Saturday, 26 April 2025
Hard News Team

ครม. ไฟเขียว แก้พ.ร.บ.เครื่องสำอาง เพื่อความรวดเร็ว ในการอนุญาต หวัง เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ภูมิภาคอาเซียน-การค้าโลก

วันที่ 7 เมษายน นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ)เครื่องสำอาง ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.เครื่องสำอางพ.ศ.2558 เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพิจารณาอนุญาตเครื่องสำอางให้เหมาะสมและรวดเร็ว ซึ่งกำหนดให้ผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศทำหน้าที่ในการประเมิน การตรวจวิเคราะห์ และตรวจสอบทางวิชาการ เพื่อให้สอดคล้องกับความรู้และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยผู้ยื่นคำขอเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า  การผลิตเครื่องสำอางเพื่อขาย หรือการนำเข้าเครื่องสำอาง มีกระบวนการพิจารณาอนุญาตที่ซ้ำซ้อน และกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องขอให้ตรวจสถานที่ เพื่อขอหนังสือรับรองประกอบการส่งออก  ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเครื่องสำอางพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้การดำเนินการเกิดความล่าช้า จึงต้องเสนอแก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการพิจารณาอนุญาตเครื่องสำอางดังกล่าว ซึ่งจะช่วยรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสุขภาพ ทั้งในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับการค้าโลก

ครม.ไฟเขียว โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี วงเงิน 11,629 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.เห็นชอบหลักการโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี กรอบวงเงิน 11,629.65 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (2565-2570) เป็นเงินงบประมาณจำนวน 7,764.00 ล้านบาท และ เงินนอกงบประมาณ จำนวน 3,865.65 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีอาคารใหม่ ทดแทนอาคารเดิมที่ใช้งานมากว่า 50 ปี รวมทั้งขับเคลื่อนความร่วมมือย่านนวัตกรรมโยธี เชื่อมโยงสถาบันทางการแพทย์เป็นเครือข่ายที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

โดยโครงการดังกล่าวฯเป็นการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีอาคารใหม่ จำนวน 4 อาคาร ในที่ดิน 16 ไร่ 3 งาน 30 ตารางวา ด้านหน้าขององค์การเภสัชกรรมที่ตั้งอยู่ตรงข้ามคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  รวมพื้นที่ก่อสร้างทั้งสิ้น 275,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย 1.อาคารโรงพยาบาลมีความสูง 28 ชั้น ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น พื้นที่ 191,000 ตารางเมตร ให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนทั่วไป ได้แก่ พื้นที่สำหรับหน่วยเวชระเบียน ประชาสัมพันธ์ แผนกพยาธิวิทยา แผนกรังสีวิทยา นิติเวชวิทยา แผนกผ่าตัด หน่วยตรวจผู้ป่วยนอก หอผู้ป่วยในสามัญ หอผู้ป่วยพิเศษ และหอผู้ป่วยวิกฤตรวมมีขนาดประมาณ 800 เตียง และเป็นพื้นที่ย่านนวัตกรรมโยธี ประกอบด้วย ศูนย์พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์(MIND CENTER: Medical Innovations Development Center)  Co Working Space ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบตามความเหมาะสมของการใช้งาน Clinical research center  สำหรับการบริหารจัดการการทำวิจัยทางคลินิก และสำนักงานบริหารจัดการ (Administrative office) 

2.อาคารสาธารณูปโภคสูง 4 ชั้น พื้นที่ 8,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่สนับสนุนการให้บริการสุขภาพ ได้แก่ ฝ่ายสารสนเทศ ฝ่ายโภชนาการ หน่วยปลอดเชื้อ และงานผ้า

3.อาคารจอดรถสูง 10 ชั้น พื้นที่ 40,000 ตารางเมตร จอดรถได้ประมาณ 1,200 คัน

4.อาคารสำนักงานสูง 10 ชั้น (อาคาร Buffer) พื้นที่ 36,000 ตารางเมตร รองรับพื้นที่ใช้สอยเดิมขององค์การเภสัชกรรม ได้แก่ สำนักงาน สหกรณ์ออมทรัพย์ พื้นที่สวัสดิการต่าง ๆ และอื่น ๆ ก่อนย้ายออกไปใช้พื้นที่ใหม่ที่จังหวัดปทุมธานีในปี 2573

