Saturday, 26 April 2025
Hard News Team

“สงคราม”อัด “วิษณุ”โกหกรายวันเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ชี้แก้รายมาตราไม่เกิดประโยชน์ประชาชนชี้ต้องรื้อ”ระบอบประยุทธ์”

วันที่ 7 เมษายน 2564 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อชาติ เปิดเผยว่า ข้อเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญของนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้แก้เพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่การแก้ไขครั้งนี้เพื่อประโยชน์ของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งนี้การไม่ตัดอำนาจสมาชิกวุฒิสภาหรือ ส.ว. ก็ไม่ควรจะเสนอมา เพราะไม่เกิดเกิดประโยชน์อะไร ทั้งนี้การที่ ส.ว.ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน แต่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นนั่งร้านให้เพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อสร้างอำนาจและก้าวขึ่นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ง่ายเท่านั้น ไม่มีปัจจัยอื่น จึงเป็นสิ่งไม่ถูกต้องหากยังคงให้ส.ว.ทั้ง 250 คนเถลิงอำนาจต่อไป

ดังนั้นพรรคเพื่อชาติ มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดี่ยวกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน คือ เดินหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 256 ถือเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาต้องรื้อทั้งหมด การแก้ไขรัฐธรรมนูญถ้าไม่แก้ทั้งฉบับก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีทางหยุดระบอบประยุทธ์ได้ เพราะการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ตามที่มีการเสนอมาไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน เป็นการแก้ไขแค่เปลือกของรัฐธรรมนูญเท่านั้น

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์ แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่รัฐบาลตต้องดำเนินการ แต่ที่ผ่านมาพบว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่มีความจริงใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ พลเอกประยุทธ์อ้างว่ารัฐบาลไม่เกี่ยวเป็นเรื่องของรัฐสภา ทั้ง ๆ ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอเข้าสภาเป็นร่างของรัฐบาล แต่ถึงเวลาไม่อยากแก้ก็ให้คว่ำแต่ตัวเองลอยตัวเหนือปัญหา

“ กรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแถลงนโยบายที่ให้ไว้กับสภา เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลอยากให้ไปดูว่านโยบายเร่งด่วนแต่นายวิษณุกลับบอกว่าไม่จำเป็นต้องดำเนินการ เพราะไม่ใช่เรื่องด่วน ชัดเจนว่าการเขียนเรื่องการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญในนโยบายรัฐบาลเป็นการเขียนเพื่อเอาไว้หลอกพรรคร่วมรัฐบาลและโกหกประชาชนเท่านั้น รัฐบาลไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาประเทศอย่างแท้จริง เลือกที่จะโกหกไปวัน ๆ จนเชื่อว่าเรื่องที่โกหกเป็นเรื่องจริงแล้ว” นายสงครามกล่าว

เจ้ากรมดุริยางค์ทหารบก มีคำสั่ง กักตัว กำลังพล 32 ราย พบนักดนตรีติดโควิด หลังร่วมจัดแสดงดนตรี สวนหลวง ร. 9 ในชื่องาน "ดนตรีในสวน" ของกองทัพบก

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 มีรายงานข่าวว่า พล.ต. วิทยา ชัยสมพร เจ้ากรมดุริยางค์ทหารบก มีคำสั่งเมื่อวันที่ 6 เมษายน ให้กำลังพล ที่ร่วมปฏิบัติภารกิจ การแสดงดนตรี ณ สวนหลวง ร. 9 ในชื่องาน "ดนตรีในสวน" ของกองทัพบก เมื่อวันเสาร์ที่ 3 เมษายน  2564 จำนวน 32 ราย กักบริเวณตนเองที่บ้านพัก และปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19  โดยเคร่งครัด  เนื่องด้วยมีกำลังพลของกองดนตรี ติดเชื้อโควิค 19  ขณะนี้เข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก

ภายหลัง จากที่ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน หลังอดอาหารสู่สัปดาห์ที่ 3 ล่าสุด เพจ เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak โพสต์ข้อความระบุว่า...ครบรอบ 3 สัปดาห์ แห่งการอดอาหาร

