Saturday, 26 April 2025
Hard News Team

‘ศิริกัญญา ตันสกุล’ กล่างถึงกรณีไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว จี้รัฐเร่งฉีดวัคซีนให้ครบ - ออกมาตรการการเงินช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพราะถือเป็นโอกาสสุดท้ายของประเทศขออย่าพลาดเป้าซ้ำรอยเดิม

นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝ่ายนโยบาย เปิดเผยทางเฟซบุ๊กแฟนเพจพรรคก้าวไกล ว่า หลังจาก ศบศ. มีข่าวดีเรื่องมาตรการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3 ระยะ ระยะแรก เริ่มแล้วตั้งแต่เมื่อ 1 เม.ย. เปิดรับเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส แต่ยังต้องมีการกักตัวในโรงแรม 7 วันโดยไม่ต้องกักตัวในห้องพัก หลังจากนั้นจะสามารถเดินทางไปพื้นที่ปิดเพื่อท่องเที่ยวในพื้นที่ที่กำหนดภายนอกโรงแรมได้ โดยพื้นที่นำร่องได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา เกาะสมุย พัทยา และเชียงใหม่ ระยะที่ 2 ดีเดย์วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตได้และต้องกักตัวอยู่ในภูเก็ตอย่างน้อย 7 วัน ก่อนที่จะสามารถเดินทางไปที่อื่นๆ ได้ และใช้มาตรการป้องกันควบคู่กับ Vaccine Certificated รวมถึงใช้แอปพลิเคชันติดตามตัว ส่วนระยะที่ 3 ในไตรมาส 4 ปี 2564 จะเพิ่มพื้นที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่ต้องกักตัวมากขึ้น เช่น กระบี่ พังงา เกาะสมุย พัทยา และเชียงใหม่

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนทางมาจำนวน 1 แสนคนในไตรมาส 3 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศยุโรป และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 6.5 ล้านคนในปี 2564

เท่ากับเรามีเวลาอีก 3 เดือน เพื่อเตรียมตัวเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังมีอีก 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาให้ทัน เรื่องแรกคือการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในจังหวัดนำร่องให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ herd immunity ให้ทันเวลา และเรื่องที่ 2 คือ เตรียมการให้ผู้ประกอบการพร้อมรับนักท่องเที่ยว

สำหรับเรื่องแรก การเร่งฉีดวัคซีน เพื่อเตรียมรับการเปิดประเทศในเดือนกรกฎาคม ภูเก็ตจะได้วัคซีนราว 100,000 โดส สำหรับ 50,000 คน ในปัจจุบันอัตราการฉีดในภูเก็ตขณะนี้ยังอยู่ที่วันละ 4,000 คนเท่านั้น และยังต้องรออีกระยะเพื่อให้ประชาชนเกิดภูมิคุ้มกัน ตอนนี้ได้รับจัดสรร 50,000 โดสแรกมาแล้ว จากรายงานข่าวของมติชน สาธารณสุขคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้คนภูเก็ตได้เพิ่มเป็นวันละ 7,000 คน นั่นหมายความว่าหากเป็นไปตามแผน จังหวัดภูเก็ตก็จะกระจายวัคซีนล็อตสอง 50,000 โดส เสร็จสิ้นก่อนสงกรานต์ แต่หากจะฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ จังหวัดภูเก็ตต้องฉีควัคซีนให้ได้ถึง 70% หรือคิดเป็นประชากรราว 460,000 คน ซึ่งต้องใช้วัคซีนประมาณ 920,000 – 930,000 โดส ก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ฉีดวัคซีนครบแล้วให้เดินทางเข้ามา นับว่าเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง

การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่เป็นเรื่องสำคัญมาก ถึงแม้เราจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วถึงจะเข้าประเทศได้ แต่อย่าลืมข้อเท็จจริงที่ว่าการฉีดวัคซีนโควิดนั้นจะช่วยลดความรุนแรงของอาการป่วย แต่ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ และการแพร่เชื้อ ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วจะยังเป็นพาหะของโรคโควิดและสามารถแพร่กระจายโรคได้ ประโยชน์ของการรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วอยู่ที่เราไม่ต้องเสียทรัพยากรทางการแพทย์ไปรักษานักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในจังหวัดนำร่องได้เพราะการกักตัวลดลงเหลือ 7 วัน ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดหลังกักตัวก็ควรมีการตรวจโควิดแบบ rapid test ดูว่าร่องรอยการติดเชื้อหรือไม่ เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่น่าจะสร้างความอุ่นใจให้ประชาชนได้ไม่น้อย