“การสร้างย่านนวัตกรรมโยธี Yothi medical Innovation District : YMID) สอดคล้องกับแนวคิดพัฒนาการบริการทางการแพทย์สู่อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการบริหารด้านสาธารณสุขและสุขภาพให้เข้าสู่ระดับสากล แข่งขันได้  มุ่งสู่ความเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ทุกรัฐบาลได้ผลักดันไว้

"ณัฐชา" จี้ รบ.เร่งจัดหาและกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชี้ ต้องจัดการปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุด้วยการสั่งปิดสถานบันเทิง

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งนี้ ส่งผลต่อปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง ซึ่งเป็นระยะเวลา 1 ปีเต็มที่ประชาชนต้องแบกรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจโดยไม่ได้รับการดูแลและเยียวยาอย่างทันท่วงทีและครบถ้วนจากรัฐบาล แน่นอนว่าเมื่อมีการแพร่ระบาดระลอก 3 แล้ว การระบาดระลอก 4-5 ก็ตามมาเช่นกัน คำถามคือ รัฐบาลเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นไว้อย่างไรบ้าง 

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า การจัดลำดับการฉีดวัคซีน รัฐบาลควรฉีดให้ผู้ทำงานที่มีกลุ่มเสี่ยง อย่างแรงงานและผู้ประกอบการกลางคืนเป็นอันดับเเรก เพื่อเป็นการป้องกันเเละแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด แต่สิ่งที่รัฐบาลกระทำอยู่ คือให้ประชาชนรอความพร้อมของวัคซีนไปเรื่อยๆ จะมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จะกระจายฉีดได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่มีความตื่นตัวและเย็นชาต่อความเดือดร้อน แต่ที่เลวร้ายที่สุด คือ มักกล่าวโทษประชาชนอย่างสม่ำเสมอโดยไม่เคยดูพฤติกรรมของตนเองหรือรัฐมนตรีรอบข้างเลย นอกจากนี้ ยังไม่เคยเห็นการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ระบาดในครั้งใหม่ที่พร้อมจะแรงขึ้นได้ตลอดเวลา รัฐบาลควรมีวิสัยทัศน์ในการไปมองไปข้างหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาจากต้นตอมากกว่านี้ ไม่ใช่เมื่อเกิดเหตุทีก็กลับไปจัดการปัญหาที่ปลายเหตุ เพื่อให้ดูเหมือนว่าบริหารจัดการสถานการณ์แล้ว เช่น การสั่งปิดสถานบันเทิงโดยไม่เตรียมมาตรการเยียวยารองรับ ในภาวะเศรษฐกิจที่กำลังจะฟื้นตัวและผู้ประกอบการกำลังลืมตาอ้าปาก การสั่งแบบเหมารวมให้หยุดดำเนินธุรกิจย่อมส่งผลกระทบต่อครอบครัวของพวกเขาอีกหลายชีวิต การกระทำเช่นนี้เป็นการผลักภาระให้ประชาชน โดยไม่เคยหามาตรการในการเเก้ไขปัญหาปัญหาอย่างตรงจุดหรือชดเชยให้ประชาชนเเม้สักนิดเดียว 

“สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนต่อการบริหารจัดการของภาครัฐเเละกระทรวงสาธารณสุข ในการบริหารจัดการวัคซีนล่าช้าจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชน เช่น ในพื้นที่เขตบางขุนเทียน มีประชาชนอีกหลายชีวิตที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เเต่พวกเขายังต้องหาเลี้ยงครอบครัวไปพร้อมกับการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข สิ่งสำคัญที่สุด คือ รัฐควรมีมาตรการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง เพื่อคืนชีวิตปกติให้กลับมาโดยเร็วและลดการกระจายความเสี่ยงในการเเพร่ระบาดของไวรัสโควิด” นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวอีกว่า ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลเเละนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีเเละรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งการจัดหาวัคซีนและกระจายวัคซีนให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด อีกทั้งควรจัดลำดับความสำคัญต่อการฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการเเพทย์อย่างครบถ้วน เพราะพวกเขาเปรียบเสมือนด่านหน้าในการรับมือโควิด นอกจากนี้ ผู้ประกอบการสถานบันเทิงเเละบุคลากรที่ทำงานกลางคืน หรือบุคลากรในภาคท่องเที่ยวก็ควรได้รับวัคซีนเป็นอันดับต้น ๆ เพื่อวางฐานรากในการฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจเเละปากท้องของประชาชนให้คืนกลับมาได้โดยเร็ว 

รมว.แรงงาน เผยครม.เห็นชอบขยายเวลาตรวจโควิด-19  และตรวจอัตลักษณ์เพิ่ม 2 เดือน

ครม.มีมติเห็นชอบตามที่ กระทรวงแรงงาน เสนอขยายเวลาดำเนินการตรวจหาโรคโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ถึงวันที่ 16 มิ.ย. 64 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์แรงงานต่างด้าวของที่ประชุมคบต. พบบางส่วนอาจไม่สามารถดำเนินการตรวจหาโรคโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ได้ทันกำหนดภายในวันที่ 16 เมษายน 64 ดังนั้น เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นายจ้าง/สถานประกอบการมีแรงงานในการขับเคลื่อนกิจการได้ต่อไป  โดยคนต่างด้าวดังกล่าวก็อยู่ในการกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงของการแพร่ระบาดโควิด - 19 รวมถึงบริหารจัดการคนต่างด้าวที่ลักลอบอยู่ในราชอาณาจักรอย่างมีประสิทธิภาพ  ครม.จึงมีมติเห็นชอบให้แรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564  ขยายระยะเวลาดำเนินการตรวจโควิด - 19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) จากเดิมภายในวันที่ 16  เมษายน 64 เป็นวันที่ 16 มิถุนายน 64  และในส่วนขั้นตอนอื่นให้ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดเดิม

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ณ วันที่ 5 เม.ย. 64  พบว่ามีคนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจโควิด - 19 และขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพแล้วประมาณ 170,000 คน และมีคนต่างด้าวที่ผ่านการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้วประมาณ 422,000 คน จากคนต่างด้าวลงทะเบียนทั้งสิ้น จำนวน 654,864คน ซึ่งประเมินสถานการณ์แล้วว่าไม่สามารถดำเนินการทันตามระยะเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการพาคนต่างด้าว นัดหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และซื้อประกันสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐ  พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้เสร็จสิ้นตามกำหนด เนื่องจากจะไม่มีการผ่อนผันเพื่อขยายเวลาดำเนินการอีกต่อไป ทั้งนี้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ กรมการจัดหางานจะตรวจสอบ และดำเนินคดีอย่างจริงจัง 

“สำหรับผู้ต้องการสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ” นายไพโรจน์ฯ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ยันแก้ปัญหาหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ยึดประโยชน์ ปชช.เป็นหลัก ‘วอน’ทุกส่วนร่วมมือแก้ อย่าทะเลาะขัดแย้ง จับผิดจนเดินต่อไม่ได้ ‘เผย’ขั้นตอนเหลือเพียงนำเข้า ครม.พิจารณา