การอดอาหารประท้วงความยุติธรรมของผมล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 แล้ว และเป็น 2 สัปดาห์ที่ผมไม่ดื่มอะไรเลยนอกจากน้ำและเกลือแร่ สุขภาพกายของผมก็เป็นไปตามสภาพของคนที่ไม่ได้กินอาหาร แขนและขาของผมร่วงโรยไม่อาจเดินระยะไกล ๆ ได้เอง ต้องอาศัยคนพยุงและรถเข็น และต้องมีสายน้ำเกลือห้อยติดตามตัวมาเป็นเวลาเกือบ 10 วันแล้ว อย่างไรก็ตาม สุขภาพใจและความคิดของผมยังคงเข้มแข็ง และผมตั้งใจจะอดอาหารไปจนกว่าศาลจะตอบคำถามว่าด้วยตามยุติธรรม 3 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. ศาลเคยกล่าวกับผมว่า “ศาลเป็นกลางและเป็นธรรม” หากศาลเป็นกลางและเป็นธรรมจริง เหตุใดท่านจึงปล่อยตัวแกนนำ กปปส. 8 คน ซึ่งถูกศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วว่ามีความผิด แต่กลับคุมขังพวกผมไว้ทั้งที่ยังไม่มีศาลใดพิพากษาว่าพวกผมมีความผิดใดๆ เลย

2. ศาลเคยกล่าวกับผมว่า “ศาลให้สิทธิพวกผมต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่” แต่พวกผมจะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ได้อย่างไร ในเมื่อท่านชิงคุมขังผมไปก่อนแล้ว ผมก็ไม่สามารถไปหาพยานหลักฐานมาสู้คดีได้แล้ว จะปรึกษาทนายความก็ทำได้อย่างจำกัดและต้องพูดผ่านโทรศัพท์ซึ่งอาจถูกดักฟัง แม้กระทั่ง การจะพูดคุยกับเพื่อนที่ถูกฟ้องร้องด้วยกันก็ทำได้ลำบาก เช่นนี้หรือคือสิทธิการสู้คดีอย่างเต็มที่ดังที่ศาลกล่าว

3. ศาลเคยกล่าวกับผมว่า “ศาลไม่มีอคติและไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง” แล้วเหตุใดท่านจึงเขียนในคำสั่งไม่ให้ประกันตัวผม ว่าผมเป็นผู้ที่เหยียบย่ำหัวใจของคนไทยผู้จงรักภักดีทั้งประเทศ และยังบอกด้วยว่าการปราศรัยของผมตามเวทีต่างๆ เป็นการกระทำความผิดซ้ำซาก ทั้งที่ยังไม่มีศาลใดตัดสินว่าผมมีความผิดเลย ศาลได้ใช้อคติตัดสินโดยไม่ต้องไต่สวนไปแล้วว่าให้ผมมีความผิดใช่หรือไม่

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการอดอาหารของผมจะส่งผลให้ศาลลุกขึ้นมาตอบคำถามเหล่านี้ ไม่ใช่ต่อตัวผม แต่ต่อคนทั้งสังคมที่กำลังจับจ้องท่านอยู่

อนึ่ง ผมได้รับจดหมายจากพี่น้องหลายคนร้องขอให้ผมยุติการอดอาหาร ผมไม่อาจยุติการอดอาหารและใช้ชีวิตต่อไปได้โดยไม่มีสิทธิ เสรีภาพ และความยุติธรรมได้ เพราะสิทธิ เสรีภาพ และความยุติธรรมนี้ไม่ได้ถูกปล้นไปจากเฉพาะตัวผม แต่จากคนทั้งชาติ ผมขอขอบคุณทุกความเป็นห่วงที่มีให้ผม และขอให้ทุกท่านที่เป็นห่วงและเข้าใจเจตนารมณ์การต่อสู้ของผม ร่วมกันถามคำถามทั้ง 3 ข้อนี้ต่อศาล ไม่ว่าจะยืนอยู่หน้าศาล การเขียนจดหมาย การโทรถามหรือวิธีการอื่นใด เพื่อให้ศาลได้ตระหนักคิดว่าพวกเขาไม่ใช่เจ้านายประชาชน แต่เป็นผู้รับใช้ประชาชน และต้องรับผิดชอบต่อประชาชน

เพนกวิ้น-พริษฐ์ ชิวารักษ์

วันที่ 5 เมษายน 64 ณ สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี


ที่มา : https://siamrath.co.th/n/233570

‘เพื่อไทย’ จี้ ‘ประยุทธ์’ รับผิดชอบ ครม. และ ส.ส. รัฐบาล การ์ดร่วง ต้องกักตัวร่วมร้อยคน โวยห้าม ‘ทักษิณ’ แจกขัน แต่กลับแจกเอง ซัดล้มเหลวทุกด้านทั้งบริหารเศรษฐกิจและการจัดการโควิด

นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ถาม "พล.อ.ประยุทธ์" หลังออกมาเตือนประชาชนให้ระวังการ์ดตก แต่รัฐบาลเองการ์ดร่วง จนรัฐมนตรีเกือบทั้งคณะต้องกักตัวหลังเจอคนติดเชื้อโควิด-19 จะปล่อยให้ประชาชนเผชิญชะตากรรมอีกกี่ครั้ง รัฐบาลมีอำนาจเต็มทุกอย่าง นายกรัฐมนตรีคุมทั้งบริหาร คุมทหาร คุมเศรษฐกิจ แต่ไม่มีทางรอดให้ประชาชนเลย ประชาชนไม่เคยการ์ดตก แต่คนรับกรรมกลับเป็นประชาชนทุกครั้ง การเยียวยาแก้ไขอืดเหมือนเรือเกลือ ขนาดสงกรานต์ไม่ให้สาดน้ำ พรรค พปชร.ยังคิดแจกขัน ไม่เคยแก้ปัญหาตรงจุดเลย !!!

"หลังโควิดกลับมาระบาดอีกรอบในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะคลัสเตอร์ผับทองหล่อพบมีการติดเชื้อหลายราย และเป็นสถานที่ที่มีข่าวลือว่ามีรัฐมนตรีและไฮโซหลายคนอาจติดโควิด-19 เพราะไปนั่งเจรจาธุรกิจในผับวีไอพีแห่งหนึ่งด้วย ที่ไม่ใช่สถานบันเทิงปกติ แต่มีสาวเอนเตอร์เทนนั่งบริการ จนดาวดังที่ทำงานผับดังกล่าวออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่าเธอติดโควิด-19 ใครที่อยู่ใกล้ให้รีบไปตรวจ สองในนั้นมีชื่อนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและรมว.พลังงานและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม แม้นมีข่าวว่ามีคนเห็นในสถานที่ดังกล่าวแต่ทั้งคู่ก็ออกมาปฏิเสธ จริงไม่จริงอย่างไรแต่สังคมไปไกล และวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมสะเทือนถึงความไม่น่าเชื่อถือของรัฐมนตรีในรัฐบาลหนักขึ้นไปอีก เป็นที่มาของการแพร่ระบาดของโควิดระลอก 3 ที่เกิดขึ้นจากคนในรัฐบาลเอง และพล.อ.ประยุทธ์ควรหาคำตอบให้ประชาชน ว่า มีรัฐมนตรีคนใดไปเที่ยวในที่อโคจรดังกล่าวเพื่อสกัดการแพร่เชื่อโควิด ก่อนโควิดจะทำรัฐบาลคว่ำทั้งคณะ

"กระทั่งตัวของนายศักดิ์สยาม ที่มีข้าราชการผู้ปฏิบัติงานสำนักงานรมว.คมนาคมที่ตรวจพบเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19มาพบ รวมถึงก่อนหน้านี้ ทีมงานหน้าห้องของนายศักดิ์สยามตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ทำเอางานครบรอบวันเกิดพรรคภูมิใจไทยวุ่นหนัก ทั้งรัฐมนตรีและส.ส.ในพรรคถึง 61 คนต้องขอกักตัวกัน 14 วันและไม่เข้าร่วมประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... ทั้งที่เป็นกฎหมายสำคัญมาก ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ต่อเนื่องในมาตรา 10 ซึ่งเป็นการประชุมร่วมของส.ส.และ ส.ว. ในวันนี้พอดี ซึ่งถ้ากฎหมายพิจารณาไม่ทัน งานเข้ารัฐบาลทันที

"งานนี้ถือเป็นความบกพร่องในการดูแลการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของรัฐบาลอย่างมาก เพราะคราวนี้รัฐมนตรียังเจอเสียเอง ถึงขั้นลางานไม่เข้าประชุม มีทั้งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ไม่เว้นกระทั่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูร รมว.สาธารณสุข ยังไม่แน่ว่าเชื้อลามต่อไปที่ไหนต่อไหน

นอกจากนี้ยังมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมไปแสดงความยินดีกับพรรคภูมิใจไทย เช่น นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษา นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง, นายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา, พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ส.ส.สงขลา และนายประมวล พงศ์ถาวราเดช ส.ส.ประจวบขีรีขันธ์ โดยทั้งหมด ขอกักตัว 14 วัน โดยไม่ร่วมประชุมร่วมรัฐสภา"

