Friday, 9 May 2025
Hard News Team

ระวังตัว! อย่าตกเป็นเหยื่อ รู้ทันภัยการเงินในยุคข้าวยากหมากแพง!

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตของคนเรามากขึ้น ส่งผลให้เกิดการหลอกลวงเหยื่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า 3 ผลิตภัณฑ์ที่ถูกแอบอ้างเพื่อหลอกลวงประชาชนมากที่สุด คือ เงินฝาก/เงินโอน/เช็ค รองลงมา คือ ปลอมแปลงบัตรเครดิต หรือนำเงินไปใช้จ่าย และหลอกให้โอนเงินเพื่อช่วยให้ได้สินเชื่อ

ส่วนลักษณะการหลอกประชาชน พบว่าช่องทางที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นคือช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line, E-mail ในขณะที่ช่องทางโทรศัพท์มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากพฤติกรรมการสื่อสารในปัจจุบันเปลี่ยนเป็นใช้ทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งภัยทางการเงินหลักที่พบคือ

1.) หลอกให้ลงทุน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูง ในรูปแบบการลงทุนต่าง ๆ เช่น Forex, เงินดิจิทัล, แชร์ลูกโซ่ออนไลน์, กลุ่ม Line ที่คล้ายลักษณะการตั้งวงแชร์, บริษัทซื้อขายทองคำ, บริษัทขายตรง, โดยในบางกรณีมีการแอบอ้างชื่อ ธปท.

2.) หลอกว่าสามารถช่วยให้ได้สินเชื่อ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เงินกู้จาก Facebook Line บัตรเครดิต แล้วให้โอนเงินค่าธรรมเนียมหรือค่าจัดการขอสินเชื่อให้

3.) หลอกจีบให้ตายใจ แล้วขอให้โอนเงินให้

4. หลอกให้โอนเงินให้ โดยอ้างว่าจะได้รับเงินก้อนใหญ่หรือพัสดุที่มีมูลค่าสูง จากมิจฉาชีพต่างชาติที่ติดต่อผ่านช่องทางออนไลน์ โดยหลอกให้โอนเงินเป็นค่าธรรมเนียมหรือภาษี

5.) หลอกให้ชำระค่าสินค้าหรือบริการที่ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์แล้วไม่ได้รับสินค้าหรือบริการนั้น เช่น กล้องถ่ายรูป แพ็กเกจเสริมความงาม แลกเงินตราต่างประเทศในอัตราที่ถูกกว่าท้องตลาด บริการหางาน

6.) หลอกว่าโอนเงินให้แล้วพร้อมส่งหลักฐานการโอน เพื่อให้ส่งสินค้าให้ แต่ไม่มีการโอนเงินจริง

7.) หลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล/ขโมยข้อมูล เช่น รหัสผ่าน OTP รหัส ATM รหัส CCV เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น นำไปใช้โอนเงิน หรือถอนเงินจากบัญชีเงินฝาก นำข้อมูลบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าออนไลน์ โดยผ่านรูปแบบต่าง ๆ เช่น หลอกว่าจะให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือเพิ่มวงเงินสินเชื่อแล้วให้กรอกข้อมูลส่วนตัว หลอกให้กรอกข้อมูลใน E-mail, Website, Application ปลอมของสถาบันการเงิน

8.) ขโมยบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต เพื่อนำไปชำระค่าสินค้า

9.) ปลอมแปลงข้อมูล หรือเอกสาร เช่น ปลอม Facebook Line เพื่อแอบอ้างว่าเป็นญาติ หรือคนรู้จัก และต้องการใช้เงินด่วนให้โอนเงินให้


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

คนแห่ซื้อสมุนไพร “ขิง-กระชาย ฟ้าทะลายโจร” ขาดตลาด 

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ยอมรับว่า หลังจากมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอกใหม่นี้ ทำให้ประชาชนมีความเชื่อว่ากระชายสด และขิง มีสรรพคุณในการป้องกันและต้านไวรัสโควิดได้ จึงหาซื้อไปต้มเป็นน้ำสมุนไพรบริโภคจำนวนมาก ทำให้ตอนนี้มีประชาชนร้องเรียนจำนวนมากว่า ผักสด และยารักษาโรคบางชนิดมีราคาแพงและขาดแคลน โดยเฉพาะกระชายสดราคาพุ่งไปถึง กก.ละ 150-200 บาท จากปกติกก.ละ 30-50 บาท รวมถึงขิงแก่ราคาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจาก กก. 30-40 บาท เป็น 70-80 บาท อีกทั้งยังหาซื้อยากในหลายพื้นที่ 
 
ทั้งนี้ ยังได้รับแจ้งอีกว่ายาแพทย์แผนไทยหลายชนิดที่มีสรรพคุณป้องกัน รักษาโรคโควิดก็ขาดตลาดอย่างหนัก เช่น ยาแคปซูลฟ้าทะลายโจร ราคากระปุกละ 140-200 บาท ยาแคปซูลสกัดจากกระชายขาว 200-300 บาท วิตามินบำรุงร่างกายประเภทต่างๆ รวมถึงยาเขียวที่มีสรรพคุณขับสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งขาดตลาดมาร่วม3-4 สัปดาห์ หลังประชาชนแห่ไปซื้อกักตุนจนเกลี้ยงห้างขายยา และร้านสะดวกซื้อ

“คนส่วนใหญ่ที่แห่ซื้อ กระชาย ขิง รวมถึงยารักษาโรค ระบุว่าต้องการหาทางช่วยเหลือตัวเองและครอบครัวไว้ก่อน หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดทวีความแรงขึ้นเรื่อย ๆ มียอดผู้ติดเชื้อใหม่เฉียดวันละ 1 หมื่นคน อีกทั้งบางส่วนไม่เชื่อมั่นการบริหารของรัฐบาล เห็นได้จากคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลย” 

“ปีย์ มาลากุล” ผู้เคยถูกกล่าวหาวางแผนล้มทักษิณ ปี 49 แชร์โพสต์หมอถึงนายกฯ อย่าเสียเวลายุบสภา เลือกตั้งใหม่ จะทำอะไรก็ทำเลย “ดร.นิว” บี้หนีแล้วใช่ไหม? ข่าวหลุด “ปิยบุตร” บินไปฝรั่งเศส

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ปีย์ มาลากุล” แชร์โพสต์หมอถึงนายกฯ อย่าเสียเวลายุบสภา เลือกตั้งใหม่ ลั่นจะทำอะไรก็ทำเลย”

โดยเนื้อหาระบุว่า จากกรณี นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการเครือแปซิฟิก ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ที่นายกรัฐมนตรีกำลังเป็นเป้าโจมตีของฝ่ายตรงข้าม โดยระบุข้อความว่า ต้องขอบพระคุณ ที่คุณหมอส่งมาครับ อยาก post จริง ๆ ครับ ให้เพื่อน ๆ ลองอ่านดูครับ จากผม คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 83 ปี ทำใจร่ม ๆ น้าาา……

แต่คนไทยบางคน

ไม่ปิดก็อยากให้ปิด..

