Friday, 9 May 2025
Hard News Team

องค์การเภสัชกรรม แจ้งความเอาผิด อ.ลอย ชุนพงษ์ทอง และนพ.บุญ วนาสิน ในข้อหาหมิ่นประมาท ปมเผยแพร่ข้อมูลนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นาบวกกำไร-ภาษี

วันนี้ (14 ก.ค. 64) องค์การเภสัชกรรม ออกแถลงการณ์ เรื่องแจ้งความเอาผิด "ลอย - หมอบุญ" หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เป็นเหตุให้องค์การเกสัชได้รับความเสียหาย กรณีเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จการจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นา โดยมีรายละเอียดว่า

องค์การเภสัชกรรม ได้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่กองกฎหมาย องค์การเภสัชกรรม ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินการเอาผิดกับนายลอย ชุนพงษ์ทอง นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชื่อดัง ผู้ทรงคุณวุฒิสหวิทยาการราชบัณฑิตยสภา และ นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในข้อหา "หมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา อันเป็นเหตุให้องค์การเภสัชกรรมได้รับความเสียหาย" เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 64

การดำเนินการตามกฎหมายครั้งนี้ เนื่องจากนายลอย และนพ.บุญ ได้นำข้อมูลซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นา โดยกล่าวหาองค์การเภสัชกรรม ในฐานะผู้แทนภาครัฐ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ในการประสานงานจัดซื้อจัดหาวัคซีนโมเดอร์นาให้กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ว่า ดำเนินภารกิจนี้ โดยมุ่งแสวงหาผลกำไรสูงสุดจากประชาชน ซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดความเสียหายต่อองค์การเภสัชกรรม จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย

องค์การเภสัชกรรม ยืนยันว่าเป็นหน่วยงานภาครัฐที่เป็นตัวแทนจัดซื้อจัดหาวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นา เพื่อให้ประชาชนได้มีวัคซีนทางเลือกเพิ่มขึ้น โดยมิได้มุ่งแสวงหาผลกำไร

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา อ.ลอย ได้โพสต์คลิปผ่าน YouTube เกี่ยวกับข้อมูลราคานำเข้าวัคซีนป้องกัน COVID-19 ของโมเดอร์นา โดยอ้างว่ารัฐบาลเรียกเก็บภาษีกว่า 100% จากการนำวัคซีน


ที่มา : https://www.facebook.com/gpoth.official/photos/a.879647762423872/1658677981187509/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“เสกสกล” เย้ย “โทนี่” ไม่มีใครอยากปรึกษานักโทษหนีคดี ถาม ถ้าอยากกลับไทย พร้อมคืนค่าเสียหาย - รับโทษ หรือไม่

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ 
วู้ดซัม กล่าวผ่านคลับเฮาส์ ระบุให้นายกรัฐมนตรี โทรหาเพื่อขอคำปรึกษา และหากจะไล่นายกฯให้ไปฟ้องพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รวมถึงคนที่เป็นนักการเมืองจะแคร์ประชาชน คนที่มาจากการปฏิวัติไม่แคร์ประชาชน ว่า คำพูดเหน็บแนมของนายโทนี่ เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง คำปรึกษาคงไม่ได้ประโยชน์เพราะไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ ไม่ได้สัมผัสกับความเดือดร้อนของประชาชน และสถานะคนทำผิดหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ ไม่สมควรที่จะโทรไปปรึกษากับนักโทษที่มีคดีทุจริตติดตัว คงไม่ได้ประโยชน์อะไร และตอนนี้ทุกภาคส่วน บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนได้ร่วมมือกันอย่างดี เพื่อให้สถานการณ์โควิด-19คลี่คลายลง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอคำแนะนำจากนายโทนี่ หากจะช่วยประเทศชาติในภาวะนี้คือ หยุดพูดสร้างความสับสน เหน็บแนม ด้อยค่าคนอื่นและสร้างความแตกแยกให้คนไทยจะช่วยได้มากที่สุด

