Tuesday, 1 July 2025
Hard News Team

ศบค.เตรียมพิจารณามาตรการป้องระบาดโควิด-19 ในตลาด พื้นที่แดงเข้ม ตรวจเชิงรุกผู้ค้า-ลูกจ้าง-ชุมชนโดยรอบตลาด วาง 3 ระยะ ครอบคลุมเป้าหมาย 2 แสนคน ตรวจ 4 รอบ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่กระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วประเทศ พบว่าในพื้นที่สีแดงเข้ม โดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑล พบผู้ติดเชื้อที่เชื่อมโยงกับตลาดสด และตลาดนัด ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. -10 ส.ค. พบการติดเชื้อ 23 จังหวัด ในตลาด 132 แห่ง ผู้ติดเชื้อรวม 14,678 คน กระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดทำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในตลาด ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน จะพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในตลาด ประกอบด้วยมาตรการ 3 ส่วน ได้แก่ มาตรการป้องกันคน ป้องกันสถานที่(ตลาด) และจัดการระบบเฝ้าระวังควบคุมโรค ในส่วนการป้องกันคนนั้นจะมีตรวจคัดกรองเชิงรุกด้วยชุดตรวจ ATK ในกลุ่มเป้าหมายได้แก่ผู้ค้า ลูกจ้าง แรงงานที่เดินทางเข้าออก ผู้อยู่อาศัยที่ประกอบธุรกิจอยู่โดยรอบ และมีการสุ่มตรวจผู้ซื้อที่เดินทางเข้าไปใช้บริการในตลาด  โดยดำเนินการในจังหวัดสีแดงเข้มทั้ง 29 จังหวัด แบ่งดำเนินการเป็น 3 ระยะ  ระยะที่1 ดำเนินการใน 9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ราชบุรี ชลบุรี นครราชสีมา สงขลา และสระแก้ว เป้าหมายที่ตลาดค้าส่งและตลาดขนาดใหญ่(500แผงขึ้นไป) ตลาดที่มีความเสี่ยงสูง มีชุมชนรอบตลาด  รวม 27 แห่ง  ระยะที่2 ดำเนินการตรวจในพื้นที่ตลาดทุกขนาด ในจังหวัดสีแดงเข้ม 16 จังหวัด ครอบคลุมตลาด 117 แห่ง  และระยะที่ 3 ดำเนินการครอบคลุมตลาดทุกขนาด ในพื้นที่สีแดงเข้มทั้ง 29 จังหวัด  รวมตลาด 683 แห่ง 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะดำเนินการตรวจครอบคลุมเป้าหมาย 202,010 คน ตรวจทุกสัปดาห์เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ใช้ชุดตรวจ ATK 808,040 ชุด  มีการสำรองสำหรับกรณีตรวจเชิงรุกอีก 41,960 ชุด รวมใช้ชุดตรวจ ATK ตามมาตรการนี้รวม 850,000 ชุด ซึ่งจะขอรับการสนับสนุนชุดตรวจจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ต่อไป นอกจากดำเนินการตรวจเชิงรุกแล้ว จะมีการให้วัคซีนแก่ผู้เกี่ยวข้องในตลาดตามลำดับความเสี่ยง รวมถึงดำเนินมาตรการอื่นควบคู่ เช่น การมีแผนเผชิญเหตุ การจัดเตรียมโรงพยาบาลสนาม หรือสถานที่แยกกัก เพื่อรองรับกรณีผู้ติดเชื้อหรือพบผู้มีผลตรวจ ATK เป็นบวก  
 

ปชป. นัดประชุม ส.ส. 23 ส.ค.เตรียมพร้อมถกแก้ รธน.”องอาจ” คาดผ่านความเห็นชอบ เพื่อเปิดทางให้ปชช.มีสิทธิ์เลือก

