Friday, 4 July 2025
Hard News Team

กระทรวงอุตสาหกรรม วอนโรงงานตรวจเข้มมาตรการป้องกันโควิด ด้วย “Bubble and Seal” และเข้าประเมินตนเองออนไลน์ TSC ด้านผลวิเคราะห์ชี้!! ประเมินแล้ว​ ช่วยลดการระบาดโควิด ได้ 4.5 เท่า

นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประชุมหารือร่วมกับ ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงานกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งขับเคลื่อนมาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานที่ยังคงพบ ผู้ติดเชื้อโควิดต่อเนื่อง เพื่อให้การผลิตของภาคอุตสาหกรรมเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งต่อการพยุงเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ  จากการส่งออก การบริโภค การจ้างงานและธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องภายในประเทศ โดยจะดำเนินการร่วมกันดังนี้

1.) ปรับมาตรการ Bubble and Seal และ Factory Isolation ภายในสถานประกอบการ ให้เหมาะสมกับโรงงานทุกขนาด พร้อมกับการสื่อสารให้กับแรงงานและชุมชนเข้าใจถึงเหตุผลที่ไม่หยุดประกอบกิจการ

2.) สร้างความรู้ความเข้าใจและให้คำแนะนำการทำ Bubble and Seal ในรูปแบบ Coaching คือคอยให้คำแนะนำแนวทางและให้ความช่วยเหลือ ทั้งรูปแบบ Online และ Offline เพื่อให้โรงงานทุกขนาดสามารถดำเนินมาตรการได้ พร้อมกันทั่วประเทศ

3.) ปรับเกณฑ์ Good Factory Practice : GFP เพื่อปิดช่องว่างที่เป็นสาเหตุของการแพร่ระบาด โดยเสนอเพิ่มมาตรการตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วยชุด Antigen Test Kit (ATK) และเข้มงวดการตรวจกำกับหอพัก การรถรับส่งแรงงาน รวมทั้งการเว้นระยะห่างของผู้ปฏิบัติงาน

4.) เร่งขอความร่วมมือโรงงานโดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็กเข้าประเมินตนเอง Online ในแพลตฟอร์ม Thai Stop Covid (TSC) และการสุ่มตรวจประเมินโรงงาน (Onsite) เพื่อแนะนำการใช้มาตรการต่าง ๆ ในเชิงรุก อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้จากฐานข้อมูลที่ได้รับจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าโรงงานที่เข้าประเมิน TSC แล้ว  มีแนวโน้มการติดเชื้อโควิดน้อยกว่าโรงงานที่ไม่ได้เข้าประเมินถึง 4.5 เท่า ดังนั้นจึงขอเชิญชวนโรงงานทุกขนาด ได้เข้าประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์ม TSC ควบคู่ไปกับการทำ Bubble and Seal เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในโรงงาน

ด้านนายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะหัวหน้าศูนย์บริหารสถานการณ์วิกฤตกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ ศูนย์ CMC : Crisis Management Center กล่าวเพิ่มเติมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจากการเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 17 สิงหาคม 2564 พบการระบาดของโรงงานทั้งสิ้น 749 แห่ง มีผู้ติดเชื้อจำนวน 53,135 คน ครอบคลุมพื้นที่ 62 จังหวัด สำหรับ 5 อันดับจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อสะสมมากที่สุด คือ จังหวัดเพชรบุรี 4,597 คน ฉะเชิงเทรา 3,648 คน สระบุรี 3,647 คน  สมุทรสาคร 3,571 คน และเพชรบูรณ์ 3,487 คน

ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ อุตสาหกรรมอาหาร 136 โรงงานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 103 โรงงาน อุตสาหกรรมโลหะ 65 โรงงาน อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม 64 โรงงาน และอุตสาหกรรมพลาสติก 57 โรงงาน

“แม้ว่าภาพรวมการระบาดของโควิด-19 ในโรงงาน ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันพบมีผู้ติดเชื้อใหม่ในโรงงานเพิ่มวันละประมาณ 13 แห่ง มีจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยวันละกว่า 800 คน หรือประมาณ 4% ของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันของประเทศ โดยแนวโน้มการระบาดในช่วงนี้จะไม่พบผู้ติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ แต่จะกระจายตัวไปในหลายโรงงาน หลายจังหวัดและพบผู้ติดเชื้อเป็นหลักสิบ

ขณะที่ผู้ติดเชื้อในช่วงเมษายน - 17 สิงหาคม 2564 มีจำนวนผู้หายป่วยและกลับมาทำงานได้แล้วจำนวนมาก เช่น ใน 10 ลำดับโรงงานที่พบการระบาดของเชื้อโควิดมากที่สุด มีผู้ติดเชื้อรวมจำนวน 16,798 คน พบแรงงานหายป่วยแล้ว 12,954 คน หรือคิดเป็น 77% ซึ่งส่วนใหญ่ ผู้ติดเชื้อในโรงงานจะใช้เวลารักษาตัว 14-28 วัน ก็จะกลับมาทำงานได้ เนื่องจากอยู่ในวัยหนุ่มสาว สุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีบางส่วนได้รับการฉีดวัคซีนด้วยแล้ว