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนที่ระบุว่าคนที่มาจากการปฏิวัติไม่แคร์ประชาชน อย่าเข้าข้างตัวเองเพราะคนที่เอาประชาชนมาอ้าง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ และทุจริตหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ กฎหมายเอื้อประโยชน์ตัวเอง เป็นเป็นเผด็จการรัฐสภา หรือระบอบทักษิณ เรียกว่าแคร์ประชาชนหรือไม่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ไม่แคร์ประชาชน คอยพูดสร้างความสับสนให้ในยามวิกฤตโควิด มากกว่าช่วยเหลือ และคิดแต่จะล้มรัฐบาลกลับมามีอำนาจ ขณะที่บ้านเมืองต้องการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ยืนยันว่านายกฯจะทำงานแก้ไขปัญหาจนครบเทอม ไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร และคงไม่ต้องไปบอกพล.อ.ประวิตรให้ไปบอกนายกฯประยุทธ์ ให้ลาออก

นายเสกสกล กล่าวว่า นายโทนี่พูดแต่ละครั้งไม่มีสาระที่เป็นประโยชน์ แค่อยากมีบทบาทและกลัวคนจะลืม หรือต้องการให้พรรคเพื่อไทย เข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาล จะได้ช่วยเหลือให้พ้นผิดและกลับประเทศ หากแน่จริงขอให้กลับมารับโทษที่ทำผิดไว้โดยไม่ต้องรอเวลา และขอถาม2ข้อว่า ถ้ากลับมาพร้อมที่จะชดใช้ค่าเสียหายคืนให้ประเทศชาติ ประชาชนในโครงการที่เกิดการทุจริตในยุครัฐบาลนายทักษิณและยุครัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่ และพร้อมที่จะกลับเข้ามารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ หากรับเงื่อนไขสองข้อ คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่คงไม่ขัดข้องที่จะให้กลับได้ถ้า ส่วนจะเดินเข้าทางช่องประตูหน้าหรือประตูหลัง หรือประตูไหน คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับได้อย่างแน่นอน

องค์การอนามัยโลก แจง การฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญและอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่

หัวหน้าคณะวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ ระบุว่า ประชาชนไม่ควรฉีดวัคซีนสลับชนิด (Mix And Match Vaccine) จากผู้ผลิตต่างกันด้วยตนเอง และการตัดสินใจดังกล่าวควรเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข

"มันเป็นเทรนด์ที่ค่อนข้างอันตรายเล็กน้อย" ดร.โสมยา สวามีนาธัน หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ WHO ได้เอ่ยเตือนระหว่างการแถลงข่าวขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันจันทร์ (12 ก.ค.) หลังถูกถามเกี่ยวกับวัคซีนเข็มกระตุ้น "มันจะเกิดสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงในประเทศต่าง ๆ หากพลเมืองเริ่มตัดสินใจเองว่าเมื่อไหร่และใครควรรับวัคซีนเข็มที่ 2 เข็มที่ 3 และเข็มที่ 4"

ในตอนแถลงข่าว สวามีนาธัน เรียกการฉีดวัคซีนสลับชนิดว่า "เป็นขอบเขตที่ปราศจากข้อมูล" แต่เขียนบนทวิตเตอร์ชี้แแจงความเห็นของเธอในเวลาต่อมา

"บุคคลใด ๆ ไม่ควรตัดสินใจด้วยตนเอง หน่วยงานสาธารณสุขสามารถทำได้บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่" เธอระบุบนทวิตเตอร์ "ยังต้องรอข้อมูลการศึกษาวัคซีนสลับชนิดของวัคซีนต่างยี่ห้อ จำเป็นต้องประเมินความสามารถในการกระตุ้นสร้างแอนติบอดีและความปลอดภัย"

คณะผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษายุทธศาสตร์ด้านวัคซีนขององค์การอนามัยโลก เคยแนะนำในเดือนมิถุนายน ว่า วัคซีนของไฟเซอร์ อิงค์ ควรถูกใช้เป็นวัคซีนเข็มที่ 2 หลังเข็มแรกฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า หากว่าวัคซีนอย่างหลังไม่สามารถหาได้

