Saturday, 10 May 2025
Hard News Team

สหรัฐฯ ยาหอม!! พร้อมยืนข้างไต้หวัน แต่ย้ำชัด!! ไม่หนุนประกาศเอกราช

เมื่อวันอังคาร (6 กรกฎาคม 2021) ได้มีการจัดงานเสวนาทางออนไลน์โดยสถาบัน Asia Society Policy Institute โดยมีการเชิญ 'เคิร์ท แคมเบล' ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ประสานงานนโยบายภาคพื้นอินโด-แปซิฟิค ประจำทำเนียบขาว เข้าร่วมการประชุม

เสวนาวันนั้น นายแคมเบล ได้กล่าวถึงนโยบายอันแข็งกร้าวขึ้นอย่างมากของจีนในย่านนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยมาช้านานอย่าง 'ไต้หวัน'

ทว่า บางส่วนของถ้อยคำของนายเคิร์ท แคมเบล ได้เผยข้อความสุดชอกช้ำต่อไต้หวัน โดยกล่าวว่า สหรัฐฯ จะยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับไต้หวัน และพร้อมสนับสนุนบทบาทของไต้หวันในเวทีโลก...แต่สหรัฐฯ "ไม่ได้สนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวัน"

เคิร์ท แคมเบล ยังอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐฯ-ไต้หวัน ว่ามีความละเอียดอ่อนในการรักษาสมดุลอำนาจอย่างมาก ถึงแม้ไต้หวันจะเป็นพันธมิตรที่ได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐฯ มาตลอด แต่สหรัฐฯ ก็ไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้าทางทหารกับจีนที่มีจุดยืนชัดเจนเรื่อง 'นโยบายจีนเดียว' ซึ่งรวมถึงเขตปกครองไต้หวันด้วย

เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่สหรัฐฯ กับจีนจะร่วมมือกัน หรือต่างคนต่างอยู่อย่างสันติ ทาง เคิร์ท แคมเบล ก็ตอบว่า เขายังเชื่อว่าเป็นไปได้ เพียงแต่อุปสรรคมันเยอะ และมีความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของคนรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน

นอกเหนือจากการพูดจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อไต้หวันแล้ว เคิร์ท แคมเบล ยังพูดการแสดงออกอย่างเปิดเผยของจีน เมื่อมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับคู่กรณีที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ อย่าง 'ออสเตรเลีย' ที่ตอนนี้มีปัญหาด้านการกีดกันสินค้านำเข้าจากออสเตรเลียอย่างมาก เพื่อตอบโต้การแสดงความเห็น หรือจุดยืนที่เป็นปฏิปักษ์กับจีน

และยังแสดงความห่วงใยกับสถานการณ์การกวาดล้างกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลจีนในฮ่องกง และเกรงว่าจีนอาจพยายามที่จะใช้วิธีเดียวกันกับเขตปกครองไต้หวัน ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐฯ จะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น และพร้อมจะยืนข้างไต้หวันเพื่อรักษาสิทธิ์การปกครองตนเอง ตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

>> แต่ยังย้ำเช่นเคยว่าจะไม่รับรองการเป็นประเทศเอกราชของไต้หวัน

สำหรับการแสดงความเห็นของนายเคิร์ท แคมเบล ในครั้งนี้ เป็นการพูดถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวันเป็นครั้งแรกนับในยุคสมัยของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่สานต่อนโยบายสงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน ที่ดุเดือดขึ้นตั้งแต่สมัยของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งโจ ไบเดน จะมุ่งไปที่ประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองซินเจียง และการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงใหม่ในฮ่องกง เป็นวาระสำคัญ

