Saturday, 5 July 2025
Hard News Team

“อนุชา” เผย “เราชนะ-ม.33 เรารักกัน” ปชช. 41 ล้านคน ใช้จ่ายทำเศรษฐกิจหมุนเวียน เกือบ 3 แสนล้านบาท

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการใช้จ่ายในโครงการ “เราชนะ” สำหรับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มที่มีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และโครงการ “ม.33 เรารักกัน” หลังครม. เพิ่มวงเงินเยียวยา 2,000 บาท ใช้จ่ายได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย. ว่า โครงการเราชนะมีจำนวนผู้ได้รับสิทธิทั้งสิ้น 33.1 ล้านคน เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.7 ล้านคน กลุ่มผู้มีแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง 8.4 ล้านคน กลุ่มผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบเป๋าตัง 8.6 ล้านคน กลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ 2.4 ล้านคน ใช้จ่ายครบวงเงินตามสิทธิ์ในโครงการฯ 17.6 ล้านคน ทำให้มีการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย มูลค่ากว่า 257,997 ล้านบาท ผู้ประกอบการและผู้ให้บริการได้รับประโยชน์มากกว่า 1.3 ล้านร้านค้าและกิจการ แยกเป็นการใช้จ่ายในร้านอาหารและเครื่องดื่มคิดเป็นร้อยละ 19.1 ของมูลค่าการใช้จ่ายทั้งหมด ร้านธงฟ้าคิดเป็นร้อยละ 34.4 ร้านโอท็อป คิดเป็นร้อยละ 4.1 ร้านค้าทั่วไปและอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 40.4 ร้านค้าบริการคิดเป็นร้อยละ 1.9 และขนส่งสาธารณะคิดเป็นร้อยละ 0.1

สำหรับโครงการ ม.33เรารักกันมี ผู้ได้รับสิทธิ์รวมทั้งสิ้น 8.14 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม ถึงวันที่ 31 พ.ค. กว่า 39,317 ล้านบาท โดยผ่านร้านค้าทั้งสิ้น 1.07 ล้านร้านค้า ทั้งนี้สองโครงการ มีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 297,314 ล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้มีมาตรการอื่นที่รัฐบาลดำเนินการช่วยผู้ประกอบการ อาทิ เช่น มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 250,000 ล้านบาท มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ วงเงิน 100,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐสภาได้ผ่าน พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 และ พ.ร.ก.ซอฟต์โลน 
วงเงินรวม 350,000 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจ เสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยจะมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจอื่นๆ ที่จะออกมาในครึ่งปีหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดีขึ้น

“บิ๊กป้อม” สั่ง หน่วยมั่นคง ตอบโต้ Fake News ช่วงโควิด-19  ป้องกันปชช. สับสนตามนโยบายนายกฯ เอาผิดตามกม.ทันที ไม่ละเว้นพร้อมสนับสนุนภารกิจ ศบค.

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งไปยังฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบ ในการตอบโต้ข่าวปลอม หรือเฟคนิวส์ สืบเนื่องจากในสถานการณ์ โควิด-19 ของประเทศในปัจจุบัน ยังมีความวิกฤติ และประชาชนจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการของศบค. โดยเคร่งครัด เพื่อให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน มีความต่อเนื่อง ปลอดภัย และเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีข่าวปลอม (Fake News) ในโซเชียล และสื่อต่างๆ  ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ขาดความเชื่อมั่น และส่งผลกระทบต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามมาตรการ ของศบค. และเป็นอุปสรรคต่อแผนงานในอนาคต ของรัฐบาล ดังนั้นวันนี้ พล.อ.ประวิตร จึงได้ กำชับไปยังฝ่ายความมั่นคง, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บูรณาการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Fake News) จะต้องดำเนินคดีตามกม. อย่างเด็ดขาด รวดเร็ว และให้กรมประชาสัมพันธ์ เร่งสร้างความเข้าใจ ผ่านทุกช่องทางให้ประชาชนได้รับทราบข่าวสารที่ถูกต้อง อย่างรวดเร็วต่อไป

เอกชนรับแรงงานขาดแคลนหนัก ชงรัฐช่วยแก้ด่วน

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ กำลังขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก โดยมีความต้องการแรงงานอย่างน้อย 400,000 ราย โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมทั้งอุตสาหกรรมประมง ซึ่งภาคเอกชนต้องการให้รัฐเปิดนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในไทยอย่างถูกกฎหมาย ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู ระหว่างรัฐบาลไทยกับประเทศต้นทางเพิ่มขึ้น และต้องผ่านการคัดกรองตรวจสุขภาพ และตรวจโควิด-19 ตามหลักสาธารณสุขด้วย

นายสุพันธุ์ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ในวันที่ 9 มิ.ย. นี้ จะหารือถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยภายหลังจากที่รัฐบาลเร่งมาตรการนำเข้าวัคซีนและฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่จะส่งผลต่อการเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวม 

