฐานเบื้องต้นไว้ส่วนหนึ่งก่อน

 

ที่มา : https://www.plewseengern.com/plewseengern-5228/?fbclid=IwAR3DoFiKVS3rnIbBwq_E4wxOHNFwlXD4JpahHGPUS5EkGAKz4_mYRbrgUnE

https://www.facebook.com/257383740965663/posts/4042653865771946/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ก.แรงงาน เห็นชอบการรับรองหลักสูตรการฝึกอบรมฝีมือแรงงานแบบ E-Training รับ New Normal

กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ออกประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ความเห็นชอบหลักสูตร รายละเอียดที่เกี่ยวข้องและรายการค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการฝึกยกระดับฝีมือแรงงานและการฝึกเปลี่ยนสาขาอาชีพ (ฉบับที่ 2) ช่วยเหลือสถานประกอบกิจการในการฝึกอบรม E-Training รับ New Normal

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ กพร.ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญช่วยเหลือสถานประกอบกิจการที่อยู่ในข่ายบังคับตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2545 ที่ได้ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการที่มีหน้าที่ต้องพัฒนาทักษะฝีมือลูกจ้างสามารถฝึกอบรมทางไกลผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้

อธิบดี กพร. กล่าวต่อไปว่า ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ความเห็นชอบหลักสูตร รายละเอียดที่เกี่ยวข้องและรายการค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการฝึกยกระดับฝีมือแรงงานและการฝึกเปลี่ยนสาขาอาชีพ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ในส่วนของการฝึกอบรมโดยการบรรยายด้วยวิธีการฝึกอบรมทางไกลผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Training) ให้มีจำนวนผู้รับการฝึกอบรมรุ่นละ ไม่เกิน 30 คน ผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นนายจ้างต้องจัดให้ผู้เข้ารับการฝึกทุกคนแสดงตนก่อนเข้ารับการฝึกอบรม โดยผู้เข้ารับ การฝึกและครูฝึกหรือวิทยากรไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ต้องสามารถสื่อสารกันได้ทั้งภาพและเสียงตลอดระยะเวลาการฝึกอบรม ทั้งนี้ ต้องจัดให้มีการบันทึกภาพและเสียงของผู้เข้ารับการฝึกทุกคนตลอดระยะเวลาที่มีการฝึกอบรม และเก็บไว้เพื่อให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่น้อยกว่า 2 ปี นับแต่วันเสร็จสิ้นการฝึก

“ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมนี้ เป็นการช่วยเหลือสถานประกอบกิจการให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานที่เป็นลูกจ้างของตนเอง สถานประกอบกิจการที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สพร. และ สนพ.ทุกจังหวัด หรือกองส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2246 1937” อธิบดี กพร. กล่าว

ก้าวประวัติศาสตร์!! มติที่ประชุม ส.ส. 'ก้าวไกล' เห็นชอบ ชงร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ เข้าสภา เพื่อคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ส่งเสริมคนให้เท่ากัน ยอมรับบทบาทให้เท่าเทียม

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2564 ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมประจำสัปดาห์ของพรรคก้าวไกล ที่ประชุมส.ส.พรรคก้าวไกล มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยื่นร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยมี ณัฐพงษ์ สืบศักดิ์วงศ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ และณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ เป็นผู้เสนอ

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว คือ มุ่งส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ซึ่งประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างและหลากหลาย แต่ละกลุ่มล้วนมีวิถีชีวิต ภาษา ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองมาช้านาน โดยประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่อพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับการส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์หลายฉบับ แต่ปัจจุบันกลับไม่มีกฎหมายส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์โดยตรง ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ต้องเผชิญปัญหาด้านต่างๆ โดยเฉพาะการขาดสิทธิทางวัฒนธรรม ขาดสิทธิทางทรัพยากร และเผชิญกับอคติทางสังคมต่อกลุ่มชาติพันธุ์