สำหรับข้อมูลโดยละเอียดกระทรวงฯ อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการรายงานฯ ให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ครอบคลุมทุกมิติ และพร้อมเชื่อมต่อข้อมูลกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประโยชน์ในข้อมูลร่วมกัน”

นอกจากนี้ ปัจจุบันมีโรงงานเข้าประเมินออนไลน์ใน TSC แล้วจำนวน 20,032 แห่ง คิดเป็น 31% จากโรงงานทุกขนาด 64,038 แห่ง โดยรวมพบโรงงานผ่านเกณฑ์ จำนวน 13,235 แห่ง หรือคิดเป็น 66% และไม่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 6,797 แห่ง หรือคิดเป็น 34% ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับเมื่อเข้าประเมินตนเองในแฟลตฟอร์ม TSC คือ เราจะทราบทันทีว่า สิ่งที่โรงงานดำเนินการอยู่ ผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์ กรณีไม่ผ่านเกณฑ์จะต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในส่วนใด ซึ่งการดำเนินการยกระดับให้ผ่านเกณฑ์ TSC ควบคู่ไปกับการทำ Bubble and Seal จะเป็นมาตรการที่สามารถป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายเดชาฯ กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

บอร์ดกสทช. สั่งยกเลิกการประมูลสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม 28 ส.ค.นี้ เล็งทบทวนเงื่อนไขสอดคล้องกับสถานการณ์ เกิดการแข่งขันเสรี

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กสทช. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงใหม่เกี่ยวกับการประมูล จึงได้มีมติให้ทบทวนมติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2564 วาระที่ 5.2.17 เรื่อง การดำเนินการตามกระบวนการคัดเลือกและวันจัดการประมูลสำหรับการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package)

จากนั้นที่ประชุม กสทช. ได้มีมติยกเลิกการประมูลการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package) ที่กำหนดจัดประมูลในวันที่ 28 ส.ค. 64

ทั้งนี้เนื่องจากมีผู้ยื่นขอรับอนุญาตฯ เพียงรายเดียว อาจไม่ทำให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรมในการประมูล พร้อมให้คืนค่าหลักประกันการประมูลและค่าพิจารณาคำขอรับอนุญาตแก่ผู้รับเอกสารการคัดเลือกทุกราย

รวมถึงให้สำนักงานฯ ไปปรับปรุงประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package) ให้มีความเหมาะสม เพื่อรักษาสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรมในการประมูล

หลังจากข่าวนี้ปรากฎ ทาง 'ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ' หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas สหรัฐอเมริกา ก็ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Suphanat Aphinyan' ว่า...

ก้าวแรกของ "การปฏิวัติประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ"

กสทช. ประกาศยกเลิกการประมูลวงโคจรดาวเทียมรอบใหม่ 28 สิงหาคม 2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

ผมขอขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านที่ได้ร่วมกันตีแผ่ความจริง จนในที่สุดความจริงสามารถกดดันและล้มการประมูลนี้ลงได้เป็นผลสำเร็จ

หากแต่ #ภารกิจทวงคืนกิจการดาวเทียมกลับมาเป็นของประชาชน ยังไม่จบ จนกว่ากิจการดาวเทียมจะกลับมาเป็นของประชาชนโดยสมบูรณ์

ปัญหากิจการดาวเทียมในกำมือของคนส่วนน้อย ได้ตีแผ่ "ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยของชาติ" ได้เป็นอย่างดี ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอำนาจอธิปไตยปวงชนเป็นจริงแค่ในกระดาษ ทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของชาติตกอยู่ในกำมือของคนส่วนน้อย ไม่ต่างจากอำนาจอธิปไตยที่ยังคงอยู่ในมือของคนส่วนน้อย นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของ "ระบอบเผด็จการ" ในประเทศไทย ซึ่งมี "นักธุรกิจการเมือง" ต่างเข้ามาแทรกแซงผลประโยชน์ของรัฐ คอร์รัปชันเชิงนโยบายเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจ แปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้วถือครองผ่านนอมินี ผูกขาดสัมปทานไปเป็นสมบัติส่วนตัว ฯลฯ

การนำกิจการดาวเทียมกลับมาเป็นของประชาชน จึงเป็นการทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง ที่จะทำให้ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกัน ไม่ต่างจากที่เป็นเจ้าของกิจการดาวเทียมแห่งชาติร่วมกัน ซึ่งจะเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนของ "การปฏิวัติประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ" ที่ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างทั่วถึง

นี่คือ ก้าวแรกของ "การปฏิวัติประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ" เป็น "โดมิโน่ตัวแรก" ที่เริ่มต้นล้มล้าง "อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย" แล้วทำ "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน" อย่างสันติ

ขณะเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้ให้มุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า...