พอปิดก็บอกว่าจะไม่มีกิน..

พอแจกเงินก็บอกใช้เงินภาษีมั่ว..

พอไม่แจกก็บอกว่าจะเยียวยากันยังไง..

พอไม่หยุดสงกรานต์ ก็บอกว่า ถูกห้ามไม่ให้ไปเยี่ยมญาติ

พอให้เดินทางไปเยี่ยมญาติแต่ต้องกัก 14 วัน ก็โมโห

พอให้อยู่บ้านก็บอกไม่สะดวก ..

พอให้ออกมาได้ก็บอกเราต้องยอมเจ็บแต่จบ

พอไม่มียาก็บอกไม่รู้จักสต๊อกไว้

พอมียาก็บอกแค่นี้จะพอมั้ย

พอออกประกาศเยอะ ก็บอกไม่ชัดเจน สับสน

พอประกาศน้อยก็บอกตกประชาสัมพันธ์

พอตัวเลขคนติดน้อยก็บอกปิดบัง

พอตัวเลขเยอะก็บอกไร้ประสิทธิภาพล้มเหลว

พอจะทำแบบจีน ก็บอกเผด็จการ

พอจะทำแบบอังกฤษก็บอกว่าทำไมไม่ทำแบบจีน

พอมีหน้ากากบอกทำไมต้องใส่

พอบอกต้องใส่บอกไม่มี !!!

พอไม่ให้กักตุนอาหาร ก็อยากกักตุนเพราะกลัวขาดแคลน

พอไม่ห้ามกักตุนก็บอกส่งสัญญาณว่าเอาไม่อยู่เละแน่

สรุป…

#ไม่มีอะไรถูกใจคนไทยจริงๆ …เราติได้ทุกเรื่อง!!!

ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้ยามประเทศชาติมีปัญหา รัฐบาลและฝ่ายค้านเขาสามัคคีกันร่วมมือแก้ปัญหาเพื่อให้ชาติรอดปลอดภัย แต่ประเทศไทยยามมีปัญหา…เราจะเห็นฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลรุมกันกระทืบรัฐบาลเสียเอง

เราจะเห็นพรรคงูเห่าที่เคยทรยศหักหลังทุกพรรคที่ตนเคยร่วมรัฐบาลกลับกลายสภาพเป็น, #งูเห่าตัวเดิมที่พร้อมจะแว้งฉกกัดรัฐบาลทุกเมื่อ แม้แต่พรรคเก่าแก่ ก็เช่นเดียวกัน ได้จังหวะนายกฯ ดวงตก คนในพรรคก็กระทืบซ้ำหยามหยันทันที #เศร้าใจครับกับระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรในหมู่นักการเมือง…

อย่าเสียเวลายุบสภาแล้วเลือกตั้งให้เปลืองงบประมาณเลยครับ (เพราะจะวนเวียนอยู่ในน้ำเน่าเดิม ๆ ไม่สิ้นสุด) ทำไงก็ทำเถอะครับ เอาเลย…!!!! ขอรับประกันว่าจะแก้ปัญหาโควิดได้ไวขึ้น และประเทศชาติสงบสุขแน่นอน!!!...

สำหรับ “ปีย์ มาลากุล” เคยถูกตั้งข้อสงสัยเมื่อปี 2549 ว่าเป็นคนวางแผนในการยึดอำนาจนายทักษิณ ชินวัตร โดยทักษิณออกมาพูดถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 49 ทักษิณ อยู่ระหว่างหนีโทษจำคุกอยู่ต่างประเทศได้กล่าวปราศรัยผ่านระบบวิดีโอลิงก์กับคนเสื้อแดงที่ จังหวัดเชียงใหม่ ว่า มีกระบวนการวางแผนยึดอำนาจเขาในปี 2549 โดยมีการประชุมวางแผนที่บ้านพักถนนสุขุมวิท ซึ่งทักษิณ อ้างว่า ได้ข้อมูลมาจาก พล.อ.พัลลภ

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 49 ทักษิณ ปราศรัยผ่านระบบวิดีโอลิงก์กับคนเสื้อแดงอีกครั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ระบุชื่อเจ้าของบ้านที่ถนนสุขุมวิทว่า คือ นายปีย์ มาลากุล โดยเชื่อมโยงขบวนการดังกล่าวไปถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งทักษิณ อ้างว่า เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่ขัดขวางการทำงานของเขาตลอดในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) อ้างว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งก่อนการประชุมหารือกันที่บ้านสุขุมวิท ซึ่งมีตนกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายปีย์ มาลากุล นั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกภายในบ้าน นายปีย์ ได้ถามตนว่า ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หายไปได้หรือไม่ ตนก็เลยตอบไปว่า ทำไม่ได้ เพราะมี รปภ.จำนวนมากคงจะต้องยิงกันเละจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่สามารถทำให้ตายได้ ทุกคนก็เงียบไม่พูดอะไร ขณะนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งเฉย ๆ ไม่ได้ออกความเห็นอะไร

พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า การหารือในการล้ม ทักษิณ เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น จะมาพูดเล่น ๆ ได้อย่างไร เพราะมีการกินข้าวหารือกันถึง 7 คน พูดกันว่า จะต้องเล่นทักษิณทางกฎหมาย โดยมีนักกฎหมายเข้ามาร่วมประชุมด้วยในเรื่องของ กกต. ซึ่งเมื่อ กกต. ล้มการเลือกตั้งไม่สำเร็จ ก็มีการพูดถึงการรัฐประหาร