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันที่ 24 ส.ค.-วันที่ 25 ส.ค.นี้ว่า ตนได้นัด ส.ส. ของพรรคประชุมในวันที่ 23 ส.ค. เวลา 16.00 น. เพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอและคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งมีประเด็นที่จะต้องถกแถลงกันพอสมควร โดยเฉพาะประเด็นที่มีบางส่วนท้วงติงว่าการแก้ไขของคณะกรรมาธิการฯเป็นการแก้ไขเกินหลักการจากที่ผ่านการรับหลักการจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งกรรมาธิการฯเสียงข้างมากเห็นว่าสามารถดำเนินการได้ ในส่วนของประชาธิปัตย์ มีความเชื่อมั่น ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านรัฐสภาวาระแรกมีความสมบูรณ์ และการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯไม่ได้ขัดหลักการแต่อย่างใด

ส่วนที่มีการพรรคการเมืองบางพรรคเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำขัดหลักการ จะยื่นให้มีการตีความก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่เพราะมีพรรคการเมืองบางพรรคไม่เห็นด้วยนั้น นายองอาจกล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเห็นพ้องต้องกันของฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสมาชิกวุฒิสภา เพราะรัฐธรรมนูญได้บัญญัติถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จได้ต้องมี ส.ส. จากฝ่ายค้านเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของทุกพรรคการเมืองรวมกัน และมีส.ว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

“พรรคประชาธิปัตย์เชื่อมั่นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นนี้จะผ่านความเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภาเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นในการใช้สิทธิเลือก ส.ส. และพรรคการเมืองที่เห็นว่าเหมาะสมด้วยบัตร 2 ใบ ซึ่งทำให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพเป็นไปตามเจตนารมณ์ของตนอย่างแท้จริง อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการมีส่วนร่วมของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”นายองอาจ กล่าว

“บิ๊กตู่” สั่งเร่งเยียวยาประชาชน-ภาคธุรกิจให้ครบทุกกลุ่ม

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งให้เร่งเยียวยาประชาชนทุกกลุ่มควบคู่ไปกับการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยขณะนี้มีการดำเนินการอยู่หลายมาตรการ ทั้งการเยียวยาประชาชน ผู้ปกครองนักเรียน และการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อลดผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิดในปัจจุบัน

สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนนั้น ที่ผ่านมามีโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษนั้น ยอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 38.25 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 66,150.3 ล้านบาท และตอนนี้อยู่ระหว่างการเร่งเชื่อมระบบแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่กับโครงการ “คนละครึ่ง” คาดว่าจะพร้อมใช้งานได้ในเดือนต.ค.2564 เพื่อให้ทันกับการรองรับการโอนเงิน “คนละครึ่ง” รอบ 2 อีก 1,500 บาท

ส่วนความคืบหน้าแนวทางในการช่วยเหลือนักเรียน ผู้ปกครอง และครู นั้น ในส่วนของเงินเยียวยานักเรียน รัฐบาลจะจ่ายให้นักเรียนทุกคน ทุกสังกัด ทั้งภาครัฐและเอกชน ระดับอนุบาล-ม.ปลาย และ ปวช./ปวส. ทั่วประเทศ คนละ 2,000 บาท คาดว่าจะได้รับเงินภายในวันที่ 31 ส.ค.นี้ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ขณะนี้มีอยู่จำนวนกว่า 11 ล้านคน ซึ่งเบื้องต้นผู้ปกครองและนักเรียน นักศึกษา สามารถตรวจสอบสิทธิ์กับสถานศึกษา หรือโรงเรียนของรัฐตรวจสอบสิทธิและข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และในส่วนของโรงเรียนเอกชนตรวจสอบสิทธิและข้อมูลได้ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 

ขณะที่การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังได้ร่วมกันดำเนินการ 2 มาตรการหลัก คือ 1.มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท ความคืบหน้ามีสินเชื่อฟื้นฟูที่อนุมัติแล้ว 92,316 ล้านบาท ผู้ได้รับความช่วยเหลือจำนวน 30,194 ราย โดยมีวงเงินอนุมัติเฉลี่ยอยู่ที่ 3.1 ล้านบาทต่อราย 2.มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง (มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท มีมูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอน 10,510.61 ล้านบาท จำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 65 ราย 