วันที่ 7 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีครบกำหนด 60 วัน ที่บีทีเอสทวงหนี้เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย  ที่กทม.ติดค้างไว้เป็นจำนวนเงินกว่า 30,000 ล้านบาท รัฐบาลได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างไร ว่า ตนทราบถึงความเดือดร้อน ซึ่งตนเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลักในการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ขณะนี้ขั้นตอนเหลือเพียงนำเข้าครม.เพื่อพิจารณา และจะไปสู่เรื่องของการเจรจาที่มีการพูดคุยหารือมาบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่ตนต้องคำนึงถึงที่สุด คือความเดือดร้อนของประชาชน ความต้องการของประชาชน เพราะฉะนั้นรัฐก็ต้องแก้ไข ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องตรงนี้ก็ช่วยกันแก้ไข หลาย ๆ เรื่องบางทีปัญหาเกิดมาซับซ้อนหลายอย่างด้วยกัน เราก็ต้องมาแก้ เมื่อแก้ก็มีปัญหาอื่นตามมาด้วยเสมอ รัฐบาลก็จำเป็นต้องแก้ให้ถูกต้อง ไม่ให้เป็นปัญหาต่อรัฐบาลในอนาคตด้วย 

ก็ขอความร่วมมือกับภาคเอกชน ธุรกิจต่างๆด้วย ว่าจะทำอย่างไรให้สามารถเดินได้โดยเร็ว แล้วบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน และราคาต้นทุนที่มันไม่สูงเกินไปนัก มันก็เดินได้หมด ถ้าทุกคนจะเอาคนละอย่างสองอย่าง แล้วมันหารือกันไม่ได้ ตกลงกันไม่ได้มันก็เดินไม่ได้ ทั้งที่เรามีความพร้อมที่จะเปิดเดินรถอยู่แล้ว และบางระยะเปิดให้บริการไปแล้วแต่ไม่ได้เก็บค่าโดยสาร นั่นคือสิ่งที่ประชาชนได้รับประโยชน์แล้วส่วนหนึ่ง ดังนั้น สิ่งใหม่คือต้องหาวิธีการที่เหมาะสม ถ้ามัวแต่ทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน จับผิดจับถูกกันอยู่แบบนี้มันก็ไปไม่ได้สักอย่าง ขอฝากไว้ด้วยแล้วกัน รัฐบาลจะทำให้ดีที่สุด โดยคำนึงถึงผู้ได้รับประโยชน์คือประชาชนในทุก ๆ เรื่อง

นฤมล เยือนกระบี่  หนุนแรงงานภาคเกษตร ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเยือน จ.กระบี่ เดินหน้าสร้างแรงงานคุณภาพภาคการเกษตร สู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศอย่างยั่งยืน

วันที่ 7 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดกระบี่ เพื่อพบปะเกษตรกรและร่วมชี้แจงแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินทำกินในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) พร้อมมอบเมล็ดพันธุ์เพื่อนำไปปลูกบำรุงดิน หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมกิจกรรมกระทรวงแรงงานเคลื่อนที่เพื่อประชาชน การจัดแสดงภารกิจของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดกระบี่ 5 หน่วยงาน ซึ่งได้เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ภารกิจของกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้องกับแรงงานภาคการเกษตร ณ ตำบลเขาพนม อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงาน เน้นการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และการสร้างภาคีเครือข่ายกับหน่วยงานภายนอก เพื่อให้ความช่วยเหลือและดูแลแรงงานให้มีงานทำ ซึ่งต้องปูพื้นฐานและส่งเสริมให้มีความรู้ความสามารถด้านทักษะฝีมือ เพื่อให้สามารถเข้าสู่ระบบการจ้างงานหรือประกออบอาชีพอิสระได้ ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานดำเนินการภายใต้แนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” คือ สร้างแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ ยกระดับฝีมือให้ได้มาตรฐาน และมีทักษะที่หลากหลาย รวมถึงสามารถประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และให้โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้มากขึ้น การลงพื้นที่ จ. กระบี่ในวันนี้ เพื่อรับฟังปัญหาและอุปสรรคจากแรงงานภาคการเกษตรในเขตจังหวัดกระบี่ รวมถึงความต้องการให้กระทรวงแรงงานให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ภายใต้ภารกิจของกระทรวง เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างแท้จริง ช่วยให้แรงงานมีงานทำ มีรายได้ ดูแลตนเองและครอบครัวต่อไป