สำหรับเรื่องที่สอง ศิริกัญญา กล่าวถึง การเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการ ครม. เพิ่งมีมติเห็นชอบ 2 มาตรการทางการเงินช่วยเหลือ SME คือมาตรการซอฟต์โลนรอบที่ 2 วงเงิน 250,000 ล้านบาท และ มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ (Asset Warehousing) วงเงิน 100,000 ล้านบาท ที่มีแผนจะออกเป็น พรก. โดยอ้างว่าเป็นความเร่งด่วน แต่ยังไม่คลอดออกมาเสียที ทั้งที่ความจริงถ้าจะออกเป็น พ.ร.บ. ก็ไม่น่าจะมีใครขัดข้อง ยอมให้ตั้งกรรมาธิการทั้งสภาเพื่อเปิดช่องทางด่วนให้ผ่านวาระ 2,3 ได้ในวันเดียว แถมสภาฯ ก็เปิดสมัยวิสามัญกันอยู่เป็นระยะ

2 มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินนี้ ดูจะเป็นความหวังสำหรับภาคท่องเที่ยว มาตรการซอฟต์โลนรอบ 2 น่าช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวได้สภาพคล่องไปเตรียมตัวเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากโรงแรมหลายแห่งต้องปิดตัวชั่วคราวมาระยะหนึ่งหลังการแพร่ระบาดและนักท่องเที่ยวหดหาย ข้อดีของมาตรการรอบนี้คือยอมให้เอกชนที่ยังไม่เคยมีหนี้กับแบงก์ขอกู้ได้ด้วย ยืดระยะเวลาการจ่ายคืนหนี้ออกไปได้สูงสุดถึง 10 ปี แต่ต้องยอมให้แบงก์ชาร์จดอกเบี้ยแพงขึ้นเป็น 5% และแก้ปัญหาแบงก์ไม่อยากปล่อยลูกค้ากลุ่มเสี่ยงอย่างภาคท่องเที่ยวด้วยการการันตีสินเชื่อโดย บสย. สูงถึง 40% ของพอร์ตสินเชื่อ และอยู่ระหว่างการออกประกาศสัดส่วนการันตีหนี้ตามขนาดของสินเชื่อ รายเล็กอาจจะได้ค้ำประกันในสัดส่วนที่มากกว่าเพื่อจูงใจให้แบงก์กล้าปล่อยมากขึ้น

การแก้ไขซอฟต์โลนรอบนี้ก็คล้ายคลึงกับร่างแก้ไขพรก.ซอฟต์โลนที่พรรคก้าวไกลได้ยื่นต่อสภาไปแล้ว เพื่อปลดล็อกซอฟต์โลน 500,000 ล้านก้อนแรกที่ผ่านไปเกือบปี เพิ่งปล่อยออกไปเพียง 130,000 ล้าน เพราะแบงก์เองยังไม่กล้าปล่อยด้วยความที่กลัวความเสี่ยง และดอกเบี้ย 2% นั้นเข้าเนื้อ ส่วนลูกหนี้ก็บ่นว่าให้กู้แค่ 2 ปีจ่ายคืนหนี้ไม่ไหว

ส่วนมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ หรือ Asset Warehousing น่าจะมาช่วยต่อลมหายใจ ลูกหนี้ที่ใกล้จะหมดลม เพราะจ่ายหนี้ไม่ไหว มาตรการนี้จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการยกทรัพย์สิน เช่น อาคาร หรือที่ดินให้เป็นของแบงก์แทนการจ่ายหนี้ ลูกหนี้ยังคงสิทธิ์ในการซื้อคืนในราคาตีโอน เช่น ธุรกิจโรงแรมสามารถโอนตึกโรงแรมให้เป็นของแบงก์เพื่อปลดหนี้ส่วนหนึ่ง หลังจากนี้ยังสามารถเช่าใช้ตึกทำธุรกิจต่อได้ จนครบ 5 ปีก็สามารถซื้อคืนได้ตามมูลค่าที่แบงก์ตีราคาในวันที่โอน บวกค่าใช้จ่าย carrying cost 1% และค่าบำรุงรักษา ส่วนแบงก์เองก็น่าจะชอบแนวทางนี้ เพราะนอกจากจะได้ซอฟต์โลนจากแบงก์ชาติ ในอัตรา 0.01% แล้ว ยังไม่ต้องกันสำรองหนี้ที่กำลังจะกลายเป็น NPL กำไรเพิ่มเห็น ๆ