แน่นอนว่าจากคำพูดของเคิร์ท แคมเบล ได้ส่งเสียงสะท้อนแรงไปถึงสถานะของไต้หวันอย่างมาก ที่คาดหวังมาตลอดให้สหรัฐฯ หนุนหลัง รับรองการมีเอกราชของไต้หวันในเวทีโลก เพราะดูเหมือนสุดท้ายสหรัฐฯ ก็มองไต้หวันเป็นเพียงหนึ่งในยุทธศาสตร์การเมือง ที่ใช้เพื่อกดดัน ยั่วยุจีน แต่จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการแยกดินแดน หรือเอกราชออกจากจีน ซึ่งอันที่จริงสหรัฐฯ เองก็ไม่เคยมีนโยบายสนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวันมาตั้งแต่ต้นแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่ายที่ต้องระมัดระวังในการรักษาสมดุลของขั้วอำนาจให้ดี ๆ น่าจะเป็น 'ไต้หวัน' ที่ตั้งอยู่บนทางแพร่งอันตรายที่สุดของสงครามระหว่างสหรัฐฯ - จีน

และคนที่ไว้ใจหวังพึ่งได้นั้น อาจไม่เคยมีอยู่จริงเลยก็เป็นได้...

อ้างอิง : Taiwan News / South China Morning Post

ผู้เขียน : ยีนส์ อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ คอลัมนิสต์อิสระ นักแปล นักเล่าข่าว


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สรุปมาตรการ ล็อกดาวน์ - เคอร์ฟิว

ศบค. มีคำสั่งให้ 10 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม ปิดห้าง - ร้านสะดวกซื้อ 2 ทุ่ม รถสาธารณะหยุดบริการ 3 ทุ่ม เดินทางข้ามจังหวัด เฉพาะที่จำเป็น มีผลบังคับใช้ จันทร์ที่ 12 ก.ค. นี้


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'กวางโจวโมเดล' เบรกเชื้อ 'เดลต้า' ได้อยู่หมัด ไร้ตาย ไม่ต้อง Lockdown ทั้งเมือง

ช่วงปลายเดือน พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา ในประเทศจีนที่เมืองกวางโจวได้พบเจอการหลุดรอดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าเข้าสู่พื้นที่

อย่างไรก็ตาม กวางโจว สามารถจัดการสกัดการระบาดของเชื้อเดลต้าได้อย่างรวดเร็ว โดย รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กว่า...

#กวางโจวโมเดล เคสปราบโควิดเดลต้าในเมืองกวางโจว เมื่อปลายเดือน พ.ค. 2564 จีนคุมได้อยู่หมัดได้อย่างไร? #ปราบเดลต้าได้โดยไม่ต้อง Lockdown ทั้งเมือง

นี่คือ ตัวอย่างประสบการณ์ตรงของคนไทยที่ทำงานในจีนมาร่วมสนทนากัน เพื่อเรียนรู้โมเดลจีน และผู้อยู่ในสถานการณ์จริงในมณฑลกวางตุ้งได้กรุณาวิเคราะห์ว่า “เคส นี้ ดูดีกว่า ในเรื่องการบริหารจัดการ กว่า เมืองอู่ฮั่น” ทำได้อย่างไร ชวนอ่านค่ะ

อ่อ..ขอย้ำว่า #บริบทต่างกัน โปรดนำไปปรับประยุกต์อย่างเหมาะสมด้วยนะคะ

ประเด็น : มีคนต่างชาติติดเชื้อ เดลต้าเข้ามาในเมืองกวางโจว แล้วเริ่มลาม ไปเมืองข้าง ๆ อย่างไรก็ดี ทางการจีน ใช้เวลาแค่เดือนกว่า ๆ ในการปราบโควิดเดลต้าจนอยู่หมัด ทำได้อย่างไร !!

ขอเริ่มทำความเข้าใจง่าย ๆ ด้วยคลิปจาก ร้าน McDonald ที่มีคนเป็นติดเชื้อเดลต้า แล้วจามในร้าน ใช้เวลา 14 วินาที ในการกระจายเชื้อ Spread out ไปให้คนในร้านติดด้วย

ทันทีที่ทราบเรื่อง ทางการจีนทำการตรวจเชื้อโควิดเชิงรุก ปิดตึก ปิดชุมชนที่มีการระบาด โดยมีการตรวจ QR code อย่างเข้มงวด

จีนสั่งห้ามเดินทาง/เคลื่อนย้ายผู้คนอย่างเข้มงวด และตรวจตราอย่างจริงจัง เพื่อสกัดการแพร่เชื้อเดลต้า โดยจีนเน้นบริหารจัดการผ่าน Data Platform แบบไม่ต้อง Lockdown ทั้งเมือง จีนทำได้อย่างไร?

