สำนักข่าวอิสระของสหรัฐ ProPublica ได้ออกมาแฉข้อมูลลับที่ได้จากข้อมูลของกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกา พบว่า อภิมหาเศรษฐีเบอร์ต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นเจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้ง Amazon, อีลอน มัสก์ CEO ของ Tesla หรือแม้แต่พ่อมดการเงินอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ จอร์จ โซรอส เสียภาษีน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับรายได้จำนวนมหาศาล หรือบางปีก็ไม่เสียภาษีให้คนอเมริกันเลยแม้แต่เหรียญเดียว
โดยยกตัวอย่างกรณี เจฟฟ์ เบโซส์ เคยแจงบัญชีขาดทุน และไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาลกลางเลยในปี 2007 และ 2011 อีลอน มัสก์ แจ้งเลี่ยงการจ่ายภาษีลักษณะเดียวกันในปี 2008 เจ้าพ่อสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง ไมเคิล บลูมเบิร์ก ก็เคยแจ้งไม่จ่ายภาษีเมื่อไม่นานมานี้ ยิ่งคนระดับมัจจุราชการเงินโลกอย่าง จอร์จ โซรอส เคยยื่นแจ้งไม่เสียภาษีให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 3 ปีติดต่อกัน
ProPublica ยังเปิดเผยอีกว่า จากข้อมูลภายในของกรมสรรพากรสหรัฐฯย้อนหลัง 15 ปี ที่ไม่ได้มีแต่ประวัติรายได้ และการเสียภาษีเท่านั้น แต่ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจของการบริหารจัดการเงินในกระเป๋าของอภิมหาเศรษฐีระดับบนๆ ของประเทศ เช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ บิล เกตฟส์ หรือ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น เปิดบริษัทในต่างประเทศ หรือแม้แต่กำไร-ขาดทุนจากการเล่นพนัน
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เห็นว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้ สามารถหาช่องโหว่ในระบบจัดเก็บภาษีของรัฐบาลกลาง ที่ทำให้พวกเขาสามารถยักย้ายถ่ายเทความมั่งคั่ง ไปสู่สินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ผ่านการลงทุนในหุ้น หรือเปิดบริษัทในประเทศที่เอื้อประโยชน์ด้านภาษีที่ทำให้พวกเขารวยขึ้น และรวยขึ้น แต่จ่ายภาษีน้อยลง หรือแทบไม่จำเป็นต้องจ่ายเลยก็ทำได้
ซึ่งช่องโหว่ และข้อได้เปรียบทางกฎหมายภาษีนี้ เป็นสิ่งที่คนทำงานกินเงินเดือน หาเช้ากินค่ำทั่วไปทำไม่ได้ และกลายเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษีให้รัฐบาลทุกเม็ด จากรายได้ที่มีอยู่อย่างจำกัดในแต่ละเดือน ซึ่งตรงกันข้ามกับกลุ่มชนชั้นนำ ที่รายได้ยิ่งมาก กลับยิ่งเสียภาษีน้อยลง ซึ่งไม่สมดุลกับรายได้อันมหาศาลของพวกเขา
หากจะเทียบให้เห็นภาพชัด ในสหรัฐฯ ครอบครัวชั้นกลางที่มีรายได้ประมาณ 70,000 เหรียญต่อปี จะต้องจ่ายภาษีประมาณ 14% หรือหากเป็นคู่สมรสที่มีรายได้รวมกันตั้งแต่ 628,300 เหรียญต่อปีขึ้นไป ต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 37% ซึ่งโครงสร้างการจัดเก็บภาษีก็ควรออกแบบมาเพื่อลดช่องว่างทางสังคม ผู้ที่มีรายได้มาก ก็ต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
แต่สำหรับอภิมหาเศรษฐีติดอันดับ Top 25 ของสหรัฐฯ แม้ในแต่ละปีจะจ่ายภาษีในจำนวนมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปก็จริง แต่เป็นสัดส่วนที่ไม่สมดุลกับรายได้อย่างฐานภาษีทั่วไป เช่น อีลอน มัสก์ จ่ายภาษีในอัตรา 3.27% เจฟฟ์ เบโซส์ จ่ายที่ 0.98% ส่วนวอร์เรน บัฟเฟตต์ มาเหนือสุด จ่ายเพียง 0.1% เท่านั้น
เมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มประเทศ G7 ได้บรรลุข้อตกลงในการตั้งเกณฑ์การจัดเก็บอัตราภาษีรายได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทที่มีสาขา และมีรายได้จากต่างประเทศ ต้องจัดเก็บขั้นต่ำที่ 15% เท่ากันหมดทั่วโลก เพื่ออุดช่องโหว่ในจุดนี้ ที่อภิมหาเศรษฐีนิยมไปเปิดบริษัทโฮลดิ้ง นำเงินไปลงทุนในประเทศดินแดนภาษีต่ำ หรือที่เรียกว่า Tax Haven เพื่อหลบเลี่ยงภาษี
ซึ่งรัฐบาลของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก G7 ก็หวังว่าข้อตกลงภาษีใหม่นี้จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีจากกลุ่มอภิมหาเศรษฐีร่ำรวยได้มากขึ้น ในอัตราที่พวกเขาควรที่จะต้องจ่ายอยู่แล้ว เพื่อความเท่าเทียมกันกับคนธรรมดาทั่วไป
แต่จากข้อมูลภาษีที่เปิดเผยผ่านสำนักข่าว ProPublica ก็เกิดคำถามขึ้นมากมายถึงต้นตอแหล่งข่าว เรื่องฐานข้อมูลภาษีที่ย้อนหลังถึง15 ปี ที่ถือว่าเป็นเอกสารลับของทางราชการ ซึ่งทางกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้ระบุไว้ว่า การเปิดเผยข้อมูลภาษีส่วนบุคคลถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
อ้างอิง : https://www.propublica.org/article/the-secret-irs-files-trove-of-never-before-seen-records-reveal-how-the-wealthiest-avoid-income-tax
https://www.straitstimes.com/business/economy/elon-musk-jeff-bezos-other-us-billionaires-paid-little-or-no-income-tax-report
โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9