ซึ่งการกล่าวหาของ พล.อ.พัลลภ และทักษิณ ทำให้นายปีย์ต้องออกมาปฏิเสธ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ว่า การเชิญเพื่อนและคนที่มีความสนิทสนมมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านเป็นประจำอยู่ ก็เพื่อให้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง เพราะต้องการทันสถานการณ์ เนื่องจากมีอาชีพเป็นนักข่าว

ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสกับตุลาการศาลปกครองสูงสุด และผู้พิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 49 เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง จึงได้เชิญนายอักขราทร ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ รวมทั้ง นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี) มารับประทานอาหารที่บ้านในวันที่ 6 พ.ค. 49 เพื่อคุยว่า จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างไร ตามที่ทรงมีพระราชดำรัส จากนั้นได้โทรศัพท์ชวน พล.อ.สุรยุทธ์ พล.อ.พัลลภ และนายปราโมทย์ ซึ่งมีความสนิทสนมกันอยู่แล้ว

ยืนยันว่า ไม่มีการพูดเรื่องปฏิวัติ หรือพูดเรื่องตำแหน่ง ไม่มีทหารอยู่สักคนจะพูดเรื่องปฏิวัติได้อย่างไร และทักษิณ ก็เคยมารับประทานอาหารที่บ้านหลายครั้ง เพราะเคยสนิทสนมกัน ในช่วงก่อนที่จะเป็นนายกฯ ส่วนช่วงเป็นนายกฯ ไม่ได้มา อาจจะเป็นเพราะไม่มีเวลา แต่หลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และกลับจากต่างประเทศมา 2 ครั้ง คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ มา 1 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม บทบาทของนายปีย์ ที่ออกมาหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งนี้ ก็ทำให้ประเด็นที่ถูกโจมตีว่า เป็นผู้วางแผนยึดอำนาจทักษิณกลับมามีการพูดถึงอีกครั้ง ซึ่งทีมข่าว THE TRUTH ได้ตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง ที่นายปีย์ถูกกล่าวหาเมื่อปี 49 และในการออกมาหนุน พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะแค่อยากออกมามีบทบาทเท่านั้น

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น ที่มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล โดยได้แชร์โพสต์ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ที่โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “ปิยบุตรบินไปฝรั่งเศสแล้ว?”

โดยระบุว่า เพื่อนสนิทคนหนึ่งของปิยบุตรที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน เขาเอือมระอากับปิยบุตรมาก ๆ จึงแฉปิยบุตรให้ฟังหลังไมค์

เพื่อนปิยบุตรคนนี้ยอมรับว่า ตัวเองชูสามนิ้ว แต่เขาไม่เคยมองสถาบันฯ ในแง่ร้าย อีกทั้งคนชูสามนิ้วที่ยังรักสถาบันฯ ก็มีมาก แต่ถูกปั่นทางโซเชียลมีเดียให้ดูเป็นล้มเจ้าไปเสียหมด เขารับไม่ได้ที่ปิยบุตรเล่นสกปรก ไม่ว่าอะไรก็โยงไปบิดเบือนให้ร้ายสถาบันฯ อยู่ตลอด จนทำให้สูญเสียทั้งความสร้างสรรค์และแนวร่วมอีกจำนวนมากในการเคลื่อนไหว

ปิยบุตรแค่หลอกใช้คนชูสามนิ้วเพื่อยั่วยุไปสู่การล้มสถาบันฯ แต่เขาไม่เห็นด้วยและมองว่ามันจะไม่มีอะไรดีขึ้นตราบใดที่ไม่แก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองโกงทั้งหลาย การดึงสถาบันฯ มาเกี่ยวแบบมั่ว ๆ มีแต่จะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนและสงครามกลางเมือง โดยที่ปิยบุตรจอมขี้ขลาดไม่มีวันออกมานำเองแน่ ๆ เพราะปิยบุตรเป็นคนใจปลาซิวมาก เขาย้ำว่า ปิยบุตรเป็นคนใจ...ได้แต่ยั่วยุให้คนอื่นเกลียดชังสถาบันฯ แล้วไม่กล้าลงมือเองเพราะกลัวติดคุกมาก แถมยังมองคนชูสามนิ้วคนอื่น ๆ เป็นเพียงแค่ตัวหมากบนกระดานของเขา

หลาย ๆ ครั้งที่ปิยบุตรโพสต์ชี้นำในลักษณะยั่วยุ แล้วให้เพจใหญ่ ๆ ของม็อบที่ปิยบุตรควบคุมอยู่ปั่นต่อจนกลายเป็นกระแส และมีคนลุกขึ้นมาต่อต้านสถาบันฯ ด้วยการลงมือกระทำผิดกฎหมายจริง ปิยบุตรจะรู้สึกภาคภูมิใจและดูมีความสุขมาก ซึ่งแสดงออกผ่านทางสีหน้า แววตา และรอยยิ้ม

เขากล่าวว่า หลายครั้งที่ม็อบจุดติด ภรรยาชาวฝรั่งเศสของปิยบุตร หรือ เออเชนี เมรีโอ แอบย่องกลับไทยทุกครั้ง โดยเฉพาะช่วงต้นปี 2563 หลังยุบพรรคอนาคตใหม่ ก่อนที่จะรีบกลับออกไป เพราะมีล็อกดาวน์ แล้วภรรยาปิยบุตรก็กลับมาไทยอีกครั้ง ช่วงที่ม็อบราษฎรจุดติดราวเดือนสิงหาคม 2563 จนถึงต้นปี 2564 ช่วงเวลานั้นภรรยาปิยบุตรอยู่ที่ไทยตลอด ก่อนบินออกไปอีกครั้งช่วงเดือนมกราคม 2564

จนเขาเองแอบสงสัยว่า ผู้หญิงคนนี้จริง ๆ แล้วมีบทบาทสำคัญต่อเบื้องหลังของม็อบอย่างไรกันแน่ ซึ่งอันที่จริงเขาก็พอจะรู้อยู่บ้าง เพียงแต่ไม่กล้าฟันธง