ภารกิจของพวกเรายังไม่จบครับ สมัยยิ่งลักษณ์ เคยมีมติให้กสทช. ออกใบอนุญาตที่ไม่มีกฎหมายรองรับ มอบให้ไทยคมไปแล้วเมื่อปี 2555 มีอายุ 20 ปี

จะหมดอายุในปี 2575 จึงเป็นที่มา ที่เขาเอาใบอนุญาตนี้ไปส่งไทยคม 7 และไทยคม 8 ขึ้นวงโคจรของชาติและไม่ยอมส่งคืนไทยคม 7 และ 8 ให้ชาติ

หน้าที่คนไทย ต้องช่วยกันทวงไทยคม 7 และ 8 กลับมาเป็นของรัฐ โดยเฉพาะไทยคม 7 เขาไปสมคบกับฮ่องกง ปู้ยี่ปู้ยำ ไปทำมาหากิน ในสมบัติของชาติ และชาติเราเสียหายมาก


ที่มา : https://www.facebook.com/1635406246730420/posts/2981092945495070/

https://www.facebook.com/100001579425464/posts/4459760550753215/

https://www.posttoday.com/economy/news/660911


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘หมอกุ๊บกิ๊บ’ ร่ำไห้ขอโทษ พาแม่และพี่สาว ฉีดไฟเซอร์ เปิดใจไม่ลาออกแล้ว จะขออยู่สู้เพื่อประชาชน

จากกรณีเเพทย์หญิงรายหนึ่งใน รพ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช พาญาติที่ไม่ใช่บุคลากรด่านหน้ามาฉีดวัคซีนไฟเซอร์ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดย นพ.จรัสพงษ์ สุขกรี นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช ยอมรับว่าเป็นความจริง แต่พญ.คนดังกล่าว ได้ฉีดให้พี่สาว ส่วนแม่ยังไม่ได้ฉีด เนื่องจาก ผอ.รพ.นบพิตำ สั่งห้ามฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคคลภายนอกเด็ดขาด ต่อมาแพทย์หญิงได้ยื่นใบลาออกต่อ ผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด แพทย์หญิงกฤตยาณี พูลเพียร หรือ ‘หมอกุ๊บกิ๊บ’ อายุ 27 ปี แพทย์ประจำ รพ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นแพทย์หญิงที่ตกเป็นข่าวดังกล่าว ได้ออกมายกมือไหว้พร้อมหลั่งน้ำตา ยอมรับว่าเห็นแก่ตัว พร้อมขอโทษประชาชนที่คิดน้อย ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอ่อนไหว พร้อมกล่าวว่า ตอนนี้มีประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์มาให้กำลังใจ รวมทั้งในโลกโซเชียลได้เข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจและเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ตนตัดสินใจจะสู้ต่อไป ไม่ลาออกแล้ว จะสู้กับความจริงเพื่อประชาชน คนไข้ชาวนบพิตำต่อไป ประกอบกับมีผู้ใหญ่ขอร้องและให้กำลังใจ ขอให้ช่วยสู้กับโควิด-19 ต่อไป ตนจึงไม่ขอลาออกอีกแล้ว จะขอตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด

พญ.กฤตยาณี กล่าวต่อว่า มันเป็นวัคซีนที่เหลือก้นขวดทิ้งถังขยะจริง ๆ ทุกคนที่นั่งอยู่ก็เห็น บุคลากรด่านหน้าที่ 66 คน ทุกคนได้รับวัคซีนครบ ยอมรับว่าหมอให้พี่สาวพาคุณแม่มาด้วย แต่แม่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแต่อย่างใด เพราะหลังฉีดให้พี่สาวก็มีบุคลากรบางท่าน รายงานให้ ผอ.รพ.นบพิตำว่า มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ของบุคลากรด่านหน้าให้กับบุคคลภายนอก ซึ่งเขาก็ทำถูกต้องแล้ว จนทาง ผอ.รพ.กำชับไม่ให้ฉีดให้บุคคลภายนอก แต่หมอเองก็น้อยใจว่า เราทำงานสุ่มเสี่ยงตรงนี้มาต่อเนื่อง แต่เราไม่สามารถที่จะเอาวัคซีนก้นขวดทิ้งไปแล้วกลับมาฉีดให้กับแม่และพี่สาวของเราเพื่อให้เขาปลอดภัยได้ เพราะทุกวันที่หมอมาทำงานที่ รพ.นบพิตำ คลุกคลีกับผู้ป่วย รวมทั้งบุคลากรที่ติดเชื้อก็มี และหมอต้องกลับไปนอนกับแม่ กับพี่สาว ที่ผ่านมาหมอเองเป็นคนเสี่ยงและเสียสละอยู่ด่านหน้า แต่หมอไม่สามารถที่จะดูแลปกป้องคนในครอบครัวของตัวเองได้เลย นี่คือความเห็นแก่ตัวของหมอเอง หมอก็โทษประชาชนทุกคนจริง ๆ ที่หมอเห็นแก่ตัว มันเป็นประเด็นที่อ่อนไหวจริง ๆ

"หลังเกิดเรื่องหมอจะได้รับผลกระทบเยอะมาก มีคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรง หยาบคายในข่าวหลายสังกัด และในเฟซบุ๊กส่วนตัวหมอ และในเพจคลินิกหมอที่หน้า ม.วลัยลักษณ์ ซึ่งหมอได้เรียนชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดไปแล้ว หากเกิดความเสียหายร้ายแรงจะพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป" หมอกุ๊บกิ๊บ กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ตร.ควบคุมฝูงชน สาธิตยิงแก๊สน้ำตา ยืนยันปลอกกระสุนโลหะติดอยู่กับปืน หลังมีการเผยแพร่ข่าวปลอมผ่านทางสื่อโซเชียลว่าผู้ชุมนุมถูกกระสุนแก๊สน้ำตายิงเข้าที่ใบหน้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ย้ำแต่ละนัดต้องคำนวณให้ดี เพราะมีราคานัดละ 3,000 บาท และมาจากภาษีประชาชน