การทดลองทางคลินิกที่นำโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในสหราชอาณาจักร อยู่ระหว่างการตรวจสอบการฉีดวัคซีนสลับชนิดระหว่างแอสตร้าเซนเนก้าและไฟเซอร์ และเมื่อเร็ว ๆ นี้การทดลองได้ขยายขอบเขตครอบคลุมถึงวัคซีนของโมเดอร์นา อิงค์ และโนวาแว็กซ์ ด้วยเช่นกัน


(ที่มา : รอยเตอร์)

ที่มา : https://mgronline.com/around/detail/9640000068410


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ตำรวจไซเบอร์ค้นบ้านหนุ่มวัย 24 ปี มือดีแก้ไขข้อมูลของ ‘นพ.ยง ภู่วรวรรณ’ บนเว็บไซต์วิกิพีเดีย เพิ่มประวัติเป็น ‘เซลล์ขายซิโนแวค’ ให้กับรัฐบาล เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

วันนี้ (13 ก.ค. 64) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บช.สอท. เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 64 นพ.ยง ภู่วรวรรณ ได้มอบอำนาจให้นางโศรยา ประสิทธิ์สมสกุล พบพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน แจ้งว่าตรวจพบบุคคลแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลของ นพ.ยง บนเว็บไซต์วิกิพีเดีย (Wikipedia) ว่า ‘เป็นเซลล์ขาย Sinovac ให้กับรัฐบาลพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา’

อีกทั้งยังปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ ตามเพจต่าง ๆ ของเฟซบุ๊ก ว่ามีการนำข้อมูลที่เป็นเท็จมาเผยแพร่ ทำให้เกิดการวิพากวิจารณ์ ซึ่งมีบุคคลเข้ามาแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับ นพ.ยง

ล่าสุด พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท. ได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ดำเนินการสืบสวน ติดตาม ผู้ที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวน ตรวจสอบ และวิเคราะห์หาตัวผู้กระทำความผิดจากข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ ปรากฏพบข้อมูลของผู้ที่ก่อเหตุ ภายในบ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขตบางขุนเทียน จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้น โดยพบโทรศัพท์มือถือที่ใช้ก่อเหตุและผู้ที่ก่อเหตุเป็นชายอายุ 24 ปี

จากการกระทำดังกล่าวของผู้ก่อเหตุที่เข้าไปแก้ไขข้อมูล เป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และยังเป็นการได้กระทำการโดยโฆษณา เข้าข่ายความผิดฐาน ‘หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา’ ตาม ป.อาญา ม.328 และอาจจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หรือไม่ ต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป

เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดโทรศัพท์มือถือที่ก่อเหตุ เพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์ และกระบวนการพิสูจน์ทางเทคโนโลยี ตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อนุชา” เผย ชัยนาทเตรียมเปิดรพ.สนามแห่งที่ 2  ลดความแออัดดูแลผู้ป่วยในพื้นที่-จว.ใกล้เคียง

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วประเทศในขณะนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ชัยนาท ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสม รวม 254 ราย และตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันยังมีปริมาณเพิ่มขึ้น จึงมอบหมายผู้ว่าฯชัยนาท นายกองค์การบริหารส่วนชัยนาท ดูแลความเรียบร้อย และคุมเข้มการแพร่ระบาด อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และให้เพิ่มโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 รองรับผู้ป่วยได้ 140 เตียง คาดว่าเพียงพอสำหรับรองรับความเดือดร้อนของชาวชัยนาทและในจังหวัดใกล้เคียง เพื่อลดความแออัดของโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 1 ที่จะดูแลผู้ป่วย เป็นเวลา 10 วัน เมื่ออาการดีขึ้นจะย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 อีกจำนวน 4 วัน ก่อนส่งตัวผู้ป่วยกลับบ้าน