ทั้งนี้ ทั้ง 2 โครงการเป็นมาตรการที่รัฐบาลตอบสนองต่อภาคเอกชน ให้สามารถเข้าถึงเงินสินเชื่อได้มากขึ้น เสริมสภาพคล่องและการลงทุน สนับสนุนวงเงินในการดูแลสินทรัพย์ให้ภาคธุรกิจโรงแรมและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างรุนแรงยังสามารถกลับมาทำธุรกิจตามปกติ หลังจำเป็นต้องหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว ตามมติครม. วันที่ 23 มี.ค. 2564 ให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19

“อรรถวิชช์” จี้รัฐ เร่งซื้อชุดตรวจโควิดเบื้องต้น ขออย่าเสียเวลาทะเลาะกัน  แนะทดลองใช้จริง ยี่ห้อไหนแน่ เปรียบเทียบหน้างาน

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงปัญหาการจัดซื้อชุดตรวจโควิด 8.5 ล้านชุด มูลค่า 1,014 ล้านบาท แม้จะมีผู้ชนะการประมูลขององค์การเภสัชกรรมแล้วคือ บริษัท ออสท์แลนด์ แคปปิตอล จำกัด แต่ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในมติ ครม. วันที่ 17 สิงหาคม ว่า ชุดตรวจต้องได้รับการรับรองจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) จึงเป็นประเด็นว่า องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ยังไม่กล้าเซ็นสัญญากับบริษัทที่ชนะประมูล แต่รัฐต้องแข่งกับเวลา ทุกชั่วโมงที่ชัตดาวน์คือความเดือดร้อนของประชาชน เป้าหมายคือการกันตัวผู้ป่วยออกมาให้เร็ว การตรวจเชิงรุกสำคัญมากอย่าทำให้สะดุด 

"ที่เถียงกันมันคือชุดตรวจ “เบื้องต้น” แบบ ATK เท่านั้น  ไม่ใช่กรณีการตรวจละเอียดแบบ RT-PCR  ท่านนายกฯ ต้องเข้าใจว่ายี่ห้อที่ได้ WHO  มันมีน้อยและแพง ถ้าท่านเป็น "นักปฏิบัตินิยม" และเข้าใจว่านี่คือวิกฤตใหม่ที่ต้องการรับมือต้องทันต่อสถานการณ์ ผมเห็นว่า ควรไปวัดกันที่หน้างาน บริษัทไหนแน่ ไปทดลองกัน โดยเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ถ้าเสถียรพอๆ กัน ก็เอาอันที่ราคาถูกกว่าสิครับ จะได้กระจายให้ทั่วถึง" นายอรรถวิชช์ กล่าว 

เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวต่อว่า ถ้าทดลองภาคสนามแล้ว ชุดตรวจที่ชนะการประมูลมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายี่ห้อในรายการที่อนุญาตให้ใช้กรณีฉุกเฉินเร่งด่วน  (Emergency Use Listing) ของ WHO ผมว่ามันก็ใช้ได้แล้ว อย่าติดยึด เพราะเวชภัณฑ์ใหม่ๆ ถูกพัฒนาให้ทันเชื้อโรคที่พัฒนาไปอยู่เรื่อย วัดกันที่หน้างานสำคัญกว่า

“ประวิตร”  สั่ง กอนช. เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ “อ่างบางพระ" หวั่น กระทบผู้ใช้น้ำภาคตวอพื้นที่ภาคตะวันออก เร่งเติมน้ำ  จากแหล่งโครงข่าย เพิ่มศักยภาพเก็บน้ำ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวว่า สถานการณ์น้ำและปริมาณน้ำฝนพื้นที่ภาคตะวันออก จากการรายงานของคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออก ที่มีพล.ร.อ พิเชฐ ตานะเศรษฐ เป็นประธานอนุกรรมการฯ พบว่า อ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี  เริ่มมีปริมาณน้ำลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมาและใกล้ถึงเกณฑ์เตือนขาดแคลนน้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำของประชาชนในพื้นที่ จึงกำชับให้กอนช. เร่งกำหนดมาตรการเร่งด่วน โดยนำน้ำจากแหล่งโครงข่าย จังหวัดชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง มาเติมลง อ่างเก็บน้ำบางพระ ให้เต็มศักยภาพ เพื่อให้มีปริมาณน้ำต้นทุน อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม อย่างเพียงพอและให้รายงาน ความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะ

ท่องเที่ยว-คลัง หนุนจัดเงินกู้ช่วยธุรกิจท่องเที่ยว 8 พันล้าน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้หารือกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ถึงแนวทางการเยียวยาธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอกใหม่ โดยขอให้กระทรวงการคลังช่วยพิจารณาจัดวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยว จากธนาคารออมสิน และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) วงเงิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับทราบเรื่องนี้และพร้อมประสานธนาคารทั้ง 2 แห่ง จัดเตรียมวงเงินให้แล้ว

เบื้องต้นในแนวทางการช่วยเหลือจะให้การช่วยเหลือเอกชนท่องเที่ยว 5 สมาคมก่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยื่นหนังสือมายังกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อขอความช่วยเหลือ คือ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) สมาคมโรงแรมไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมสปาไทย และสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย โดยที่ผ่านมาภาคเอกชนกลุ่มนี้ ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก และยังได้รับผลกระทบจากการจำกัดกิจกรรมและกิจการต่าง ๆ ด้วย 

“ในการหารือครั้งนี้กระทรวงการคลังยังได้รับข้อเสนอของเอกชนท่องเที่ยวที่เสนอเข้ามาถึงการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการกู้เงินจากเดิมที่กำหนดให้ใช้สินทรัพย์ในการค้ำประกันเงินกู้ มาเป็นการกำหนดให้ผู้กู้ที่เป็นภาคเอกชนจาก 5 สมาคมนี้ สามารถค้ำประกันไขว้กันแทนได้ เช่น ค้ำไขว้กันระหว่างบริษัทต่อบริษัท หรือผู้บริหารตัวต่อตัว เพราะแนวทางนี้จะสามารถปลดล็อกการกู้เงินได้สะดวกมากกว่า และทำให้ผู้ปรักอบการสามารถเข้าถึงแหล่งวงเงินได้ง่าย ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับไปพิจารณาและมอบหมายให้ธนาคารต่าง ๆ เร่งไปปรับเงื่อนไขโดยเร็ว เพื่อให้สามารถกู้เงินได้ภายในปลายเดือนส.ค.นี้ หรือต้นเดือนก.ย.64 ต่อไป”

“จุรินทร์” ไฟเขียว! งบกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร กว่า  2,500 ล้านบาท พร้อมออก 5 มาตรการดันราคาพืชผลเกษตร ปี 65

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ครั้งที่ 1/2564 (ครั้งที่ 250) ผ่านระบบ Zoom  วานนี้ (20 ส.ค. 64) ณ ห้องกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน และนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมด้วย

นางสาวรัชดาฯ กล่าวว่า รองนายกฯจุรินทร์ได้ให้นโยบายการดูแลเกษตรกรภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ที่ต้องเป็นไปอย่างครอบคลุม เข้าถึงปัญหาอย่างรวดเร็ว และดูแลอย่างเป็นธรรม โดยในปีงบประมาณ 2564  นับตั้งแต่ 1 ต.ค. 2563 - 15 ก.ค. 2564 กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้จัดสรรงบประมาณ ไปแล้ว 2.1 พันล้านบาท ในการดูแลเกษตรกรในกลุ่มสินค้าผลไม้ ไข่ไก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน พืชหัว พริก ข้าวเหนียว ปศุสัตว์/ประมง เป็นการช่วยเหลือผ่านการเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าออกนอกแหล่งผลิต ผลักดันการส่งออก และชดเชยดอกเบี้ยเพื่อการชะลอการจำหน่ายโดยการเก็บสต๊อก 