ตอนนี้เขาอ้างว่า ปิยบุตรไม่ได้อยู่ในประเทศไทย โดยคาดว่าบินไปฝรั่งเศส เขาไม่แน่ใจว่าปิยบุตรมีแผนชั่วอะไรอีก แต่คงมีความพยายามในการยุยงปลุกปั่นผ่านเครือข่ายโซเชียลมีเดีย เพื่อให้เกิดม็อบแล้วชี้นำไปสู่ความรุนแรงอย่างแน่นอน เพราะปิยบุตรเป็นหนึ่งในคนที่อยู่เบื้องหลังการปลุกม็อบ แล้วคอยชี้นำทิศทางของม็อบไปในทางโจมตีให้ร้ายสถาบันฯ ซึ่งทำให้การชูสามนิ้วล้มเหลว เสียแนวร่วมจำนวนมาก จนไม่สามารถไล่ประยุทธ์ได้สำเร็จ

สุดท้ายเขายังย้ำกับผมว่า ปิยบุตรกับภรรยาคือความล้มเหลวของคนชูสามนิ้ว ถ้าปิยบุตรกับภรรยาไม่โยงสถาบันฯ มาเกี่ยวข้อง ป่านนี้คงล้มประยุทธ์ได้สำเร็จตั้งนานแล้ว เขาบอกว่าเขาพูดความจริงทุกอย่าง ถ้าไม่เชื่อก็ลองเช็กดูได้เลยว่า ตอนนี้ปิยบุตรไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ลองเช็กกันดูเองนะครับว่า ตอนนี้ปิยบุตรบินไปต่างประเทศแล้วจริงหรือไม่?

แน่นอน ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การที่อยู่ ๆ “ปีย์ มาลากุล” ผู้เคยถูกกล่าวหาวางแผนล้มทักษิณ ปี 49 ก็โผล่ออกมาส่งสัญญาณ อะไรสักอย่าง นัยว่าเป็นการชี้แนะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ตัดสินใจอะไรสักอย่าง

พอเป็นเช่นนี้ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า หรือบทบาทที่ถูกกล่าวหาในอดีตจะย้อนกลับมาอีกครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ แม้อาจไม่มีอะไรในกอไผ่ก็ตาม

ยิ่งกว่านั้น ต้องยอมรับว่า ปัญหาที่กำลังถาโถมโรมรัน พล.อ.ประยุทธ์ อยู่เวลานี้ เป็นปัญหาวาระซ่อนเร้นมากมาย มิใช่ปัญหาการเมืองปกติ ที่แก้ได้ด้วยการเมือง มิใช่ความไม่พอใจ “ประยุทธ์” ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่มันสื่อให้เห็นมากกว่านั้น

มิใช่แค่ความต้องการเรียกร้องให้แก้ปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ให้สำเร็จโดยเร็ว และเรียกร้องให้รัฐบาลหาวัคซีนที่ดีมาให้ประชาชนอย่างที่กล่าวอ้าง แต่ต้องการโจมตีวัคซีนที่เชื่อว่า มีอภิสิทธิ์ชนผูกขาด

ประชาชนถูกทำสงครามแบ่งแยก สถาบันหลักของประเทศ ถูกทำให้ขัดแย้งกับคนรุ่นใหม่ และชูคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นหนังหน้าไฟ คือ หุ่นเชิดทางออกของประเทศ

ดังนั้น ไม่แปลก และง่ายที่จะโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ ทำอะไรก็ผิด เพราะเป็นผู้รองรับ ไม่มีความหมายในทางยุทธศาสตร์ ทางออกของเรื่องทั้งหมด คือ การเปลี่ยนแปลงตามยุทธศาสตร์การต่อสู้ของคนบางกลุ่ม ตราบใดที่ยังไม่สำเร็จ ตราบนั้นประเทศไทย ก็จะไม่มีทางแก้ปัญหาทางการเมืองได้ นี่คือ ประเด็น

แต่มันไม่ง่ายอย่างแน่นอน ที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำอะไรก็ทำ? โดยไม่ต้องยุบสภา เว้นแต่ยอมลาออกแต่โดยดี ไม่เชื่อก็ลองดู!!!


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000068361

https://www.facebook.com/photo?fbid=1161056384406326&set=a.155611208284187


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) นำองค์ความรู้ และขีดความสามารถในการวิจัย พัฒนา และผลิตจรวดสำหรับใช้ในทางทหารมาต่อยอดในการวิจัยและพัฒนาเป็นจรวดดัดแปรสภาพอากาศ

โดยดำเนินการโครงการวิจัยและพัฒนาจรวดดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) กับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร (ฝล.) โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กำหนดความต้องการทางเทคนิคให้สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศเป็นผู้ดำเนินการออกแบบและผลิตจรวด สำหรับบรรจุสารซิลเวอร์ไอโอไดด์ใช้ในภารกิจยับยั้งพายุลูกเห็บหรือทดลองทำฝนจากเมฆเย็นในสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นเทคโนโลยีทางเลือกในการสนับสนุนภารกิจการทำฝนเมฆเย็นหรือสลายลูกเห็บ ในกรณีที่สภาพอากาศแปรปรวนเครื่องบินไม่สามารถขึ้นบินได้ 

โดยจรวดที่วิจัยและพัฒนาจะถูกยิงจากพื้นสู่อากาศเข้าสู่ก้อนเมฆที่ระดับความสูงประมาณ 18,000-24,000 ฟุต เพื่อปล่อยสารซิลเวอร์ไอโอไดด์ลงในเมฆเย็น และมีระบบร่มนิรภัยสำหรับลดความเร็วของชิ้นส่วนจรวดให้ตกลงสู่พื้น เพื่อความปลอดภัยในบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการ โดยในเบื้องต้นกำหนดพื้นที่ทดลองปฏิบัติการเป็นพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติแม่ปิง ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำและเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยจากชุมชน เหมาะสำหรับทำให้เมฆเย็นตกลงมาเป็นฝน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้ง และยังช่วยทำให้กลุ่มเมฆที่กำลังจะก่อตัวขึ้นเป็นลูกเห็บขนาดใหญ่มีขนาดเล็กลงจนกลายเป็นฝน เป็นการบรรเทาภัยพิบัติที่เกิดจากลูกเห็บให้กับพี่น้องประชาชน บ้านเรือน และผลผลิตทางการเกษตรไม่ให้ได้รับความเสียหาย