ดูเผินๆ ก็น่าจะช่วยแบ่งเบายอดหนี้ให้กับลูกหนี้ ส่วนแบงก์ก็ได้ลดหนี้ NPL วิน-วินทั้งสองฝ่าย แต่ก็ต้องตามดูในรายละเอียดที่ออกตามมา ในการกำกับดูแลการคิดค่าเช่า ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา การประเมินราคาว่าจะเป็นธรรมกับทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้หรือไม่ หรือกลายจะเป็นการอุ้มแบงก์เหมือนที่ผ่าน ๆ มา

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ รอแค่ให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการนี้มาโดยเร็ว ให้ทันการณ์ และจะรอช้าไม่ได้ เพราะประเทศกำลังจะเปิดรับนักท่องเที่ยวชุดใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนแล้ว กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวได้มีสภาพคล่องไปรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว ปรับปรุงฟื้นฟูสถานที่ เตรียมการจ้างงาน ถึงแม้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะกลับมาไม่มากเท่าเดิมในปีนี้ และไม่น่าจะถึงเป้า 6.5 ล้านคนที่ ททท. คาดหวัง แต่ก็เป็นการต่อลมหายใจให้เมืองท่องเที่ยวได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาผงกหัวขึ้นได้ต่อในปี 2564

“ที่ต้องออกมาเตือนกัน เพราะไม่อยากให้ซ้ำรอยเดิม ที่รัฐบาลเพิกเฉยกับงบฟื้นฟูที่มีอยู่ตรงหน้า ทำให้พลาดโอกาสพลิกฟื้นเศรษฐกิจไปอย่างน่าเสียดาย โครงการต่างๆ ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านภายใต้ พรก.เงินกู้ 1 ล้านล้าน ที่เพิ่งอนุมัติกันไปเพียง 130,000 ล้านบาท เบิกจ่ายไปได้ไม่ถึงครึ่ง มีโครงการพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว งบ 15 ล้าน เบิกจ่ายไปไม่ถึง 2 ล้าน หรือแม้แต่โครงการเราเที่ยวด้วยกันที่แป๊กแล้วแป๊กอีก วาดฝันโครงการไว้ 20,000 ล้าน แต่เพิ่งใช้งบไปเพียง 8,700 ล้านบาทเท่านั้นเอง” นางสาวศิริกัญญา กล่าวปิดท้าย

LG Electronics Inc. กำลังปิดหน่วยสมาร์ทโฟน เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและมุ่งเน้นไปที่โครงการในอนาคตเช่นส่วนประกอบของรถยนต์ไฟฟ้า หลังแผนกนี้ขาดทุนอย่างหนัก

LG จะยุติการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรในด้านการเติบโตรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV), บ้านอัจฉริยะ, หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์

ทั้งนี้ โทรศัพท์มือถือคิดเป็น 8.2% ของยอดขาย LG ในปีที่แล้ว โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีการสูญเสียรายได้อีกในระยะสั้น ฉะนั้นหากบริษัทปิดธุรกิจนี้ น่าจะเป็นผลดีทางการเงินในระยะยาว แล้วไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงไปทุ่มพัฒนาเทคโนโลยีมือถือเช่นระบบเครือข่ายและกล้องรุ่นที่ 6

สำหรับ LG เริ่มผลิตโทรศัพท์มือถือครั้งแรกในปี 1995 และ LG เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกระบบปฏิบัติการ Android โดยร่วมมือกับ Google ของ Alphabet Inc. ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน Nexus และผลิตกล้องและเทคโนโลยีการแสดงผลที่ดีที่สุดในกลุ่มนี้

