Saturday, 15 March 2025
Hard News Team

"แสนยากรณ์" อภิปรายนอกสภาฯ เงินกู้ 5 แสนล้าน เทียบบทเรียนกู้ 1 ล้านล้านบาทปีที่แล้ว แผนงาน สธ. ป้องกันโควิด-19 วงเงิน 45,000 ล้านบาท เบิกจ่ายจริงแค่ 9,545 ล้านบาท ขอรัฐบาลวางแผนดีๆ กู้ครั้งใหม่ต้องใช้ให้ตรงจุด เหตุหนี้สาธารณะเฉียดทะลุเพดานแล้ว 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า อภิปรายนอกสภาฯ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เพิ่มเติม 500,000 ล้านบาท ว่าหากกู้เพิ่มอีก 500,000 ล้านบาท สำนักบริหารหนี้สาธารณะ ระบุว่า หนี้สาธารณะจะอยู่ที่ร้อยละ 58.56 ของ GDP หรือ 9.16 ล้านล้านบาท เหลือแค่ร้อยละ 1.44 ก็จะแตะเพดานหนี้สาธารณะที่ร้อยละ 60 ของ GDP แล้ว ดังนั้นการกู้เงินเพิ่มเติมรอบนี้ ต้องเบิกจ่ายให้รวดเร็วเป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้จ่ายให้มากที่สุด 

นายแสนยากรณ์ ยังอภิปรายเปรียบเทียบกับ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่สภาฯ เห็นชอบเมื่อกลางปีที่แล้วว่า เว็บไซต์ http://thaime.nesdc.go.th/ #Summary รายงานว่าแผนงานช่วยเหลือ เยียวยา ชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ วงเงิน 685,000 ล้านบาท ผลเบิกจ่าย 607,190.05 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 88.64 ของวงเงินแผนงาน แต่แผนงานเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 270,000 ล้านบาท ผลเบิกจ่าย 70,294.36 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.03 ของวงเงินแผนงาน แล้วยิ่งแผนงานทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดโควิด-19 วงเงิน 45,000 ล้านบาท แต่ผลเบิกจ่ายเพียง 9,545.64 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.21 ของวงเงินแผนงานเท่านั้น 

นายแสนยากรณ์ อภิปรายต่อว่า ผ่านเวลาไป 1 ปีแล้ว แต่การเบิกจ่ายเงินกู้ด้านสาธารณสุขยังล่าช้า ไม่สมกับที่ต้องออกมาเป็นพระราชกำหนดเลย พร้อมข้อสังเกตว่าการเบิกจ่ายล่าช้า เกี่ยวข้องกับปัญหาจัดซื้อวัคซีน หรือปัญหาค้างจ่ายเบี้ยเสี่ยงภัยโควิด-19 ให้บุคลากรด้านสาธารณสุขด้วยหรือไม่ จึงฝากว่าการกู้ 500,000 ล้านบาทครั้งนี้ ต้องกำหนดแผนให้ชัดเจนว่าจะนำไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ลดขั้นตอนการเบิกจ่ายตามความจำเป็นเร่งด่วน อย่าติดกับดักระบบราชการหลัง หากเทียบเป็นกระสุนแล้ว ยิงต้องตรงเข้าเป้า เพราะครั้งนี้คือการกู้ไม้สุดท้ายแล้ว ถ้ายังยิงไม่ตรงเป้า แล้วต้องกู้เพิ่มอีก คงทะลุเพดานหนี้สาธารณะ เป็นหนี้ท่วมประเทศ 

"แรมโบ้" ฟัดกลับ "คุณหญิงหน่อย" ไทยสร้างไทย “ชี้” ถ้าประธานพรรคฯ เล่นการเมืองด่าทอสาดสีใส่ร้ายคนอื่นรายวัน พรรคจะถอยหลังลงคลองน้ำเสีย เลือกตั้งอย่าหวังมีส.ส.เข้าสภา แยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทยระวังถูกด่า "เนรคุณทักษิณ"

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์พาดพิงและกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอขา นายกรัฐมนตรี ว่า ประเด็นที่คุณหญิงกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีเป็นเผด็จการภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย มาตามรัฐธรรมนูญซ่อนเงื่อน นั้นขอเตือนว่า คุณหญิงสุดารัตน์จะหาเสียงให้พรรคใหม่อย่างไทยสร้างไทยแล้วไปประดิษฐ์คำสวยหรูอะไรมาก็ไม่ว่าแต่อย่ามาเที่ยวประดิษฐ์สำนวนโวหารป้ายสีคนอื่น แทนที่คุณหญิงควรที่จะนึกถึงสมัยอยู่พรรคไทยรักไทยและเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ถูกประชาชนประนามว่าเป็นระบอบทักษิณ เป็นเผด็จการรัฐสภาเสียงข้างมากลากไป ออกกฎหมายผ่านสภาฯ หลายฉบับเพื่อเอื้อประโยชน์ของผู้นำบางคนในพรรคขณะนั้น ทำไมคุณหญิงจึงไม่ออกมาต่อว่าด่าทอโจมตีเหมือนเช่นทุกวันนี้บ้าง หรือมีอะไรปิดหูปิดตาปิดปากคุณหญิงไว้

“ขอให้คุณหญิงมีจิตใจเป็นธรรม เป็นกลางบ้าง อย่าคิดเพียงแค่ใครไม่ใช่พวกคุณหญิงก็จะใส่ความโจมตีให้แหลกคามือแบบไร้เหตุผลเพราะความอาฆาตแค้นส่วนตัวหรือเปล่า การจะเป็นนักการเมืองที่ดีต้องมีจุดยืน มีอุดมการณ์ที่มั่นคงมีเหตุผลเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ไม่ใช่เอาแต่เรื่องเท็จมาบิดเบือนเพื่อให้เข้าใจผิดต่อนายกฯ และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจจากรัฐบาลในอดีตของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะรัฐบาลปล่อยปะละเลยให้มีการทุจริตมากมายหลายโครงการ มีการเตรียมอภิมหาโปรเจค เพื่อหาเงินทอนส่วนต่างใส่กระเป๋า มีการทุจริตเสียหายจากโครงการจำนำข้าว ทำชาติเสียหาย ชาวนาเดือดร้อน จนรัฐบาลปัจจุบันต้องมาแก้ปัญหาและใช้หนี้จนทุกวันนี้ ตลอดจนเกิดปัญหาความวุ่นวาย ในบ้านเมืองขัดแย้งกันอย่างรุนแรงนำไปสู่การทะเลาะถึงขั้นประกาศรบราฆ่าฟันกันบนท้องถนน อาจถึงขั้นแผ่นดินนองเลือด เป็นยุคที่เกิดการจลาจลวุ่นวายที่สุดในประเทศ 