“กองทัพเรือ” เร่งแก้ปัญหาบริการไฟฟ้าพื้นที่อำเภอสัตหีบ แจงการดำเนินการกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ เป็นส่วนหนึ่งความมั่นคงทางทหาร เช่นเดียวกับความมั่นคงด้านพลังงานเชื้อเพลิงปิโตรเลียม ที่ถือเป็นยุทธปัจจัย

พลเรือเอก เชษฐา โฆษกกองทัพเรือ  ชี้แจงกรณีที่ ผู้ใช้บริการไฟฟ้าในพื้นที่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ร้องเรียนถึงกรณีการเกิดปัญหา ไฟตกและไฟดับบ่อยครั้ง ซึ่งกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความปลอดภัย ของประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ มีการปรับปรุงแก้ไข โดยเรียกร้องให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้ามาดำเนินกิจการแทนผู้ให้บริการรายเดิม โฆษกกองทัพเรือ ได้ชี้แจงว่า 
        
ปัจจุบัน หน่วยงานที่ให้บริการไฟฟ้าในพื้นที่อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรี คือ กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ซึ่งก่อตั้งด้วยเหตุผลความจำเป็นทางยุทธปัจจัยด้านปิโตรเลียม พลังงานไฟฟ้า พร้อมทั้งสาธารณูปโภคอื่นๆ ที่ทุกฐานทัพ หรือเขตปลอดภัยทางทหารของเกือบทุกชาติในโลก ต่างต้องดำรงความพร้อมให้แก่กำลังทหารและยุทโธปกรณ์ โดยก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2483   เริ่มต้นได้สร้างเป็นโรงกำเนิดไฟฟ้า ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จำนวน 3 เครื่องๆ ละ 275 กิโลวัตต์ เดินเครื่องจำหน่ายไฟฟ้าให้กับหน่วยราชการทหาร  ฐานทัพเรือ ตลอดจนหน่วยราชการฝ่ายพลเรือน และตลาดสัตหีบ ซึ่งในขณะนั้น บ้านเรือนราษฎรยังเบาบาง มีเฉพาะหน่วยงานทางทหารเป็นส่วนใหญ่ และในพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีไฟฟ้าใช้  อยู่ในสภาวะกันดารด้วยเหตุที่การไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง 
        
ต่อมาในปี พ.ศ.2509 Officer Incharge Construction Center (O.I.C.C.) ของ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เข้ามาช่วยเหลือด้านกิจการทหารของประเทศไทย โดยได้เพิ่มขีดความสามารถในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้ฐานทัพเรือสัตหีบ กองทัพเรือ บริการกระแสไฟฟ้าให้แก่ประชาชนในตำบลสัตหีบได้เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งในปี พ.ศ.2510 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ขยายเขตจำหน่ายไฟฟ้ามาถึงอำเภอสัตหีบ โดยได้ตั้งสถานีไฟฟ้าย่อยที่ 1 ขึ้นที่ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี กองทัพเรือ จึงได้ยกเลิก การเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และได้ซื้อกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มาใช้ในหน่วยราชการทหาร และจำหน่ายให้แก่ประชาชนบริเวณใกล้เคียงที่มาร้องขอใช้บริการ 
        
ทั้งนี้ กองทัพเรือ ได้รับสัมปทานให้ประกอบกิจการไฟฟ้าในการดำเนินการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2514 เป็นต้นมา มีการต่ออายุสัมปทานมาแล้วจำนวน 4 ครั้งๆ ละ 10 ปี โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขตามสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้าซึ่ง กองทัพเรือ ได้รับจากกระทรวงกระทรวงมหาดไทยให้สัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้า จำนวน 4 ครั้ง ในปี พ.ศ.2513, 2524, 2533 และ2541 และกระทรวงพลังงานให้สัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้า จำนวน 1 ครั้ง ในปี พ.ศ.2550 มีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแทน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในเขตปลอดภัยในราชการทหารของฐานทัพเรือสัตหีบ กองทัพเรือ และประชาชน ในเขตที่ได้รับสัมปทาน โดยมีอาณาเขต ดังนี้ ทิศเหนือจรดเขตบ้านอำเภอ  ทิศใต้จรดกรมปืนต่อสู้อากาศยาน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ทิศตะวันออกจรดเขตคลองบางไผ่ ทิศตะวันตกจรดเขตฝั่งตะวันออกทั้งหมด    
         
การดำเนินการของกิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ   มีวัตถุประสงค์เป็นตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชน ได้มีกระแสไฟฟ้าใช้อย่างทั่วถึง และถูกต้องตามประกาศคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการไฟฟ้า พ.ศ.2558 และเรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ พ.ศ.2561 ซึ่งในประกาศดังกล่าวได้ให้นิยาม   ผู้ให้บริการไฟฟ้าว่า หมายถึง การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ (กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบ) ผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าเอกชนหรือผู้รับใบอนุญาตอื่นที่ กกพ. กำหนด 
    
โฆษกกองทัพเรือกล่าวต่อไปว่า สำหรับ กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ได้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าและใบอนุญาตระบบจำหน่ายไฟฟ้าจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยกองทัพเรือยังคงมีความจำเป็นในการดำเนินการคือการไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงและปลอดภัยในราชการทหาร  เช่นเดียวกับความมั่นคงด้านพลังงานเชื้อเพลิง หรือการปิโตรเลียมและสาธารณูปโภคที่สำคัญอื่นๆอีกโดยเฉพาะในเขต ฐานทัพ ท่าเรือ  และเนื่องจากเขตอำเภอสัตหีบเป็นเขตปลอดภัยในราชการทหาร ตาม พระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณเขตปลอดภัยในราชการทหารแห่งกองทัพเรือ ในท้องที่อำเภอบ้านค่าย อำเภอบ้านฉาง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง และ อำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2536 โดย กิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ  มีฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นหน่วยดูแลรับผิดชอบ  
          