"และดูเหมือนจะลามไปถึงรัฐมนตรีจากพลังประชารัฐ จากนางสาวตรีนุช ต่อไปยังนายวิษณุ เครืองาม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เศรษฐกิจและสังคม และอาจจะต่อไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาด้วย พล.อ.ประยุทธ์ย้ำเรื่องการ์ดอย่าตก แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เกิดการแพร่จากรัฐบาล เดิมเคยลามจากสถานบันเทิงทองหล่อ คราวนี้ก็ยังมาจากสถานบันเทิงทองหล่ออีก ซึ่งคราวนี้ชัดเจนและหนีไม่พ้น มาจากคนใกล้ตัวรัฐบาลทั้งสิ้น และคนรับกรรมคือประชาชน เพราะหลังจากมีการระบุการแพร่เชื้อย่านทองหล่อต่อมาถึงคณะรัฐมนตรีและดารานักร้อง ผลก็คือการเข้มงวดกับสถานบันเทิงและร้านอาหารถูกควบคุมกลับมาอีกครั้ง ร้านอาหารในกทม.และปริมณฑล ต้องกลับมาปิด 3 ทุ่มและห้ามจำหน่ายแอลกอฮอล์อีก พอมีใครถามอะไรเกี่ยวกับคนใกล้ตัว พล.อ.ประยุทธ์ก็จะย้อนกลับว่า แล้วยังไง แล้วจะให้ผมทำอะไร หลายคนคงอยากจะตอบท่านตรง ๆ ว่า ท่านออกไปเถอะค่ะ บริหารแบบนี้มีแต่ทำให้ประชาชนต้องอยู่กับความเสี่ยงและความล่องลอย อาชีพเปลี่ยนกันหมด ขายจนไม่มีทรัพย์อะไรให้ขายแล้วมันอยู่สภาพหมดตัว ท่านเคยรู็อะไรบ้าง รัฐมนตรีกักตัวยังได้เงินเดือนครบ แต่ประชาชนหยุดงานแบบพวกท่านไม่ได้อดตายทั้งบ้าน เมื่อไหร่พวกท่านจะยอมรับสักทีว่ายิ่งอยู่ประชาชนยิ่งแย่

"แล้วแทนที่จะแก้ไข พรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ก็มาคิดแจกขันลงชื่อพล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรค แจกทั้ง ๆ ที่สงกรานต์ท่านสั่งงดสาดน้ำ หลายคนถามกลับเหมือนกันแจกเอาไปทำอะไร ยุคคสช. ทักษิณแจกขัน พล.อ.ประยุทธ์ย้อนว่าแจกขันทำไม ทำไมไม่แจกตุ่มไว้รองน้ำหน้าแล้ง แล้วคนแจกขันก็โดนจับตั้งข้อหาม.116 ประมวลกฎหมายอาญา ฐานปลุกปั่นทำลายความมั่นคง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี แต่มาปีนี้ "บิ๊กป้อม" แจกบ้าง ทำไมเงียบเฉย แจกได้ไม่มีปัญหา มีแต่คำถามจากประชาชนหลายคน สวนกลับทันทีว่า เศรษฐกิจไม่ดีถึงแจกขันเตรียมพร้อมให้ประชาชนเป็นอุปกรณ์นั่งถือตามสะพานสอยแย่งอาชีพขอทานเพื่อขอความเมตตาจากคนผ่านไปมาหรืออย่างไร นี่ใช่มั้ยคือสิ่งที่ท่านต้องการ วันนี้เหตุการณ์บ้านเมืองน่าเป็นห่วง ประชาชนลำบาก แต่คนเป็นรัฐบาลยังยิ้มชื่นมื่น ตำรวจก็ดำเนินคดีม็อบแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่มีอะไรที่เป็นความหวังให้ประชาชนได้เลย" นางสาวตรีชฎา กล่าว


ที่มา : https://www.posttoday.com/politic/news/649822

ล่าสุด ชาวเน็ตขุดคลิป “สแตมป์ อภิวัชร์” การ์ดตก เล่นคอนเสิร์ตที่รร. แกรนด์เซนเตอร์พอยท์ ทองหล่อ แทบไม่ใส่หน้ากาก - ไม่เว้นระยะห่างทั้งงาน ประณามทำทุกอย่างเพื่อเซฟตัวเอง ครอบครัวและสังคมแทบตาย มาพ่ายให้กับคนที่ไม่ป้องกัน

จากกรณีที่ สแตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข นักร้องชื่อดังติดโควิด-19 โดยระบุว่า เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 2 เม.ย. 2564 ได้ไปเล่นคอนเสิร์ตที่โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยท์ ทองหล่อ และได้รับแจ้งเมื่อวันที่ 5 เม.ย. ว่า มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด และไปตรวจหาเชื้อและกักตัวทันที ก่อนจะโพสต์ข้อความแจ้งว่าผลตรวจโควิดเป็นบวก พบเชื้อโควิด-19 ก่อนเปิดเผยไทม์ไลน์และขอโทษผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วย

