Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

รัฐบาลเยียวยาผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บจากกรณีไฟไหม้โรงงานเม็ดโฟมพลาสติก

นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเหตุระเบิดภายในโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 หมู่ 15 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564​ ส่งผลให้ตัวอาคารของโรงงานได้รับความเสียหายถูกเพลิงไหม้หมดทั้งหลัง เนื่องจากมีสารเคมีเกิดการรั่วไหลออกมา เป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยที่เข้าดับไฟเสียชีวิต จำนวน 1 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 40 ราย และบ้านเรือนประชาชนเสียหายจากแรงระเบิดจำนวนมาก​ นายอนุชา​ นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ได้อนุมัติในหลักการจ่ายเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่เข้าช่วยดับไฟ กรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ โรงงานหมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ดังนี้​ 1.กรณีนายกรสิทธิ์ ลาวพันธ์ อายุ 19 ปี เสียชีวิต ช่วยเหลือค่าจัดการศพ​ 50,000 บาท และเงินทุนเลี้ยงชีพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 10,000​บาท รวมเป็นเงิน 100,000 บาท​ 2.กรณีบาดเจ็บช่วยเหลือเป็นเงินทุนเลี้ยงชีพ ได้แก่​ ผู้บาดเจ็บสาหัส หากต้องพักรักษาตัว ตั้งแต่ 20 วันขึ้นไป เงินทุนเลี้ยงชีพ รายละ 30,000 บาท  ผู้บาดเจ็บ หากพักรักษาตัวน้อยกว่า 20 วัน เงินทุนเลี้ยงชีพ รายละ 15,000 บาท

นายธีรภัทร กล่าวว่า สำหรับผู้บาดเจ็บ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย จะได้เร่งรัดประสานงานกับจังหวัดสมุทรปราการสำรวจและตรวจสอบรายละเอียดเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่เข้าช่วยดับไฟ และได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป

ผบ.ทสส. มอบ ศบภ.ทท.สน.นำหน้ากากป้องกันสารพิษ มอบกำลังพลที่เกิดเหตุ  พร้อมส่ง กำลังพล นทพ. ร่วมกับ กรมควบคุมมลพิษ หยุดปฏิกิริยาทางเคมีป้องกันการติดไฟของสารสไตรีนโมโนเมอร์

พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทย (ผบ.ทสส./ผอ.ศบภ.ทท.) สั่งการให้ พล.อ.นเรนทร์  สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) จัดชุดดับเพลิงจากศูนย์บรรเทาสาธารณภัย สำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ร่วมปฏิบัติงานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมควบคุมมลพิษ ในการเฝ้าระวังเพื่อควบคุมเพลิงที่อาจเกิดการลุกไหม้หรือเกิดการระเบิดของสารสไตรีนโมโนเมอร์ในระหว่างการเทสาร Deha ลงในบ่อ และการฉีดสาร F 500 รอบบ่อ เพื่อหยุดการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีป้องกันการติดไฟของสารในบ่อเก็บสารสไตรีนโมโนเมอร์ของโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 

โดยมี พล.ต.ธนินทร์  พู่ทองคำ ผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้เข้าพื้นที่เพื่อประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานรับผิดชอบ พร้อมตรวจเยี่ยมให้กำลังใจชุดดับเพลิงของหน่วยที่เข้าร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงาน

ทั้งนี้พล.ต.เพชรพนม โพธิ์ชัย ผอ.ศบภ.ทท.สน.  เป็นผู้แทน ผบ.ทสส. มอบหน้ากากป้องกันสารพิษ จำนวน 30 ชุด ให้กับผู้ที่ปฏิบัติงานควบคุมเพลิงไหม้ จากเหตุระเบิดโรงงานกิ่งแก้ว (บ.หมิงตี้เคมิคอล จำกัด) ประกอบด้วย
1. กลุ่มจิตอาสาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อการจัดการภัยพิบัติ (ERIG) จำนวน 5 นาย
2. ทีมงานดับเพลิงใจถึงใจ จำนวน 10 นาย
3. กลุ่มงานสนับสนุนทรัพยากรดับเพลิงและกู้ภัยเทพนคร จำนวน 5 คน
4. สมาคมตอบโต้ภัยพิบัติ (D.R.A.T) จำนวน 7 นาย
5. ศูนย์ควบคุมภาวะฉุกเฉิน NPC S&E จำนวน 3 นาย

ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพไทย โดย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จะใช้ศักยภาพที่มีในการสนับสนุนช่วยเหลือการจัดการภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างเต็มขีดความสามารถเพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้เบาบางลง

'ครูพี่โอ๊ะ'​ รมช.ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 'ที่สุดของที่สุด กศน.เด็กพิเศษ'​

'ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์'​ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิด โครงการสัมมนาและร่วม workshop รับฟังความคิดเห็น 'การจัดทำร่างหลักสูตรการศึกษานอกระบบต้นแบบสำหรับบุคคลออทิสติกและบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ'​ (ผ่านระบบออนไลน์) ณ.มูลนิธิออทิสติกไทย 

โดย 'ครูพี่โอ๊ะ'​ กล่าวขอบคุณ "สมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม(ไทย)" / เครือข่ายผู้ปกครอง /สำนักงาน กศน ที่ร่วมกันจัดพัฒนา "หลักสูตรต้นแบบมิติใหม่” ที่เชื่อมโยงกับ "สมรรถนะ"

นับเป็นความตั้งใจที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษานอกระบบสำหรับคนพิการให้กว้างขวาง ทั่วถึง และมีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการจำเป็นพิเศษของผู้เรียน การทำงานครั้งนี้ที่ให้ผู้ปกครองร่วมในการ Design หลักสูตรจะช่วยพัฒนาการเรียนรู้และคุณภาพ เป็นการทำงานแบบ Bottom Up Design เพื่อร่วมกันสร้าง”นวัตกรรมหลักสูตรต้นแบบ”

ทั้งนี้ 'ครูพี่โอ๊ะ'​ ได้ขอให้กศน. เปิดใจกว้าง และสนับสนุนงานนี้ พร้อมทั้งมอบหมายภารกิจสำคัญแก่หน่วยงานนโยบายและระดับปฎิบัตินำไปปฎิบัติให้เป็นรูปธรรม

จากนั้น "อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์"  นายกสมาคมฯ​ กล่าวรายงานโดยสรุปว่า...

สำนักงาน(กศน.) กศร.ตลิ่งชัน คณะจากมูลนิธิทิสติกไทย และสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม​ (ไทย) และ ศกพ.ได้ทำงานร่วมกันกว่า 2 เดือนเพื่อแลกหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวบรวมแนวทางการจัดการศึกษา โดยเห็นพ้องกันว่า “หลักสูตรต้นแบบครั้งนี้ จะพัฒนาโดยอิงจาก "หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน" พุทธศักราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการ และกรอบแนวคิดของเเนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือที่เรียกว่า "หลักสูตรฐานสมรรถนะ" (Competency-Based Curriculum) ที่กระทรวงศึกษาธิการ มีเป้าหมายจะพัฒนาและทดลองใช้ในระบบการศึกษาของประเทศ ภายในปีการศึกษา 2565 

เพราะเป็นหลักสูตรที่วัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนตามสมรรถนะต่างๆ​ ทั้ง 10 สมรรถนะ ซึ่งเป็นคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์และสอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยนำมากำหนดเนื้อหาและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Programs) ซึ่งนับว่าเป็นงานที่มีความท้าทายและมีคุณค่าทั้งด้านวิชาการและการส่งเสริมให้บุคคลออทิสติกและบุคคลที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ มีสมรรถนะสำคัญ สามารถนำความรู้ไปใช้ในการเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง และการมีพื้นฐานอาชีพตามความสนใจและความถนัด

และ อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ยังได้กล่าวขอบคุณ "ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์" ที่ตั้งใจสนับสนุนอย่างมุ่งมั่น จนเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์อันสูงสุดของคนพิการและครอบครัวคนพิการต่อไปในภายหน้า

บทเรียนจากกิ่งแก้ว ภาพจำจากอดีตสู่แนวทางของโรงงานอุตสาหกรรมในวันข้างหน้า

จากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก “หมิงตี้” ซอยกิ่งแก้ว สมุทรปราการ เปลวไฟที่โหมกระหน่ำและควันสีดำที่พวยพุ่งสู่เบื้องสูงสร้างมลภาวะไปทั่วบริเวณเป็นรัศมีไกลหลายกิโลเมตร ความสูญเสียนอกจากทรัพย์สินของชาวบ้านนับหมื่นครัวเรือน ยังรวมไปถึงชีวิตของนักกู้ภัยที่หาญกล้าในการเข้าไปผจญเพลิงเพื่อจบการโหมของอัคคีภัยต้นเหตุ