นายเสกสกล กล่าวว่า เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านการลงประชามติของประชาชน 16 ล้านเสียง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ด้วยการไปอยู่ในบัญชีรายชื่อของผู้ถูกเสนอเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมือง จากนั้นรัฐสภาก็เลือกเข้าเป็นนายกฯ ไม่มีอะไรที่เป็นเผด็จการ พล.อ.ประยุทธ์มาตามครรลองทั้งนั้น มีแต่พรรคเพื่อไทย ของคุณหญิงต่างหากที่กลับไปสนับสนุน นายธนาธร มาแข่งขันเป็นนายกฯ ทั้งที่คุณหญิงฯ เป็นผู้ถูกเสนอชื่อในนามพรรคเพื่อไทย ทำไมคุณหญิงฯ จึงไม่เสนอตัวเองให้สภาเลือกเป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีเสียงมากกว่ากลับไปหนุนพรรคอนาคตใหม่ของนายธนาธร ที่มีเสียงน้อยกว่า อย่างนี้เขาเรียกว่าประชาธิปไตยแบบไหนกัน  คุณหญิงคิดได้อย่างไร ไม่ใช่เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยของคุณหญิงขณะนั้นหรือไม่เห็นหัวประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ มีเสียงมากกว่ากลับไปสนับสนุนพรรคที่มีเสียงน้อยกว่ามาเป็นนายกฯ เป็นการทรยศเสียงประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ คิดแค่นี้ก็ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวที่จะเอาชนะพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ เพราะความอิจฉาริษยาอาฆาตโกรธแค้นส่วนตัว ตนสงสัยมาก ประชาชนภาคอีสานที่เลือกพรรคเพื่อไทยยังมีเสียงบ่นมาว่า เสียใจผิดหวังอุตส่าห์เลือกส.ส.พรรคเพื่อไทย แต่กลับไปเลือกธนาธร คนที่คิดก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบันฯ จะมาเป็นนายกฯ เรื่องนี้คุณหญิงจะตอบคำถามอย่างไร

“ตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ บริหารมา 2 ปีเศษ ได้ให้ความเท่าเทียมและความเสมอภาคกับธุรกิจทุกขนาด ที่บอกว่าคนตัวเล็กเสียเปรียบและเสียโอกาสในการเจริญเติบโตทางธุรกิจนั้นไม่เป็นความจริง รัฐบาลให้การสนับสนุนและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตลอด แต่คิดว่าประชาชนคงไม่โง่หลงเชื่อแค่คำพูดสวยหรูของคุณหญิงอย่างแน่นอน” นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่คุณหญิงระบุว่าแยกทางจากนายทักษิณ เด็ดขาด ไม่มียุทธการแตกแบงค์พันนั้น ตนไม่เชื่อและประชาชนก็คงไม่เชื่อเช่นกันเพราะคนที่เติบโตได้ดิบได้ดีจากนายทักษิณ จะมาทิ้งกันแบบง่ายดายหรือ คุณหญิงอยู่มายาวนาน กับนายทักษิณตั้งแต่สมัยพรรคพลังธรรมปี 2538 จึงไม่เชื่อว่า คุณหญิงจะกล้าเนรคุณนายทักษิณคนที่ให้รางวัลคุณหญิงเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงฯ วันนี้คุณหญิงจะบอกชาวบ้านอย่างไร จึงจะเชื่อว่าคุณหญิงฯ ไม่เป็นคนเนรคุณต่อนายทักษิณ เหมือนกับที่ตนเคยโดนคนในพรรคเพื่อไทยกล่าวหามาแล้ว ไม่กลัวโดนต่อว่าเหมือนตนอย่างนั้นหรือ ทั้งที่มีจุดยืนไม่อยากเป็นสมุนโจร ไม่อยากเป็นเครื่องมือใครและไม่อยากให้ใครเหยียบหัวขึ้นไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและครอบครัว ไม่อยากอยู่กับคนที่มือไม่สะอาดจิตใจสกปรก คิดแต่มีอำนาจเพื่อธุรกิจครอบครัวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

“การที่คุณหญิงฯ ประกาศว่าพรรคไทยสร้างไทย เป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์และบอกว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับขั้วพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นเผด็จการเป็นคำพูดแผ่นเสียงตกร่อง ฟังจนนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคพวกคุณหญิงดาหน้าด่าทอว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเผด็จการ ถ้าเป็นจริงทำไมพรรคเพื่อไทยจึงส่งผู้สมัครลงสนามเลือกตั้งในปี 62 อย่าทำตัวเกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ปากว่าตาขยิบ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ อย่าคิดว่าประชาชนโง่ ประชาชนรู้ดีว่าพรรคไทยสร้างไทยเป็นพรรคนอมินี หรือสาขาพรรคเพื่อไทยหย่อย และอยากให้ถึงวันเลือกตั้งเร็วๆ อยากเห็นพรรคไทยสร้างไทย ว่าจะได้ส.ส.กี่คนถ้าผู้ใหญ่ของพรรคฯ ยังเล่นการเมือง แบบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นเช่นนี้ สุดท้ายพรรคฯอาจจะไม่ได้ส.ส.เข้าสภาเลย แม้แต่คนเดียว ถ้าประธานพรรคยังใช้วิธีพ่นพิษน้ำลายใส่คนอื่นรายวัน 