ส่วนผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพ.ค. 64 พบว่า อยู่ที่ระดับ 82.3 ปรับตัวลดลงจากระดับ 84.3 ในเดือนเม.ย. 64 และต่ำที่สุดในรอบ 11 เดือน นับตั้งแต่ก.ค. 63 เป็นค่าดัชนีปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 ยังไม่คลี่คลายและยังเกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆ โดยเฉพาะในโรงงาน

สื่อมะกันแฉไม่แคร์ FC! เผยมหาเศรษฐีสหรัฐฯ ทั้ง เจฟฟ์ เบโซส์, อีลอน มัสก์, วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยเลี่ยงไม่ยอมจ่ายภาษีมาแล้วทั้งนั้น

สำนักข่าวอิสระของสหรัฐ ProPublica ได้ออกมาแฉข้อมูลลับที่ได้จากข้อมูลของกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกา พบว่า อภิมหาเศรษฐีเบอร์ต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นเจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้ง Amazon, อีลอน มัสก์ CEO ของ Tesla หรือแม้แต่พ่อมดการเงินอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ จอร์จ โซรอส เสียภาษีน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับรายได้จำนวนมหาศาล หรือบางปีก็ไม่เสียภาษีให้คนอเมริกันเลยแม้แต่เหรียญเดียว

โดยยกตัวอย่างกรณี เจฟฟ์ เบโซส์ เคยแจงบัญชีขาดทุน และไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาลกลางเลยในปี 2007 และ 2011 อีลอน มัสก์ แจ้งเลี่ยงการจ่ายภาษีลักษณะเดียวกันในปี 2008 เจ้าพ่อสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง ไมเคิล บลูมเบิร์ก ก็เคยแจ้งไม่จ่ายภาษีเมื่อไม่นานมานี้ ยิ่งคนระดับมัจจุราชการเงินโลกอย่าง จอร์จ โซรอส เคยยื่นแจ้งไม่เสียภาษีให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 3 ปีติดต่อกัน

ProPublica ยังเปิดเผยอีกว่า จากข้อมูลภายในของกรมสรรพากรสหรัฐฯย้อนหลัง 15 ปี ที่ไม่ได้มีแต่ประวัติรายได้ และการเสียภาษีเท่านั้น แต่ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจของการบริหารจัดการเงินในกระเป๋าของอภิมหาเศรษฐีระดับบนๆ ของประเทศ เช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ บิล เกตฟส์ หรือ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น เปิดบริษัทในต่างประเทศ หรือแม้แต่กำไร-ขาดทุนจากการเล่นพนัน

ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เห็นว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้ สามารถหาช่องโหว่ในระบบจัดเก็บภาษีของรัฐบาลกลาง ที่ทำให้พวกเขาสามารถยักย้ายถ่ายเทความมั่งคั่ง ไปสู่สินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ผ่านการลงทุนในหุ้น หรือเปิดบริษัทในประเทศที่เอื้อประโยชน์ด้านภาษีที่ทำให้พวกเขารวยขึ้น และรวยขึ้น แต่จ่ายภาษีน้อยลง หรือแทบไม่จำเป็นต้องจ่ายเลยก็ทำได้

ซึ่งช่องโหว่ และข้อได้เปรียบทางกฎหมายภาษีนี้ เป็นสิ่งที่คนทำงานกินเงินเดือน หาเช้ากินค่ำทั่วไปทำไม่ได้ และกลายเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษีให้รัฐบาลทุกเม็ด จากรายได้ที่มีอยู่อย่างจำกัดในแต่ละเดือน ซึ่งตรงกันข้ามกับกลุ่มชนชั้นนำ ที่รายได้ยิ่งมาก กลับยิ่งเสียภาษีน้อยลง ซึ่งไม่สมดุลกับรายได้อันมหาศาลของพวกเขา

หากจะเทียบให้เห็นภาพชัด ในสหรัฐฯ ครอบครัวชั้นกลางที่มีรายได้ประมาณ 70,000 เหรียญต่อปี จะต้องจ่ายภาษีประมาณ 14% หรือหากเป็นคู่สมรสที่มีรายได้รวมกันตั้งแต่ 628,300 เหรียญต่อปีขึ้นไป ต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 37% ซึ่งโครงสร้างการจัดเก็บภาษีก็ควรออกแบบมาเพื่อลดช่องว่างทางสังคม ผู้ที่มีรายได้มาก ก็ต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงขึ้น

แต่สำหรับอภิมหาเศรษฐีติดอันดับ Top 25 ของสหรัฐฯ แม้ในแต่ละปีจะจ่ายภาษีในจำนวนมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปก็จริง แต่เป็นสัดส่วนที่ไม่สมดุลกับรายได้อย่างฐานภาษีทั่วไป เช่น อีลอน มัสก์ จ่ายภาษีในอัตรา 3.27% เจฟฟ์ เบโซส์ จ่ายที่ 0.98% ส่วนวอร์เรน บัฟเฟตต์ มาเหนือสุด จ่ายเพียง 0.1% เท่านั้น

เมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มประเทศ G7 ได้บรรลุข้อตกลงในการตั้งเกณฑ์การจัดเก็บอัตราภาษีรายได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทที่มีสาขา และมีรายได้จากต่างประเทศ ต้องจัดเก็บขั้นต่ำที่ 15% เท่ากันหมดทั่วโลก เพื่ออุดช่องโหว่ในจุดนี้ ที่อภิมหาเศรษฐีนิยมไปเปิดบริษัทโฮลดิ้ง นำเงินไปลงทุนในประเทศดินแดนภาษีต่ำ หรือที่เรียกว่า Tax Haven เพื่อหลบเลี่ยงภาษี

ซึ่งรัฐบาลของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก G7 ก็หวังว่าข้อตกลงภาษีใหม่นี้จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีจากกลุ่มอภิมหาเศรษฐีร่ำรวยได้มากขึ้น ในอัตราที่พวกเขาควรที่จะต้องจ่ายอยู่แล้ว เพื่อความเท่าเทียมกันกับคนธรรมดาทั่วไป

แต่จากข้อมูลภาษีที่เปิดเผยผ่านสำนักข่าว ProPublica ก็เกิดคำถามขึ้นมากมายถึงต้นตอแหล่งข่าว เรื่องฐานข้อมูลภาษีที่ย้อนหลังถึง15 ปี ที่ถือว่าเป็นเอกสารลับของทางราชการ ซึ่งทางกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้ระบุไว้ว่า การเปิดเผยข้อมูลภาษีส่วนบุคคลถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

 

อ้างอิง : https://www.propublica.org/article/the-secret-irs-files-trove-of-never-before-seen-records-reveal-how-the-wealthiest-avoid-income-tax

https://www.straitstimes.com/business/economy/elon-musk-jeff-bezos-other-us-billionaires-paid-little-or-no-income-tax-report


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ก้าวไกล’ ย้ำจุดยืนคว่ำร่างพ.ร.ก. 5 แสนล้าน ไม่ต่อลมหายใจประยุทธ์ ชี้ กู้ซ้ำซาก ใช้ไม่ตรงจุด ไม่ครอบคลุมงบสาธารณสุข และวัคซีนสำหรับประชาชน

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 9 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงจุดยืนของพรรคก้าวไกลในการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ว่าพรรคก้าวไกลเข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเงินการคลังของประเทศที่มีช่องว่างให้รัฐบาลนี้ได้กู้เงินเพิ่มเติมได้อีก แต่พรรคก้าวไกลยังคงมีมติเดิมว่าไม่สามารถที่จะเห็นชอบอนุญาตให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มเติมอีก ด้วยเหตุผล 3 ประการ ได้แก่

1.) ล้มเหลว เราเห็นแล้วจากการกู้เงินผ่านพ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท ทั้งในส่วนงบสาธารณสุขที่เบิกจ่ายได้ล่าช้า งบส่วนการเยียวยาประชาชนที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรืองบฟื้นฟูประเทศ 4 แสนล้านบาทที่ไม่เกิดผล

นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า

2.) มักง่าย รัฐบาลต้องการให้สภาพิจารณาอนุญาตให้กู้เงิน 5 แสนล้าน แต่นำเอกสารมาเสนอแค่ 5 แผ่นกับโครงการและแผนงานคร่าวๆ เท่านั้นว่าจะใช้เงินอย่างไร หากรัฐบาลคิดว่าจะเป็นต้องใช้เงินเพื่อการเยียวยาประชาชนให้ถอนพ.ร.ก. ฉบับนี้ออกแล้วทำแผนงานที่ชัดเจนว่าจะใช้เงินอย่างไร ด้วยโครงการอะไร ผ่านหน่วยงานใด มีเป้าหมาย ตัวชี้วัด ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังคืออะไร และทำเป็นพ.ร.บ.กลับสู่สภาด้วยการชี้แจงที่เหมาะสม

นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า

3.) ความเสียหาย การผ่านพ.ร.ก. ฉบับนี้เป็นการต่ออายุ ลมหายใจให้กับรัฐบาลและเป็นการต่อเวลาให้รัฐบาลสร้างความบอบซ้ำให้ประเทศมากขึ้นอีก เราเห็นแล้วผ่านแผนการคลังระยะปานกลางว่างบประมาณในปี 2566 มีแผนการวางไว้ว่าจะตั้งงบประมาณอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท คาดการณ์การจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 2.46 ล้านล้านบาท ซึ่งต้องกู้เพิ่ม 7.4 แสนล้านบาท หากการบริหารจัดการ 5 แสนล้านล้มเหลวอีก โอกาสที่จะจัดเก็บรายได้ตามแผนที่วางเอาไว้ก็จะพลาดเป้าอีกและจะต้องกู้เพิ่มอีก รัฐบาลต้องไปแก้ตราสังข์ที่มัดตนเองไว้จากเพดานเงินกู้ที่ตั้งไว้ที่ 60% ของจีดีพี เพื่อให้สามารถกู้ได้เกินเพดาน มิหนำซ้ำหากการจัดหาวัคซีนที่จะเป็นโดสที่ 3 และ