หลายคนคาดการณ์ถึงสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ไปอย่างหลากหลาย ทั้งส่วนที่เป็นการรั่วไหลของวาล์วถังเก็บวัตถุไวไฟ ทั้งส่วนของการเสื่อมซึ่งคุณภาพของท่อเชื้อเพลิง ทั้งส่วนการควบคุมในกระบวนการผลิต และอีกหลายเหตุผลอันนำไปสู่การประทุใหญ่ในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุอะไร ทุกสิ่งที่สูญเสียย่อมต้องมีคำตอบในการเยียวยา

เบื้องต้น “โรงงานเม็ดพลาสติก” คงต้องมาออกโรงในการเป็นผู้เยียวยาหลัก เพราะเหตุนั้นเกิดขึ้นจากโรงงาน ส่วนอื่น ๆ ก็คงไม่พ้นตัวจังหวัดสมุทรปราการเองที่ต้องมาตอบคำถามในเรื่องของการจัดทำผังเมืองในอดีต ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต และแน่นอนย่อมไม่พ้นจังหวัดที่ต้องออกมายอมรับความจริงในการที่จะต้องเยียวยาผู้ประสบภัยในครั้งนี้อย่างชัดเจนหลังจากจัดพื้นที่พำนักของผู้ประสบภัยไปแล้วในเบื้องต้น

แม้จะเป็นเผือกร้อนในการตอบคำถามของบางบุคคลที่ว่าทำไมโรงงานถึงมาตั้งอยู่ตรงนั้น? แต่คำถามนี้ก็ย้อนแย้งกันว่าแล้วทำไมชุมชนถึงไปอยู่ตรงนั้น? ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ล่วงมาแล้ว 32 ปี ไม่เคยมีบ้านเรือนไปตั้งอยู่ตรงนั้น หากเรามองพื้นที่รอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นนทบุรี เป็นพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดเล็ก รวมถึงโกดังเก็บสินค้ากระจายอยู่โดยทั่วไป หลายโรงงานเกิดขึ้นก่อนที่จะมีผังเมือง เมื่อมีผังเมืองบังคับใช้แล้วผู้ที่มีส่วนในการออกแบบผังเมืองจึงพยายามตีกรอบให้โรงงานที่มีอยู่แล้วเหล่านั้นเป็นเขตอุตสาหกรรม แบ่งเป็นสีต่าง ๆ ตามที่เห็นในผังเมืองของแต่ละจังหวัด และในหลายพื้นที่ก็มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสีผังเมืองเช่นกัน รองรับการขยายตัวของเมืองในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะความเป็นชุมชนที่เข้ามารองรับกลุ่มพนักงานและผู้ที่ช่วยขับเคลื่อนตัวโรงงานนั่นเอง ดังนั้น การหาคำตอบจากอดีตไม่น่าจะใช่เหตุที่เราพึงมาโยนบาปใส่กัน

เราจะไปต่ออย่างไรในเรื่องของโรงงานอุตสาหกรรม? โดยเฉพาะโรงงานผลิตเม็ดโฟมซึ่งเป็นจำเลยในครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าโรงงานผลิตเม็ดโฟมนั้นอาจจะไม่ใช่อุตสาหกรรมหลักสำหรับการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมของประเทศ แต่เราก็ขาดเม็ดโฟมไม่ได้ ตราบใดก็ตามที่เรายังต้องการวัสดุเพื่อทำแพ็คเกจจิ้ง เพื่อทำตู้เย็น เพื่อทำฉนวนกันความร้อน ฯลฯ เมื่อเราขาดไม่ได้โรงงานเหล่านี้ก็ยังคงต้องมีอยู่ บางแห่งก็ยังคงอยู่ในชุมชนที่ขยับขยายไปไหนไม่ได้ เนื่องจากการย้ายโรงงานคือเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ต้องใช้ ท่ามกลางเศรษฐกิจแบบนี้การย้ายโรงงานคือความเสี่ยงของการปิดตัว การปิดตัวคือความเสี่ยงของการตกงานของพนักงานจำนวนมาก การย้ายไปอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมก็ไม่ใช่ทางออก เพราะเอาเข้าจริงชุมชนก็เริ่มเข้าไปล้อมนิคมอุตสาหกรรมเช่นกัน แต่ทางออกของเรื่องเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มี

ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการทางมาตรฐานต่าง ๆ ที่เข้มงวดกับโรงงานทั้งที่มีอยู่แล้ว และก่อตั้งขึ้นใหม่ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA การรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EHIA รวมไปถึงการประเมินต่าง ๆ ในยุค 4.0 ที่เข้มงวดกว่าในอดีต “แล้วยังไงล่ะ? วัวหายก็ล้อมคอกทุกที !!!” ประโยคสะท้อนความตระหนักรู้บางอย่างที่ไม่มีอยู่ของผู้ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับโรงงานอุตสาหกรรม ต้องยอมรับว่าการยึดโยงของชุมชมกับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยวันนี้มันแยกกันไม่ได้และมันไม่ใช่วัวหายล้อมคอก เนื่องจากชุมชนเขาเอาวัวไว้ในคอกตั้งนานแล้ว เพราะโรงงานฯ คือแหล่งรายได้ที่ทำให้ชุมชนมีอยู่

ดังนั้น จิตสำนึกแห่งความปลอดภัยร่วมกันต่างหากที่วันนี้เราต้องสร้าง แม้ว่ากระทรวงอุตสาหกรรมจะควบคุมและดูแลโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งการผลักดันให้อุตสาหกรรมของประเทศก้าวไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Green Industry เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบอุตสาหกรรมของประเทศไทยอย่างเข้มข้นแล้วก็ตาม แต่จำนวนโรงงานกว่า 60,000 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ หลายพันแห่งที่ตั้งอยู่กลางชุมชน คงไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการสร้างชุมชนรอบโรงงานอุตสาหกรรมให้แข็งแรงและอยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัย ซึ่งนั่นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของวันนี้ เพื่อเป็นแนวทางของโรงงานอุตสาหกรรมกับชุมชนในวันข้างหน้าที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อุตตม” นำทีมเปิดตัว “ไทยแลนด์ ฟิวเจอร์” เผย รวมพลังความคิดขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า

นายอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคลัง ในฐานะประธานที่ปรึกษา สถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future) เปิดเผยในโอกาสการเปิดตัว Thailand Future อย่างเป็นทางการ ว่า นับเป็นเวลาที่ประเทศไทยและคนไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ประการแรก ในช่วงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา โควิดส่งผลกระทบเฉียบพลันรุนแรงและกระจายสู่ทุกภาคส่วน โจทย์เร่งด่วนก็คือ เราจะร่วมกันจัดการต่อสถานการณ์โควิดให้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงได้อย่างไร ทั้งเฉพาะหน้าและต่อเนื่องในอนาคต เพื่อความปลอดภัยซึ่งยึดโยงกับเรื่องปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชนเช่นกัน

ประการที่สอง ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อน เราจำเป็นต้องมองไปข้างหน้า คำนึงถึงอนาคตของประเทศไทยในภาวะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในแทบทุกมิติของสังคม ซึ่งโควิดเป็นตัวเร่งที่มีอิทธิพลสูง ประเทศไทยจะขับเคลื่อนการพัฒนาในแนวทางใด ให้มีขีดความสามารถที่จะปรับตัวและจัดการกับความท้าทายใหม่ ๆ ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างโอกาสดี ๆ และความมั่นคงในชีวิตให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไป

จากโจทย์ที่สำคัญเหล่านี้ ทีม Thailand Future จึงเกิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มคนจากหลายภาคส่วน หลากหลายประสบการณ์และอาชีพ จากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งหลายช่วงอายุ โดยอาสาทำงานแบบเวทีเปิด (Open Platform) ที่ส่งเสริมสนับสนุน การรวมพลังความคิดของคนไทย เพื่อร่วมกันคิด วิเคราะห์และตกผลึกในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคที่สั่งสมมานาน รวมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศอย่างคลอบคลุมและยั่งยืน