#แก้ปัญหาด้วยการจัดการData

หลักการ คือ พิจารณาจาก QR code ของปชช. ที่เก็บรวบรวมใน #ฐานข้อมูลของรัฐอย่างเป็นระบบ และใช้ #การจัดการอย่างมีเอกภาพ

1.) ต้องเป็น #สีเขียว ถึงจะอนุญาตให้เดินทางในท้องที่ได้

2.) #สีเหลือง ต้องกักตัวอยู่กับบ้าน ห้ามออกไปไหน

3.) #สีแดง ไป รพ. อย่างเดียว และถ้าจะออกนอกเมือง ต้องมีผล test ภายใน 48 ชม. ถึงจะอนุญาตให้ขึ้นเครื่อง ขึ้นรถไฟ หรือขับรถ ออกต่างเมืองได้

>> ขอย้ำว่า ทั้งหมดนี้สำเร็จได้ เพราะมีการตรวจตราอย่างเข้มข้นมาก และจัดการอย่างมีระบบและมีเอกภาพ!!

4.) ระดมฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเมืองนี้ จำนวนคนฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นจนครอบคลุมเต็มที่ ทั้งนี้ จีนใช้วัคซีนจีนเท่านั้น จีนเชื่อว่า วัคซีนของเขา จัดการเดลต้าได้

5.) จีนใช้หลากหลายรูปแบบในการเก็บ Data เช่น ข้อมูล Health Code จากผู้มารับการฉีดวัคซีน

6.) จีนเชื่อว่า #วัคซีน คือ อาวุธสำคัญในการแก้วิกฤติใหญ่ในรอบนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 8 ก.ค. 2564 จีนระดมฉีดวัคซีนไปแล้วมากที่สุดในโลก !! จำนวนกว่า 1,331 ล้านโดส ครอบคลุมสัดส่วน 47.6% ของประชากรจีน ทั้งหมด

ล่าสุด จีนจัดการสกัดเชื้อเดลต้าในกวางโจวได้สำเร็จ สัปดาห์ที่แล้ว จีนประกาศว่า ยกเลิกมาตราการที่เข้มงวดเหล่านี้แล้ว

นอกจากนี้ เคสการระบาดของเดลต้าในกวางโจวครั้งนี้ ไม่มีคนตายด้วยนะคะ

#บริบทต่างกันโปรดนำไปปรับประยุกต์อย่างเหมาะสม

 

https://www.facebook.com/1037140385/posts/10223591731434839/?d=n


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายฮาร์ช วาร์ธัน รมว.สาธารณสุขอินเดีย ลาออกจากตำแหน่ง เซ่นบริหารโควิด-19 ล้มเหลว เตียงไม่พอ ออกซิเจนขาด

วันที่ 9 ก.ค. 64 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นายฮาร์ช วาร์ธัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของอินเดีย ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา หลังจากถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เรื่องไม่สามารถรับมือกับปัญหาการระบาดรุนแรงของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 ได้ จนทำให้มีประชาชนติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ตลอดจนโรงพยาบาลประสบปัญหาในการขาดแคลนเตียงรองรับผู้ป่วยและขาดแคลนออกซิเจนในการรักษาผู้ป่วยด้วย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลักแสนคนต่อวัน จนมีศพลอยเกลื่อนแม่น้ำคงคา

แต่ทั้งนี้ มีบางกระแสข่าวก็ระบุว่า เป็นการขอให้ออกจากคำสั่งของนายกรัฐมนตรีนาเรนดรา โมดี สำหรับการลาออกครั้งนี้เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี โดยนอกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยังมีรัฐมนตรีอีกอย่างน้อย 12 คนยื่นใบลาออกเช่นกัน