โดย LG Electronics เคยเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ยิ่งไปกว่านั้นในแง่ของส่วนแบ่งการตลาดในตลาดสหรัฐ LG ก็เคยเป็นอันดับสามรองจาก iPhone ของ Apple Inc. และSamsung Electronics Co. จากประเทศเดียวกัน

แต่ปัจจุบัน LG สู้คู่แข่งไม่ได้มาหลายปี และจากนั้น OnePlus ของจีน ก็พุ่งพรวดเข้ามาแทนที่ท่ามกลางการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปทั่วโลกให้กับคู่แข่งจากต่างประเทศ โดยธุรกิจมือถือของ LG ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่มาตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2015มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานสะสมถึง 5 ล้านล้านวอน (4,400 ล้านดอลลาร์) ในปีที่แล้วตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮัป

ดังนั้นในเดือนมกราคมผ่านมา ทางบริษัทจึงตัดสินใจทบทวนทิศทางของธุรกิจสมาร์ทโฟนใหม่ ด้วยการปิดไลน์ธุรกิจดังกล่าว ทั้งๆ ที่เมื่อเดือนก่อนหน้านั้นสัญญาว่าจะขายโทรศัพท์แบบพับได้ในปีนี้


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/649675

ไอเดียกระฉูด! รัฐบาล สั่งปั้นแอปฯ ‘เป๋าตัง’ ต่อยอดระบบอี-เพย์เมนต์ เล็งเปิดให้ประชาชนกู้เงินกันเองผ่านแอปพลิเคชั่น

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังศึกษาแนวทางการต่อยอดการทำธุรกรรมของประชาชนผ่านระบบอี-เพย์เมนต์ ให้มากขึ้น โดยในอนาคตอาจให้ประชาชนสามารถปล่อยกู้ระหว่างกันเองผ่านแอพพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และประชาชนที่มีเงินออมเพียงพอที่จะสามารถปล่อยกู้และรับความเสี่ยงได้ก็ใช้ช่องทางนี้ปล่อยเงินกู้ได้ตามกฎหมายที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งเชื่อว่าในอีกไม่นานจากนี้จะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น

สำหรับรูปแบบการดำเนินการในลักษณะนี้พบว่ามีต้นแบบการดำเนินการแล้วในต่างประเทศ เช่น ในประเทศจีนมีการดำเนินการโดยบริษัท อาลีบาบา ที่มีบริษัทลูกที่ดำเนินการในเรื่องนี้ โดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยวิเคราะห์เครดิตของผู้กู้เงินทำให้การปล่อยกู้เงินผ่านระบบแอพพลิเคชั่นสามารถทำได้

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า การช่วยเหลือประชาชนผ่านระบบอีเพย์เมนต์ที่รัฐบาลโอนเงินช่วยเหลือให้ประชาชนผ่านแอพพลิเคชั่นเป๋าตังหลายโครงการในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเรียนรู้การใช้จ่ายเงินผ่านระบบอีเพย์เมนต์ได้รวดเร็วโดยความสำเร็จในเรื่องนี้รวมทั้งข้อมูลที่รัฐบาลได้รับในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลกำลังพัฒนาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

“อนุทิน” แจงแผนจัดการวัคซีนโควิด 19 ลุ้น เดือนเมษาฯ ได้ 1.5 ล้านโดส

วันที่ 5 เมษายน ที่ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวถึงแผนบริการจัดการวัคซีนโควิด -19 ว่า สำหรับวัคซีนป้องกันโควิด 19 จากบริษัท Sinovac จำนวน 1 ล้านโดส สุดท้ายจากการคำสั่งจัดหาทั้งสิ้น 2 ล้านโดส ได้รับการยืนยันว่าจะส่งเข้ามาถึงไทยภายในกลางเดือนเมษายน 2564 และล่าสุด ได้รับรายงานว่า ได้ประสบความสำเร็จ ในการเจรจาสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มเติมจากบริษัท Sinovac อีก 500,000 โดส  ซึ่งตามแผนไทยจะได้รับวัคซีนในเดือนเมษายนเช่นกัน  สรุปเดือนนี้ ไทยน่าจะได้วัคซีน 1.5 ล้านโดส