4.) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดสายพันธุ์ใหม่ทำได้ล้มเหลว เราอาจมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่อีก รัฐบาลก็ต้องกลับมาขอกู้เงินอีกครั้ง ทางออกของประเทศไทยตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นักเรียนไทยในจีน วอน ‘ลุงชวน’ ประสานรัฐช่วยกลับไปเรียนต่อ

กลุ่มร้องขอเปิดวีซ่านักเรียน (จีน) นำโดยนางอินถวา ห่อเล และนายกิตติเชษฐ์ เกื้อมา เข้ายื่นหนังสือ ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ประสานรัฐบาลไทย ช่วยเหลือนักเรียน-นักศึกษาไทย ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด สามารถกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน

โดยข้อความในหนังสือระบุว่า เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อนักเรียน-นักศึกษาไทย ที่ต้องกลับไปศึกษาต่อ ณ ประเทศจีนในระดับชั้น มัธยมศึกษา อาชีวะ (ปวช. ปวส.) การเรียนภาษาระยะสั้น จนถึงระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก โดยอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนในบางช่วงอายุแล้ว แต่ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในเรื่องการให้กลับไปศึกษาต่อได้

ขณะที่ก่อนหน้านี้ได้จัดทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่มิได้รับการตอบกลับจากหน่วยงานรัฐบาลไทย ทำให้มีนักเรียน-นักศึกษาไทย ที่ตกค้างไม่สามารถเดินทางกลับไปศึกษาต่อได้จำนวนนับแสนราย

จึงได้ขอความอนุเคราะห์จากประธานสภาผู้แทนราษฎร ช่วยประสานงานทวงถามไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อประสานงานกับทางรัฐบาลจีน และกระทรวงศึกษาธิการจีน เพื่อให้กำหนดมาตรการในการช่วยเหลือให้นักเรียน-นักศึกษาไทย ที่กำลังศึกษาต่อ ณ ประเทศจีนในปัจจุบัน สามารถเดินทางกลับไปศึกษาต่อได้ ซึ่งจะส่งผลเป็นคุณูปการต่อระบบการศึกษาไทย-จีนอย่างราบรื่น จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาและขอความอนุเคราะห์

ทั้งนี้ มีนักเรียนช่วงอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งกำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาและปวช. ซึ่งทางประเทศจีนได้มีวัคซีนสำหรับเด็กที่อายุ 3-18 ปีออกมาแล้ว จึงอยากให้ประสานเพื่อนำมาฉีดให้นักเรียนไทยที่จะต้องเดินทางไปศึกษาต่อ ณ ประเทศจีนด้วย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"แสนยากรณ์" อภิปรายนอกสภาฯ เงินกู้ 5 แสนล้าน เทียบบทเรียนกู้ 1 ล้านล้านบาทปีที่แล้ว แผนงาน สธ. ป้องกันโควิด-19 วงเงิน 45,000 ล้านบาท เบิกจ่ายจริงแค่ 9,545 ล้านบาท ขอรัฐบาลวางแผนดีๆ กู้ครั้งใหม่ต้องใช้ให้ตรงจุด เหตุหนี้สาธารณะเฉียดทะลุเพดานแล้ว 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า อภิปรายนอกสภาฯ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เพิ่มเติม 500,000 ล้านบาท ว่าหากกู้เพิ่มอีก 500,000 ล้านบาท สำนักบริหารหนี้สาธารณะ ระบุว่า หนี้สาธารณะจะอยู่ที่ร้อยละ 58.56 ของ GDP หรือ 9.16 ล้านล้านบาท เหลือแค่ร้อยละ 1.44 ก็จะแตะเพดานหนี้สาธารณะที่ร้อยละ 60 ของ GDP แล้ว ดังนั้นการกู้เงินเพิ่มเติมรอบนี้ ต้องเบิกจ่ายให้รวดเร็วเป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้จ่ายให้มากที่สุด 

นายแสนยากรณ์ ยังอภิปรายเปรียบเทียบกับ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่สภาฯ เห็นชอบเมื่อกลางปีที่แล้วว่า เว็บไซต์ http://thaime.nesdc.go.th/ #Summary รายงานว่าแผนงานช่วยเหลือ เยียวยา ชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ วงเงิน 685,000 ล้านบาท ผลเบิกจ่าย 607,190.05 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 88.64 ของวงเงินแผนงาน แต่แผนงานเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 270,000 ล้านบาท ผลเบิกจ่าย 70,294.36 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.03 ของวงเงินแผนงาน แล้วยิ่งแผนงานทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดโควิด-19 วงเงิน 45,000 ล้านบาท แต่ผลเบิกจ่ายเพียง 9,545.64 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.21 ของวงเงินแผนงานเท่านั้น 