สำหรับกิจกรรมกระทรวงแรงงานเคลื่อนที่เพื่อประชาชน ประกอบด้วย โครงการแรงงานสัญจรพบประชาชนพื้นที่จังหวัดกระบี่ การประชาสัมพันธ์การป้องกันยาเสพติด การป้องกันโควิด-19 โดยสำนักงานแรงงานจังหวัดกระบี่ การรับสมัครงาน ให้คำปรึกษาการประกอบอาชีพ  การรับงานไปทำที่บ้าน เอกสารเผยแพร่การรับสมัครงาน โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดกระบี่ รับสมัครฝึกอบรม  สาธิตการฝึกอาชีพการทำผ้ามัดย้อม และการตัดผมชาย โดยสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานกระบี่ การให้คำปรึกษาแนะนำ การรับคำร้องทุกข์ร้องเรียน เกี่ยวกับสภาพการจ้างแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ และให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน โดยสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดกระบี่ และการให้ความรู้ในเรื่องสิทธิประโยชน์กับผู้ประกันตน การรณรงค์ส่งเสริมการสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 และรับสมัครผู้ประกันตน มาตรา 40 โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดกระบี่ 

“แรงงานที่ต้องการพัฒนาทักษะฝีมือ รวมถึงพัฒนาทักษะอื่น ๆ สามารถติดต่อสมัครฝึกอบรมได้ที่หน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 ปัจจุบันมีการปรับหลักสูตรให้ทันต่อเทคโนโลยี และรองรับวิถีชีวิตใหม่ อย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้นำไปต่อยอดในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

“โซนี่ พิคเจอร์ส” เปิดสวนน้ำแห่งแรกของโลกที่ชลบุรี

นายเจฟฟรี่ย์ ก็อดสิค รองประธานบริหารสายงานโกลบอล พาร์ทเนอร์ชิพ และแบรนด์ เมเนจเม้นต์ โซนี่ พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เปิดเผยว่า โซนี่ พิคเจอร์สฯ ได้ร่วมกับ บริษัท อเมซอน ฟอลส์ จำกัด นำสวนสนุกและสวนน้ำในธีมภาพยนตร์ของโคลัมเบีย พิคเจอร์ส มาเปิดในประเทศไทยเป็นแห่งแรกในโลก บนพื้นที่กว่า 35 ไร่ บริเวณชายทะเลบางเสร่ จังหวัดชลบุรี ภายใต้ชื่อ โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส เพื่อช่วยสร้างความบันเทิงที่ให้ผู้บริโภคออกมาสัมผัสในสถานที่จริงกับเรื่องราวในภาพยนตร์ผ่านสวนน้ำ การจัดแสดงนิทรรศการ และอุปกรณ์เครื่องเล่นต่าง ๆ โดยพร้อมเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ 

สำหรับสวนน้ำโคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควำเวิร์สแห่งนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ช่วยดึงดูดแฟนภาพยนตร์และนักท่องเที่ยวจากทั้งในประเทศและทั่วโลกให้มาเล่นเครื่องเล่นจากแร็คเตอร์ภาพยนตร์ฮอลลีวูดยอดนิยมตลอดกาลทั้ง โกสต์บัสเตอร์ส บริษัทกำจัดผี, จูแมนจี้ เกมดูดโลกมหัศจรรย์, แบดบอยส์ คู่หูขวางนรก, เอ็มไอบี หน่วยจารชนพิทักษ์จักรวาล, และโฮเทล ทรานซิลเวเนีย โรงแรมผี หนี ไปพักร้อน 

รวมทั้งยังมีโซน เซิร์ฟอัพ สวรรค์ของนักเซิร์ฟ บนคลื่นยักษ์, โซน ผจญภัยในแม่น้ำสวอลโลว์ฟอลส์กับมหัศจรรย์ลูกชิ้นตกทะลุมิติ ผ่านการล่องไปตามสายน้ำ ทักทายบรรดาสัตว์อาหารกลายพันธุ์ฟู้ดนิมอลจากภาพยนตร์แอนิเมชั่น และยังมีโซน สระคลื่นยักษ์วีโว่ เป็นสระน้ำที่จะซัดลูกคลื่นขนาดยักษ์เข้าใส่ตัว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์มิวสิคัลแอนิเมชั่นที่กำลังจะเปิดฉายในเร็ว ๆ นี้ รวมทั้งยังมีพื้นที่ใช้สำหรับจัดกิจกรรม คอนเสิร์ต หรือไลฟ์โชว์ของศิลปินดังระดับโลกด้วย