"การที่ประเทศไทยมีวัคซีนที่จัดหาได้เพิ่มเติมเช่นนี้ ก็เพื่อรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า และเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรให้เป็นไปตามแผนระยะต่างๆ ระหว่างรอวัคซีนจากแอสตร้าเซเนก้า ที่ผลิตใน ประเทศไทย ซึ่งทยอยออกมาฉีดให้ประชาชนในเดือนมิ.ย. เดือนละ 5-10 ล้านโดส" 

นายอนุทิน กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสถานบันเทิง ว่า กรมควบคุมโรค รายงานข้อมูลการติดเชื้อจากสถานบันเทิงสูงตัวเลขค่อนข้างสูง ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของประชาชน  จะต้องเสนอมาตรการที่มีความเข้มข้นต่อที่ประชุม ศบค. อาจถึงขั้นเสนอให้ปิดสถานบันเทิงในพื้นที่เสี่ยงหรือมาตรการที่มากกว่านั้น เพราะหากติดในพื้นที่หนึ่ง แต่บางพื้นที่ยังเปิดอยู่ ก็อาจจะเกิดการเคลื่อนย้ายของคน ซึ่งจะควบคุมได้ยาก 

"แต่ก็ต้องให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกันอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ประชาชนช่วยกัน ให้ความร่วมมือในมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ในปีที่ผ่านมาเราสามารถควบคุมการระบาดไว้ได้ เพราะทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ระหว่างนี้ก็จะมีการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนตามแผนที่เราได้วางไว้" อนุทินกล่าว 

นายอนุทิน กล่าวว่า ในพื้นที่ กทม. ได้ปรับแผนบริการวัคซีนโดยจะนำลงไปฉีดให้กับ พนักงานที่ทำงานในสถานบันเทิงและครอบครัว ในข้อเสนอนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละพื้นที่ โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ทำงานอย่างเป็นระบบอยู่แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแผนหลักสำหรับจัดการสถานการณ์ แต่เมื่อมีเหตุเร่งด่วนก็พร้อมปรับแผนเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่เข้ามา ขอย้ำว่า กระทรวงสาธารณสุขทำงานอย่างเต็มความสามารถ ทุกอย่างอยู่ในแผนหลัก และแผนรอง 

“รมช.มนัญญา” เร่งขยายพื้นที่การปลูกกัญชาต้นแรกของจังหวัดกระบี่

นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีปลูกกัญชาต้นแรกของจังหวัดกระบี่ ที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมเยี่ยมชมโรงเรือนปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ร่วมกับ รพ.สต.บ้านบางผึ้ง  อำเภอคลองเหนือ จังหวัดกระบี่ โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะส่งเสริมสนับสนุนมีเจ้าหน้าที่ให้ความรู้เรื่องการปลูกกัญชา ผลักดันกัญชาให้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่เพิ่มเติม และทำการวิจัยสายพันธุ์กัญชาที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยมุ่งหวังให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และให้ประสิทธิภาพสูง สามารถนำมาต่อยอดกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกกัญชา พร้อมจัดหาตลาดกลาง รูปแบบระบบเครือข่ายเพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายให้เกษตรกร ณ วิสาหกิจชุมชนคนกระบี่เพื่อปลูกสมุนไพร จังหวัดกระบี่

ทบ. ร่วมกับทุกส่วน ตั้งจุดบริการดูแลอำนวยความสะดวกประชาชนเทศกาลสงกรานต์ 2564 สร้างความปลอดภัย ร่วมสืบสานประเพณีไทยใต้รูปแบบวิถีใหม่

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ในช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2564 พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก มีข้อห่วงใยต่อกำลังพล ครอบครัวและประชาชน อยากให้เฉลิมฉลองเทศกาลอย่างมีความสุข โดยไม่ประมาท กองทัพบกได้บูรณาการร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ ภาคเอกชนและประชาชนจิตอาสาใช้ศักยภาพของทุกองค์กรในการจัดตั้งจุดบริการร่วมและอำนวยความสะดวกในรูปแบบ New Normal “สงกรานต์ ปลอดภัยกองทัพบกห่วงใยประชาชน” บริเวณเส้นทางปมคมนาคมที่มีการจราจรหนาแน่นและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ จุดที่ประชาชนสามารถเข้าถึง และรับบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10-17 เมษายน 64 โดยบริการในรูปแบบครบวงจรตามมาตรการ ศบค.  