“สงคราม” เชื่อยอดติดเชื่อพุ่งเกินหมื่นนอนรอความตายที่บ้านหลักพัน อัด “บิ๊กตู่” ทอดทิ้งประชาชนปล่อยนายทุนหาประโยชน์จากวิกฤตโควิด

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันมีประชาชนจำนวนมาก ต้องนอนรอที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน ข้ามวันข้ามคืน เพื่อตรวจหาเชื้อเพราะสามารถตรวจได้เพียงจุดล่ะ 300-400 คนต่อวันในขณะที่มีคนจำนวนนับพันไปรอการตรวจหาเชื้อ แต่รัฐบาลกลับไม่มีมาตราการที่จะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนไม่มีแม้แต่เจ้าหน้าที่จะมาดูแลประชาชน

นอกจากนี้บางพื้นที่มีรายงานข่าวเข้ามาว่า เอกชนบางราย นำชุดตรวจหาโควิดไปให้บริการประชาชน หากจะตรวจต้องมีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 800-1,000 บาท ต่อคน ทั้งๆที่รัฐบาลต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัตไว้ชัดว่า ประชาชนต้องเข้าถึงการบริหารทางการแพทย์โดยไม่ค่าใช้จ่าย แต่รัฐกลับปล่อยให้มีการหาประโยชน์จากการบริหารทางการแพทย์ของรัฐ

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า มาตรการล็อกดาวน์ 14 วัน คงไม่เกิดประโยชน์ เพราะรัฐบาลทำผิดพลาดมาตั้งแต่การปิดแคมป์คนงานส่งผลมีการนำเชื้อออกไปในพื้นที่ต่างๆทั้วประเทศ ในขณะเดียวกันรัฐบาลไม่มีกาป้องกันการระบาดในพื้นที่ต่างจังหวัด พบว่าหลายจังหวัดตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้น เพราะนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลส่งผลให้ประชาชนทุกพื้นที่ต้องรับความเสี่ยงไปด้วย
“การบริหารงานที่ผิดพลาด ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ประเทศไทยต้องประสบปัญหาหลายด้าน และล้มเหลวทุกด้าน พลเอกประยุทธ์ทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยจากวิกฤตเป็นหายนะ ทั้งนี้เชื่อว่าหากมีการตรวจเชิงรุกจะพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 10,000 คนอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันมีจำนวนผู้ติดเชื้นอนความตายอยู่ที่บ้านมากกว่า 1,000 คน พลเอกประยุทธ์ไม่รู้สึกผิด หรือ ไม่สนใจในความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน”นายสงครามกล่าว

“องอาจ” ขอบคุณ ครม. ช่วยต่อลมหายใจให้ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ล็อกดาวน์

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ล็อกดาวน์ว่า ต้องขอขอบคุณคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีมาตรการเยียวยา ล่าสุดเพิ่มเติมรวม 9 สาขาอาชีพที่ได้รับผลกระทบโดยตรง มีรูปแบบการช่วยเหลือที่หลากหลายครอบคลุมกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการลดค่าน้ำค่าไฟที่กระจายไปยังประชาชนและภาคธุรกิจทั่วประเทศ อีกทั้งยังให้สถานศึกษาภาครัฐให้ความช่วยเหลือในการให้ส่วนลดเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองและนักเรียน นักศึกษาได้อย่างมาก

หลังจากนี้จะได้ติดตามตรวจสอบต่อไปว่า มาตรการเยียวยาที่ออกมาจะปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือด้านการพักชำระหนี้ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ขอฝากประเด็นที่ควรออกเป็นมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมดังนี้
1. ควรงดเว้น หรือลดการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ของภาครัฐจากผู้ประกอบการ SME
2. กระทรวงการคลังควรหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์เรื่องการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายย่อย หรือซอฟท์โลนเกิดขึ้นได้จริง
3. ควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ทั่วประเทศให้เดินหน้าต่อได้ จนกว่าภาครัฐจะทำให้สถานการณ์โควิดแพร่ระบาดคลี่คลาย