ดังนั้นเพื่อให้ภาครัฐมีบทบาทและอำนาจตามกฎหมายอย่างถูกต้องสอดคล้องกับสภาพสังคม วัฒนธรรมของประเทศไทยที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม และเพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาและสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามตลอดจนการดูแลและสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ตามธรรมชาติในท้องถิ่นของตนได้อย่างยั่งยืนถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่ถูกดูถูก เหยียดหยามหรือการกีดกันจากกลุ่มบุคคลภายนอกที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม และรัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ ให้มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมีโอกาสในการเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง

ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จึงมีความสอดคล้องกับทั้งทางความเป็นจริงของสังคมวัฒนธรรมไทยและรัฐธรรมนูญ เเละในฐานะที่พรรคก้าวไกล ถือว่าเป็นพรรคการเมืองพรรคเเรกในประเทศไทย ที่เปิดโอกาสให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนจากพี่น้องกลุ่มชนชาติพันธุ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยมุ่งเน้นส่งเสริมให้คนเท่ากัน มีบทบาทเท่าเทียมกันในสังคม สืบทอดเจตนารมณ์ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ เพื่อคุ้มครองสิทธิเเละเสรีภาพของกลุ่มคนชาติพันธ์ให้มีฐานะเท่าเทียมเเละสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมไทยในระยะยาว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (9 มิย. 64) เวลา 11.00 น. ทางพรรคก้าวไกล นำโดยณัฐพงษ์ สืบศักดิ์วงศ์ จะยื่นร่างกฎหมายดังกล่าวต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเข้าสู่การพิจารณาเป็นกฎหมายต่อไป


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ผู้ประกอบการใจดี’ ห่วงใยคนพิการ มอบข้าวสาร-อาหาร แก่ ‘มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ’

วันนี้ (8 มิ.ย. 64) ที่มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ องค์กรสาธารณะกุศลด้านคนพิการ ที่ดูแลผู้พิการกว่า 800 คน โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ แห่งพัทยา จังหวัดชลบุรี ทาง ‘อ.สัมฤทธิ์ ชาภิรมย์’ ผู้จัดการศูนย์พิทักษ์สิทธิคนพิการ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ได้ให้การต้อนรับ ‘คุณชวิศ ยงเห็นเจริญ’ กรรมการผู้จัดการบริษัท ชลิต อินดัสทรี จำกัด เพื่อรับมอบข้าวสารอาหาร และของใช้จำเป็นนำมาบริจาคให้กับทาง ‘มูลนิธิฯ’ ซึ่งปัจจุบันเข้าขั้นวิกฤติหนัก ทั้งขาดแคลนข้าวสาร อาหารแห้ง และของใช้จำเป็นในการเลี้ยงดูคนพิการที่อยู่ในความดูแล ขาดแคลน จนเดือนร้อนถ้วนหน้า

ทั้งนี้ จากการแพร่ระบาดระลอก 3 ของโควิด-19 ที่รุนแรงกว่าเดิม ส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจที่ทำท่าจะดีกับตกต่ำอย่างต่อเนื่องลงไปอีก อันเป็นเหตุให้การดำเนินงานของมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการได้รับผลกระทบอย่างหนักถึงขึ้นวิกฤติก็ว่าได้ เนื่องจากขาดแคลนข้าวสารอาหารและของใช้จำเป็นต่างๆ อย่างหนัก ซึ่งปัจจุบันมูลนิธิฯ ได้บริโภคข้าวสาร 7 หมื่นกก.ต่อปี สืบเนื่องจากมูลนิธิฯ มีนักเรียนและนักศึกษาซึ่งเป็นคนพิการในความดูแลที่อาศัยอยู่ประจำ รวมบุคลากรและครู ซึ่งอยู่ในความดูแลกว่า 800 คน ซึ่งทั้งหมดนี้มูลนิธิฯ ดูแลโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือคนพิการในทุกๆ เรื่องเพื่อให้พวกเขาเหล่านี้มีวิชาชีพ สามารถนำไปประกอบอาชีพที่ยั่งยืน มีรายได้เลี้ยงตนเอง ครอบครัว และอยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม

นอกจากนี้ สถาบันศึกษาในการดูแลของมูลนิธิฯ ทั้ง 4 แห่ง เป็นการให้บริการแบบประจำที่มูลนิธิฯ จะต้องดูแลทั้งในเรื่องที่พัก อาหาร การจัดการศึกษาและกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากคนพิการมีฐานะยากจน ดังนั้นมูลนิธิฯ จะต้องหางบประมาณเพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการ โดยการรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา รวมไปถึงการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน

สำหรับเหตุการณ์ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อมูลนิธิฯ จนยอดบริจาคลด สต๊อกข้าวสารอาหารแห้งและของใช้จำเป็นของมูลนิธิลดลงอย่างมาก เรียกว่าเข้าขั้นวิกฤติก็ว่าได้ จึงวอนขอความเมตตาจากผู้มีจิตศรัทธา หรือพอจะมีกำลังให้ช่วยบริจาคข้าวสาร อาหารและของใช้จำเป็นต่างๆ อาทิ นม ทิชชู่ น้ำมันพืช หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ทั้งแบบเจลและแบบน้ำ เป็นต้น เพื่อต่อลมหายใจให้คนพิการ ให้ท้องอิ่ม มีแรงสู้ชีวิตต่อไป หรือท่านใดไม่สะดวก สามารถบริจาคเงินช่วยเหลือคนพิการเหล่านี้ได้ ผ่านบัญชี ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางละมุง ชื่อบัญชี ‘มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ’ เลขที่บัญชี : 342-3-04066-0 ทั้งนี้ นำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้หรือสอบถามรายละเอียด โทรศัพท์ 02-572 4042 ต่อ 8100, 8102 มือถือ 099-394-4795, 094-665-2223

ร่วมด้วยช่วยกัน ต่อลมหายใจให้คนพิการให้ท้องอิ่ม มีแรงสู้ชีวิตต่อไป 

ครม.ไฟเขียวงบกลาง 2,254 ล. จ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมครม. เห็นชอบให้มีการจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นวงเงิน กว่า 2,254 ล้านบาท 

ทั้งนี้จะเปิดรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่จบใหม่ จัดสรรอัตราเข้าสู่หน่วยงานราชการที่มีภารกิจสำคัญ และเร่งด่วนทั่วประเทศโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทน 18,000 บาทต่อเดือน มีสัญญาการจ้างงาน ไม่เกินหนึ่งปี และได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่า พนักงานราชการปกติรวมถึงเงินประกันสังคมด้วย ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เรียกว่าได้เข้าเป็นพนักงานราชการเฉพาะกิจ

สำหรับจ้างพนักงานราชการรวม 10,000 อัตราครั้งนี้ รวมทั้งรัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม 750 บาท และเงินสมทบเข้ากองทุนทดแทนเดือนละ 36 บาท ให้ด้วย และจะได้สิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับพนักงานราชการปกติ ยกเว้นสิทธิในการลาอุปสมบท หรือประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 120 วัน โดยมีระยะเวลาจ้างงานไม่เกิน 1 ปีนับจากวันทำสัญญาหรือไม่เกินวันที่ 30 ก.ย. 2565 ฉะนั้น ให้เร่งจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนส.ค. 2564 และไม่มีการต่อสัญญาจ้าง แต่หากตำแหน่งว่างลงระหว่างปีก็ให้ทำการจ้างคนใหม่ได้ 

ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตให้รีบการสรรหาบุคคลให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนมิ.ย. และให้พิจารณาคุณสมบัติผู้ที่มีทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสอดคล้องกับนโยบายเวิร์ค ฟอร์ม โฮมของรัฐบาลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top