สำหรับปีงบประมาณ 2565 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณกองทุนฯ  จำนวน 2,562 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือสินค้าเกษตร 10 กลุ่มสินค้า ได้แก่ ผลไม้ พืชหัว พืชผัก ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปศุสัตว์ ประมง กล้วยไม้ ผ่านมาตรการ 1) เพิ่มช่องทาง/ระบายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิต 2) เสริมสภาพคล่องด้านเงินทุน ชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อใช้ในการรับซื้อผลผลิตจากการเกษตรกรเพื่อจำหน่ายหรือเก็บสต๊อกไว้รอจำหน่าย 3) สร้างการรับรู้เพื่อเพิ่มการบริโภค/กระตุ้นการบริโภค 4) ผลักดันและบริหารจัดการส่งออก เพื่อลดอุปทานส่วนเกินในประเทศ 5) ส่งเสริมด้านปัจจัยการผลิตเพื่อพัฒนาคุณภาพปรับคุณภาพและด้านทุนการผลิต  นอกจากนี้มีการกำหนดราคาเป้าหมายสินค้าเกษตรปี 2565 เพื่อกองทุนฯจะได้ใช้เป็นเกณฑ์ในการช่วยเหลือเกษตรกร

“ศรีสุวรรณ” จ่อร้อง ป.ป.ช.23 ส.ค.นี้ บี้เอาผิด คนฉีดวัคซีนเข็ม 4-คนอนุมัติให้-คนเหี่ยวข้อง ฐานทุจริตต่อหน้าที่

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้เผยภาพหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนของบุคคลปริศนาที่ระบุว่าได้ฉีดเข็มที่ 4 แล้ว โดยเป็นยี่ห้อไฟเซอร์ ทำให้สังคมไทยวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่กระทำการดังกล่าวว่าไร้ยางอายและไม่มีจิตสำนึก โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี ออกมาเปิดเผยว่า

บุคลดังกล่าวเป็นบุคลากรทางการแพทย์  2 คนที่ต้องการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ โดยอ้างว่าประเทศปลายทางที่จะเดินทางไปไม่รับรองวัคซีนซิโนแวค แต่รับรองวัคซีนไฟเซอร์ จึงต้องขอฉีดวัคซีนไฟเซอร์ และทางอธิบดีกรมควบคุมโรค ก็ออกมายืนยันว่าเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ต้องการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศจริง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า แต่รองอธิบดีกรมควบคุมโรคชี้แจงว่า บุคลากรทางการแพทย์ 2 คน จะเดินทางไปปฏิบัติงานที่ประเทศแคนาดา ซึ่งมีระเบียบว่าจะต้องได้รับวัคซีนที่ประเทศแคนาดากำหนดจึงสามารถเข้าประเทศได้ โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน ได้แก่ แอสตร้าเซนเนก้า ไฟเซอร์ โมเดอร์นา จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และโควิดชิลด์ ร่วมกับแสดงผลตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเข้าประเทศเป็นลบ ซึ่งคำชี้แจงดังกล่าว ตรงข้ามกับ ผอ.รพ.รามาธิบดีและอธิบดีกรมควบคุมโรค ที่อ้าวว่าไปปฏิบัติงาน ทั้งที่ไปศึกษาต่อชี้ให้เห็นถึงเล่ห์ฉลของกระบวนการที่อาจร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้ออ้างการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ให้กับพวกพ้องของตนเอง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า คำแถลงดังกล่าวเป็นการยืนยันว่าวัคซีนชิโนแวคใช้ไม่ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับ แล้วทำไมยังคงสั่งซื้อเข้ามาฉีดให้กับประชาชน และที่น่าตกใจเมื่อผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ออกมาให้ข้อมูลว่าขณะนี้มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ไปแล้วรวมประมาณ 200 ราย ซึ่งกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อคนไทยเกือบ 50 ล้านคน ยังไม่ได้ฉีดแม้แต่เข็มแรก บางคนต้องสูญเสียพ่อแม่ญาติพี่น้อง เพราะยังไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนเข็มที่ 1 ได้