นายแสนยากรณ์ อภิปรายต่อว่า ผ่านเวลาไป 1 ปีแล้ว แต่การเบิกจ่ายเงินกู้ด้านสาธารณสุขยังล่าช้า ไม่สมกับที่ต้องออกมาเป็นพระราชกำหนดเลย พร้อมข้อสังเกตว่าการเบิกจ่ายล่าช้า เกี่ยวข้องกับปัญหาจัดซื้อวัคซีน หรือปัญหาค้างจ่ายเบี้ยเสี่ยงภัยโควิด-19 ให้บุคลากรด้านสาธารณสุขด้วยหรือไม่ จึงฝากว่าการกู้ 500,000 ล้านบาทครั้งนี้ ต้องกำหนดแผนให้ชัดเจนว่าจะนำไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ลดขั้นตอนการเบิกจ่ายตามความจำเป็นเร่งด่วน อย่าติดกับดักระบบราชการหลัง หากเทียบเป็นกระสุนแล้ว ยิงต้องตรงเข้าเป้า เพราะครั้งนี้คือการกู้ไม้สุดท้ายแล้ว ถ้ายังยิงไม่ตรงเป้า แล้วต้องกู้เพิ่มอีก คงทะลุเพดานหนี้สาธารณะ เป็นหนี้ท่วมประเทศ 

"แรมโบ้" ฟัดกลับ "คุณหญิงหน่อย" ไทยสร้างไทย “ชี้” ถ้าประธานพรรคฯ เล่นการเมืองด่าทอสาดสีใส่ร้ายคนอื่นรายวัน พรรคจะถอยหลังลงคลองน้ำเสีย เลือกตั้งอย่าหวังมีส.ส.เข้าสภา แยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทยระวังถูกด่า "เนรคุณทักษิณ"

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์พาดพิงและกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอขา นายกรัฐมนตรี ว่า ประเด็นที่คุณหญิงกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีเป็นเผด็จการภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย มาตามรัฐธรรมนูญซ่อนเงื่อน นั้นขอเตือนว่า คุณหญิงสุดารัตน์จะหาเสียงให้พรรคใหม่อย่างไทยสร้างไทยแล้วไปประดิษฐ์คำสวยหรูอะไรมาก็ไม่ว่าแต่อย่ามาเที่ยวประดิษฐ์สำนวนโวหารป้ายสีคนอื่น แทนที่คุณหญิงควรที่จะนึกถึงสมัยอยู่พรรคไทยรักไทยและเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ถูกประชาชนประนามว่าเป็นระบอบทักษิณ เป็นเผด็จการรัฐสภาเสียงข้างมากลากไป ออกกฎหมายผ่านสภาฯ หลายฉบับเพื่อเอื้อประโยชน์ของผู้นำบางคนในพรรคขณะนั้น ทำไมคุณหญิงจึงไม่ออกมาต่อว่าด่าทอโจมตีเหมือนเช่นทุกวันนี้บ้าง หรือมีอะไรปิดหูปิดตาปิดปากคุณหญิงไว้

“ขอให้คุณหญิงมีจิตใจเป็นธรรม เป็นกลางบ้าง อย่าคิดเพียงแค่ใครไม่ใช่พวกคุณหญิงก็จะใส่ความโจมตีให้แหลกคามือแบบไร้เหตุผลเพราะความอาฆาตแค้นส่วนตัวหรือเปล่า การจะเป็นนักการเมืองที่ดีต้องมีจุดยืน มีอุดมการณ์ที่มั่นคงมีเหตุผลเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ไม่ใช่เอาแต่เรื่องเท็จมาบิดเบือนเพื่อให้เข้าใจผิดต่อนายกฯ และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจจากรัฐบาลในอดีตของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะรัฐบาลปล่อยปะละเลยให้มีการทุจริตมากมายหลายโครงการ มีการเตรียมอภิมหาโปรเจค เพื่อหาเงินทอนส่วนต่างใส่กระเป๋า มีการทุจริตเสียหายจากโครงการจำนำข้าว ทำชาติเสียหาย ชาวนาเดือดร้อน จนรัฐบาลปัจจุบันต้องมาแก้ปัญหาและใช้หนี้จนทุกวันนี้ ตลอดจนเกิดปัญหาความวุ่นวาย ในบ้านเมืองขัดแย้งกันอย่างรุนแรงนำไปสู่การทะเลาะถึงขั้นประกาศรบราฆ่าฟันกันบนท้องถนน อาจถึงขั้นแผ่นดินนองเลือด เป็นยุคที่เกิดการจลาจลวุ่นวายที่สุดในประเทศ 

นายเสกสกล กล่าวว่า เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านการลงประชามติของประชาชน 16 ล้านเสียง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ด้วยการไปอยู่ในบัญชีรายชื่อของผู้ถูกเสนอเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมือง จากนั้นรัฐสภาก็เลือกเข้าเป็นนายกฯ ไม่มีอะไรที่เป็นเผด็จการ พล.อ.ประยุทธ์มาตามครรลองทั้งนั้น มีแต่พรรคเพื่อไทย ของคุณหญิงต่างหากที่กลับไปสนับสนุน นายธนาธร มาแข่งขันเป็นนายกฯ ทั้งที่คุณหญิงฯ เป็นผู้ถูกเสนอชื่อในนามพรรคเพื่อไทย ทำไมคุณหญิงฯ จึงไม่เสนอตัวเองให้สภาเลือกเป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีเสียงมากกว่ากลับไปหนุนพรรคอนาคตใหม่ของนายธนาธร ที่มีเสียงน้อยกว่า อย่างนี้เขาเรียกว่าประชาธิปไตยแบบไหนกัน  คุณหญิงคิดได้อย่างไร ไม่ใช่เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยของคุณหญิงขณะนั้นหรือไม่เห็นหัวประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ มีเสียงมากกว่ากลับไปสนับสนุนพรรคที่มีเสียงน้อยกว่ามาเป็นนายกฯ เป็นการทรยศเสียงประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ คิดแค่นี้ก็ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวที่จะเอาชนะพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ เพราะความอิจฉาริษยาอาฆาตโกรธแค้นส่วนตัว ตนสงสัยมาก ประชาชนภาคอีสานที่เลือกพรรคเพื่อไทยยังมีเสียงบ่นมาว่า เสียใจผิดหวังอุตส่าห์เลือกส.ส.พรรคเพื่อไทย แต่กลับไปเลือกธนาธร คนที่คิดก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบันฯ จะมาเป็นนายกฯ เรื่องนี้คุณหญิงจะตอบคำถามอย่างไร

“ตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ บริหารมา 2 ปีเศษ ได้ให้ความเท่าเทียมและความเสมอภาคกับธุรกิจทุกขนาด ที่บอกว่าคนตัวเล็กเสียเปรียบและเสียโอกาสในการเจริญเติบโตทางธุรกิจนั้นไม่เป็นความจริง รัฐบาลให้การสนับสนุนและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตลอด แต่คิดว่าประชาชนคงไม่โง่หลงเชื่อแค่คำพูดสวยหรูของคุณหญิงอย่างแน่นอน” นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่คุณหญิงระบุว่าแยกทางจากนายทักษิณ เด็ดขาด ไม่มียุทธการแตกแบงค์พันนั้น ตนไม่เชื่อและประชาชนก็คงไม่เชื่อเช่นกันเพราะคนที่เติบโตได้ดิบได้ดีจากนายทักษิณ จะมาทิ้งกันแบบง่ายดายหรือ คุณหญิงอยู่มายาวนาน กับนายทักษิณตั้งแต่สมัยพรรคพลังธรรมปี 2538 จึงไม่เชื่อว่า คุณหญิงจะกล้าเนรคุณนายทักษิณคนที่ให้รางวัลคุณหญิงเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงฯ วันนี้คุณหญิงจะบอกชาวบ้านอย่างไร จึงจะเชื่อว่าคุณหญิงฯ ไม่เป็นคนเนรคุณต่อนายทักษิณ เหมือนกับที่ตนเคยโดนคนในพรรคเพื่อไทยกล่าวหามาแล้ว ไม่กลัวโดนต่อว่าเหมือนตนอย่างนั้นหรือ ทั้งที่มีจุดยืนไม่อยากเป็นสมุนโจร ไม่อยากเป็นเครื่องมือใครและไม่อยากให้ใครเหยียบหัวขึ้นไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและครอบครัว ไม่อยากอยู่กับคนที่มือไม่สะอาดจิตใจสกปรก คิดแต่มีอำนาจเพื่อธุรกิจครอบครัวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

“การที่คุณหญิงฯ ประกาศว่าพรรคไทยสร้างไทย เป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์และบอกว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับขั้วพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นเผด็จการเป็นคำพูดแผ่นเสียงตกร่อง ฟังจนนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคพวกคุณหญิงดาหน้าด่าทอว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเผด็จการ ถ้าเป็นจริงทำไมพรรคเพื่อไทยจึงส่งผู้สมัครลงสนามเลือกตั้งในปี 62 อย่าทำตัวเกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ปากว่าตาขยิบ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ อย่าคิดว่าประชาชนโง่ ประชาชนรู้ดีว่าพรรคไทยสร้างไทยเป็นพรรคนอมินี หรือสาขาพรรคเพื่อไทยหย่อย และอยากให้ถึงวันเลือกตั้งเร็วๆ อยากเห็นพรรคไทยสร้างไทย ว่าจะได้ส.ส.กี่คนถ้าผู้ใหญ่ของพรรคฯ ยังเล่นการเมือง แบบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นเช่นนี้ สุดท้ายพรรคฯอาจจะไม่ได้ส.ส.เข้าสภาเลย แม้แต่คนเดียว ถ้าประธานพรรคยังใช้วิธีพ่นพิษน้ำลายใส่คนอื่นรายวัน 

"คุณหญิงอย่าได้ให้ลิ่วล้อออกมาตอบโต้คนอย่างแรมโบ้ เพราะที่ผ่านมานายกฯ ไม่เคยพูดใส่ร้ายใครก่อนและไม่คิดตอบโต้ใคร มีแต่คุณหญิงที่กัดนายกฯ ไม่เคยปล่อยเอง คุณหญิงเริ่มก่อนทุกครั้ง ทั้งที่นายกฯ ไม่เคยตำหนิหรือต่อว่าอะไรคุณหญิงเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่คุณหญิงและลิ่วล้อด่าว่านายกฯ ฝ่ายเดียว ตนยืนยันว่าถ้าคุณหญิงไม่ยอมโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ยอมหยุดใส่ร้ายป้ายสีนายกฯ ตนก็จะไม่ยอมหยุดเช่นกัน ตนจะไม่ยอมให้คุณหญิงและลิ่วล้อหรือสมุนของคุณหญิงออกมาด่าทอใส่ร้ายป้ายสีนายกฯฝ่ายเดียว ตนคงยอมไม่ได้เด็ดขาด นายกฯ ไม่มีเวลามาเล่นการเมือง จะไม่เสียเวลามาทะเลาะกับใคร มีแต่เวลาทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนกับประชาชนเท่านั้น " นายเสกสกล กล่าว