นอกจากที่กล่าวแล้วปัจจุบันยังมีภารกิจที่กองทัพเรือได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสำหรับการเตรียมการรองรับโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ต้องดูแลสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาซึ่งเป็นทั้งสนามบินเชิงพาณิชย์และสนามบินทางทหารในพื้นที่เดียวกัน และท่าเรือจุกเสม็ดที่เป็นทั้งท่าเรือพาณิชย์และท่าเรือทางทหารที่สำคัญอีกด้วยซึ่งจะทำให้ยิ่งต้องเพิ่มมาตรการต่าง ๆ ในเขตปลอดภัยทางทหาร ที่กองทัพเรือดูแลและถือเป็นพื้นที่ทางความมั่นคงทางทหารที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจาก เป็นที่ตั้งของหลายๆหน่วยขนาดใหญ่  ทั้งหน่วยกำลังรบและหน่วยสนับสนุนต่างๆอันได้แก่ กองเรือยุทธการ ฐานทัพเรือสัตหีบ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กรมสรรพาวุธทหารเรือ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กรมอู่ทหารเรือ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช และโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ซึ่งรับผิดชอบทั้งกำลังทางบก กำลังทางเรือ อากาศยาน ตลอดจนยุทโธปกรณ์พาหนะ และเครื่องมืออุปกรณ์รวมถึงการส่งกำลังบำรุงต่าง ๆ 

อีกทั้งเขตเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ  ไม่ใช่เพียงการมีขีดความสามารถทางความมั่นคงด้านไฟฟ้านี้ไว้สำหรับหน่วยขนาดเล็กๆ โดยการไฟฟ้า นับได้ว่าเป็นอีกยุทธปัจจัยหนึ่งที่กองทัพเรือต้องควบคุมให้ดำรงไว้ให้มีใช้ได้อย่างต่อเนื่องในพื้นที่สำคัญด้านความมั่นคง พื้นที่ปลอดภัยทางทหารของกองทัพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขตที่เป็นฐานทัพ  และทั้งนี้ กองทัพเรือโดยกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือได้มีการปรับปรุงและพัฒนาระบบจำหน่าย การบริหารจัดการและการให้บริการผู้ใช้ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานที่ผู้ให้บริการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายกำหนด
       
จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ทำให้ผู้รับบริการไฟฟ้าในพื้นที่ ได้รับความเดือดร้อนนั้น โฆษกกองทัพเรือกล่าวว่า กองทัพเรือไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้สั่งการให้กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือเร่งแก้ไขและ ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง  พร้อมทั้งได้มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ อยู่เป็นประจำ เพื่อปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่มีความชำรุด รวมถึงได้ทำการวิเคราะห์ หาสาเหตุของไฟฟ้าขัดข้องจากอุปกรณ์ตรวจจับที่มีความทันสมัย
    
สำหรับเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างติดต่อกันเมื่อช่วงวันที่ 8 - 11 กรกฎาคม 2564  บริเวณซอยจามจุรี ถึงกิโลเมตรที่ 6 ในพื้นที่อำเภอสัตหีบนั้น มีสาเหตุมาจากเหตุฝนฟ้าคะนอง ทำให้อุปกรณ์ชำรุด อีกทั้งระบบจำหน่ายบริเวณดังกล่าว เป็นพื้นที่ต้นไม้ชุกทำให้กระทบกับอุปกรณ์แรงสูงและช่วงเวลาฝนตกทำให้มีความเสี่ยงในการดำเนินการ และระบบตรวจจับไม่สามารถ แจ้งพิกัดได้ เนื่องจากสายไฟฟ้าไม่ได้ขาดออกจากกัน ซึ่งจะสามารถตรวจสอบได้ง่ายกว่า ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงต้องทำการวิเคราะห์ และกำหนดตำแหน่งเข้าตรวจสอบ จึงไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบสาเหตุไฟฟ้าดับบริเวณดังกล่าวได้ และเมื่อวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 กิจการไฟฟ้าฯ ได้ดำเนินการ ตรวจสอบสายส่งไฟฟ้าบริเวณดังกล่าว พบว่าบริเวณดังกล่าวต้นไม้ชุกและส่งผลกับอุปกรณ์แรงสูง อีกทั้งในพื้นที่ใกล้เคียงมีอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูงชำรุดจึงได้เร่งดำเนินการแก้ไข และมีความจำเป็นต้องดับไฟในบางส่วนเป็นการชั่วคราว   ทั้งนี้จะดำเนินการดับไฟอีกครั้งในวันพุธที่ 14  กรกฎาคม 2564 ระหว่างเวลา 12.00 -  13.00 น.  เพื่อซ่อมทำอุปกรณ์แรงสูงที่ชำรุดบริเวณสถานีไฟฟ้าแรงสูง พร้อมทั้งได้มีการแจ้งกับผู้ใช้บริการในพื้นที่แล้ว ในการนี้กิจการไฟฟ้าฯ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ และขอยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการและพัฒนาศักยภาพของกิจการไฟฟ้าฯ ในทุกรูปแบบเพื่อสร้างความพึงพอใจในการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน  โดยคำนึงถึง ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ  โดยกองทัพเรือได้ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายระบบไฟฟ้าในพื้นที่สัตหีบให้มีเสถียรภาพมาอย่างต่อเนื่องด้วยการสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง 3  พร้อมทั้งปรับปรุงสถานีที่1และ2ในปี 2561 - 2563 และจะดำเนินการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง4 เชื่อมกันทุกสถานีให้แล้วเสร็จในปี 2566

โฆษกทัพฟ้า แจงปมญาติพลทหารติดโควิด ร้องสื่อ นอนโรงอาหาร ไร้เตียง อาหารไม่เพียงพอ  ชี้ เป็นภาพเก่า ช่วงคัดกรอง ยัน ปรับพื้นที่ ย้ายผู้ป่วย-ผู้ต้องกัก ขึ้นอาคารหน่วยทหาร  พร้อมสั่ง หน.หน่วย เร่งทำความเข้าใจญาติ