สำหรับ นายวาร์ธัน เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการครอบครัวเมื่อปี 2557 ภายใต้คณะรัฐบาลของ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรี จนเมื่อสิ้นสุดวาระแรกของโมดี ต่อมาปี 2562 นายวาร์ธัน ได้ร่วมรัฐบาลอีกครั้ง หลังโมดีชนะการเลือกตั้งนายกฯ สมัยสอง ส่งผลให้เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข โดยนายวาร์ธัน ได้ถูกประชาชนวิจารณ์การบริหารจัดการโควิดระบาดระลอก 2 ตั้งแต่เดือนเมษายน ทำให้ผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งหลายแสนคน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตทะลุ 4 แสนคนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะที่แกนนำฝ่ายค้าน ชี้ว่า การลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุขของนายวาร์ธัน เป็นการยอมรับว่ารัฐบาลล้มเหลวในการบริหารจัดการสถานการณ์โรคระบาด แต่ท้ายสุดแล้วคนที่ควรออกจริง ๆ คือ นายโมดี นายกรัฐมนตรี

 

https://www.tnews.co.th/foreign/544131/


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ศบค.!!! ล็อกดาวน์ 10 จังหวัด มีผล 12 ก.ค. นี้ และขยายพ.ร.ก.ฉุกเฉินถึง 30 ก.ย. 64

ศบค.!!! ล็อกดาวน์ 10 จังหวัด สั่งเด็ดขาด เวิร์คฟอร์มโฮม - ปิดห้างฯ - ร้านสะดวกซื้อ 2 ทุ่มถึงตี 4 ห้ามออกนอกบ้าน 3 ทุ่มถึงตี 4 ห้ามรวมกลุ่มเกิน 5 คน มีผล 12 ก.ค.นี้ ให้งดเดินทางข้ามจังหวัดตั้งแต่ 6 โมงเช้าของวันที่ 10 ก.ค. ขยายพ.ร.ก.ฉุกเฉินถึง 30 ก.ย. 64

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า มติที่ประชุมศบค.เมื่อวันที่ 9 ก.ค. กำหนดมาตรการ ดังนี้

1.) จำกัดการเคลื่อนย้ายและการรวมกลุ่มบุคคลให้มากที่สุด โดยกำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสากิจ และภาคเอกชน ใช้การปฏิบัติงานในลักษณะเวิร์คฟอร์มโฮมให้มากที่สุด โดยไม่กระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ และการบริการประชาชน

โดยระบบขนส่งสาธารณะ ปิดให้บริการในห้วงเวลา 21.00 น. ถึง 03.00 น. ของวันรุ่งขึ้น

ร้านสะดวกซื้อ ตลาดโต้รุ่ง ปิดเวลา 20.00 ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น

ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดได้เฉพาะ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธนาคารและสถาบันการเงิน ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ร้านอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร รวมถึงสถานที่ฉีดวัคซีน ทั้งนี้เปิดได้ถึงเวลา 20.00 น.

ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ห้ามบริโภคอาหารหรือสุราหรือเครื่องดื่มในร้าน โดยเปิดได้ถึงเวลา 20.00 น.

ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการติดโรค ได้แก่ นวดเพื่อสุขภาพ สปา สถานเสริมความงาม

สวนสาธารณะ สามารถเปิดให้บริการสำหรับการออกกำลังกายได้ถึงเวลา 20.00 น.

ห้ามการรวมกลุ่มทำกิจกรรมทางสังคม ที่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ การประกอบอาชีพ หรือกิจกรรมตามประเพณี ร่วมกันเกิน 5 คน

2.) ให้บุคคลงดการเดินทางที่ไม่จำเป็น และห้ามออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 21.00 ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เว้นแต่มีความจำเป็นยิ่ง หรือได้รับอนุญาตเป็นรายกรณี

3.) การควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้างยังคงเป็นไปตามข้อกาหนดของ ศบค.ที่ได้มีประกาศ ไปแล้วก่อนหน้านี้

4.) กำกับดูแลให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคล (D-M-H-T-T-A) อย่างสูงสุด