วันนี้ (18 ส.ค. 64) เวลา 11.00 น. ที่สนามบุณยะจินดา สโมสรตำรวจ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. พล.ต.ต.ณัฐ สิงห์อุดม รอง ผบช.ตชด. พล.ต.ต.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผบก.อคฝ. และเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชน บก.อคฝ. ร่วมกันทดสอบและสาธิตการยิงแก๊สน้ำตาที่ใช้ควบคุมฝูงชนในสถานการณ์การชุมนุมที่ผ่านมา

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวว่า การสาธิตยิงแก๊สน้ำตาวันนี้ เพื่อให้เห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ เราได้ใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนที่ได้รับอนุมัติตามมติ ครม. ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ถึงแก่ชีวิต โดยวันนี้จะให้ดูกระสุนแก๊สน้ำตาที่ใช้ในปัจจุบันว่าลักษณะก่อนและหลังยิงเป็นอย่างไร และลักษณะกระสุนแก๊สน้ำตาแบบยิง ยืนยันว่าไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งตำรวจคิดว่าหากไม่ทำอะไร จะมีความรุนแรงกว่านี้

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวต่อว่า กรณีเกิดเหตุถกเถียงกัน ว่าผู้ที่ถูกยิงอยู่ในระยะไม่ต่ำกว่า 100 เมตร เราก็จะจำลองดูว่าลักษณะการยิงจริง ๆ ว่ายิงอย่างไร เพราะการยิงแก๊สน้ำตาบางครั้งมีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นทิศทางลม พื้นที่ชุมนุม เรามีความจำเป็นต้องยิงไปตามสถานการณ์นั้น ๆ ทั้งนี้แก๊สน้ำตาจะใช้ยิงในระยะไกล ส่วนระยะใกล้ใช้การขว้าง ส่วนกระสุนยางปกติยิงในระยะ 15 เมตร

จากนั้น พ.ต.ท.ศรายุทธ อรุณฉาย รอง ผกก.1 บก.อคฝ. ได้ทำการสาธิตวิธียิงแก๊สน้ำตา ICL-830 cartridge with tear gas projectile ขนาด 38 มม. แบบวิถีโค้ง เพื่อควบคุมฝูงชน จำนวน 3 นัด โดยกำหนดจุดตกบริเวณริมสนามฟุตบอล ห่างจากจุดยิงประมาณ 100 เมตร ผลการสาธิตกระสุนแก๊สน้ำตา ตกใกล้เคียงเป้าหมาย เนื่องจากมีผลกระทบจากกระแสลม

ภายหลังจากการสาธิตดังกล่าว พ.ต.ท.ศรายุทธ ได้อธิบายว่า การยิงแก๊สน้ำตามีระยะยิงอยู่ที่ 50 เมตร 100 เมตร และ150 เมตร แต่ละครั้งจะมีการคาดคะเนจุดตก เพื่อให้ลมพัดเอาควันไปยังจุดที่เป็นเป้าหมาย ยืนยันว่าไม่มีการเล็งใส่ตัวบุคคล และการยิงแต่ละครั้งต้องคิดคำนวณให้ดี เพราะแต่ละลูกมีราคากว่า 3,000 บาท และมาจากภาษีของประชาชน

พ.ต.ท.ศรายุทธ กล่าวต่อว่า มุมที่ทดสอบวันนี้เป็นมุมที่เจ้าหน้าที่ใช้ยิงโดยปกติในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชน แสดงให้เห็นว่าตัวปลอกกระสุนที่เป็นโลหะ จะยังคงค้างอยู่ในลำกล้องปืน ไม่สามารถลอยไปทำอันตรายกับผู้ชุมนุมได้ ส่วนที่ลอยออกไปมีเพียงส่วนที่เป็นตัวกระบอกบรรจุแก๊สน้ำตา ซึ่งทำจากพลาสติกสีน้ำเงิน ภายในบรรจุสารแก๊สน้ำตา ซึ่งสามารถลุกไหม้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ชนิดระเบิดเหมือนที่เคยใช้ในการสลายการชุมนุมเมื่อช่วงปี 2551 ดังนั้นชนิดที่ใช้ในปัจจุบันจึงไม่เป็นอันตราย

พ.ต.ท.ศรายุทธ กล่าวอีกว่า การยิงแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ เป็นการยิงเพื่อให้ควันไปยับยั้งการคุกคาม ไม่มีการยิงใส่ตัวชุมนุมโดยตรง เจตนาเพื่อต้องการให้ผู้ชุมนุมสลายตัวไป แต่ยอมรับว่าบางครั้งทิศทางลมมีผลต่อวิถีของแก๊สน้ำตา ทำให้ไม่ไปตกในจุดเป้าหมาย และอาจโดนถูกผู้ชุมนุมได้เช่นกัน แต่ส่วนตัวขณะฝึกซ้อม ก็เคยโดนแก๊สน้ำตากระแทกเข้าที่บริเวณศีรษะเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้รับบาดแผลใด ๆ เพียงมีรอยช้ำแดงเท่านั้น