"คุณหญิงอย่าได้ให้ลิ่วล้อออกมาตอบโต้คนอย่างแรมโบ้ เพราะที่ผ่านมานายกฯ ไม่เคยพูดใส่ร้ายใครก่อนและไม่คิดตอบโต้ใคร มีแต่คุณหญิงที่กัดนายกฯ ไม่เคยปล่อยเอง คุณหญิงเริ่มก่อนทุกครั้ง ทั้งที่นายกฯ ไม่เคยตำหนิหรือต่อว่าอะไรคุณหญิงเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่คุณหญิงและลิ่วล้อด่าว่านายกฯ ฝ่ายเดียว ตนยืนยันว่าถ้าคุณหญิงไม่ยอมโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ยอมหยุดใส่ร้ายป้ายสีนายกฯ ตนก็จะไม่ยอมหยุดเช่นกัน ตนจะไม่ยอมให้คุณหญิงและลิ่วล้อหรือสมุนของคุณหญิงออกมาด่าทอใส่ร้ายป้ายสีนายกฯฝ่ายเดียว ตนคงยอมไม่ได้เด็ดขาด นายกฯ ไม่มีเวลามาเล่นการเมือง จะไม่เสียเวลามาทะเลาะกับใคร มีแต่เวลาทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนกับประชาชนเท่านั้น " นายเสกสกล กล่าว

'อาจารย์จุฬา' จัดหนัก 'นิสิต' ชี้ มีเสรีภาพได้ แต่อย่าไร้มารยาท

รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Puangthong Pawakapan โดยระบุว่า ข้างล่างนี้เป็นข้อความที่เพิ่งส่งถึงนิสิตปี 2 นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกปี 3 วันที่ผ่านมาทำเอาเส้นความอดทนขาดลง เพราะมีนิสิต 3 คน inbox มาหาหลังเที่ยงคืนด้วยเรื่องคะแนน .... ต่อไปนี้จะเริ่มคลาสด้วยการแปะข้อความนี้ก่อนทุกครั้ง

ลูกชายเราบอกว่าถ้าแม่ไม่บอกเรื่องพวกนี้ก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่เคยมีใครสอนเขา

ในขณะที่โรงเรียนไทยให้ความสำคัญกับเครื่องแบบ การกราบไหว้ครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แต่กลับไม่สอนมารยาทพื้นฐานในการมีชีวิตในโลกยุคใหม่ให้กับเด็ก

นิสิตคะ

เราเข้าใจว่าสมัยคุณเป็นนักเรียนมัธยม ไม่มีใครบอกคุณเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในโลกยุคใหม่ ที่การติดต่อส่วนใหญ่กระทำผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ ทำให้พวกคุณแยกแยะไม่ออกว่าการติดต่อระหว่างเพื่อน ระหว่างนิสิตกับอาจารย์ นิสิตกับเจ้าหน้าที่ นิสิตกับบุคคลภายนอก เช่น การสมัครงาน การสมัครเรียน ฯลฯ พึงมี code of conduct อย่างไร ฉะนั้น ทุกปีทั้งอาจารย์ และบุคคลภายนอกที่ต้อง deal กับนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ จะบ่นเรื่องเด็กไม่มีมารยาทกันบ่อยมาก ฉะนั้น อาจารย์ถือเป็นหน้าที่ที่ควรจะต้องบอกให้พวกเราได้รับรู้ เพื่อไม่ให้มีปัญหาต่อไปภายหน้า

ยกเว้นกับเพื่อนและคนในครอบครัวของคุณแล้ว ความสุภาพยังเป็นสิ่งสำคัญ การมีเสรีภาพในการแสดงออกไม่ได้แปลว่าไม่ต้องมีมารยาทและการให้เกียรติแก่กันและกัน สองอย่างนี้ควรดำเนินไปด้วยกันเสมอ และอันนี้ไม่เกี่ยวกับ "ความเป็นไทย" หรืออนุรักษ์นิยม ในสังคมฝรั่ง ความสุภาพเป็นสิ่งสำคัญไม่ย่อหย่อนกว่ากัน แน่นอนว่าความสุภาพของแต่ละสังคมมีระดับต่างกัน สิ่งที่อาจารย์เรียกร้องจากคุณคือ "ขั้นพื้นฐาน" ที่มนุษย์ควรมีต่อกัน เช่น ทักทายกันด้วยคำว่า "สวัสดี" หรือ "เรียน" ก็พอ ไม่ต้องถึงกับ "กราบเรียน"

ในกรณีจดหมายทางการ ใช้คำว่า "เรียน" เท่านั้น

หากอาจารย์วิชาใดให้คุณส่งงานทางอีเมล์ จะต้องมีข้อความในอีเมล์ด้วย เช่น สวัสดีครับ/เรียน อาจารย์... ผมขอส่งรายงานวิชา .... ด้วยความนับถือ .... ลงชื่อ (เขียนเหมือนจดหมายปะหน้า พวกคุณเรียนการเขียนจดหมายกันแล้วใช่ไหม)

อย่าส่งงานโดยไม่มีข้อความใดๆ ติดไปด้วยโดยเด็ดขาด คนรับจะรู้สึกเหมือนนิสิตโยนงานใส่หน้า อย่าทำแบบนี้ในเวลาที่คุณไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย

อย่าทำแบบเดียวกันนี้ในการสมัครงาน หรือสมัครเรียนโดยเด็ดขาด

อย่าติดต่ออาจารย์ผ่านทาง messenger หรือ line หากเขาไม่ได้อนุญาตให้คุณทำ ยกเว้นมีเรื่องสำคัญมากจริงๆ เช่น คุณต้อง withdraw แล้วเป็นวันสุดท้ายแล้ว คุณติดต่อไปทางอื่นก่อนหน้านี้แล้วแต่อาจารย์ไม่เห็น ในความเป็นจริง คุณควรจะติดต่อผ่านเจ้าหน้าที่ภาค และให้เขาติดต่ออาจารย์เอง แต่นี่หมายความว่าคุณต้องมีเวลาเผื่อล่วงหน้า ไม่ใช่วิ่งเต้นแก้ปัญหาให้ตัวเองในวันสุดท้าย

ที่เลวร้ายมากคือ ส่งข้อความมาหลัง 4 ทุ่ม หลายคนส่งมาหลังเที่ยงคืน

หากเขาไม่ได้อนุญาตไว้ก่อน อาจารย์ฝรั่งจะถือมาก หากคุณติดต่อเขาผ่าน inbox ของ social media เขาถือว่าคุณละเมิด privacy ของเขา

วิชานี้มี TA คุณสามารถติดต่อสอบถามเขาก่อน

การขอให้อาจารย์ช่วยแก้คะแนนให้ หรือขอทำงานแก้ตัวใหม่ ไม่ควรกระทำเด็ดขาด โอกาสในชีวิตหลายๆ อย่างผ่านไปแล้ว ก็จะไม่ผ่านมาอีก ถ้าพลาด ก็ถือเป็นบทเรียน ยกเว้นในกรณีที่อาจารย์ได้บอกข้อยกเว้นไว้แล้ว เช่น อนุญาตให้เฉพาะคนที่ติด probation หรือเสี่ยงกับการติด probation

หากนิสิตมีปัญหาส่วนตัว เช่น เป็นโรคซึมเศร้า หรือสภาพที่บ้านเป็นอุปสรรคต่อการเรียน คุณควรแจ้งให้อาจารย์ทราบแต่เนิ่นๆ ผ่านทางอีเมล์ อาจารย์ก็อาจจะหาทางออกที่เป็นไปได้ ไม่ใช่แจ้งหลังจากผลคะแนนออกแล้ว เพราะจะแก้ไขอะไรยากมาก และไม่แฟร์กับคนอื่นค่ะ

แค่นี้ก่อนแล้วกัน ถ้าใครมีคำถามอะไรก็ถามมาได้ค่ะ.