แล้วกรมควบคุมโรคอนุญาตให้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 ได้อย่างไร ไม่ละอายใจกันบ้างเลยหรือ และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย ที่มีมูลเหตุมาจากพวกอภิสิทธิ์ชนและผู้มีอำนาจเหล่านี้นี้เองใช่หรือไม่ กรณีเยี่ยงนี้ ศบค.ในฐานะผู้ควบคุมกฎจะปล่อยให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างนี้ต่อไปอีกนานเท่าไร จึงจะพอใจกัน ดังนั้นทางสมาคมฯจะไม่ทนต่อพฤติการณ์ของบุคคลพวกนี้อีกต่อไป และจะนำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้ไต่สวนสอบสวนเอาผิดผู้ที่ได้รับฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 รวมทั้งผู้ที่อนุมัติให้ฉีด และผู้บริหารหน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ในวันจันทร์ที่ 23 ส.ค.64 เวลา 11.00 น. ที่สำนักงานป.ป.ช.นนทบุรี เพื่อหยุดยั้งกระบวนการนี้

"กรณ์" ชวนถกโอกาสทางเศรษฐกิจยุคใหม่กับ "ท็อป-จิรายุส แห่ง บิทคัพ" วางแผนสร้างแพลตฟอร์ม NFT สัญชาติไทยเพิ่มรายได้ให้คนรุ่นใหม่ 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ในฐานะอดีตประธานไทยฟินเทค และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมคุยและแชร์ประสบการณ์ กับ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งบิทคัพของเมืองไทย พร้อมด้วย นางสาวภรณี วัฒนโชติ รองโฆษกพรรคกล้า และนางสาวพัสณิชา เอี่ยวอุดมสิน บิทคัพ อคาเดมี ในหัวข้อ  “จุดเปลี่ยนสำคัญสู่ยุคสินทรัพย์ดิจิทัล”  

โดยการพูดคุยดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นายกรณ์ ได้ลุกขึ้นมาสร้างสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ NFT เป็นภาพวาดดิจิทัลสุนัขพันธ์ เฟรนซ์ บลูด็อก 20 ตัว ในโปรเจ็กต์ Mission Pawsible  ไปประมูลขายบนแพลตฟอร์มซื้อ-ขายงานศิลปะระดับโลกอย่าง "โอเพ่นซี" (opensea.io) รายได้ทั้งหมด จะนำไปบริจาคช่วยเหลือสุนัขใน 3 มูลนิธิได้แก่ มูลนิธิ Dog Trust ในประเทศอังกฤษ และ 2 มูลนิธิของไทย คือ เดอะวอยซ์ เสียงของเรา และ เกาะ สุนัข ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด โดยจะปิดการประมูลขายเที่ยงคืนวันที่ 26 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันสุนัขโลก 

นายกรณ์ กล่าวว่า โครงการ Mission Pawsible เกิดขึ้นเพื่อจุดประกายให้ หันมาสนใจ crypto currency  ที่ไม่ใช่แค่สกุลเงิน แต่สามารถสร้างเป็น NFT ได้ ที่สามารถสร้างเงินได้ และเชื่อว่าในอนาคตนอกจากจะสามารถรักษามูลค่าไว้ได้แล้ว ยังมีแนวโน้มโอกาสที่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีก เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์และเป็นคำตอบเอง โดยเฉพาะโจทย์ที่ท้าทายว่า แท้จริงแล้วคนชอบที่จะถือครองงานศิลปะในรูปของ NFT หรือในรูปของกระดาษกันแน่ วันนี้เรามีสินทรัพย์บางอย่างที่สร้างขึ้นมาในโลกดิจิทัล มันก็ควรจะอยู่ในรูปดิจิทัลมากกว่า ยกตัวอย่าง ทวิตแรกของ แจ๊ค ดอร์ซี่ ผู้ก่อตั้งทวิตเตอร์ ก็ถูกนำมาขายในรูปแบบ NFT   