'อาจารย์จุฬา' จัดหนัก 'นิสิต' ชี้ มีเสรีภาพได้ แต่อย่าไร้มารยาท

รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Puangthong Pawakapan โดยระบุว่า ข้างล่างนี้เป็นข้อความที่เพิ่งส่งถึงนิสิตปี 2 นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกปี 3 วันที่ผ่านมาทำเอาเส้นความอดทนขาดลง เพราะมีนิสิต 3 คน inbox มาหาหลังเที่ยงคืนด้วยเรื่องคะแนน .... ต่อไปนี้จะเริ่มคลาสด้วยการแปะข้อความนี้ก่อนทุกครั้ง

ลูกชายเราบอกว่าถ้าแม่ไม่บอกเรื่องพวกนี้ก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่เคยมีใครสอนเขา

ในขณะที่โรงเรียนไทยให้ความสำคัญกับเครื่องแบบ การกราบไหว้ครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แต่กลับไม่สอนมารยาทพื้นฐานในการมีชีวิตในโลกยุคใหม่ให้กับเด็ก

นิสิตคะ

เราเข้าใจว่าสมัยคุณเป็นนักเรียนมัธยม ไม่มีใครบอกคุณเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในโลกยุคใหม่ ที่การติดต่อส่วนใหญ่กระทำผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ ทำให้พวกคุณแยกแยะไม่ออกว่าการติดต่อระหว่างเพื่อน ระหว่างนิสิตกับอาจารย์ นิสิตกับเจ้าหน้าที่ นิสิตกับบุคคลภายนอก เช่น การสมัครงาน การสมัครเรียน ฯลฯ พึงมี code of conduct อย่างไร ฉะนั้น ทุกปีทั้งอาจารย์ และบุคคลภายนอกที่ต้อง deal กับนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ จะบ่นเรื่องเด็กไม่มีมารยาทกันบ่อยมาก ฉะนั้น อาจารย์ถือเป็นหน้าที่ที่ควรจะต้องบอกให้พวกเราได้รับรู้ เพื่อไม่ให้มีปัญหาต่อไปภายหน้า

ยกเว้นกับเพื่อนและคนในครอบครัวของคุณแล้ว ความสุภาพยังเป็นสิ่งสำคัญ การมีเสรีภาพในการแสดงออกไม่ได้แปลว่าไม่ต้องมีมารยาทและการให้เกียรติแก่กันและกัน สองอย่างนี้ควรดำเนินไปด้วยกันเสมอ และอันนี้ไม่เกี่ยวกับ "ความเป็นไทย" หรืออนุรักษ์นิยม ในสังคมฝรั่ง ความสุภาพเป็นสิ่งสำคัญไม่ย่อหย่อนกว่ากัน แน่นอนว่าความสุภาพของแต่ละสังคมมีระดับต่างกัน สิ่งที่อาจารย์เรียกร้องจากคุณคือ "ขั้นพื้นฐาน" ที่มนุษย์ควรมีต่อกัน เช่น ทักทายกันด้วยคำว่า "สวัสดี" หรือ "เรียน" ก็พอ ไม่ต้องถึงกับ "กราบเรียน"

ในกรณีจดหมายทางการ ใช้คำว่า "เรียน" เท่านั้น

หากอาจารย์วิชาใดให้คุณส่งงานทางอีเมล์ จะต้องมีข้อความในอีเมล์ด้วย เช่น สวัสดีครับ/เรียน อาจารย์... ผมขอส่งรายงานวิชา .... ด้วยความนับถือ .... ลงชื่อ (เขียนเหมือนจดหมายปะหน้า พวกคุณเรียนการเขียนจดหมายกันแล้วใช่ไหม)

อย่าส่งงานโดยไม่มีข้อความใดๆ ติดไปด้วยโดยเด็ดขาด คนรับจะรู้สึกเหมือนนิสิตโยนงานใส่หน้า อย่าทำแบบนี้ในเวลาที่คุณไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย

อย่าทำแบบเดียวกันนี้ในการสมัครงาน หรือสมัครเรียนโดยเด็ดขาด

อย่าติดต่ออาจารย์ผ่านทาง messenger หรือ line หากเขาไม่ได้อนุญาตให้คุณทำ ยกเว้นมีเรื่องสำคัญมากจริงๆ เช่น คุณต้อง withdraw แล้วเป็นวันสุดท้ายแล้ว คุณติดต่อไปทางอื่นก่อนหน้านี้แล้วแต่อาจารย์ไม่เห็น ในความเป็นจริง คุณควรจะติดต่อผ่านเจ้าหน้าที่ภาค และให้เขาติดต่ออาจารย์เอง แต่นี่หมายความว่าคุณต้องมีเวลาเผื่อล่วงหน้า ไม่ใช่วิ่งเต้นแก้ปัญหาให้ตัวเองในวันสุดท้าย