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ กล่าวต่อว่า โดยประชาชนที่มีแผนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลนี้ นอกจากแวะพักรับบริการตามจุดต่างๆ แล้ว กองทัพบกยังมีสถานที่ท่องเที่ยวในเขตทหารเป็นทางเลือกให้ได้เข้าชม และพักผ่อนจากการขับยานพาหนะในการเดินทาง อาทิ พิพิธภัณฑ์ ศูนย์เรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศรวมทั้งสถานพักฟื้นและพักผ่อนของกองทัพบก กรีนเลครีสอร์ท จ.เชียงใหม่, สวนสนประดิพัทธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และไชยนารายณ์ ริเวอร์ไซด์ จ.เชียงราย สำหรับพื้นที่ที่มีการจัดกิจกรรมสงกรานต์ตามแต่ละจังหวัด กำลังพลจิตอาสาของกองทัพบกได้ลงพื้นที่ทำความสะอาดเตรียมสถานที่ สนับสนุนบุคลากรสายแพทย์จากโรงพยาบาลค่ายทั้ง 37 แห่ง ร่วมกับสาธารณสุขในพื้นที่ให้บริการดูแลรักษาประชาชน รวมทั้งหน่วยทหารมีการเตรียมเข้าบริจาคโลหิตหากมีเหตุฉุกเฉินหรือความจำเป็นเร่งด่วนด้วย 

‘บิ๊กตู่’ แย้มอยู่ระหว่างพิจารณาปิดสถานบันเทิง หลังพบผับ ย่านทองหล่อ เป็นคลัสเตอร์ใหม่ กระจายเชื้อโควิด-19

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่าขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาปิดสถานบันเทิงที่เป็นคลัสเตอร์แพร่ระบาดใหม่

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีเข้าไปในสถานบันเทิงย่านทองหล่อ ซึ่งพบว่ามีผู้ติดโควิด-19 เข้าไปใช้บริการนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐมนตรีที่เป็นข่าวได้มีการชี้แจงเรื่องนี้แล้ว โดยขอให้มองเป็นบุคคลธรรมดาเหมือนประชาชนทั่วไป เพียงแต่บุคคลดังกล่าวจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นถ้าทำเช่นนั้นจริง ซึ่งตนก็ได้เตือนไปแล้ว

นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบว่าจากนี้ไปต้องมีการย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)หรือไม่ ว่า หากจะเดินทางไปสถานที่ใดก็ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ส่วนจะพิจารณาปิดสถานบันเทิงที่เป็นคลัสเตอร์แพร่ระบาดใหม่หรือไม่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา

ขณะเดียวกัน ทางด้านศบค.จะมีการหารือกำหนดมาตรการ โดยอธิบดีกรมควบคุมโรค จะเสนอมาตรการกันโควิด-19 ต่อที่ประชุม ศบค. โดยจะให้เจ้าพนักงานมีอำนาจ หากพบมีความเสี่ยง สามารถสั่งปิดสถานประกอบการ แล้วให้ไปจัดการทำตามมาตรการที่กำหนด ได้ทันที โดยมีข้อสรุปเป็น 3 ประเด็น

1.) หากพบ ผับ บาร์ คาราโอเกะ ที่ใด มีการพบการติดเชื้อโควิด-19 จะต้องมีการปิดสถานบันเทิงในทันที เบื้องต้น เป็นเวลา 2 สัปดาห์

2.) หากพบโซนสถานประกอบ ที่มีการติดเชื้อเป็นวงกว้าง และพบว่า ไม่สามารถควบคุมไม่ได้ ให้อำนาจ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ผู้ว่าฯ กทม.พิจารณาสั่งปิดเป็นโซน หรือหากแย่จริงๆ ขยายปิดทั้งจังหวัดได้ ดังนั้น เน้นย้ำ ผู้ประกอบการทุกราย ต้อง "ยกการ์ดสูง"