5.) ให้หน่วยงานด้านความมั่นคง จัดตั้งจุดตรวจจุดสกัด และชุดลาดตระเวน เพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ ผู้ใดฝ่าฝืนให้มีบทลงโทษตามแห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558

6.) ให้เริ่มดำเนินการตามข้อ 1-4 ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 64 เป็นต้นไป

สำหรับมาตรการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล

1.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล เร่งรัดให้มีการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบ การตรวจหาเชื้อ อย่างเพียงพอ

2.) สธ. ร่วมกับกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดระบบการแยกกักแบบการแยกกักที่บ้าน (HI : Home Isolation) และการแยกกักในชุมชน (CI : Community Isolation) รวมทั้งการใช้ยาสมุนไพร ในบัญชียาหลัก ได้แก่ ยาฟ้าทะลายโจร เป็นต้น มาเสริมเพิ่มมาตรการรักษาพยาบาลที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อทดแทนการขาดแคลนเตียงพยาบาลตามโรงพยาบาลต่าง ๆ

3.) สธ. ร่วมกับ กรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดการจัดตั้ง ICU สนาม และ รพ.สนาม รวมถึง รพ.สนามชุมชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาพยาบาล ให้แล้วเสร็จ โดยเร็ว และมีจำนวนมากพอ

4.) สธ. ปรับแผนการกระจายวัคซีน และเร่งการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจาตัวและ โรคเรื้อรัง ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งเร่งรัดการฉีดวัคซีนในพื้นที่การแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อน (Cluster) ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด

5.) ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ในการป้องกันส่วนบุคคล การตรวจหาเชื้อ และการรักษาพยาบาล ให้มีประสิทธิภาพ

6.) ให้ศบศ. เร่งรัดกำหนดมาตรการเยียวยาสถานประกอบการหรือพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการกำหนดมาตรการในครั้งนี้ ตามความจาเป็นของแต่ละพื้นที่

การปฏิบัติในจังหวัดอื่น

1.) กระทรวงมหาดไทย ( มท.) ร่วมกับ สธ. เน้นย้ำให้ ผวจ. และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ร่วมกันรับผิดชอบในการกำหนดมาตรการ คัดกรองและมาตรการติดตามสำหรับบุคคลที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะบุคคลที่ เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (10 จังหวัด : กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) ทั้งนี้ “ให้พร้อมดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. 64 เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป” โดยอาศัยอำนาจตามข้อกำหนด ฉบับที่ 25

2.) การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้เป็นไปตามพื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดตามคำสั่ง ศบค.

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้ประกาศในที่ประชุมศบค.ว่า จะไม่รับเงินเดือน 3 เดือน และ ให้นำเงินไปใช้ประโยชน์สำหรับแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 คิดเป็นจำนวนเงิน 376,770 บาท (เงินเดือนนายกฯ 75,590 บาท เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท รวม 125,590 บาท x 3 เดือน)

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากนายกรัฐมนตรี ประกาศไม่รับเงินเดือน 3 เดือน บรรดาคณะรัฐมนตรี ได้ทยอยออกมาประกาศไม่รับเงินเดือน 3 เดือนด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนากยฯ และรมว.พาณิชย์ รวมถึง รมต.ในพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมด, วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

หมอจากองค์การอนามัยโลก ย้ำ วัคซีนทุกยี่ห้อที่อนุมัติ มีไว้กันตาย

หลังจากโลกโซเชียลเริ่มหยิบประเด็นประสิทธิภาพทางตัวเลขของวัคซีนตัวหนึ่งดีกว่าอีกตัวหนึ่งกลับมาตีแผ่ จนหลงลืมไปว่าเป้าหมายของการฉีดวัคซีนที่แท้จริง คือ 'ป้องกันการเสียชีวิต' เพราะยังไม่มีวัคซีนตัวใดทำให้ผู้ฉีดไม่ติดโควิดได้ 100%

ทางด้าน ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนาคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA จึงได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก 'Warat Karuchit' เพื่อแสดงถึงการตอกย้ำในสิ่งที่คนไทยในเวลานี้ควรยึดไว้ให้มั่นเกี่ยวกับวัคซีนว่า...