ล่าสุด ได้มีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง โพสต์วิดีโอคลิประบุว่า “เห็นข่าวแสตมป์กับดาราหลายคนติดโควิด-19 หลังไป Grand Centre Point มาเมื่อวันที่ 2 เรางงว่ามันงานอะไรเลยเข้าไปดูแท็ก location บนไอจี ดูเลยค่ะ มีคนใส่มาสก์ซักคนมั้ย ป่านนี้เชื้อมันแพร่ไปถึงไหนแล้ววว” ท่ามกลางชาวเน็ตแห่ประณามทำนองว่าประชาชนส่วนใหญ่ทำทุกอย่างเพื่อเซฟตัวเอง ครอบครัว และสังคมแทบตาย มาพ่ายให้กับคนที่ไปงานไพรเวตพวกนี้แล้วไม่ป้องกัน ทำไมเคสคลัสเตอร์ มาจากพวกมีอันจะกิน แต่คนเดือดร้อนคือคนหาเช้ากินค่ำ ฯลฯ


ที่มา :

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000032928

https://twitter.com/bangtanhypebot

‘หมอยง’ ระบุเชื้อไวรัสโควิด-19 กลับมาระบาดครั้งนี้หนักกว่าปีที่แล้ว เหตุเพราะย่อหย่อนมาตรการควบคุม แนะงดเดินทางช่วงกลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลสงกรานต์ ลดการแพร่ระบาดไปถึงผู้สูงอายุ

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Yong Poovorawan” ชี้สาเหตุเชื้อไวรัสโควิด-19 กลับมาระบาดครั้งนี้หนักกว่าปีที่แล้ว โดยระบุว่า

โควิด-19 กับการระบาดที่ยังเป็นปัญหาในประเทศไทย

การระบาดโควิด 19 มีผู้ป่วยจำนวนมากในกรุงเทพฯโดยมีต้นตอจากสถานบันเทิง

ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอายุไม่มาก อาการจึงไม่มีรุนแรง หรือไม่มีอาการเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ยากต่อการควบคุม เพราะผู้ติดเชื้อ จะไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อ จึงสามารถแพร่กระจายโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว จำนวนยอดผู้ป่วยในเดือนเมษายนนี้ มากกว่ากัน มาก หรือเปรียบเทียบง่ายๆปีที่แล้วเป็นหลักสิบ ปีนี้เป็นหลักร้อยต่อวัน

ปีที่แล้วมีมาตรการต่างๆมากมาย เลื่อนวันหยุดสงกรานต์ งดกิจกรรมต่างๆ ห้ามขายเหล้าขายเบียร์ มีแม้กระทั่งการบ้านในเวลากลางคืน และมาตรการส่งเสริมต่างๆในการป้องกัน ทุกคนเคร่งครัด เมื่อผ่อนปรน มีการ scan ชัยชนะ ในปีนี้ ผู้ไปเที่ยวผับบาร์ ได้มีการสแกนชัยชนะหรือไม่ ความเข้มงวดต่างๆลดลงอย่างมาก จึงเป็นต้นต่อให้เกิดการระบาดได้มากกว่าปีที่แล้ว

สมมุติว่า การระบาดครั้งนี้มากกว่าปีที่แล้ว 10 เท่า และมาตรการต่างๆของเราน้อยกว่าปีที่แล้ว 10 เท่า เท่ากับว่าความรุนแรงของการระบาดในปีนี้ เพิ่มมากขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว 100 เท่า

เทศกาลวันหยุดยาวจะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าผู้ที่ไม่มีอาการหรือมีการน้อย เมื่อเดินทางไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ต่างจังหวัด รวมทั้งการเฉลิมฉลอง จะเป็นแหล่งแพร่กระจายโรคได้เป็นอย่างดี และครั้งนี้ผลกระทบจะอยู่ใน ญาติผู้ใหญ่ ที่มีอายุมากขึ้น โอกาสเกิดโรคหรือความรุนแรงก็จะมากตามอายุ

อยากให้ทุกคนมีความเคร่งครัดระเบียบวินัย การไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ในช่วงเทศกาล ถือเป็นเรื่องดี แต่การนำโรคไปให้ท่าน ไม่ดีนะ การเดินทางครั้งนี้จำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ต่างๆมากมาย โดยเฉพาะเรื่องวิถีใหม่ การกำหนดระยะห่าง หลีกเลี่ยงการสัมผัส และการปฏิบัติตนเพื่อสุขอนามัย มีความจำเป็นสูงสุด