“ในเวลาแบบนี้ ภาครัฐไม่ควรเป็นคอขวดของการแก้ไขปัญหา หรือนิ่งเฉยกับข้อจำกัด ข้อจำกัดของภาครัฐมีทุกประเทศ สิ่งที่ต้องทำคือ รีบกระจายอำนาจออกไปสู่บุคคลและหน่วยงาน รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานด้วยความชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้เกิดความคล่องตัวพอที่จะนำประเทศไทยให้รอดพ้นไปจากวิกฤตครั้งนี้ รวมถึงทะยานเหนือความท้าทายอื่น ๆ ที่ยังรอเราอยู่ หมดแล้ว ยุคสมัยของการทำนโยบายแบบบนลงล่างอย่างเดียว” นายอุตตม กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังจากที่เห็นภาพชาวบ้าน นอนรอตรวจโควิดหน้าวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน โดยได้เสนอเพื่อเร่งดูแล ผู้ป่วยโควิด รายได้น้อย พร้อมเสนอทาง

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังจากที่เห็นภาพชาวบ้าน นอนรอตรวจโควิดหน้าวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน โดยได้เสนอเพื่อเร่งดูแล ผู้ป่วยโควิด รายได้น้อย พร้อมเสนอทางออกว่า

กลัว แต่ ไม่มีที่ตรวจ.. ติด แต่ ไม่มีที่รักษา เจ็บหนัก แต่ ไม่มีเตียงให้นอน.. เดือดร้อน แต่ ยังไม่ได้รับเยียวยา

หลังจากที่เห็นภาพชาวบ้าน นอนรอตรวจโควิดหน้าวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน เช้าวันนี้ เป็นภาพที่น่าเศร้ามาก นี่หรือเมืองหลวงของประเทศไทยเรา ภาพนี้สะท้อนถึงปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขทุกวันนี้ วัคซีนถูกเลื่อน ผู้ป่วยไปถึงหน้าโรงพยาบาลแต่ถูกปฏิเสธการรักษา และแม้แต่การตรวจเชื้อก็ยังเข้าถึงยากมาก

นายกรณ์ กล่าวว่า ทีม ‘กล้าอาสา-หาเตียง’ ของพรรคกล้า เราทำงานช่วยบรรเทาความเดือดร้อนมากว่า 3 เดือน วันนี้พบปัญหาที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนเข้ามาอีก ต้นตอคือ ระบบราชการ ปัญหาเฉพาะหน้าคือเรื่องการเข้าถึงการตรวจและการรักษา ในสถานการณ์ที่ผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลต้องแก้ไขเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนใน 4 เรื่องหลักคือ

1.) โรงพยาบาลส่วนใหญ่ปิดตรวจ ระบบจองคิวได้คิวข้ามเดือน

2.) ประชาชนต้องหนีไปตรวจตามแล็บต่าง ๆ ซึ่งหลายที่เป็นการตรวจแอนติเจน พอผลออกมาเป็นบวก ก็ไม่สามารถเข้าระบบหาเตียงตามระบบได้ (ตามระบบหาเตียงต้องตรวจ PCR เท่านั้น) สรุปผู้ป่วยก็ต้องดิ้นรนออกไปตรวจที่หน่วยเชิงรุก

3.) โรงพยาบาลเอกชน หากยังมีรับตรวจอยู่บ้างก็จะคิดแพงมาก คิดเงินพ่วงค่ารักษาโควิดหลักแสน

"ตอนนี้ผู้ป่วยโควิดที่มีรายได้น้อย จนปัญญา แทบไม่มีที่ไปเลยครับ และผู้ป่วยจำนวนมากเข้าถึงยาได้ล่าช้า เพราะเข้าไม่ถึงการตรวจ ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรพิจารณาให้มีการตรวจ Rapid Antigen ด้วยตัวเองได้และรู้ผลภายใน 20 นาที ความแม่นยำอาจจะน้อยกว่าการตรวจ PCR แต่จะช่วยให้ประชาชนรับยาที่เหมาะสมมารักษาได้เร็วขึ้น หากตรวจพบว่า มีเชื้อและมีอาการ การแยกตัวตามศูนย์พักคอยที่รัฐบาลและกทม. จัดตั้งจะดำเนินการได้ทันท่วงทีมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อในครอบครัว ซึ่งตอนนี้เป็นปัญหาหนักมาก จากหลายเคสที่เราช่วยหาเตียง ช่วงหลัง ๆ ติดยกครัว" หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว

ทั้งนี้ นายกรณ์ ได้นำเสนอแนวทาง เพื่อบรรเทาปัญหา คือ

1.) ไม่ว่าเตียงจะมี หรือไม่ ก็ต้องเปิดรับตรวจ รัฐบาลจะผลักภาระให้โรงพยาบาลที่รับตรวจ รับเคสทั้งหมดก็ไม่ถูกซะทีเดียว คอขวดหลักการนี้ ทำให้โรงพยาบาลปิดตรวจ จนลามเป็นสภาพที่เห็นในข่าว ต้องผ่อนคลายจุดนี้