นอกจากนี้ปืนยิงแก๊สน้ำตา เป็นลำกล้องที่ใช้กับกระสุนแก๊สน้ำตาขนาด 38 มม. โดยเฉพาะ และลำกล้องไม่มีเกลียว ทำให้ไม่สามารถใช้คู่กับกระสุนหรือระเบิดชนิดอื่นได้ เพราะมีขนาดใหญ่กว่าตั้งแต่ 40 มม.ขึ้นไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในการสาธิตเห็นยิงเป็นวิถีโค้ง แต่ภาพที่ปรากฎเวลามีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับมวลชน เจ้าหน้าที่จะขึ้นไปอยู่บริเวณจุดสูงข่ม เช่น บนทางด่วน โดยการยิงจะยิงกดลงมาด้านล่าง นั้น ได้มีการกำชับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างไร พ.ต.ท.ศรายุทธ กล่าวว่า ในหน่วยของตน ก่อนจะออกปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง จะมีการสั่งกำชับการปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ฝึกเสมอ ส่วนภาพเหตุการณ์การยิงลักษณะจากบนที่สูง หากเป็นหน่วยอื่นตนไม่สามารถให้ความคิดเห็นได้ แต่ถ้าพบในหน่วยของตน จะมีการทบทวนและเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามหลักที่ฝึกมาทุกครั้ง เพราะตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แต่มีหน้าที่ควบคุมให้สถานการณ์บ้านเมืองสงบ


ที่มา : https://news.ch7.com/detail/508458


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กาฬสินธุ์เดินหน้ามอบแรงใจประกันภัยโควิดให้ อสม.นำร่องฉีดวัคซีนวอคอินในตำบล

ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะเดินหน้ามอบแรงใจกรมธรรม์ประกันภัยโรคโควิด-19 ให้กับ อสม.ในตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมติดตามบรรยากาศการฉีดวัคซีนวอคอินนำร่องในตำบลดงลิง โดยมีผู้สูงอายุ กลุ่ม 7 โรคเสี่ยง และประชาชนแห่ฉีดจำนวนมาก

นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายประภาส ยงคะวิสัย อดีตเลขากรรมาธิการการกระจายอำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสภาผู้แทนราษฎร นายกีรฒิการย์ พิมพะนิตย์ เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วน จ.กาฬสินธุ์ พร้อมคณะนำบัตรและกรมธรรม์ประกันภัยโรคโควิด-19 รวมทั้งสเปรย์แอลกอฮอล์ และน้ำยาฆ่าเชื้อไปมอบให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ใน ต.ดงลิง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและกำลังปฏิบัติหน้าที่ด่านหน้า

จากนั้นนายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เข้าติดตามบรรยากาศและให้กำลังใจ อสม.เจ้าหน้าที่สาธารณสุข แพทย์ พยาบาลที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป  7 กลุ่มเสี่ยง หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ และประชาชนทั่วไปใน ต.ดงลิง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ที่บริเวณหอประชุมเทศบาลตำบลดงลิง ซึ่งเป็นการเปิดจุดการฉีดวัคซีนแบบวอคอินนำร่องแห่งแรกระดับตำบลของอำเภอกมลาไสย พร้อมมอบหน้ากาก และน้ำดื่มให้กับผู้มารับวัคซีน

โดยวันนี้มีประชาชนเดินทางมารับการฉีดวัคซีนกันตั้งแต่ช่วงเช้ากว่า 1,000 คน บรรยากาศเต็มไปด้วยคึกคัก เพราะประชาชนมีความประสงค์ฉีดวัคซีนสร้างภูมคุ้มกันหมู่มากขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้กำชับให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด โดยมีนายจักราวุธ วงศ์ภักดี สาธารณสุขอำเภอกมลาไสย นายชุมพล ศิริภักดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลดงลิง  พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่รพ.สต.ทีมแพทย์ พยาบาลและ อสม.คอยอำนวยความสะดวกฉีดวัคซีนให้กับประชาชน

นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า วันนี้นอกจากได้มอบประกันภัยโควิด-19 กับอสม.เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ด่านหน้าในการป้องกันโรคโควิดแล้ว ยังได้เข้าให้กำลังใจทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุข แพทย์ พยาบาล อสม.ที่ได้เปิดจุดฉีดวัคซีนแบบวอคอินครั้งแรกระดับตำบลของอำเภอกมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ เพื่อให้ประชาชนได้รับและเข้าถึงวัคซีนได้มากที่สุดตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งบรรยากาศมีประชาชนมารับวัคซีนจำนวนมาก เพราะทุกคนอยากที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง และร่วมฝ่าวิกฤติโรคโควิด-19ไปพร้อมกัน 