อย่างไรก็ดียังมีกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากล็อกดาวน์คือ กลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น กลุ่มแรงงานนอกระบบ ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม ซึ่งมาตรการเยียวยาล่าสุดจะมีมาตรการดึงแรงงานกลุ่มนี้ให้เข้ามาขึ้นทะเบียนประกันสังคมภายในเดือนกรกฎาคมนี้ แล้วจะได้เงินช่วยเหลือต่างๆ ตามที่กำหนด 

แต่ในความเป็นจริงอาจจะมีแรงงานนอกระบบ หรือกลุ่มอาชีพอิสระจำนวนไม่น้อยที่ไม่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนประกันสังคมก็ควรได้รับการเยียวยา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากล็อกดาวน์ครั้งนี้เช่นกัน 

นายองอาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการแพร่ระบาดของโควิดระลอกสามจนนำมาสู่การล็อกดาวน์ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบ การที่ ครม. ออกมาตรการเยียวยาล่าสุดนี้จะช่วยต่อลมหายใจของผู้ได้รับผลกระทบให้สามารถมีกำลังกายกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาโควิด ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ต่อไปจนกว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายไปในที่สุด 

ราเมศ แจง ปชช อย่ากังวล สื่อสารได้ตามปกติ ยึดหลักสุจริต “ไม่บิดเบือน”

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึง ข้อห้ามที่กำหนดไว้ในประกาศข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) ในเรื่อง มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ว่า

หลักการสำคัญของเรื่องนี้ คือการออกข้อกำหนดมามีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ข้อกำหนดในข้อ 11 จึงระบุข้อความมีสาระสำคัญคือ

"มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การข่าวหรือการทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิด ความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั่วราชอาณาจักรนั้น เป็นความผิดตามมาตรา 9 (3) แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548" 

จากข้อความดังกล่าว มีความชัดแจ้งอยู่ในตัวคือ มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หากมีการบิดเบือนด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จก็มีความผิด การนำข่าวสารที่ถูกต้องแน่ไปทำการบิดเบือนก็มีความผิด เช่นรัฐบาลประกาศตัวเลขผู้ติดเชื้อ จำนวนหนึ่ง แต่ไปบิดเบือนขยายต่อว่าผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากเสียชีวิตมากกว่าที่รายงานกล่าวหาว่ารัฐบาลปกปิดจำนวนที่แท้จริง อันนี้ชัดเจนผิดแน่นอน ภาพข่าวมีคนเดินๆอยู่แล้วเป็นลมล้มเสียชีวิต แต่มาบิดเบือนว่าเกิดจากเพราะการฉีดวัคซีน อันนี้ก็ผิดอยู่แล้ว ไม่มีข้อกำหนดนี้ก็อาจจะผิดตามกฎหมายอื่น

นายราเมศ กล่าวว่า ไม่อยากให้ประชาชนวิตกกังวลจนเกินไป ไม่มีข้อความใดในข้อกำหนดว่าห้ามโพสต์สร้างความหวาดกลัว แม้เป็นความจริง ขอให้ทุกคนยึดหลักสุจริต สื่อสารด้วยความจริง ไม่บิดเบือน จะเป็นเกราะคุ้มกันได้ดีที่สุด 
คนที่ออกมาบิดเบือนข้อกำหนดนี้ที่พยายามบิดเบือนทำให้สังคมหวาดกลัวโดยบอกว่าห้ามโพสต์สร้างความหวาดกลัว แม้เป็นความจริง น่าจะเป็นคนนำร่องผิดข้อกำหนดนี้เป็นคนแรก เพราะบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร นำไปสู่การทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ข้อเท็จจริงยุติว่าข้อความดังกล่าวทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิด ความเข้าใจผิด ก็ต้องระมัดระวัง

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า หากสื่อสารด้วยความจริง สุจริต ไม่บิดเบือน ไม่ได้สร้างความสับสนให้สังคมเข้าใจผิด แล้วถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดี ให้แจ้งมาตนจะว่าความทำคดีให้ด้วยตนเอง