‘บิ๊กตู่’ ขอทุกคนการ์ดไม่ตก พร้อมเร่งฉีดวัคซีนคุมโควิด-19 เผยสงกรานต์ต้องเข้มงวดมากขึ้น จำเป็นต้องปิดกิจการที่ไม่ได้มาตรฐาน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม.ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ว่า รัฐบาลมีความห่วงใย และจำเป็นต้องหามาตรการที่เหมาะสมทั้งในการควบคุมการแพร่ระบาด มาตการด้านเศรษฐกิจ และความรู้สึกของประชาชน พร้อมเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้ เป็นปัญหาระดับโลก ที่การแพร่ระบาดรุนแรงขึ้น แม้แต่พื้นที่ที่ผลิตวัคซีน ก็มีการแพร่ระบาด

ดังนั้น สิ่งสำคัญขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม รู้จักยับยั้งชั่งใจ เพราะ เรื่องนี้ส่งผลทั้งต่อครอบครัว และสังคม สำหรับ มาตรการป้องกันการแพร่ระบาด นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการจะปิดสถานที่ทุกแห่ง แต่รัฐจำเป็นต้องปิดสถานบริการบางแห่งบางพื้นที่ หากดำเนินการตามมาตรฐานไม่ครบ ซึ่งจำเป็นต้องปิดทันที

อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดขณะนี้ ถือว่ายังคงรับได้อยู่ แต่ให้เตรียมการ โรงพยาบาลสนาม ในกรุงเทพมหานคร โดยให้ กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทยไป จัดเตรียมให้พร้อม และหากยังไม่เพียงพอ ได้มอบหมายให้ กระทรวงกลาโหม จัดหาพื้นที่เพิ่มเติมด้วย

นอกจากนี้ มอบอำนาจให้ ผู้ว่าราชการจังหวัด สสจ. พิจารณา ออกมาตรการเพิ่มเติม ตามความจำเป็น แต่ข้อสำคัญต้องการ์ดไม่ตก โดยเฉพาะ การจัดกิจกรรมช่วงสงกรานต์ต้องเข้มงวดมากขึ้น สำหรับการรดน้ำดำหัว อาจต้องเว้นระยะห่าง ซึ่งหากรดน้ำดำหัวไม่ได้ ก็ขอให้รดพระพุทธรูปที่บ้าน

ในช่วงท้ายพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง กรณีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ ติดเชื้อ โควิด-19 ว่า “ก็รักษาพยาบาลกันไปก็เหมือนกับประชาชนทุกคนที่ต้องดูแลและรักษาเมื่อเจ็บป่วย”

เมื่อถามว่าเครียดหรือไม่พลเอกประยุทธ์กล่าวย้ำว่าไม่เครียดไม่เครียดก็ต้องร่วมมือกันสร้างความเชื่อมั่นต่อไป

“บิ๊กตู่”ขอทุกคนการ์ดไม่ตก เร่งฉีดวัคซีนคุมโควิด-19 เผยสงกรานต์ต้องเข้มงวดมากขึ้น จำเป็นต้องปิดกิจการที่ไม่ได้มาตรฐาน    

วันที่ 7 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม คาม.ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่า รัฐบาลมีความห่วงใย และจำเป็นต้องหามาตรการที่เหมาะสมทั้งในการควบคุมการแพร่ระบาด มาตการด้านเศรษฐกิจ และความรู้สึกของประชาชน พร้อมเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้ เป็นปัญหาระดับโลก ที่การแพร่ระบาดรุนแรงขึ้น แม้แต่พื้นที่ที่ผลิตวัคซีน ก็มีการแพร่ระบาด