สังคมยุคใหม่ ถ้าใช้การเคารพ หรือเยี่ยม แบบออนไลน์ และงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดแพร่กระจายของโรคในขณะนี้

ปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะสวนทางกับการควบคุมการระบาดของโรค จะต้องอยู่ในภาวะสมดุล ถ้ามีผู้ป่วยติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ก็ไม่สามารถที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจทางการท่องเที่ยวได้ เพราะคงไม่มีใครอยากเดินทางมาในแหล่งระบาดของโรค

#หมอยง


ที่มา : เพจ Yong Poovorawan

"ศรีสุวรรณ" ร้อง กกต.สอบเลือกตั้งเทศบาลลำสามแก้ว จ.ปทุมธานี กรณีทำให้เข้าใจว่าพรรคการเมืองส่งสมัคร พร้อมให้สอบปมแจกขันน้ำ "บิ๊กป้อม"

เมื่อวันที่ 7 เมษายน  2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้นำชาวเทศบาลเมืองลำสามแก้ว จ.ปทุมธานี เดินทางมายื่นคำร้องต่อ กกต. หลังจากพบว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกเทศบาล ในวันที่ 28 มีนาคม 64 ที่ผ่านมา อันถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การกระทำที่อาจเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 มาตรา 65(5) คือ การที่มีผู้สมัครนายกเทศมนตรีและพวก ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัคร โดยการชักชวนให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ไปลงคะแนนเลือกผู้สมัครสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นด้วยวิธีการหลอกลวง หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครโดยชัดแจ้ง โดยพบว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตดังกล่าวบางรายและหรือบางกลุ่มอาจดำเนินการที่เข้าข่ายการกระทำที่ให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าพรรคการเมืองเป็นผู้ส่งลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค ซึ่งกรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นรับรู้เรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นกลับมิได้ใช้อำนาจในการยับยั้งหรือตัดสิทธิ์ผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่อย่างใด ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีโทษตาม มาตรา126 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 – 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี

นายศรีสุวรรณ ยังกล่าวถึงกรณีล่าสุดที่พรรคพลังประชารัฐ โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้ทำขันน้ำจำนวนกว่า 200,000ใบให้ ส.ส.ของพรรคนำไปแจกประชาชนในพื้นที่หาเสียงในช่วงสงกรานต์ ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยจำนวน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของการให้ตามประเพณีหรือเมื่อมีเหตุอันสมควรฯพ.ศ. 2561 และฉบับที่ 2 (พ.ศ.2564) เนื่องจากมีมูลค่าเกินกว่า 3 พันบาท ซึ่งขันน้ำพลาสติกดังกล่าว เมื่อเปรียบเทียบราคาที่มีจำหน่ายกันในท้องตลอดทั่วไปราคจะตกอยู่ประมาณใบละ10-29 บาท ดังนั้นการจัดทำขันน้ำของพล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะอยู่ประมาณ 2-9 ล้าน บาท 

ซึ่งระเบียบดังกล่าวกำหนดว่า “การให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้เกินกว่าจำนวนที่กำหนด ให้นำราคาหรือมูลค่าของเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ไปรวมคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไป” ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมฯ จึงนำความมาร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อดำเนินการไต่สวนสืบสวนให้เป็นไปตามครรลองของกฎหมายต่อไป 

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เมื่อประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ขอเดินตามรอย ท่านประธาน สี จิ้นผิง ที่สามารถดันญัตติผ่านสภาให้สามารถอยู่ในตำแหน่งผู้นำสูงสุดแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ตลอดชีพ

แต่สำหรับปูติน อาจจะไม่ได้เปรี้ยวเท่าท่านประธานสี ขอเนียนยืดต่อไปทีละ step ด้วยการเสนอเรื่องการต่ออายุการดำรงตำแหน่งอีก 2 สมัยผ่านประชามติเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2020 ที่ผ่านมา ให้ชาวรัสเซียตัดสินว่าจะให้มีการแก้รัฐธรรมนูญให้ปูตินสามารถอยู่ต่อได้อีก 2 สมัยหลังจากหมดวาระปัจจุบันในปี 2024 ได้หรือไม่ และผลประชามติก็ออกมาถล่มทลาย สนับสนุนให้สภารัสเซียแก้รัฐธรรมนูญได้ ด้วยคะแนน 78% ต่อ 22%

และชาวสภารัสเซีย ก็ไปจัดการร่างแก้กฎหมายใหม่มาเรียบร้อยผ่านทั้งสภาล่าง สภาบน จนมาจบที่ปลายปากกาของปูตินในวันนี้ เพื่อเซ็นรับรองกฎหมายใหม่อย่างเป็นทางการ