"บิ๊กตู่"ย้ำจำเป็นยกระดับมาตรการหลังเดลตาระบาดหนักทั่วโลก กำชับคุมราคาวัคซีนทางเลือก-ชุดตรวจไว Antigen Test Kit ต้องไม่แพงไม่ และเป็นภาระปชช. “ปลื้ม”ข่าวดีไทยผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้เอง เตรียมเร่งกระจายสถานพยาบาล-รพ.สนามทั่วประเทศ ยันไม่สต๊อกที่ส่วนกลาง 

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามแทนนายกรัฐมนตรี หลังการประชุม ครม.ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์​การณ์แก้ปัญหาโควิด-19 ที่ค่อนข้างหนักหน่วงในเวลานี้ จนเกิดกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ลาออกเปิดทางให้คนอื่นมาแก้ปัญหาแทน ว่า เนื่องจากปัจจุบันการแพร่ระบาดโควิด มีสายพันธุ์เดลตาที่มีความรุนแรงและติดต่อได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้กลายเป็นปัญหาทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ4 จังหวัดภาคใต้ จึงมีการออกข้อกำหนด เพื่อลดการแพร่ระบาด ซึ่งการบริหารจัดการของรัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนและปลดล็อคในหลายเรื่องเพื่อเอาชนะโควิดให้ได้โดยเร็ว

นายอนุชา กล่าวย้ำว่า ในส่วนการจัดหาและฉีดวัคซีนจะจัดหาโดยเร็วและฉีดให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ฉีดไปแล้วมากกว่า 12 ล้านโดสและในปัจจุบัน รัฐบาลจะเร่งกระจายและเร่งฉีด ขณะนี้กระจายไปกว่า 5.4 ล้านโดส เพื่อลดการสูญเสียในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑลในพื้นที่สีแดงต้องระดมฉีดให้ได้อย่างน้อย 1 ล้านโดส ในช่วง 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ไป และจะมีการจำกัดการเคลื่อนย้าย การเข้าออกพื้นที่จะให้สถานการณ์ กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมได้โดยเร็ว 

นายอนุชา กล่าวว่า ส่วนประสิทธิภาพของวัคซีนมีผลการศึกษา จากการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มตัวอย่างในปัจจุบันประมาณ 7 แสนคนที่ได้รับวัคซีนแล้วทั้งซิโนแวคและแอสตราเซเนกา มีรายงานว่าในจำนวนนี้มีผู้ติดเชื้อ 707 คน คิดเป็น 0.01 % ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนแล้ว มีอาการหนัก 3 รายและเสียชีวิต 2 ราย ซึ่งหากเทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตในภาพรวมของผู้ติดเชื้อทั้งประเทศก็สะท้อนให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนแมวป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ 100 % แต่ก็ลดความรุนแรงและลดการเสียชีวิตได้เป็นอย่างมาก

นายอนุชา กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันได้มีการปลดล็อคในเรื่องการตรวจคัดกรอง ทั้งในส่วนการปลดล็อคให้โรงพยาบาลรับการตรวจให้ประชาชน แม้จะไม่มีเตียงรองรับ โดยให้ลงทะเบียนเข้าระบบแยกกับตัวและรักษาต่อไปตามความรุนแรงของอาการ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องปฏิเสธการตรวจโดยทันที นอกจากนี้ยังปลดล็อคการให้ใช้ชุดตรวจไวหรือที่เรียกว่า Antigen Test Kit โดยกระจายให้โรงพยาบาลหรือคลีนิคชุมชนสามารถใช้ได้ทันที พร้อมส่วนกลางที่จะให้ประชาชนซื้อไปใช้เองในระยะต่อไป โดยรัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการเรื่องกฎระเบียบต่างๆเพื่อปลดล็อคให้ได้ และให้ประชาชนสามารถไปใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป รวมถึงเรื่องการควบคุมราคา โดยนายกฯ ได้กำชับว่าราคาต้องไม่แพงและประชาชนต้องไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนของวัคซีนทางเลือกและชุดตรวจไวหรือAntigen Test Kit ซึ่งย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้เก็บภาษีนำเข้าในส่วนเหล่านี้