2.) หากตรวจแล้วพบเชื้อ อาการไม่มาก และในสภาวะยังไม่มีเตียงเพียงพอ ควรจัดยาที่เหมาะสมให้ผู้ป่วย กักตัวเอง และคอยประเมินอาการ

3.) ประชาชน ต้องเข้าถึงระบบตรวจ Rapid Antigen เพื่ออย่างน้อยถ้ามีอาการและผลเป็นบวก ควรเข้าศูนย์พักคอย จากนั้นค่อยตรวจ PCR ยืนยันอีกที

"หลายประเทศหันมาพึ่งพาการตรวจ rapid antigen มากขึ้น จริงอยู่มี false negative บ้าง แต่ยังดีกว่าสถานการณ์ปัจจุบันที่การเข้าถึงการตรวจเชื้อโควิดยากมาก ตามศูนย์ต่าง ๆ ประชาชนต้องไปรอเข้าคิวตั้งแต่เช้ามืด การตรวจในโรงพยาบาลเอกชนก็ราคาสูงจนเป็นอุปสรรคต่อการรับการรักษาให้ทันท่วงที ทำให้เกิดการกระจายเชื้อจำนวนมาก" นายกรณ์ กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เปิดโผ นักเตะฟอร์มแจ่มในยูโร 2020 ที่เตรียมตัวมีบิ๊กทีม รุมจีบไปร่วมสังกัดแน่นอน

เหลืออีกเพียงนัดเดียว ศึกฟุตบอลยูโร 2020 ก็จะรูดม่านปิดตัวลง แต่ทัวร์นาเม้นท์จบ คนอาจไม่จบ เรากำลังหมายถึง เหล่าบรรดานักเตะที่ทำผลงานได้ดี หลายคนเป็นนักเตะชื่อเสียงธรรมดา ๆ แต่ด้วยฟอร์มการเล่นอันชวนเตะตา จึงรับประกันได้ว่า จบยูโร 2020 ไปแล้ว พวกพี่ ๆ เหล่านี้มีโอกาสย้ายทีม พร้อมอัปราคาค่าตัวอย่างแน่นอน

THE STATES TIMES ไปคัดตัวมาเน้น ๆ 9 คน ฟอร์มดีเป็นศรีแก่ชาติเอามาก ๆ มีใครกันบ้าง ลองไปดูกัน!!


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

คนกรุงโล่งใจ นายก สั่ง รมว.เฮ้ง เปิดจุดตรวจโควิดเพิ่มที่สนามไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง เร็ว ๆ นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นนั้น
ท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้มีข้อสั่งการให้ กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม
บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 
เพื่อดำเนินการเปิดจุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ขึ้น  แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และประชาชนทั่วไป ให้สามารถมาตรวจคัดกรองโควิด-19 ได้ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ในเร็วๆ นี้

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การเปิดจุดตรวจคัดกรองโควิด-19 เพิ่มในครั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบ และพี่น้องประชาชนทั่วไป
ที่เดือดร้อนจากการตรวจโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอีกทางหนึ่งด้วย กรณีตรวจพบเชื้อและมีอาการจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีอาการหรืออยู่ในระดับสีเหลืองตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด จะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ Hospitel ของประกันสังคม ซึ่งจะมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแล

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม จะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดรายละเอียดขั้นตอนในการให้บริการตรวจคัดกรองโควิด-19 โดยเร็ว จากนั้นจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ทราบในทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจคัดครองเชื้อโควิดได้ และหากพบว่าติดเชื้อจะได้เข้าสู่การรักษาได้อย่างทันท่วงทีต่อไป

“บิ๊กตู่” รับโควิดแพร่ระบาดรุนแรง “ลั่น” จำเป็นต้องใช้มาตรการเข้มงวด “วอน” ทุกฝ่ายร่วมมือป้องกันตัวเองและใช้สติในการรับข้อมูล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุว่า จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้ ทุกคนทราบดีว่าการแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากขึ้น จากการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดที่แพร่ระบาดได้ง่ายยิ่งขึ้น มาตรการทุกอย่างที่รัฐบาลจะออกมา จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรัดกุม โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และธุรกิจต่าง ๆ 