ที่เลวร้ายมากคือ ส่งข้อความมาหลัง 4 ทุ่ม หลายคนส่งมาหลังเที่ยงคืน

หากเขาไม่ได้อนุญาตไว้ก่อน อาจารย์ฝรั่งจะถือมาก หากคุณติดต่อเขาผ่าน inbox ของ social media เขาถือว่าคุณละเมิด privacy ของเขา

วิชานี้มี TA คุณสามารถติดต่อสอบถามเขาก่อน

การขอให้อาจารย์ช่วยแก้คะแนนให้ หรือขอทำงานแก้ตัวใหม่ ไม่ควรกระทำเด็ดขาด โอกาสในชีวิตหลายๆ อย่างผ่านไปแล้ว ก็จะไม่ผ่านมาอีก ถ้าพลาด ก็ถือเป็นบทเรียน ยกเว้นในกรณีที่อาจารย์ได้บอกข้อยกเว้นไว้แล้ว เช่น อนุญาตให้เฉพาะคนที่ติด probation หรือเสี่ยงกับการติด probation

หากนิสิตมีปัญหาส่วนตัว เช่น เป็นโรคซึมเศร้า หรือสภาพที่บ้านเป็นอุปสรรคต่อการเรียน คุณควรแจ้งให้อาจารย์ทราบแต่เนิ่นๆ ผ่านทางอีเมล์ อาจารย์ก็อาจจะหาทางออกที่เป็นไปได้ ไม่ใช่แจ้งหลังจากผลคะแนนออกแล้ว เพราะจะแก้ไขอะไรยากมาก และไม่แฟร์กับคนอื่นค่ะ

แค่นี้ก่อนแล้วกัน ถ้าใครมีคำถามอะไรก็ถามมาได้ค่ะ.

 

ที่มา : https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/4316338125083580


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'เฉลิมชัย' มอบกรมปศุสัตว์ผนึก 'ม.จุฬาฯ-ม.เกษตรฯ' เป็นแกน AIC เร่งพัฒนาวัคซีนสัตว์จากพืช (Plant Based Vaccine) Made in Thailand เป็นครั้งแรก

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (10 มิ.ย) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายประภัตร โพธสุทน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบนโยบายให้กรมปศุสัตว์เร่งเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือ ที่ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี-สกิน พร้อมกับเร่งพัฒนาวัคซีนลัมปี-สกินจากพืชด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Plant Based Vaccine

โดยความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์กับบริษัทใบยาไฟโตฟาร์มของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่เป็นศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมหรือศูนย์ AIC (Agritech and Innovation Center) คาดว่าจะสามารถเริ่มทดสอบวัคซีนได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยโรงงานวัคซีนของกรมปศุสัตว์พร้อมผลิตวัคซีนดังกล่าวทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในการผลิตวัคซีนสัตว์จากพืช ซึ่งจะเริ่มจากวัคซีนลัมปี-สกิน

ทางด้านนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีที่เกิดการระบาดของโรคลัมปี-สกิน กับโค-กระบือของเกษตรกร ในหลายพื้นที่ของประเทศ จนทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือได้รับผลกระทบจากความสูญเสียโค-กระบือไปนั้น กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรเจ้าของโค-กระบือเหล่านั้น จึงได้เตรียมการเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี-สกิน ดังนี้...

ในกรณีที่เป็นการชดเชยกรณีสัตว์ตายหรือป่วยตาย โดยดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562 และมีขั้นตอน คือ...

1.) รวบรวมข้อมูลความเสียหาย

2.) รวบรวมข้อมูลเสนอ คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ปศุสัตว์อำเภอ)

3.) รวบรวมข้อมูลเสนอ คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ปศุสัตว์จังหวัด)

4.) ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ ปศุสัตว์จังหวัด หรือกรมปศุสัตว์

ทั้งนี้ ชดเชยตามจริงแต่ไม่เกินรายละ 2 ตัว เป็นเงินสดผ่านบัญชีเงินฝากของเกษตรกร ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้...

หน่วย : บาท/ตัว

อายุ >> โค กระบือ

>> น้อยกว่า 6 เดือน = 6,000-8,000

>> 6 เดือน ถึง 1 ปี = 12,000-14,000

>> มากกว่า 1 ปี ถึง 2 ปี = 16,000-18,000

>> มากกว่า 2 ปี = 20,000-22,000

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รายใด ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคลัมปี-สกิน และมีความประสงค์จะขอรับการเยียวยา ขอให้ติดต่อสำนักงานปศุสัตว์อำเภอ หรือสำนักงานปศุสัตว์จังหวัด ใกล้บ้าน หรือศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านปศุสัตว์ กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ ทางโทรศัพท์ 0-2653-4444 ต่อ 3315 และ e-mail : [email protected]


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top