"วัคซีนทุกตัวป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้"

ประโยคนี้หมอไทยพูดอยู่ทุกวัน แต่หลายคนอาจจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ถ้าเป็นหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ (Chief of Scientist) ขององค์การอนามัยโลกพูด จะเชื่อไหมครับ?

ดร.สมยา สวามินาธาน ให้สัมภาษณ์ในรายการ Science in 5 ว่า โควิดสายพันธุ์เดลต้า (ที่กำลังอาละวาดไปทั่วโลก) นั้นระบาดได้ง่ายกว่าเดิม และต่อต้านภูมิคุ้มกัน (ที่ได้จากวัคซีน) ได้มากกว่าเดิม

"แต่ข่าวดีก็คือ วัคซีนที่รับรองโดย WHO ทุกตัว สามารถป้องกันการป่วยหนัก และการเสียชีวิตจากโควิดสายพันธุ์เดลต้าได้"

"ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือ หากคุณมีโอกาสได้ฉีดวัคซีนที่รับรองโดย WHO...กรุณารับไว้"

นอกจากนี้ ดร.สมยา ยังกล่าวว่า...

"เป้าหมายหลักของวัคซีน คือ การป้องกันการป่วยหนัก"

"หากคุณดูที่ประสิทธิภาพของวัคซีนต่าง ๆ ในการป้องกัน อาจจะมีตั้งแต่ 70-90% แต่ถ้าดูการป้องกันการป่วยหนัก ทุกตัวนั้นดีมากทั้งหมด นั่นคือ ป้องกันได้มากกว่า 90%"

"ไม่มีวัคซีนตัวไหนป้องกันการติดเชื้อได้ 100% นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแม้จะฉีดวัคซีนแล้ว แต่คุณก็ยังติดเชื้อได้"

สำหรับวัคซีนที่ 'รับรอง' แล้วโดย WHO ได้แก่...

- AstraZeneca / Oxford vaccine

- Johnson and Johnson

- Moderna

- Pfizer / BionTech

- Sinopharm

- Sinovac

หรือพูดอีกอย่างได้ว่า วัคซีนทุกตัวที่ WHO รับรอง #ไม่ห่วยนะครับ

 

 

อ้างอิง : https://www.who.int/emergencies/diseases/novel-coronavirus-2019/media-resources/science-in-5/episode-44---delta-variant-and-vaccines

ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4752941074721494&id=100000169455098


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เผยเรื่องราวที่เป็น ‘ที่สุด’ ในฟุตบอลยูโร 2020

เหลืออีกแค่นัดเดียว ศึกฟุตบอลยูโร 2020 ก็จะปิดม่านลง ผ่านมากว่า 50 นัด นับตั้งแต่นัดแรกมาจนถึงนัดชิงชนะเลิศนี้ มีผลแพ้ชนะ และเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น THE STATES TIMES ไปรวบรวม ‘ความเป็นที่สุด’ ในฟุตบอลยูโรหนนี้ มาบอกกัน


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รัฐเขียวตรึงค่าไฟยาวถึงสิ้นปีช่วยลดค่าครองชีพ 

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้ตรึงค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564 โดยให้เรียกเก็บที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ายังคงจ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดิมในอัตรา 3.61 บาทต่อหน่วย ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2564  ตามแนวทางการพิจารณาที่จะเกลี่ยค่าเอฟทีให้คงที่ตลอดปี 2564 เพื่อลดค่าครองชีพประชาชน

ทั้งนี้ กกพ. ได้พิจารณาแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 66.3 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล และแนวโน้มการอ่อนตัวของค่าเงินบาทมาอยู่ในระดับ 31.3 บาทต่อเหรียญสหรัฐในเดือนพฤษภาคม 2564 ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าเอฟทีในช่วงปลายปี หากพิจารณาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแล้ว ประเทศไทยจะเข้าสู่ภาวะราคาพลังงานขาขึ้น ทำให้ค่าเอฟทีในปี 2565 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