 

ที่มา : https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/4316338125083580


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'เฉลิมชัย' มอบกรมปศุสัตว์ผนึก 'ม.จุฬาฯ-ม.เกษตรฯ' เป็นแกน AIC เร่งพัฒนาวัคซีนสัตว์จากพืช (Plant Based Vaccine) Made in Thailand เป็นครั้งแรก

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (10 มิ.ย) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายประภัตร โพธสุทน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบนโยบายให้กรมปศุสัตว์เร่งเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือ ที่ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี-สกิน พร้อมกับเร่งพัฒนาวัคซีนลัมปี-สกินจากพืชด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Plant Based Vaccine

โดยความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์กับบริษัทใบยาไฟโตฟาร์มของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่เป็นศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมหรือศูนย์ AIC (Agritech and Innovation Center) คาดว่าจะสามารถเริ่มทดสอบวัคซีนได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยโรงงานวัคซีนของกรมปศุสัตว์พร้อมผลิตวัคซีนดังกล่าวทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในการผลิตวัคซีนสัตว์จากพืช ซึ่งจะเริ่มจากวัคซีนลัมปี-สกิน

ทางด้านนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีที่เกิดการระบาดของโรคลัมปี-สกิน กับโค-กระบือของเกษตรกร ในหลายพื้นที่ของประเทศ จนทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือได้รับผลกระทบจากความสูญเสียโค-กระบือไปนั้น กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรเจ้าของโค-กระบือเหล่านั้น จึงได้เตรียมการเยียวยาเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี-สกิน ดังนี้...

ในกรณีที่เป็นการชดเชยกรณีสัตว์ตายหรือป่วยตาย โดยดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562 และมีขั้นตอน คือ...

1.) รวบรวมข้อมูลความเสียหาย

2.) รวบรวมข้อมูลเสนอ คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ปศุสัตว์อำเภอ)

3.) รวบรวมข้อมูลเสนอ คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ปศุสัตว์จังหวัด)

4.) ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ ปศุสัตว์จังหวัด หรือกรมปศุสัตว์

ทั้งนี้ ชดเชยตามจริงแต่ไม่เกินรายละ 2 ตัว เป็นเงินสดผ่านบัญชีเงินฝากของเกษตรกร ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้...

หน่วย : บาท/ตัว

อายุ >> โค กระบือ

>> น้อยกว่า 6 เดือน = 6,000-8,000

>> 6 เดือน ถึง 1 ปี = 12,000-14,000

>> มากกว่า 1 ปี ถึง 2 ปี = 16,000-18,000

>> มากกว่า 2 ปี = 20,000-22,000

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รายใด ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคลัมปี-สกิน และมีความประสงค์จะขอรับการเยียวยา ขอให้ติดต่อสำนักงานปศุสัตว์อำเภอ หรือสำนักงานปศุสัตว์จังหวัด ใกล้บ้าน หรือศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านปศุสัตว์ กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ ทางโทรศัพท์ 0-2653-4444 ต่อ 3315 และ e-mail : [email protected]


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เตือนสติชายไทย!! ระวังโดนแก๊งต่างชาติอัดคลิปแบล็คเมล์ หลังใช้รูปสาวเซ็กซี่ขอแอดเป็นเพื่อนแล้วชวนเปิดกล้องช่วยตัวเอง

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับรายงานว่ามีผู้เสียหายเป็นชายไทยหลายรายตกเป็นเหยื่อแก๊งคนร้ายต่างชาติข่มขู่เรียกเงินแลกกับคลิปที่แอบบันทึกไว้ขณะเหยื่อถูกหลอกสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง

วิธีการของแก๊งคนร้าย เรียกว่า “Sextortion” คือ การใช้อำนาจที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนือฝ่ายหนึ่ง บังคับ ข่มขู่หรือกรรโชกทางเพศ เพื่อหวัง “สิ่งตอบแทน” ในลักษณะนี้คือต้องการเงิน โดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการกระทำผิด ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการใช้ภาพโปรไฟล์หญิงสาวสวยเซ็กซี่ชาวต่างชาติทั้งฝรั่ง หรือ หญิงสาวประเทศในแถบเอเซียแอดมาขอเป็นเพื่อนผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้งไลน์และเฟซบุ๊ก

จากนั้นจะชวนเหยื่อแชตเป็นภาษาอังกฤษพูดคุยจนเหยื่อตายใจคิดว่าได้คุยกับหญิงสาวเหล่านั้นจริงๆ ก่อนจะชักชวนเหยื่อเปิดกล้องวีดิโอคอลแล้วชวนสำเร็จความใคร่ โดยอ้างว่าแลกกันดูก่อนจะแอบอัดคลิปไว้เรียกค่าไถ่

เมื่อคนร้ายได้คลิปแล้วจะขู่ว่า จะส่งคลิปลับไปให้ ภรรยา ลูก เจ้านาย ลูกน้องในที่ทำงาน หรือเพื่อนของเหยื่อ ฯลฯ ทำให้เหยื่อมีความวิตกกังวล กลัวจะได้รับความเสื่อมเสียและอับอาย จึงยอมโอนเงินไปให้คนร้าย โดยจะเปิดราคาเริ่มต้นที่ 50,000 บาท และอาจมีการต่อรองกันจนเหลือประมาณ 20,000-30,000 บาท

แต่เรื่องกลับไม่จบแค่นั้น เพราะคนร้าย จะเรียกเงินต่อไปอีกเป็นครั้งที่ 2 หรืออีกหลายครั้ง จนทนไม่ไหว จึงมาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน และขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