ด้านนายชุมพล ศิริภักดิ์ นายกเทศมนตรีตำบลดงลิง กล่าวว่า วันนี้เป็นการฉีดวัคซีนแบบวอคอินแห่งแรกของอำเภอกมลาไสย เบื้องต้นตั้งเป้าไว้ว่าจะมีประชาชนเข้ามาฉีดวัคซีนประมาณ 500 คน แต่เมื่อถึงเวลากลับพบว่ามีประชาชนตื่นตัวมารับการฉีดมากกว่า 1,000 คน เพราะอยากสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทีมแพทย์ พยาบาลได้นำวัคซีนมาฉีดให้ครบทุกคน ทั้งนี้ในนามตัวแทนประชาชนชาว ต.ดงลิงขอขอบคุณกระทรวงสาธารสุข และทีมบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทำให้ชาว ต.ดงลิงได้รับวัคซีนในครั้งนี้

“แรมโบ้” ข้ามรุ่น ตะเพิด "นิธิ เอียวศรีวงศ์” เข้าวัด-เลี้ยงหลาน ติง จับมือ"ณัฐวุฒิ" ถ้าผิดกฎหมายร่วมรับผิดชอบหรือไม่

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. เปิดตัวนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ว่า ไม่น่าเชื่อว่านักวิชาการอย่างนายนิธิ จะคิดเข้าข้างและสนับสนุนคนโดนคดีก่อการร้ายอย่างนายณัฐวุฒิ ทั้งที่รู้ว่านายณัฐวุฒิ เป็นคนสั่งเผาบ้านเผาเมืองจนบ้านเมืองหายนะ และอยากถามนายนิธิ ว่าหากเกิดเหตุมีการเผาบ้านเผาเมืองขึ้นอีกรอบ ต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ในฐานะผู้ที่ออกมาสนับสนุนและเห็นดีเห็นงามรวมถึงเป็นที่ปรึกษาให้กับนายณัฐวุฒิในการปลุกระดมยุยงให้คนออกมาชุมนุมสร้างความรุนแรง ป่วนเมือง ทำผิดกฎหมาย สร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองในขณะนี้

“หากนายนิธิ ไม่หวังดีต่อประเทศชาติและประชาชน ก็ไม่ควรจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ เป็นนักวิชาการแล้ว และขอแนะนำว่าหากว่างมาก ควรเอาเวลาไปเข้าวัดทำบุญ หรือไปเลี้ยงหลานจะดีกว่า อย่าเอาเวลามายุ่งกับคนที่คิดเผาบ้านเผาเมือง เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว หรือช่วยเอาประสบการณ์ของนายนิธิ มาช่วยบ้านเมืองจะดีกว่า อย่ามาคิดทำลายบ้าน ทำลายเมืองร่วมกับนายณัฐวุฒิ เดี๋ยวจะเสียผู้เสียคนตอนแก่ ผมเตือนมาด้วยความหวังดี ว่าอย่าไปยุ่งกับนายณัฐวุฒิ เพราะนายนิธิ ไม่รู้จักพฤติกรรมนิสัยใจคอนายณัฐวุฒิ ดีเท่ากับตนอย่างแน่นอน”นายเสกสกล กล่าว 

ศบค. แจงชัด เหตุจำเป็นต้องซื้อซิโนแวก 12 ล้านโดส ยกผลศึกษา หลังฉีด 2 เข็ม ป้องกันการตายและการเจ็บป่วยรุนแรง สุงถึง 98%

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่ศบค. ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่มีการตั้งคำถามมากว่ารัฐบาลจัดซื้อวัคซีนซิโนแวกเพิ่มอีก 12 ล้านโดสทำไม ว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขรายงานต่อศบค. ซึ่งเห็นชอบและครม.อนุมัติแล้ว ศบค. ยึดจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาและวิจัย ทั้งในพื้นที่และในโรงเรียนแพทย์อย่างหลากหลาย โดยเป็นการรายงานการศึกษาการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ที่พบว่ามีบุคลากรที่ฉีดซิโนแวกสองเข็ม แล้วมีการติดเชื้อหลัง 14 วันไปแล้วพบว่า ประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันการติดเชื้อถึง 72% และป้องกันการตายป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง 98% 

รวมถึงการศึกษาเทียบกับแอสตร้าเซเนก้า ที่พบบุคลากรติดเชื้อหลังจากได้รับหนึ่งเข็มพบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อมากถึง 88% แต่เมื่อดูจากการศึกษาแล้วหากมีการฉีดผสมร่วมกันระหว่างซิโนแวกและแอสตร้าเซเนก้า จะทำให้ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ ป้องกันการเสียชีวิต ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง มีความสามารถป้องกันโรคได้สูงมากขึ้น 

ดังนั้น การยืนยันข้อมูลการศึกษา ต่าง ๆ ทำให้ศบค. ให้ความเห็นชอบและที่จะดำเนินการให้จัดสรรซิโนแวกเพิ่มเติม และอีกหนึ่งเหตุผลคือเดิมจากที่วางแผนให้มีการระดมฉีดวัคซีนทั่วประเทศไทยได้ 100 ล้านโดส แผนเดิมที่วางไว้ จะมีการเติมวัคซีนเข้ามาจากสองส่วนคือ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และแอสตร้าเซเนก้า คาดว่าจะให้รวม ๆ กัน ประมาณ 10 ล้านโดส แต่ทางกระทรวงสาธารณสุขรายงาน ก่อนหน้านี้ว่าจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ไม่สามารถจัดส่งวัคซีนให้ได้ในไตรมาส 4 ตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้นทำให้แผนต้องปรับ และเช่นเดียวกันกับแอสตร้าเซเนก้า โดยกำลังผลิต การจัดสรรที่คาดการณ์ว่าจะได้ 10 ล้านโดส อาจจะลดลงมาอยู่ที่ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน ทำให้มีความสมเหตุสมผลที่จำเป็นต้องจัดหาวัคซีนซิโนแวก เข้ามาเสริมในส่วนที่ขาดหายไป