ดังนั้น สิ่งสำคัญขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม รู้จักยับยั้งชั่งใจ เพราะ เรื่องนี้ส่งผลทั้งต่อครอบครัว และสังคม สำหรับ มาตรการป้องกันการแพร่ระบาด นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการจะปิดสถานที่ทุกแห่ง แต่รัฐจำเป็นต้องปิดสถานบริการบางแห่งบางพื้นที่ หากดำเนินการตามมาตรฐานไม่ครบซึ่งจำเป็นต้องปิดทันที 

อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดขณะนี้ ถือว่ายังคงรับได้อยู่ แต่ให้เตรียมการ โรงพยาบาลสนาม  ในกรุงเทพมหานคร โดยให้ กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทยไป จัดเตรียมให้พร้อม และหากยังไม่เพียงพอ ได้มอบหมายให้ กระทรวงกลาโหม จัดหาพื้นที่เพิ่มเติมด้วย

นอกจากนี้ มอบอำนาจให้ ผู้ว่าราชการจังหวัด สสจ. พิจารณา ออกมาตรการเพิ่มเติม ตามความจำเป็น แต่ข้อสำคัญต้องการดไม่ตก โดยเฉพาะ การจัดกิจกรรมช่วงสงกรานต์ต้องเข้มงวดมากขึ้น สำหรับการรดน้ำดำหัว อาจต้องเว้นระยะห่าง ซึ่งหากรดน้ำดำหัวไม่ได้ ก็ขอให้รดพระพุทธรูปที่บ้าน

ในช่วงท้ายพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง กรณีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ ติดเชื้อ โควิด-19 ว่า “ ก็รักษาพยาบาลกันไปก็เหมือนกับประชาชนทุกคนที่ต้องดูแลและรักษาเมื่อเจ็บป่วย”

เมื่อถามว่าเครียดหรือไม่พลเอกประยุทธ์กล่าวย้ำว่าไม่เครียดไม่เครียดก็ต้องร่วมมือกันสร้างความเชื่อมั่นต่อไป

“บิ๊กบี้” ตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกทหาร เขตบางซื่อ ย้ำ มาตราการป้องกันโควิด-19 พร้อมอำนวยความสะดวก และเชิญชวนสมัครเป็นทหาร

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกได้ดำเนินการตรวจเลือกทหารกองประจำการประจำปี 2564  มาได้ 5 วันแล้ว บรรยากาศในภาพรวมเป็นไปความเรียบร้อย ภายใต้มาตรการป้องกัน COVID-19 โดยคณะกรรมการตรวจเลือกทั้ง 152 ชุด ยังคงอำนวยความสะดวกและดำเนินการตรวจเลือกตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด โดยมีคณะกรรมการในระดับกองทัพบกเดินทางไปตรวจเยี่ยมและกำกับดูแลให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ทั้งนี้  5 วันที่ผ่านมา มีผู้สมัครเป็นทหารกองประจำการแล้ว 15,303 คน

ล่าสุดในวันนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก  (ผบ.ทบ.) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการตรวจเลือกทหาร  ที่หน่วยตรวจเลือกวัด มัชฌันติการาม เขต บางซื่อ กทม. ซึ่ง มณฑลทหารบกที่ 11 เป็นหน่วยดำเนินการ  โดยผู้บัญชาการทหารบก ได้เยี่ยมชมบรรยากาศ พบปะพูดคุยกับผู้เข้ารับการตรวจเลือกและครอบครัว กำชับเรื่องการอำนวยความสะดวกให้กับทุกภาคส่วนที่เข้ามาร่วมปฏิบัติงาน รวมถึงการเชิญชวนให้สมัครเป็นทหาร นอกจากนี้ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูล ผลการปฏิบัติและคำแนะนำต่าง ๆ ไปพิจารณาปรับแนวทางการตรวจเลือก ให้มีความสมบูรณ์ เพื่อสร้างทัศนคติและเพิ่มแรงจูงต่อการเป็นทหารกองประจำการต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top