สำหรับวิธีการเลือกเหยื่อ แก๊งคนร้ายจะเลือกชายไทยที่มีหน้าที่การงานที่มั่นคง ฐานะตำแหน่งหน้าที่การงานดี เป็นคนรักครอบครัว ประเภทแฟมิลี่แมน เพราะรู้ว่าเหยื่อจะกลัวครอบครัวรู้ อีกทั้งเป็นที่รู้จักนับถือของคนในสังคม เกรงจะได้รับความอับอาย คนร้ายย่อมได้เงินจากการข่มขู่แน่นอน

รอง โฆษก ตร. กล่าวต่อว่า แก๊งคนร้ายเหล่านี้มักเป็นชาวต่างชาติ ที่พบส่วนใหญ่เป็นแก๊งฟิลิปปินส์ จึงใช้ภาษาอังกฤษในการแชต และการโอนเงินมักจะให้เหยื่อโอนเป็นเงินสกุลดิจิทัล เพื่อให้ยากต่อการติดตาม ส่วนกรณีแก๊งคนไทย ส่วนใหญ่จะแชตด้วยภาษาไทย โดยเลือกเหยื่อเป็นผู้หญิงหน้าตาดี และมักอ้างตัวเองว่าเป็นโมเดลลิ่ง ชักชวนเหยื่อเข้าวงการถ่ายแบบ หรือวงการบันเทิง จากนั้นจะขอดูสัดส่วนเหยื่อผ่านกล้อง บางครั้งมีการว่าจ้างให้สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองผ่านกล้องวิดีโอคอล เมื่อได้ภาพนิ่ง คลิป ก็จะข่มขู่ในรูปแบบตัวเงิน หรือบังคับให้ทำอย่างอื่นต่อ จากนั้นจะนำภาพ คลิป ไปขาย หรือไปปล่อยในเว็บไซต์ลามก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคนร้ายดังกล่าว จึงฝากข้อควรระวัง ดังนี้

1.) ไม่ควรรับแอดเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาพสาวสวยเซ็กซี่ หรือหากจำเป็นหรือต้องการจะรับจริงๆ ก็ขอให้ตรวจสอบข้อมูลในบัญชีให้ดี

2.) เมื่อมีเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ชวนให้วิดีโอคอล แล้วชักชวนให้สำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง อย่าทำเด็ดขาด ไม่ว่าเขาจะโน้มน้าวอย่างไรก็ตาม

3.) หากตกเป็นเหยื่อโดยถูกถ่ายคลิปและมีการข่มขู่เรียกเงิน อย่าโอนเงินให้ เพราะท่านจะถูกข่มขู่เรียกเงินซ้ำอีก ให้รวบรวมพยานหลักฐานแจ้งตำรวจ

สำหรับความผิด ผู้กระทำผิดจะมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ที่ระบุว่า ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หากมีการนำภาพไปปล่อยในเว็บไซต์ลามก ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ก็จะผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ระบุว่า ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชน ทั่วไปอาจเข้าถึงได้


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"รวมพลัง ส่งใจช่วยเหลือคนพิการ" ดารา, ผู้ใหญ่ใจบุญ รวบรวมอุปกรณ์ช่วยคนพิการ ส่งต่อ "ผู้นำคนพิการ"

วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทยและตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน พร้อมด้วยนายณัฐวุฒิ เหมือนเพชร (จิตอาสา) เข้าพบ "คุณเขตต์ ฐานทัพ" ดารา นักแสดง ชื่อดัง เพื่อนำงาน "ถักตะกร้า" ฝีมือ "กลุ่มพัฒนาอาชีพคนพิการแม่สำ" ต.แม่สำ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ไปจำหน่ายใน "CD OUTLET" แพลตฟอร์มรายแรกในประเทศไทย ที่เป็นช่องทางให้คนพิการนำสินค้ามาจำหน่ายได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อเป็นการ "คืนความดี สู่สังคมแบ่งปัน" และให้โอกาสกับคนพิการ คนชรา และผู้ด้อยโอกาส ให้มีช่องทางในการจำหน่ายสินค้าที่ทันยุคทันสมัยกับในสถานการณ์โลกปัจจุบัน

อีกทั้ง ยังได้ร่วมกันมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือคนพิการ เช่น รถวีลแชร์ วอร์คเกอร์ 4 ขา แพมเพริต เพื่อนำไปส่งมอบต่อให้กับ "นายสายันต์ ดีเลิศ" นายกสมาคม ส่งเสริมอาชีพและช่วยเหลือรถเข็นเพื่อคนพิการ (ปทุมธานี) นำไปแยกชิ้นส่วน ถอดเก็บเป็นอะไหล่ใช้ทดแทน ซ่อมบำรุง รถวีลแชร์มือ 2 ที่ได้รับบริจาคมาจากประเทศญี่ปุ่น และเมื่อสามารถใช้งานได้ตามปกติทางสมาคมฯ ก็จะส่งมอบต่อให้กับคนพิการ คนชรา คนเจ็บไข้ได้ป่วย ที่มีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ อย่างสมบูรณ์ต่อไป

สุดท้ายนี้ "นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทยได้กล่าวขอบพระคุณ "พี่เขตต์ ฐานทัพ, คุณณัฐวุฒิ เหมือนเพชร, นายวีระ ลาเสือ (น้าหม่อม), คุณมานพ, คุณสุธาทิพย์ อยู่เมือง ที่ได้มอบโอกาสแบ่งปันช่วยเหลือสังคม "คนพิการ" ให้น่าอยู่สืบไป 
#คนละไม้_คนละมือ
#คนพิการยุคใหม่_หัวใจเดียวกัน

“ไทยไม่ทน” จี้ฝ่ายค้านลาออก หยุดเป็นเครื่องมือระบอบประยุทธ์ ด้าน “สุทิน” รับไปคุยพรรคร่วมฝ่ายค้าน หวั่นปิ้งปลาประชดแมวเข้าทางรัฐบาล

คณะไทยไม่ทนสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย นำโดย นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนพฤษภา 35 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น และนางพะเยาว์ อัคฮาด ยื่นหนังสือต่อนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เพื่อขอให้ฝ่ายค้านเสียสละลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) 