“ผมได้ติดตามสถานการณ์การระบาดอย่างต่อเนื่องด้วยความไม่สบายใจ และรับรายงานจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินสถานการณ์และความจำเป็นในการใช้แผนเผชิญเหตุ เพื่อกำหนดมาตรการการควบคุมโรคที่จะต้องเกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก แต่หากไม่ดำเนินการ อาจจะส่งผลกระทบให้เกิดความรุนแรงมากกว่านี้ ซึ่งเราอาจมีความจำเป็นต้องกำหนดมาตรการเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในการจำกัดการเคลื่อนย้าย การป้องกันมิให้มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรม การปิดสถานที่เพิ่มเติม และมาตรการอื่นๆที่จำเป็น โดยในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ผมได้เรียกประชุม ศบค. ชุดใหญ่ในเช้าวันพรุ่งนี้ (9 ก.ค.) เพื่อพิจารณามาตรการที่ฝ่ายต่าง ๆ ได้เสนอเข้ามา และจะแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบโดยทันที”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน ช่วยกันดูแล ป้องกันตัวเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติไปด้วยกัน ไม่มีใครหรือประเทศใด ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาโควิดได้สำเร็จโดยคนเพียงคนเดียว หรือหน่วยงานเดียว ในยามที่เปรียบเสมือนการทำสงครามกับเชื้อไวรัสในครั้งนี้ สิ่งที่จะทำให้เราชนะได้ คือความสามัคคีของคนในชาติ ความมีวินัย ความอดทน การร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเหลือกันของคนในชาติ และอีกสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ความมีสติในการรับข่าวสารในยามวิกฤต ที่มีผู้ไม่หวังดีสร้างข้อมูลเท็จที่มุ่งร้ายให้เกิดเข้าใจผิดและสับสนวุ่นวายในสังคมอย่างมากมาย ซึ่งต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด รวมถึงผู้ที่ฝ่าฝืนมาตรการของรัฐที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้อื่นด้วย 

“ผมขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ด่านหน้าทุกคนที่ทำงานอย่างเสียสละ และขอสัญญาว่าจะดูแลทุกคนอย่างดีที่สุด ผมและรัฐบาลจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

รองโฆษกรัฐบาล ยัน รัฐดูแลประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ชี้วัคซีน mRNAอยู่ในแผนวัคซีนหลัก รอแค่ส่งมอบ ยก องค์การอนามัยโลก รับรองซิโนแวก-แอสตราฯ-ซิโนฟาร์ม มีประสิทธิภาพ

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่มีการ เตรียมฟ้องรัฐบาล หลังจากคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติให้จัดซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติม โดยอ้างว่าการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดได้ ว่าองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย เผยแพร่ข้อมูลว่าวัคซีนที่ได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งไทยมีวัคซีน 3 ชนิดที่ให้บริการไปแล้ว ได้แก่ แอสตราเซเนกา ซิโนฟาร์ม และ ซิโนแวค ขณะที่แผนจัดหาวัคซีน มีคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ มีงานวิชาการรองรับ เป็นไปตามกฎหมายทุกขั้นตอน สอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ และทำตามหลักภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ ขององค์การอนามัยโลก

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนความกังวลว่าวัคซีนซิโนแวคที่สั่งซื้อมาต่อเนื่องอาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อที่กำลังแพร่ระบาด ในปัจจุบันข้อมูลทางการแพทย์ พบว่ายังไม่มีวัคซีนชนิดใดที่สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่ชนิด mRNA แต่ทุกชนิดรวมทั้งเทคโนโลยีเชื้อตาย สามารถลดการป่วยหนักและการเสียชีวิตได้  

ดังนั้น ในระหว่างรอส่งมอบวัคซีน mRNA อาทิ วัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส ตามแผนวัคซีนหลัก ในช่วงไตรมาสที่ 4 และโมเดอร์นาซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือก รัฐบาลจึงเร่งจัดหาและฉีดวัคซีนให้ประชาชนในวงกว้างให้มากที่สุดเพื่อลดการป่วยหนักและการเสียชีวิต ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ซึ่งแผนการดังกล่าวภาครัฐได้ดำเนินการและสื่อสารมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพิ่งอนุมัติจัดหาในการประชุม ครม.ที่ผ่านมา 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top