พล.อ.ท.ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ  ชี้แจงกรณี ญาติพลทหารติดโควิด-19 ร้องสื่อ ติดโควิด-19 กักตัวในโรงอาหาร ไม่มีเตียง อาหารไม่เพียงพอว่า  ข้อเท็จจริง ภาพที่แชร์ออกมา เป็นภาพเก่า ช่วงวันที่ 9-10 ก.ค. 2564  ที่กองทัพอากาศได้จัดให้มีการตรวจค้นหาเชิงรุกกับพลทหาร ซึ่งเป็นช่วงของการคัดกรอง และยืนยันว่าขณะนี้ ได้ปรับพื้นที่  และแยกตัวผู้ป่วย กับผู้กักตัว ขึ้นไปยังบนอาคารของหน่วย  มีเตียง และสิ่งอำนวยความสะดวก ครบถ้วน ไม่ใช่ให้นอนที่โรงอาหาร  รวมถึงเรื่องอาหาร เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่ ย้ำดูแลอย่างดี 

ส่วนได้ชี้แจงกับญาติ และครอบครัว ของพลทหาร ที่ยังติดใจถึงความเป็นอยู่หรือไม่อย่างไรนั้น  โฆษกกองทัพอากาศ ระบุเป็นเรื่องที่หัวหน้าหน่วยจะได้ประสานชี้แจงกับทางญาติ 

พท.ถามสูตรวัคซีนใหม่ หากผิดพลาดใครรับผิดชอบ ย้ำ ปชช.ไม่ใช่หนูทดลอง จี้รัฐควรเร่งแจก Rapid test

น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่รัฐมีแนวคิดฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับชนิดเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสตราเซเนกาว่า หากรัฐตัดสินใจใช้วิธีการนี้ ถ้ามีผลข้างเคียงเกิดขึ้นกับประชาชนรัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร  เพราะประชาชนไม่ใช่หนูทดลองของพวกท่าน หากรัฐปรับการฉีดตามวิธีการนี้ เท่ากับว่ารัฐบาลยอมรับว่า วัคซีนซิโนแวคไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะป้องกันเชื้อโควิด -19 ได้ แต่รัฐบาลไม่ระงับการสั่งซื้อ กลับเพิ่มจำนวนวัคซีนดังกล่าวทำให้ประเทศต้องสูญเงินไปอีกกว่า 6 พันล้านบาท ส่วนกรณีที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้ประชาชนใช้ชุดตรวจคัดกรองโควิดด้วยตนเอง( Rapid Antigen Test ) ถือเป็นข่าวดีบนข่าวร้ายของประชาชนที่จะสามารถเข้าถึงชุดตรวจได้ แต่ปัจจุบันราคาขายปลีกชุดตรวจดังกล่าวในท้องตลาดสูงมากเกือบชุดละ 500 บาท ประชาชนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากซึ่งไม่มีเงินแม้จะประทังชีวิตคงไม่สามารถเข้าถึงได้ จึงอยากให้ ศบค. นำงบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ ในส่วนของการใช้จ่ายเพื่ออุปกรณ์การแพทย์ มาจัดซื้อชุดตรวจโควิดด้วยตนเองและส่งให้ประชาชนถึงบ้าน โดยใช้ระบบการส่งไปรษณีย์ของไทยที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ จะช่วยลดความเสี่ยงรับเชื้อจากการต่อคิว เพื่อเข้ารับการตรวจเชื้อตามภาพที่ปรากฏในสื่ออย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้

น.ส.อรุณี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้หากรัฐจะอนุญาตให้เอกชนขาย Rapid antigen test ในเชิงพาณิชย์  กระทรวงพาณิชย์ควรใช้กลไกของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ออกประกาศกำหนดเพดานราคาจำหน่ายชุดตรวจเชื้อด้วยตัวเองอย่างเร่งด่วนและให้มีผลทันที หรือลดภาษีการนำเข้าชุดตรวจ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงง่ายได้ในราคาที่เป็นธรรม เอื้อต่อการตรวจหาเชื้อที่ครอบคลุมมากที่สุด โดยอย่าปล่อยให้มีใครฉกฉวยโอกาสนี้หากินบนความเดือดร้อน บนความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็นในยุคพล.อ.ประยุทธ์ วัคซีนถูกตั้งคำถาม ชุดตรวจฟรีเข้าถึงยาก อย่าให้วิกฤตครั้งนี้กลายเป็นโอกาสของการทำนาบนหลังคน สงสารประชาชนเถอะ

จับตาเปิดเกาะสมุยรับต่างชาติเที่ยว 15 ก.ค.นี้

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานความคืบหน้าโครงการสมุย พลัส โมเดล ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่15 ก.ค.นี้ โดยจะเปิดพื้นที่นำร่อง 3 เกาะดังใน จ.สุราษฎร์ธานี ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า รับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเข้ามาท่องเที่ยว ล่าสุดยอดจองเส้นทางบิน กรุงเทพฯ-สมุย ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์สที่รับเฉพาะผู้โดยสารต่อเครื่องจากต่างประเทศเป็นการเฉพาะแบบไป-กลับ วันละ 3 เที่ยวบิน ในช่วง 4 เดือนนี้ ตั้งแต่ ก.ค.-ต.ค.2564 มีจำนวนผู้โดยสารจองตั๋วเครื่องบินเฉพาะขาเข้าสมุยแล้ว 80 คน และจากนี้จะต้องประเมินอีกครั้ง 

ทั้งนี้ ในวันแรกของการเปิดโครงการสมุย พลัส โมเดล ผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามามีจำนวนรวม 11 คน ทั้งหมดเป็นสื่อมวลชนที่เดินทางร่วมแฟมทริปทัศนศึกษาเส้นทางท่องเที่ยวของโครงการฯ แบ่งเป็นจากเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของโครงการฯ เส้นทางกรุงเทพฯ-สมุย ของบางกอกแอร์เวย์ส จากสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี สิงคโปร์ ไต้หวัน  

นายรัชชพร พูลสวัสดิ์ นายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย กล่าวว่า ขณะนี้ภาคเอกชนมีการเตรียมความพร้อมรองรับแล้วทุกอย่าง แต่ในช่วงแรกจะขอทดสอบระบบต่าง ๆ เชื่อว่าจะเข้าที่เข้าทางในระยะต่อไป เพราะตอนนี้กระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งเปิดระบบให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศลงทะเบียนขอใบอนุญาตการเดินทางเข้าประเทศไทย (ซีโออี) เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมาเพื่อเดินทางเข้าโครงการสมุย พลัส โมเดล  