โดยนายวีระ กล่าวว่า ด้วยคณะไทยไม่ทนสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย เป็นกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการให้ระบอบเผด็จการกบฏอยู่สืบทอดอำนาจอีกต่อไป ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม บริหารประเทศอย่างล้มเหลวทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม อีกทั้งยังมีพฤติกรรมอวดเก่ง ตระบัดสัตย์ จนพาประเทศไปสู่ความวิบัติล่มจม หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไปความพินาศจะทวียิ่งขึ้น จึงเรียกร้องต่อประธานวิปฝ่ายค้าน และพรรคร่วมฝ่ายค้าน 2 ข้อ คือ

1.) หากพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่สามารถถ่วงดุล หรือไม่สามารถตรวจสอบการบริหารงานของเผด็จการกบฏที่ทำงานไม่เป็น และไม่สามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ควรรีบลาออกเพื่อมาอยู่กับฝ่ายประชาชน และ

2.) หากไม่สามารถหยุดพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 5 แสนล้านบาท และหยุดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในการแก้ปัญหาโควิด-19 ซึ่งมีความล้มเหลว อีกทั้งพรรคฝ่ายค้านยังถูกข่มขู่ว่าอาจจะมีการยุบสภาแสดงถึงการไม่ให้คุณค่าแก่พรรคฝ่ายค้าน จึงควรลาออกมาให้หมด

ขณะที่ นายจตุพร กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้านออกมาต่อสู้ร่วมกับประชาชน อย่าอยู่เป็นเครื่องมือให้ให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เพราะวันนี้มีการข่มขู่ส.ส.ในหลายรูปแบบ ทั้งการขู่ยุบสภา ขู่ลาออก เพื่อเปิดทางให้ตัวเองได้กลับมาใหม่ และจะมีการซื้อขายนักการเมืองเปิดตลาดซื้องูเห่า เพื่ออ้างความชอบธรรมให้ตัวเองได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่ปล่อยให้รัฐบาลเผด็จการได้ออกไปแบบดีๆ เพื่อที่จะกลับมาเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองอีกครั้ง และแม้ว่าการทำหน้าของประธานวิปฝ่ายค้าน จะทำหน้าที่ได้ดีแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งรัฐบาลเผด็จการได้ เพราะมีพวกมากลากไปไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ดังนั้น หากพรรคร่วมฝ่ายค้านยังอยู่ต่อไปก็มีแต่จะสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเผด็จการ

“ผมไม่เห็นประโยชน์ในการดำรงอยู่ของฝ่ายค้านยิ่งอยู่ประชาชนจะยิ่งเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย จึงอยากให้ฝ่ายค้านลาออกเพื่อร่วมต่อสู้กับประชาชนจะทรงคุณค่ากว่า และฝ่ายค้านจะได้กลับมาบริหารประเทศต่อไปในอนาคต แต่หากยังให้ระบอบประยุทธ์ดำรงอยู่ และมีอำนาจต่อไป ความเสื่อมจะยิ่งเกิด ระบอบประยุทธ์ไม่สามารถแก้ปัญหาของชาติได้ ซึ่งการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงทุกฝ่ายต้องเสียสละ” นายจตุพร กล่าว

ด้าน นายสุทิน กล่าวภายหลังรับหนังสือ ว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือกับฝ่ายค้านต่อไป แต่ส่วนตัวเข้าใจเจตนา และความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองของกลุ่มไทยไม่ทนฯ ซึ่งฝ่ายค้านมีจุดร่วมไม่ต่างกัน ที่อยากให้รัฐบาลบริหารบ้านเมืองคำนึงถึงความต้องการหรือความเดือดร้อนประชาชน ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องรักษาระบบรัฐสภาไว้ แต่ที่กลุ่มไทยไม่ทนฯ ดำเนินการ เพราะเห็นว่าระบบรัฐสภาที่มีฝ่ายค้านอยู่ด้วยกำลังจะเสื่อมไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ 

“ยอมรับว่าการทำงานของฝ่ายค้าน 2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถหยุดยั้งความคิด วิถีทางที่รัฐบาลดำเนินมาที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ถ้ามองอีกนัยหนึ่งคือฝ่ายค้านยังไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลได้ ด้วยปัจจัยแรก คือ บางครั้งการตรวจสอบรัฐบาลไปจบที่กระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระ แต่หลายครั้งเราท้อแท้ อีกปัจจัยหนึ่งคือการใช้เสียงข้างมากไม่คำนึงถึงประชาชน หลายครั้งเราทำงานได้ดี แต่ไม่ได้จบบนหลักเหตุผล เจอเสียงข้างมากลากไป ดังนั้น มาตรการหนึ่งที่จะกดดันรัฐบาล คือการที่ให้ฝ่ายค้านลาออกจากระบบรัฐสภาก็เป็นวิธีที่มีเหตุผล ถ้าเราสามารถทำวิธีนี้แล้วรัฐบาลเปลี่ยนความคิด และหันมาคำนึงถึงประชาชนเรายินดีลงทุน ดังนั้น ส่วนตัวคิดว่าถ้าลาออกแล้วได้ผลเราก็พร้อม แต่ถ้าลาออกแล้วรัฐบาลไม่แยแส ไม่สนใจเหมือนในอดีตที่เคยเกิดขึ้น เราจะเสียโอกาสหรือไม่ เหมือนปิ้งปลาย่างให้แมวหรือไม่” นายสุทิน กล่าว

“เลขาฯ สมช.” แจง ปลดล็อก “เอกชน-อปท.” จัดหาวัคซีน ต้องสั่งจากหน่วยงานรัฐ-สอดคล้องแนวทางกระจายวัคซีน เผย อยากให้อปท.จัดคนฉีดจากรัฐมากกว่า ห่วงใช้งบจัดซื้อย้ำ ต้องผ่านกก.โรคติดต่อจังหวัดพิจารณาด้วย

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์ถึงประกาศศบค.เรื่องแนวทางบริหารจัดการวัคซีน ป้องกันโรคโควิด-19 ที่ปลดล็อกให้องค์กรเอกชนและท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนได้ ว่าจากการที่ผู้ตรวจการแผ่นดินทำข้อเสนอแนะมาที่ศบค.อยากให้ศบค.กำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการเกี่ยวกับวัคซีน จึงเรียนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รับทราบ และได้ออกเป็นประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ในทันที