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นอกจากนี้ในด้านการรักษา นอกจากมีการเพิ่มจำนวนเตียงเช่นที่รพ.บุษราคัม ที่เพิ่มเตียง จำนวน 1,000-2,500 เตียง ทำให้มีเตียงไม่ต่ำกว่า 3,000 - 4,000 เตียงแล้ว และยังได้เปิดศูนย์พักคอยอีก 17 แห่ง รองรับผู้ป่วย 2,560 เตียง และจะเสริมเป็น 3,000 เตียงต่อไป พร้อมกันนี้อนุมัติการแยกกับตัวที่บ้านหรือ Home isolation หรือการปรับตัวในชุมชนหรือ community isolationมาใช้ สำหรับผู้ติดเชื้อและไม่มีอาการหรืออาการน้อยในเกณฑ์สีเขียว โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์พร้อมการติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเต็มที่ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและอาหารทุกมื้อ ไม่ต่างจากการเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วไป

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า อย่างไรก็ตามขณะนี้มีผู้ป่วยสีเขียวในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลขณะนี้ คิดเป็นร้อยละ 75 ของผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งหากบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วจะมีเตียงเพิ่มขึ้นอีก 40-50 % และจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุข นอกจากนี้มีข่าวดีคือเราสามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ได้เองและกำลังขึ้นทะเบียนตำรับยาเพื่อนำมาใช้โดยทันทีลดการนำเข้า ซึ่งขณะนี้มีอัตราการผลิตอยู่ที่ 3-5 ล้านเม็ดต่อเดือน โดยจะเร่งกระจายไปยังสถานพยาบาลโรงพยาบาลสนามต่างๆทั่วประเทศอย่างพอเพียงและไม่สต๊อกไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ตั้งแต่อาการเริ่มแรกและเพื่อลดผู้ป่วยอาการหนักตั้งแต่ต้น พร้อมการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยเช่นฟ้าทะลายโจรอย่างจริงจัง สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือผู้ป่วยที่แยกกับตัวที่บ้าน ควบคู่กับยาหลักตามคำแนะนำของแพทย์ 

รัฐบาล รับส่งมอบวัคซีนอาจมีปัญหา ยันไม่หยุดเจรจานำเข้าให้มากที่สุด ย้ำ"ไฟเซอร์-จอห์นสันฯ-สปุตนิควี"จ่อเพิ่มเติมเข้ามา 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามนายกรัฐมนตรีภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงแผนการส่งมอบหรือแผนการกระจายวัคซีนที่หลายฝ่ายมองว่าไม่เป็นไปตามเป้า ว่า จากการสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงต่อที่ประชุม ครม.ว่า อาจจะมีการส่งมอบวัคซีนที่เป็นการนำเข้ามาซึ่งปัจจุบันหากมีปัญหาทางกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล ยังมีการเจรจาเพิ่มเติมกับผู้ผลิตรายอื่นๆ รวมทั้งการนำเข้าจากผู้ผลิตทั้ง บริษัทไฟเซอร์ ฯ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันและ สปุตนิก วี (Sputnik V)
ซึ่งจะมีการเพิ่มเติมเข้ามาซึ่งรัฐบาลจะเร่งนำเข้าวัคซีนให้ได้มากที่สุดเพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนให้เร็วที่สุด

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับแผนการกระจายวัคซีน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเพื่อกระจายตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขโดย ศบค. ได้พิจารณาจากการประชุมร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้เสนอต่อที่ประชุม ศบค. เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายตามคำแนะนำของคณะแพทย์ว่าวัคซีนที่นำเข้ามาควรจะฉีดให้กับใครและกระจายไปในพื้นที่จุดใด 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top