ด้านนายจิรายุส มองว่า แนวทางที่นายกรณ์ ได้ทำอยู่นี้ อาจจะเป็นโมเมนท์แรกที่เปลี่ยนโลกของการบริจาค เพราะเชื่อว่ายังไม่มีใครทำในลักษณะแบบนี้  นอกจากนี้ยังมองว่า NFT จะมีอนาคตไปอีกไกล เพราะแม้แต่บิทคอยต์ ที่มีอายุ 13 ปี วันนี้ก็ยังอยู่ และไม่มีใครสามารถแฮคข้อมูลได้ อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัว สนใจที่จะสร้างแพลตฟอร์มสัญชาติไทย เพราะดิจิทัล อีโคโนมีเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และจะอยู่กับเราไปอีกนาน 

สอดคล้องกับ นางสาวภรณี ที่มองว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะมี แพลตฟอร์ม NFT เป็นของตัวเอง เพื่อส่งต่อไปยังคนทั่วโลกให้เข้ามาใช้ NFT ที่อยู่แพลตฟอร์มของคนไทย มันเป็นความภาคภูมิใจที่เราควรจะมี และไม่ควรพลาดโอกาสนี้ เพราะหากเราไม่ทำ ประเทศอื่นก็ต้องทำ สุดท้ายเราก็จะเป็นทาสทางเทคโนโลยีของประเทศอื่น ประเทศไทยควรมีเครื่องยนต์เศรษฐกิจในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมตัวใหม่  ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่มีโอกาสเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอะไรเลย ต่างชาติก็จะไม่เข้ามาลงทุน สุดท้ายเราจะเสียโอกาสไป 

ซึ่งในประเด็นนี้ นายกรณ์ กล่าวเสริมว่าไม่เพียงแต่ต่างชาติไม่เข้ามาลงทุนในไทยเท่านั้น แต่เราอาจต้องเสียคนไทยเก่ง ๆ ไปทำงานที่อื่นด้วย แทนที่โอกาสดี ๆ จะอยู่ในมือคนรุ่นใหม่กลับกลายเป็นว่าใครที่อยากมีอาชีพทางนี้ต้องออกไปทำงานที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย อย่างไรก็ตามล่าสุดแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง อาลีบาบา ก็เปิดตลาด NFT แล้ว ซึ่งเป็นสัญญานว่าเราจะช้าไม่ได้ เราไม่ได้ใหญ่กว่าเขา หรือว่ามีอะไรมากกว่าเขา ต้องอาศัยความชัดเจนและความว่องไวในการจะแข่งขัน 

เมื่อถามาว่า NFT จะสามารถต่อยอดกับอะไรได้ในอนาคต หัวหน้าพรรคกล้า ก็บอกว่า อุตสาหกรรมนี้เพิ่งเริ่มต้น มันยังมีวัฎจักรที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง แม้ยูสเคส ตอนนี้จะมีเพียงงานศิลปะ และเกมส์ แต่ในอนาคตเชื่อว่าไปได้ไกลในตลาดนี้ โดยเฉพาะหน่วยงานราชการมีหลายเรื่องที่จะสามารถนำ NFT  มาประยุกต์ใช้  แต่เนื่องจากโดยธรรมชาติราชการจะช้ากว่า ก็เลยมองว่าวงการเกม น่าจะเป็นพื้นที่ในการพัฒนา NFT ได้เร็วที่สุด ที่น่าสนใจคือ เราเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ใช่ตัวแพลตฟอร์มที่เป็นเจ้าของ ดังนั้นในอนาคตก็น่าจะมีโอกาสในการนำ NFT จากเกมเราไป ใช้ในอีกเกมหนึ่งได้ ซึ่งจะทำให้การค้า การขาย การพัฒนาตัว NFT  ไปได้เร็วขึ้น โลกของเกมเป็นเรื่องที่น่าจับตามองที่สุด 