นายคมกฤช กล่าวว่า การบริหารค่าเอฟทีในปี 2565 จะเป็นไปในทิศทางเพื่อสร้างให้ค่าไฟฟ้ามีเสถียรภาพ มีความมั่นคง เพื่อร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐ ในการดูแลผู้ใช้ไฟฟ้าในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศด้วย

“จุรินทร์” ลั่น รมต.ปชป.ทุกคน พร้อมสละเงินเดือนเหมือน “บิ๊กตู่” ขอปชช.ไม่ต้องเร่งซื้อสินค้า ซัพพลายเออร์ยืนยันเติมตลอด

จ.อุบลราชธานี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานี โดยนายจุรินทร์ได้เป็นประธานปล่อยขบวนรถโมบาย (Mobile) พาณิชย์ ลดราคา!ช่วยประชาชน พร้อมมอบเช็คชำระหนี้และมอบโฉนดที่ดินของกองทุนฟื้นฟูเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้แก่เกษตรกรจังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงประชุมติดตามความคืบหน้าโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกยางพารา มันสำปะหลัง ข้าว 
     
ทั้งนี้นายจุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี ประกาศสละเงินเดือน 3 เดือน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า สำหรับรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาอะไร ความจริงได้คิดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าทำอะไรก็ต้องทำด้วยกัน ไมใช่ว่าโด่งทำแต่รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ จะดูไม่ดี อาจมองได้ว่าทำล้ำหน้า ขณะนี้นายกฯเป็นผู้ริเริ่มถือว่าดี พรรคประชาธิปัตย์ยินดีที่จะปฏิบัติให้เป็นเงื่อนไขเดียวกัน แม้จะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นน้ำใจและเป็นการปฏิบัติภารกิจส่วนหนึ่ง นอกจากปฏิบัติตามหน้าที่ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง
   
เมื่อถามว่าในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ และในฐานะที่ดูแลกระทรวงพาณิชย์ได้มีการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดอย่างไรบ้าง นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ เราทำในนามมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช โดยได้อนุมัติงบประมาณไปหลายล้านบาท มอบหมายให้ส.ส.และสมาชิกกรุงเทพมหานคร ไปทำหลายโครงการตั้งแต่แจกหน้ากากอนามัย ซึ่งขณะนี้ดำเนินการไปถึง 4-5 ล้านชิ้น โครงการข้าวกล่องส่งตรงถึงบ้านหลายหมื่นกล่อง รวมถึงประสานหาเตียงให้กับผู้ป่วยโควิด และแจกถุงยังชีพในชุมชนต่างๆ 
  
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการปลัดกระทรวงฯ และอธิบดีกรมต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้ดูแลสินค้าต่างๆ ประสานงานกับห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ซัพพลายเออร์ เตรียมสินค้าต่างๆในชีวิตประจำวันให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และตนขอฝากไปยังประชาชนด้วยว่าไม่ต้องเร่งซื้อสินค้ามาเก็บไว้ เพราะทางซัพพลายเออร์ยืนยันว่าพร้อมเติมสินค้าตลอด

รถไฟยกเว้นค่าธรรมเนียม ยกเลิก-เลื่อน ตั๋วเดินทาง

กรมการขนส่งทางราง แจ้งว่า ขณะนี้ได้ออกมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับการเลื่อน หรือยกเลิกบัตรโดยสาร เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถไฟระหว่างเมือง พิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียมเป็นกรณีพิเศษ สำหรับผู้โดยสารที่ขอยกเลิกการเดินทาง หรือขอเลื่อนกำหนดการเดินทางตั้งแต่เดือน ก.ค.64 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ในการดำเนินการดังกล่าวเพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่ต้องเดินทางข้ามเขตจังหวัดเท่าที่มีมีความจำเป็น

ขณะเดียวกัน ยังได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่ให้บริการขนส่งทางรางทุกระบบ เพิ่มความเข้มงวดสูงสุดในการตรวจคัดกรองการเดินทางของผู้โดยสารและปฏิบัติตามมาตรการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างเคร่งครัด เพื่อร่วมจำกัดและลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top