และจากการศึกษาของโรงเรียนแพทย์ทั้ง จุฬา รามา ศิริราช ที่มีการระดมฉีดไขว้ ซิโนแวก-แอสตร้าเซเนก้า ห่างกัน 3 สัปดาห์ แทนที่จะรอให้ฉีดแอสตร้าเซเนก้า 2 เข็มห่างกัน 12 สัปดาห์ ก็พบว่ามีการช่วยให้ประสิทธิภาพของการป้องกันการติดเชื้อ ลดอัตราป่วยรุนแรง ลดอัตราเสียชีวิตได้ รวมทั้งการระดมฉีดครอบคลุมประชากรจำนวนมากได้เป็นไปตามแผนของการกระจายวัคซีน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สมาคมแบงก์รัฐประกาศข้อกำหนดเปิดให้บริการธุรกรรมในห้างฯ 

สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และสถาบันการเงินสมาชิก 4 แห่ง ที่มีสาขาให้บริการในห้างสรรพสินค้า แจ้งว่า ขณะนี้สาขาของธนาคารต่าง ๆ พร้อมเปิดให้บริการสาขาของธนาคารในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.2564 ตามมติของ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. โดยได้ออกข้อกำหนดแนวทางการเปิดให้บริการ และการดูแลความปลอดภัยทั้งของลูกค้า และพนักงาน

สำหรับกำหนดแนวทางการเปิดให้บริการ คือ 1.สาขาธนาคารที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า สาขาในศูนย์การค้า และสาขาในคอมมูนิตี้มอลล์ ในพื้นที่สีแดงเข้ม29 จังหวัด จะเปิดให้บริการตามปกติตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2564 โดยให้บริการไม่เกินเวลา 17.00 น.

2.สาขาในห้างสรรพสินค้า สาขาในศูนย์การค้า หรือ สาขาในคอมมูนิตี้มอลล์ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนอกเขตพื้นที่สีแดงเข้มหรือพื้นที่ควบคุมอื่น ๆ ยังเปิดให้บริการไม่เกินเวลา 17.00 น.

3.สาขาทั่วไปที่เป็นสาขา Stand Alone  และไม่ใช่สาขาธนาคารในห้างสรรพสินค้า สามารถเปิดให้บริการตามปกติ 5 วัน หรือ 7 วันทำการ  ขึ้นกับการพิจารณาของแต่ละธนาคาร  แต่จะเปิดให้บริการไม่เกินเวลา 15.30 น.

4.สาขาใน 3 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เปิดให้บริการไม่เกินเวลา 15.00 น

วิกฤตอินเดีย! ประชากรล้นประเทศ ดันนโยบาย 'มีลูกไม่เกินสอง’ >> ใครทำได้มีรางวัล ใครสวนกระแสเสียสิทธิ์รัฐ!! | Knowledge Times EP.11

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’ 
???? วิกฤตอินเดีย! ประชากรล้นประเทศ ดันนโยบาย 'มีลูกไม่เกินสอง’ ใครทำได้มีรางวัล ใครสวนกระแสเสียสิทธิ์รัฐ!!

จากข้อมูลเชิงสถิติชี้ว่า “อินเดีย” จะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกภายในปลายทศวรรษนี้ ทำให้รัฐใหญ่ ๆ บางรัฐของอินเดีย พยายามหาวิธีการสกัดกั้นการเติบโตของจำนวนประชากร ผ่านมาตรการจูงใจต่าง ๆ เพื่อเป็นรางวัลแก่คู่สามี-ภรรยาที่มีลูกไม่เกินสองคน

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าว กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมอินเดีย ขณะที่อีกมุมมองก็ดูจะให้ความสนใจ เพราะทุกวันนี้ประชากรที่เพิ่มสูง อาจส่งผลกระทบต่อวงกว้างต่ออินเดีย ทั้งปริมาณอาหารในประเทศ, การใช้ไฟฟ้า, สาธารณสุข และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศอ่อนแอ จากปัญหาการเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากร

สำหรับข้อเสนอดังกล่าว มีรัฐอุตตรประเทศตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งเป็นรัฐที่มีฐานะยากจน มีประชากรกว่า 200 ล้านคน เป็นผู้เผยร่างกฏหมาย พร้อมทั้งสนับสนุน นโยบาย “มีลูกสองคน” โดยครอบครัวที่มีลูกสองคนจะได้รางวัลจากรัฐบาลในหลายรูปแบบ เช่น การปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ รัฐช่วยแบ่งเบาค่าน้ำ-ค่าไฟ และโดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกคนเดียว จะได้รับเงินสนับสนุนด้านการศึกษาจากรัฐ เงินช่วยเหลือด้านการดูแลสุขภาพ และการจ้างงาน