นายจิรายุส กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยส่วนตัวตื่นเต้นและเชื่อว่า ตลาด NFT จะใหญ่กว่าที่บิทคัพที่ทำอยู่ เนื่องจากสามารถสร้างตัวแทนของทรัพย์สินต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปแบบของดิจิทัลได้ ทั้งที่มีมูลค่า และความเชื่อ หรือคตินิยม ของแต่ละคน ซึ่งมันมีหลายรูปแบบมาก ยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ คือ เส้นทางของอุตสาหกรรมการเงินเราเติบโตมากับ ไฟแนนซ์ 1.0 เราคุ้นเคยกับ สาขาของธนาคาร  ตู้เอทีเอ็ม เครื่องนับเงิน บัตรเครดิต เพราะมันถูกสร้างบนความเชื่อที่ว่าเงินคือกระดาษ จากนั้นในรอบสิบปี เราเริ่มเห็น ไฟแนนซ์ 2.0 คือเริ่มมี ดิจิทัลแบงค์กิ้ง โมบายแบงค์กิ้ง มีพร้อมเพย์  คือการเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ แต่ยังคงรวมกับรูปแบบเดิมคือยึดธนาคารเป็นหลักบนสมมุติฐานเดิมเงินคือกระดาษ  แต่ตอนนี้เริ่มมีการใช้ สินทรัพย์ดิจิทัล ใช้เงินสกุลดิจิทัล เรากำลังสร้าง ไฟแนนซ์ 3.0 ขึ้นมา คือเอาตัวกลางออก แล้วสร้างสมมุติฐานใหม่ว่า ว่า เงินคือคอมพิวเตอร์โปรแกรม เงินคือลอจิกของเลขแล้ว ซึ่งมันคล้าย ๆ กับอุตสาหกรรมเพลง เมื่อก่อน จาก 1.0  มีเทป ซีดี มาสู่ 2.0 มี Sony wolkman  มีไอพอต ตอนนี้เพลงก็เป็น 3.0 แล้ว คือ อยู่ที่ไหนก็ฟังได้ผ่านทาง youtube Netflix linetv ซึ่งล้วนแต่เป็นแพลตฟอร์มของต่างชาติทั้งหมด 

“ในแวดวงการเงิน เมืองไทยยังให้ความสำคัญกับผู้เล่น 1.0  เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศ แต่ในอนาคตดิจิทัล อีโคโนมี จะใหญ่มาก ในขณะที่เรายังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานของดิจิทัลที่จะรองรับเลย ไฟแนนซ์ 3.0 ซึ่งเป็นสถาบันการเงินของคนรุ่นใหม่ จึงควรมีและควรทำอย่างยิ่ง” นายจิรายุส กล่าว 

นายกรณ์ ได้กล่าวเสริมในตอนท้ายว่า ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ปัญหาที่เกิดจากเทโนโลยีจะถูกแก้ด้วยเทคโนโลยี

“ธณิกานต์” โวย ป.ป.ช. ด่วนตัดสิน ปมกดบัตร ลั่น ไม่เป็นเรียกแจง แต่รวบรัดชี้มูล ยัน พร้อมต่อสู้ตามกม.

น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวกรณีที่ศาลฎีกา มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ร้องว่ากระทำผิดจริยธรรม ว่า การชี้มูลของป.ป.ช.ไม่เป็นธรรม ไม่ได้ค้นหาหลักฐาน ไม่ให้โอกาสชี้แจงและด่วนตัดสิน ทั้งที่ข้อมูลหลักฐานต้องสืบค้นไม่ใช่เป็นการรวบรัดและรีบชี้มูล

น.ส.ธณิกานต์ กล่าวว่า ในวันที่ 8 ส.ค. 2562 เป็นวันที่มีการใช้เครื่องลงคะแนนจริงเป็นครั้งแรก บรรยากาศเต็มไปด้วยความโกลาหล มีการประท้วงเรื่องระบบการลงคะแนนมีปัญหาตลอดครึ่งเช้า ในขณะที่ตนมีภารกิจต้องปฎิบัติหน้าที่งานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงไม่ได้ดึงบัตรออกจากเครื่อง เพราะกังวลว่าเครื่องมีปัญหา และคิดว่ารีบไปปฎิบัติหน้าที่แล้วรีบกลับ เพราะต้องกลับมาลงมติต่อ แต่ป.ป.ช.ชี้มูล โดยไม่สืบค้นหลักฐานว่าใครเป็นคนกดบัตร และตนก็ไม่เคยฝากบัตรและไม่เคยยินยอมให้ใครนำบัตรไปใช้กดแทน  เรื่องนี้ตนพร้อมพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top