เท่ากับว่า ปูตินจะมีโอกาสลงเลือกตั้ง และเป็นประธานาธิบดีรัสเซียได้อีก 2 สมัย รวม 12 ปี หากชีวิตทางการเมืองของปูตินอยู่ยาวได้ตลอดเช่นนั้นจริง เท่ากับป๋าปูตินจะพ้นตำแหน่งในวัย 83 ปี และจะกลายเป็นผู้นำรัสเซียที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของรัสเซีย แซงหน้าโจเซฟ สตาลิน ไปเลยทีเดียว

ท่านป๋า วลาดิมีร์ ปูติน ของเราดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกในปี 2000 ที่ในสมัยนั้น รัฐธรรมนูญรัสเซียยังระบุให้ตำแหน่งผู้นำมีวาระเพียงสมัยละ 4 ปี ผู้นำ 1 คน สามารถอยู่ได้ไม่เกิน 2 สมัย

แต่พอปูตินนั่งยาวมาได้เต็ม 2 สมัย ด้วยคะแนนนิยมสูงลิ่ว เขาก็ดันลูกหม้อคนสนิท ดมิตรี้ เมดเวเดฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากเขา ส่วนเขาถอยมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน และในสมัยนี้ก็มีการแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องตำแหน่งผู้นำเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งสหพันธรัฐรัสเซีย โดยขยายระยะเวลาจาก 4 ปี เป็น 6 ปี และอนุญาตให้อดีตผู้นำที่เว้นวรรคตำแหน่งไปแล้ว สามารถกลับมาลงชิงตำแหน่งได้ ซึ่งเปิดทางให้ปูตินกลับขึ้นมานั่งแท่นประธานาธิบดีอีกครั้ง 2012 ยาวจนถึงตอนนี้นับเป็นสมัยที่ 4 แล้ว และจะครบวาระในปี 2024

แต่ถึงแม้ว่าจะชงมติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ดันเอง เซ็นอนุมัติเอง หากใครมาถามป๋าว่า ยังจะลงสู้ศึกเลือกตั้งหลังปี 2024 ต่อหรือไม่ ป๋าก็ยังแบ่งรับ แบ่งสู้ ไม่ยืนยันใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงเวลาก็เห็นเอง ดังนั้นก็คงไม่ต้องถามหรอกว่าหลังจากปี 2036 ป๋ายังจะอยู่ต่ออีกไหม แค่ให้รู้ไว้ว่า ฉายา พระเจ้าซาร์ ปูติน ไม่ได้มาเล่น ๆ

แต่ตอนนี้ก็เป็นห่วงแต่ อเล็กเซ นาลวานี ฝ่ายค้านผู้จุดกระแสต่อต้านปูตินในรัสเซีย ที่เกือบตายจากการโดนวางยาพิษ แต่ตอนนี้กำลังอดอาหารประท้วงอยู่ภายในเรือนจำ หากท่านป๋าปูตินจะอยู่ยาวขนาดนี้ อาจต้องรีบเปลี่ยนกลยุทธด่วน ๆ


อ้างอิง

https://www.themoscowtimes.com/2021/04/05/putin-signs-law-paving-way-to-rule-until-2036-a73430

https://www.theguardian.com/world/2021/apr/05/vladimir-putin-passes-law-that-may-keep-him-in-office-until-2036

https://foreignpolicy.com/2020/07/03/putin-russia-voter-rubber-stamp-approval-constitutional-referendum-2036/

‘สุริยะ’ จี้ สมอ. คุมเข้มสินค้า 43 รายการ เสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิต ให้เร่งประกาศเป็นสินค้าควบคุม ทั้งไฟฟ้า ยานยนต์ เคมี วัสดุก่อสร้าง เครื่องมือแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ภายในปีนี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพที่เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันจากที่เป็นอยู่ให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถดึงความสนใจของนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาในประเทศไทยได้

ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมและกระทรวงอุตสาหกรรมต้องเร่งดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นใจภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกดิ่งลงเป็นประวัติการณ์ และในการผลักดันการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำเป็นต้องมีมาตรการเสริมนอกเหนือจากการส่งเสริมการลงทุนโดยปกติ ซึ่งมาตรฐานก็เป็นหนึ่งในมาตรการที่มีความสำคัญต่อ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะยกระดับคุณภาพสินค้าให้สามารถแข่งขันทางการค้าในตลาดโลกได้