ผู้สื่อข่าวถามว่าการสั่งซื้อจะต้องซื้อจากหน่วยงานรัฐที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ไม่สามารถซื้อโดยตรงกับบริษัทผู้ผลิตได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ในระยะนี้ขอให้เป็นแบบนี้ไปก่อน เนื่องจากวัคซีนมีปริมาณจำกัดซึ่งแต่ละประเทศผู้ผลิต กำหนดเงื่อนไขจำหน่ายให้คือ จำหน่ายให้หนึ่งประเทศหนึ่งสัญญา สมมุติว่าถ้าทั้งรัฐและเอกชนต้องการซื้อจะต้องแบ่งปริมาณกันก็จะมีข้อจำกัดมากขึ้น โดยเนื้อหาประกาศมีสามส่วนสำคัญ คือ

1.) กำหนดหน่วยงานที่สามารถนำเข้ามาในราชอาณาจักร ได้แก่ กรมควบคุมโรค สถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัช องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทยและราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่สามารถนำเข้ามาได้ รวมทั้งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป 

2.) ให้เอกชนและรพ.เอกชน สามารถสั่งซื้อจากหน่วยงานที่กล่าวข้างต้น ไม่สามารถซื้อโดยตรงจากบริษัทได้  

3.) องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ดูกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง แผนงานงบประมาณ แผนกระจายวัคซีนของ ศบค.เนื่องจากอปท.ต้องใช้เงินแผ่นดิน จึงใช้งบประมาณให้คุ้มค่ามากที่สุด และสอดคล้องกับแผนวัคซีนที่กำหนดแนวทางไว้และส่วนที่เพิ่มเติม คือ ทุกส่วนงานทั้งเอกชน และรพ.เอกชน หรือหน่วยงานใดก็ตาม ต้องประสานบูรณาการกับหมอพร้อม เนื่องจากแพลตฟอร์มหมอพร้อม จะเป็นแพลตฟอร์มสุดท้ายที่ควบคุมข้อมูลของประชาชนทั้งคนไทยและต่างชาติที่ฉีดวัคซีนให้เป็นระบบเดียวกัน 

เมื่อถามว่าในส่วนอปท.ต้องกำหนดวงเงินในการใช้จ่ายหรือไม่ เพราะอปท.แต่ละท้องที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐไม่เท่ากัน ถ้านำมาใช้กับวัคซีนทั้งหมดอาจไม่พอกับการบริหารงานด้านอื่น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า นี่คือคำตอบ สิ่งที่ถามเป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว เพราะศบค.เป็นห่วงแบบนั้น เนื่องจากศักยภาพด้านงบประมาณของท้องถิ่นที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ หากเป็นไปได้อยากให้อปท. ทำหน้าที่แค่สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการจัดประชาชนเข้ามาฉีดวัคซีน ตามที่ศบค.หรือกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า อปท.ควรให้ศบค.พิจารณาว่าจะจัดซื้อได้จำนวนเท่าไหร่ โดยดูจากรายได้เงินอุดหนุนของรัฐด้วยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ย้ำว่าต้องดูกฎหมาย ดูแผนงานที่ศบค.แจกจ่ายให้ซึ่งเราพิจารณาอย่างเหมาะสมแล้ว โดยดูจากสัดส่วนของประชาชน จังหวัดใหญ่ประชากรมากก็ได้มาก พิจารณาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดจังหวัดใดที่มีการแพร่ระบาดสูงและรุนแรงจะได้รับสัดส่วนที่เติมเข้าไป และพิจารณากลุ่มจังหวัดเศรษฐกิจ ที่ต้องเตรียมความพร้อมด้านเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดก็จะได้รับเพิ่มเติมอีกส่วนแต่ไม่ได้หมายความว่าอปท.ทุกแห่งจะซื้อได้ ต้องดูหลักเกณฑ์แนวทางนี้ และการดำเนินการจะพิจารณามาตามลำดับ ตั้งแต่ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการ เป็นประธาน จากนั้นนำเข้าศบค.พิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ว่าประกาศออกไปแล้วอปท.สามารถซื้อได้เองทันที

เมื่อถามกรณีที่เอกชนหรือสถานพยาบาลเอกชน ที่จะซื้อวัคซีนจากหน่วยงานตามที่รัฐกำหนดจะต้องรายงานจำนวนที่จัดซื้อให้กับศบค. ด้วยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ต้อง เพราะหน่วยงานรัฐที่จะสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร ส่วนใหญ่จะหารือกับศบค.ว่าจะสั่งวัคซีนชนิดนี้ จำนวนเท่าไหร่ เพื่อแจกจ่ายให้ใครบ้าง 

เมื่อถามว่าจำนวนที่จะให้เอกชนหรือหน่วยงานซื้อได้ กำหนดช่วงเวลาของการจัดซื้อในช่วงเวลาใด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ได้กำหนด เพราะยิ่งได้ฉีดมากขึ้นเร็วขึ้นยิ่งดี แต่เราจะดูปริมาณที่มา ขณะนี้รัฐบาลเตรียมวัคซีนให้ประชาชน 100 ล้านโดส สำหรับ 50 ล้านคน คนไทยมีประมาณ 67 ล้านคน ต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยประมาณ 2.6 ล้านคน รวมประมาณ 70 ล้านคน การที่เตรียมไว้สำหรับ 50 ล้านคน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ถ้าสามารถฉีดให้ได้มากกว่านี้ก็ดี 

แต่ปัจจุบันยังไม่ทราบจำนวนทั้งหมดของคนไทยที่ต้องการฉีดวัคซีนว่ามีเท่าไหร่ ยังไม่สามารถประเมินได้ ดังนั้นถ้าสั่งวัคซีนเข้ามาในปริมาณที่มากเกินไปอาจเกิดปัญหาภายหลังไม่มีคนมาฉีดแล้ววัคซีนเหลือ ขอให้เห็นใจเวลานี้จะคิดเผื่อไปถึงอนาคตก็ลำบาก แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจะถูกตำหนิว่าทำไมทำอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้คิดถึงปัจจุบันและอยากให้คิดว่าเมื่อเดือนกันยายน หรือตุลาคม สถานการณ์ดีขึ้นจะมีคนให้ฉีดอีกกี่คน สรุปคือเราต้องเตรียมไว้จำนวนหนึ่งที่คิดว่ามากพอและเป็นไปได้