องค์การเภสัชกรรม แจ้งความเอาผิด อ.ลอย ชุนพงษ์ทอง และนพ.บุญ วนาสิน ในข้อหาหมิ่นประมาท ปมเผยแพร่ข้อมูลนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นาบวกกำไร-ภาษี

วันนี้ (14 ก.ค. 64) องค์การเภสัชกรรม ออกแถลงการณ์ เรื่องแจ้งความเอาผิด "ลอย - หมอบุญ" หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เป็นเหตุให้องค์การเกสัชได้รับความเสียหาย กรณีเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จการจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นา โดยมีรายละเอียดว่า

องค์การเภสัชกรรม ได้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่กองกฎหมาย องค์การเภสัชกรรม ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินการเอาผิดกับนายลอย ชุนพงษ์ทอง นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชื่อดัง ผู้ทรงคุณวุฒิสหวิทยาการราชบัณฑิตยสภา และ นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในข้อหา "หมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา อันเป็นเหตุให้องค์การเภสัชกรรมได้รับความเสียหาย" เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 64

การดำเนินการตามกฎหมายครั้งนี้ เนื่องจากนายลอย และนพ.บุญ ได้นำข้อมูลซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นา โดยกล่าวหาองค์การเภสัชกรรม ในฐานะผู้แทนภาครัฐ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ในการประสานงานจัดซื้อจัดหาวัคซีนโมเดอร์นาให้กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ว่า ดำเนินภารกิจนี้ โดยมุ่งแสวงหาผลกำไรสูงสุดจากประชาชน ซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดความเสียหายต่อองค์การเภสัชกรรม จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย

องค์การเภสัชกรรม ยืนยันว่าเป็นหน่วยงานภาครัฐที่เป็นตัวแทนจัดซื้อจัดหาวัคซีนทางเลือกโมเดอร์นา เพื่อให้ประชาชนได้มีวัคซีนทางเลือกเพิ่มขึ้น โดยมิได้มุ่งแสวงหาผลกำไร

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา อ.ลอย ได้โพสต์คลิปผ่าน YouTube เกี่ยวกับข้อมูลราคานำเข้าวัคซีนป้องกัน COVID-19 ของโมเดอร์นา โดยอ้างว่ารัฐบาลเรียกเก็บภาษีกว่า 100% จากการนำวัคซีน


ที่มา : https://www.facebook.com/gpoth.official/photos/a.879647762423872/1658677981187509/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“เสกสกล” เย้ย “โทนี่” ไม่มีใครอยากปรึกษานักโทษหนีคดี ถาม ถ้าอยากกลับไทย พร้อมคืนค่าเสียหาย - รับโทษ หรือไม่

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ 
วู้ดซัม กล่าวผ่านคลับเฮาส์ ระบุให้นายกรัฐมนตรี โทรหาเพื่อขอคำปรึกษา และหากจะไล่นายกฯให้ไปฟ้องพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รวมถึงคนที่เป็นนักการเมืองจะแคร์ประชาชน คนที่มาจากการปฏิวัติไม่แคร์ประชาชน ว่า คำพูดเหน็บแนมของนายโทนี่ เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง คำปรึกษาคงไม่ได้ประโยชน์เพราะไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ ไม่ได้สัมผัสกับความเดือดร้อนของประชาชน และสถานะคนทำผิดหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ ไม่สมควรที่จะโทรไปปรึกษากับนักโทษที่มีคดีทุจริตติดตัว คงไม่ได้ประโยชน์อะไร และตอนนี้ทุกภาคส่วน บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนได้ร่วมมือกันอย่างดี เพื่อให้สถานการณ์โควิด-19คลี่คลายลง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องขอคำแนะนำจากนายโทนี่ หากจะช่วยประเทศชาติในภาวะนี้คือ หยุดพูดสร้างความสับสน เหน็บแนม ด้อยค่าคนอื่นและสร้างความแตกแยกให้คนไทยจะช่วยได้มากที่สุด

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนที่ระบุว่าคนที่มาจากการปฏิวัติไม่แคร์ประชาชน อย่าเข้าข้างตัวเองเพราะคนที่เอาประชาชนมาอ้าง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ และทุจริตหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ กฎหมายเอื้อประโยชน์ตัวเอง เป็นเป็นเผด็จการรัฐสภา หรือระบอบทักษิณ เรียกว่าแคร์ประชาชนหรือไม่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ไม่แคร์ประชาชน คอยพูดสร้างความสับสนให้ในยามวิกฤตโควิด มากกว่าช่วยเหลือ และคิดแต่จะล้มรัฐบาลกลับมามีอำนาจ ขณะที่บ้านเมืองต้องการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ยืนยันว่านายกฯจะทำงานแก้ไขปัญหาจนครบเทอม ไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร และคงไม่ต้องไปบอกพล.อ.ประวิตรให้ไปบอกนายกฯประยุทธ์ ให้ลาออก

นายเสกสกล กล่าวว่า นายโทนี่พูดแต่ละครั้งไม่มีสาระที่เป็นประโยชน์ แค่อยากมีบทบาทและกลัวคนจะลืม หรือต้องการให้พรรคเพื่อไทย เข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาล จะได้ช่วยเหลือให้พ้นผิดและกลับประเทศ หากแน่จริงขอให้กลับมารับโทษที่ทำผิดไว้โดยไม่ต้องรอเวลา และขอถาม2ข้อว่า ถ้ากลับมาพร้อมที่จะชดใช้ค่าเสียหายคืนให้ประเทศชาติ ประชาชนในโครงการที่เกิดการทุจริตในยุครัฐบาลนายทักษิณและยุครัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่ และพร้อมที่จะกลับเข้ามารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ หากรับเงื่อนไขสองข้อ คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่คงไม่ขัดข้องที่จะให้กลับได้ถ้า ส่วนจะเดินเข้าทางช่องประตูหน้าหรือประตูหลัง หรือประตูไหน คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับได้อย่างแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top