และ 3.) สิ่งสำคัญ คือ มาตรการเข้มงวดร้านอาหาร แม้ตอนนี้ยังไม่พบมีการติดเชื้อโควิด-19 เป็นกลุ่มเป็นก้อนในร้านอาหารก็ตาม แต่พบว่า ผู้ที่ไปในสถานบันเทิงก็มีการไปกินอาหารในร้านอาหารกับญาติพี่น้องด้วย ดังนั้น ศบค.ฝากเน้นย้ำ ให้สถานบันเทิง ร้านอาหาร พื้นที่ชุมนุม อยากให้ช่วยกันเฝ้าระวัง อย่างเข้มงวดที่สุด โดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์ ที่จะถึงนี้ ศบค. จะขอติดตามดูแลท่าน แบบ "หายใจรดต้นคอ" ตอนนี้ยังไม่มีรายงานการติดเชื้อ แต่หากอีก 3 วัน มีรายงานเมื่อใด ก็ต้องสั่งปิด ดังนั้นของเจ้าของสถานประกอบการ และประชาชน ได้ช่วยกันสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวดด้วย

‘วราวุธ’ ไม่กังวล กระแสโซเชียล เปรียบเจาะบ่อบาดาลรัฐกับ ‘พิมรี่พาย’ ยันโปร่งใส ตรวจสอบได้ เล็งดำเนินคดีผู้ลักลอบขุดเจาะบ่อบาดาล ผิดกฎหมาย

นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์กรณีโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์การขุดบ่อบาดาล ที่ ‘พิมรี่พาย’ แม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง ช่วยชาวบ้านขุดโดยใช้แสนกว่าบาท กับของภาครัฐ ว่า แต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน บางพื้นที่ขุดเป็นร้อยเมตรจึงเจอน้ำ แต่บางพื้นที่ขุดเพียง 40 - 50 เมตรแล้วเจอน้ำบาดาล ส่วนในพื้นที่ภาคกลางขุดอย่างต่ำ ต้องลึกถึง 300 - 400 เมตร

โดยค่าใช้จ่ายก็มีราคาในการขุดแตกต่างกันไป ถ้าขุดตื้นราคาอยู่ในหลักแสน หากขุดลึกลงไปถึง 400 เมตร ราคาหลักแสนเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะคุณภาพและมาตรการต่าง ๆ ที่จะต้องมีเทคนิคเข้ามาช่วย ทั้งรถเจาะ หรือเครื่องกรองน้ำที่จะต้องมากรองน้ำที่อาจมีโลหะหนักอย่างสนิมเหล็ก ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

นายวราวุธ กล่าวว่า ยืนยันว่าโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล มีราคากลางที่สำนักงบประมาณกำหนดเอาไว้ว่าอุปกรณ์ในการขุดเจาะน้ำบาดาลแต่ละอย่างมีราคาเท่าไหร่ สามารถตรวจสอบได้ หากบางพื้นที่มีการร้องเรียนเข้ามาทางกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก็จะลงไปตรวจสอบ

ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลกับกระแสทางโซเชียลฯ ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบบ้างหรือไม่ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะเวลาเปรียบเทียบก็คงเปรียบเทียบกับสิ่งที่ใกล้เคียงกัน คือหากเจาะลงไป 40 เมตรแล้วเจอน้ำเลย จะดีใจมากเพราะงบประมาณที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลมีอยู่ จะสามารถนำไปเจาะได้อีกหลายพันบ่อ และปีที่ผ่านมากรมทรัพยากรน้ำบาดาลเจาะไปเกือบพันบ่อแล้ว ซึ่งระบบที่ทางกรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการ ทางพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่กำกับดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เน้นให้ดูแลประชาชนในวงกว้าง บางแห่งสามารถดูแลประชาชนได้ทั้งตำบล เราเดินบาดาลระยะไกล พื้นที่การเกษตรเกือบพันไร่ ไม่ใช่ดูแลแค่หมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่ง

“เป็นสิ่งที่ดีที่ปัจจุบันมีประชาชนหลายฝ่ายให้ความสนใจและมาช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อนเรื่องน้ำ แต่การทำงานอาจแตกต่างกันทั้งในลักษณะการทำงานและความยากง่ายในการทำงานเพราะราชการก็ทราบกันดีว่ากฎระเบียบหลายอย่าง”