เมื่อถามว่ามีรายงานหรือยังว่าวัคซีนที่จะเข้ามาจำหน่ายให้กับองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ จะมาประมาณเดือนใด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า เบื้องต้นจะมาประมาณ 3-5 ล้านโดส ของโมเดอร์นา และชิโนฟาร์ม ที่ติดต่อเข้ามา แต่ยังไม่ทราบว่าจะมาในเดือนใด ต้องรอหลังจากประกาศนี้ไปแล้ว จะมีการติดต่อจริงจังอย่างไร

“บิ๊กเล็ก” แบะท่า “พปชร.” ประชุมใหญ่จ.ขอนแก่น ทำได้ กำชับ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียมจัดประชุมใหญ่พรรค ที่จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 20 มิ.ย.นี้ ว่าจะประชุมได้หรือไม่ ทางจังหวัดทราบดีอยู่แล้วถึงวิธีปฏิบัติ รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งจังหวัดขอนแก่น ไม่ได้เป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่สีแดง สามารถดำเนินการได้ ในทางความมั่นคงไม่ได้มีปัญหาอะไร ที่ผ่านมาเราจะห่วงเฉพาะในพื้นที่สีแดงหรือแดงเข้ม 

เมื่อถามว่าหากพรรคพปชร.ประชุม อาจจะทำให้เป็นตัวอย่างให้พรรคการเมืองอื่นๆ สามารถประชุมในจังหวัดต่างๆได้ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ทำได้ถ้าดำเนินการถูกต้องตามข้อจำกัดของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

เมื่อถามว่าการที่พรรคการเมืองจะใช้สถานที่ต่างจังหวัดประชุมจะต้องมาขอที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ก่อนหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเขาทราบดีว่าหลักเกณฑ์ของศบค.อะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ อะไรที่เป็นข้อห้ามหรือข้อกำหนดที่ผ่อนคลายได้ ดังนั้นถ้าคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถดำเนินการได้ก็อนุญาติได้เลย แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เขาไม่แน่ใจเขาก็จะหารือมาที่ศบค. 

EA-กฟผ. ผนึกกำลัง ดึงจุดแข็งร่วมพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานอัจฉริยะ โดยเฉพาะด้านยานยนต์ไฟฟ้าและการพัฒนาระบบซื้อขายพลังงานไฟฟ้า ภายใต้โครงการ “Smart Energy EGAT X EA” รับเทรนด์พลังงานสะอาด

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ. และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ได้ลงนาม MOU โครงการความร่วมมือด้านพลังงานอัจฉริยะ “Smart Energy EGAT X EA” เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพลังงานใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศ โดยบริษัท EA ถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานของประเทศไทย ทั้งทางด้านการผลิตพลังงานสะอาด ด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ระบบแบตเตอรี่ และระบบ Platform ซื้อขายพลังงานไฟฟ้า จึงนับได้ว่าเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนที่จะนำเอาจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายมาร่วมมือกัน ในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ตอบสนองต่อเทรนด์พลังงานสะอาดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ ภายในปี 2564 บริษัท EA และ กฟผ. ตั้งเป้าที่จะมีโครงการนำร่องในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้แก่คนไทยร่วมกันอีกด้วย

สำหรับความร่วมมือมีรายละเอียด ดังนี้ ด้านยานยนต์ไฟฟ้า บริษัท EA จะศึกษาและพัฒนาโครงการปรับเปลี่ยนกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุกขนส่งเชิงพาณิชย์ต่างๆ ในส่วนของ กฟผ. จะร่วมศึกษาและพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบรวดเร็ว (Ultra Fast Charging Station) ภายใต้ EleX by EGAT เพื่อรองรับการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าในลักษณะ Fleet ซึ่งสถานีอัดประจุไฟฟ้าถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ในการสนับสนุนให้โครงการปรับเปลี่ยนกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของประเทศไทย สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม และด้านการพัฒนาระบบซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Energy Trading Platform) ทั้ง EA และ กฟผ. จะร่วมกันศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบดังกล่าว ที่เป็นประโยชน์กับโครงสร้าง บริบทและระบบไฟฟ้าของประเทศไทย

ด้าน นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท EA กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้าของประเทศ ให้รองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทางด้านเทคโนโลยี รวมทั้งช่วยส่งเสริมการเติบโตของการผลิตพลังงานหมุนเวียนในประเทศอย่างยั่งยืนและมั่นคง ปัจจุบันบริษัทเปิดให้บริการสถานีอัดประจุแล้วกว่า 400 สถานี รวมทั้งสิ้นกว่า 1,600 หัวชาร์จ ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งระบบธรรมดา หรือ AC Charger ไปจนถึงระบบชาร์จเร็วและทันสมัยที่สุด หรือ DC Super-Fast Charge ที่ใช้เวลาเพียง 15-20 นาที

สมโภชน์ อาหุนัย

รวมทั้งยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการด้วยการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันระบบออนไลน์ในการจอง จ่าย และชาร์จในคราวเดียวกัน เตรียมพร้อมรองรับกับโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตที่กำลังเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า 100% และบริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท EA ก็มีความพร้อมรองรับการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า โดยสามารถทำการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ได้หลายประเภท เช่น รถบัส รถบรรทุก รถตู้ กำลังผลิตประมาณ 3,000-5,000 คันต่อปี คาดว่าแล้วเสร็จและเริ่มดําเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางปี 2564 โดยนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ในการควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน พร้อมทั้งมีกระบวนการทดสอบที่ได้มาตรฐานการขับเคลื่อนที่ทันสมัยและครบวงจร

นอกจากนั้นบริษัท EA ยังดำเนินธุรกิจหลักด้านพลังงานหมุนเวียน จึงมีความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างเสถียรภาพในระบบไฟฟ้า ด้วยการพัฒนาระบบ Trading Platform มาใช้ทำการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานที่ลูกค้าสามารถซื้อพลังงานจากผู้ผลิตได้โดยตรง มี AI ช่วยในการทำนายและเทรดได้แบบอัตโนมัติ และใช้เทคโนโลยี Block Chain เข้ามาจัดการ จึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูง ซึ่งในระยะถัดไปบริษัทมีแผนที่จะนำระบบนี้มาใช้กับพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน สถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และมิเตอร์ไฟฟ้า เพื่อสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ อันจะช่วยนำไปสู่การมีระบบการผลิต จำหน่าย และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top