ขณะเดียวกันนโยบายดังกล่าว จะให้ผลสวนทางกับครอบครัวที่มีลูก 3 คน หรือมากกว่านั้น โดยจะไม่มีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล รวมทั้งได้รับผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่เป็นสวัสดิการสังคม ทั้งยังสูญเสียสิทธิ์ทางการเมืองในรัฐนั้น ๆ ด้วย

สอดคล้องกับรัฐอัสสัม ที่กำลังพิจารณาใช้กฎกับครอบครัวที่มีลูก 3 คน หรือมากกว่านั้น ด้วยการห้ามให้พ่อแม่เข้ารับราชการ

ด้าน “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี” ของอินเดีย กล่าวว่า “การที่ประชากรขยายตัวอย่างรวดเร็วสร้างความท้าทายใหม่ ๆ สำหรับชาวอินเดียในอนาคตหลากหลายรูปแบบ การมีประชากรจำนวนมาก ทำให้การเข้าถึงสวัสดิการของรัฐและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของภาครัฐเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมชาวอินเดียที่ยากจน ไม่มีห้องน้ำใช้ ไม่มีไฟฟ้าในบ้าน ไม่มีบ้านจะอยู่ และไม่มีแม้แต่บัญชีเงินฝากของธนาคาร”

ด้านธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ คาดการณ์ว่าประชากรวัยทำงานของอินเดียที่มีอายุ 15 ปี และ 15 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 ล้านคนในทุก ๆ เดือน ไปจนถึงปี 2568 และเพื่อให้ตลาดแรงงานมีเสถียรภาพ อินเดียจำเป็นต้องสร้างงานปีละประมาณ 8 ล้านตำแหน่งงาน แต่ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นปัญหาในเรื่องนี้อย่างมาก

ขณะที่ ธนาคารกลางของอินเดีย คาดการณ์การเติบโตของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในเดือน มิถุนายน เหลือเติบโตที่ 9.5% สำหรับปีงบประมาณไปจนถึงเดือนมีนาคม ปี 2565 จาก 10.5% ขณะที่อัตราการเจริญพันธุ์ของอินเดียโดยรวมอยู่ที่อัตรา 2.2 ในปี 2563 ลดลงมากจากอัตรา 6 ในปี 2503 ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนถึงอัตราการเจริญพันธุ์ทั่วโลกที่ลดลงจาก 5.05 ในปี 2507 มาอยู่ที่ 2.4 ในปี 2562 แต่การลดลงของจำนวนประชากรของอินเดียเป็นการลดลงเพียงเล็กน้อย ไม่สามารถบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับจำนวนประชากรได้

ปัจจุบัน อินเดียมีประชากรประมาณ 1,380 ล้านคน เพิ่มขึ้น 145 ล้านคนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,500 ล้านคน ภายในปี 2573 แซงหน้าจีนในฐานะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกไปโดยปริยาย ตามการประเมินของสหประชาชาติ (UN)

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พาณิชย์ยันยอดส่งออกผลไม้ไทยยังโตสูง 

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้การส่งออกผลไม้สดของไทยไปยังประเทศจีนในครึ่งปีแรก (ม.ค. -มิ.ย. 2564) มีมูลค่าสูงถึง 74,539.44 ล้านบาท มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น 64.89%  เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยผลไม้สดที่มีอัตราขยายตัวสูงได้แก่ สับปะรด 90.94% ทุเรียน 83.56% และ ลำไย 70.71% ซึ่งประเทศจีนยังคงเป็นตลาดส่งออกที่มีศักยภาพสูงของไทย

ทั้งนี้แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ทำให้จีนได้มีมาตรการที่เข้มข้นในเรื่องความปลอดภัยด้านโควิดที่อาจปนเปื้อนมากับสินค้ามากขึ้น แต่ล่าสุดกรมฯ ได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ในจีนได้เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นได้ภาพลักษณ์สินค้าอาหารของไทยว่าปลอดการปนเปื้อนจากเชื่อโวรัสโควิด-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความเข้าใจด้านอาหารปลอดภัยของไทย โดยผลไม้ที่ส่งออกจะมีการควบคุมมาตรฐานทุกขั้นตอนตามระเบียบปฏิบัติการส่งออกที่กำหนดไว้

พร้อมกันนี้ ทูตพาณิชย์ของไทยในจีนยังได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการขายและยกระดับการส่งออกผลไม้ไทยสู่ตลาดจีนในเมืองต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อเช่น การจัดงาน Thai Fruits Golden Months ร่วมกับห้างสรรพสินค้า ในเมืองชิงต่าว คุนหมิง และเมืองเซี่ยเหมิน โดยผลไม้ที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภค ได้แก่ ทุเรียน มังคุด มะพร้าว ส้มโอ เป็นต้น และกรมฯมีแผนจะจัดกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในปีต่อไป เพื่อกระตุ้นยอดขายและสร้างการรับรู้ผลไม้ไทยให้เป็นที่รู้จัดของผู้ซื้อมากขึ้นด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top