เมื่อถามว่าก่อนขุดเจาะน้ำบาดาลปกติจะมีกรมทรัพยากรธรณี ไปสำรวจก่อนหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า ต้องมีการสำรวจก่อนเพื่อดูสภาพพื้นที่โดยรวมว่าปลอดภัยแค่ไหนที่จะเจาะ ถ้าเจาะแล้วพื้นที่ดังกล่าวยุบลงไปก็จะมีปัญหาได้ และต้องดูด้วยว่าโดยรอบมีแหล่งน้ำบนดินหรือไม่ ถ้ามีก็จะพัฒนาแหล่งน้ำบนดินก่อน เพราะไม่จำเป็นเราไม่อยากเอาขึ้นมาใช้เพราะเป็นสมบัติที่ปู่ ยา ตา ทวด เก็บเอาไว้

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ภาคเอกชนสามารถขุดเจาะไปได้ก่อนแล้วค่อยมาทำเรื่องขอทีหลัง นายวราวุธ กล่าวว่า อาจจะเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเพราะอะไรก็แล้วแต่ที่มีความลึกเกิน 15 เมตร ไปจะต้องได้รับการอนุญาตกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก่อน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนที่อาจเจาะแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา หรืออาจมีผลต่อสภาพของชั้นใต้ดิน จึงต้องสำรวจและขออนุญาตก่อน ส่วนกรณีที่มีผู้ลักลอบขุดเจาะบ่อบาดาล เรากำลังดำเนินการตรวจสอบและปราบปราม เนื่องจากกระทบกับชั้นน้ำใต้ดินที่อาจส่งผลทำให้ปริมาณน้ำลดลงอย่างมีนัยยะ จนทำให้แผ่นดินทรุด

ทบ.เริ่มทยอยฉีดวัคซีนให้กำลังพลปฏิบัติงานกองกำลังชายแดน 5,361 นาย ตั้งแต่ มี.ค.แล้ว เหตุภารกิจด่านหน้าเสี่ยงต่อการสัมผัสโรคสูง

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กองกำลังชายแดนยังคงดำรงภารกิจในการสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID -19 ด้วยการช่วยคัดกรองโรค ณ จุดผ่านแดน การสกัดกั้นการลักลอบเมืองโดยผิดกฎหมายไม่ผ่านการคัดกรองโรค ด้วยการเฝ้าตรวจ ลาดตระเวน การติดตั้งเครื่องกีดขวางในพื้นที่ชายแดน รวมถึงการใช้เครื่องมือพิเศษในการเฝ้าตรวจ ซึ่งเป็นการทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค เพราะถือเป็นด่านหน้าหากตรวจพบผู้ลักลอบเข้าเมือง และเพื่อเป็นการให้กองกำลังชายแดนได้ปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย มีภูมิคุ้มกัน และเป็นไปตามมาตรการของสาธารณสุขในการป้องกันเจ้าหน้าที่หน้าด่าน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสโรค ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรวัคซีนให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณแนวชายแดนไทย – เมียนมา จำนวน 5,361 นาย ซึ่งได้เริ่มฉีดให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติงานใน กองกำลังนเรศวร, กองกำลังผาเมือง, กองกำลังสุรสีห์ และกองกำลังเทพสตรี ในห้วงเดือน มีนาคมที่ผ่านมา 

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การทำงานในพื้นที่ชายแดนซึ่งถือเป็นด่านหน้าในการป้องกัน COVID-19  ด้วย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่กำลังพลจะต้องได้รับวัคซีน COVID ซึ่งขณะนี้ทางกรมแพทย์ทหารบกได้ประสานกับทางกระทรวงสาธารณสุข เพื่อดูแลให้กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วน สำหรับในภาพรวมของกองทัพบก กำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ต่างๆ ได้รับการฉีดวัคซีน รวม 3,625 นาย  จำแนกเป็น บุคลากรทางการแพทย์ 1,830 นาย, สถานที่กักกันโรค 20 นาย, กองกำลังป้องกันชายแดน 567 นาย, พื้นที่ควบคุมสูงสุด (จ.สมุทรสาคร) 1,187 นาย และ พื้นที่เฝ้าระวัง 21 นาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top