“ผมได้เร่งรัดให้ สมอ. เร่งดำเนินการกำหนดมาตรฐานเพื่อให้ทันกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้เข้มงวด และควบคุมสินค้าที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน โดยให้เร่งประกาศเป็นสินค้าควบคุมด้วย” นายสุริยะฯ กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ได้ขออนุมัติบอร์ด สมอ. กำหนดมาตรฐานสินค้าทั้งสิ้นจำนวน 361 เรื่อง ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve จำนวน 117 เรื่อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรม New S-Curve จำนวน 60 เรื่อง เช่น หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิตอล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร กลุ่มอุตสาหกรรมเชิงนโยบายและอื่นๆ จำนวน 113 เรื่อง ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ เกษตรแปรรูป พลาสติก ยาง สมุนไพร นวัตกรรม เป็นต้น และกลุ่มผลิตภัณฑ์พื้นฐานตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม จำนวน 71 เรื่อง ได้แก่ เครื่องกล เหล็ก คอนกรีต วัสดุก่อสร้าง และโภคภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ไตรมาส 2 สมอ. กำหนดมาตรฐานแล้วทั้งสิ้นกว่า 250 เรื่อง และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด ภายในไตรมาสที่ 4 อย่างแน่นอน

“ขณะนี้ สมอ. อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำมาตรฐานใหม่ที่จะประกาศเป็นสินค้าควบคุมอีกทั้งหมด 43 รายการ เช่น ยางหล่อดอกซ้ำ เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนเคลือบสังกะสี หน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียว ถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว กระดาษสัมผัสอาหาร ภาชนะพลาสติกสำหรับบรรจุน้ำบริโภค เครื่องฟอกอากาศ ถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหาร เก้าอี้นวดไฟฟ้า และเครื่องเล่นสนาม ได้แก่ ชิงช้า กระดานลื่น ม้าหมุน อุปกรณ์โยก เป็นต้น และนำมาตรฐานเดิมมาทบทวนและเสนอบังคับต่อเนื่องอีกจำนวน 21 รายการ เช่น

มาตรฐานในกลุ่มสีย้อมสังเคราะห์ เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างเครื่องจักรกล เตารีดไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า เตาไมโครเวฟ ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ เครื่องดับเพลิง และแบตเตอรี่มือถือ เป็นต้น โดยทั้งหมดจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2564 นี้ จึงขอแจ้งไปยังผู้ประกอบการที่จะทำสินค้าดังกล่าว ให้เตรียมตัวดำเนินการตามมาตรฐาน ทั้งที่ทำในประเทศ และนำเข้า เพราะท่านจะต้องขออนุญาตจาก สมอ. ก่อนทำหรือนำเข้า พร้อมทั้งให้เตรียมตัวยื่นขอใบอนุญาตก่อนวันที่มาตรฐานแต่ละรายการจะมีผลบังคับใช้ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อได้ที่ สมอ. หรือจะยื่นขอ มอก. ออนไลน์ผ่านระบบ E-license ได้ที่ https://itisi.go.th/e-license/ ตลอด 24 ชั่วโมง” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

“สุชาติ” เผย โครงการ ม.33 เรารักกัน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทำเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้าน เตรียมขอขยายตรวจหาเชื้อโควิดในแรงงานต่างด้าวไปอีก 1-2 เดือน

7 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุถึงการกระจายรายได้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการ ม.33 เรารักกัน ว่า มีเม็ดเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้านบาท จากจำนวนเงินในโครงการที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังได้ให้มา 37,000 ล้านบาท มีรอบเงินหมุนเวียนในตลาดมีการใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจำนวนเงิน 37,000 ล้านบาท หากมีการหมุนเวียน 1 เดือนจำนวนสามรอบจะมีเงินกว่าแสนล้านบาทขยายลักษณะแนวนอน ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจฐานรากขยายตัวขึ้น

นายสุชาติ กล่าวถึงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ลามถึงทำเนียบรัฐบาลที่ทำให้รัฐมนตรีหลายคนต้องกักตัว ว่า ส่วนตัวมองว่ารัฐมนตรีทุกคนระมัดระวังตนเองอยู่แล้ว อย่างเช่นตน ซึ่งรัฐบาลก็พยายามหามาตรการควบคุมอย่างดีที่สุดและในส่วนของกระทรวงแรง ตนได้กำชับสถานประกอบการและเดินหน้าตรวจโควิดให้กำแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนอย่างต่อเนื่อง และในวันนี้ขยายระยะเวลาการตรวจหาโควิดและเก็บอัตลักษณ์ในแรงงานต่างด้าวออกไป 1-2 เดือนเพราะกังวัลว่าจะไม่ทันวันที่ 16 เมษายนนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top