นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk โดยทบทวนบทเรียนการต่อสู้ในเหตุการณ์พฤษภา 35 ว่า เมื่อประชาชนทุกฝ่ายสามัคคีกัน จึงโค่นล้มเผด็จการเมื่อ 29 ปีได้สำเร็จ ดังนั้น การต่อสู้ในปัจจุบันจึงยึดโมเดลพฤษภามาขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
“ปัญหาในวันนี้จะเอาความรู้สึกส่วนตัวหรือเอาประเทศชาติเป็นสำคัญ ในการต่อสู้มีบาดแผลและความเจ็บปวดมากมาย แต่การต่อสู้ทั้งชีวิตเราไม่เคยมีเรื่องส่วนตัว หากประชาชนไม่สามัคคีก็ไม่วันชนะ อีกทั้ง เผด็จการคณะนี้มีความแยบยลยิ่งกว่าเผด็จการพฤษภา 35 หลายขุม และทหารยุคนั้นมีความเป็นนักเลง ส่วนยุคนี้คณะ รปห. ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย โสมม ปล่อยให้เกิดทุจริตคอร์รัปชัน แล้วมายกการปราบทุจริตเป็นวาระแห่งชาติหน้าไม่อายมากที่สุด”
นายจตุพร กล่าวว่า ตนผูกพันกับเดือนพฤษภาต่างกรรมต่างวาระกัน ในเหตุการณ์พฤษภา 35 นั้น มีจุดพลิกผันช่วงวันที่ 17-18-19 พ.ค. แล้วไปจบลงใน 21 พ.ค. ในการยืนหยัดต่อสู้ของประชาชนที่ ม.รามคำแหง
รวมทั้ง ตนมักเสนอให้ใช้โมเดลพฤษภา 35 มาแก้ไขปัญหาวิกฤตของไทยในขณะนี้ เพราะประชาชนทุกฝ่ายรวมมือกันต่อสู้กับเผด็จการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ตระบัดสัตย์และต้องการสืบทอดอำนาจ อย่างไรก็ตาม ทหารที่ยึดอำนาจจาก พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2534 นั้น แกนหลักได้คุมเหล่าทัพไทยไว้หมด และเรียกตัวเองภายใต้รหัส 0143 โดยมี พล.อ.สมพงษ์ คงสมพงษ์ เป็นหัวหน้าคณะ รปห.ยึดอำนาจ
นอกจากนี้ ยังมี พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นแกนนำวางแผนยึดอำนาจครั้งนั้น เมื่อทำสำเร็จได้เสนอนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมีนายมีชัย ฤชุพันธ์ มาเขียน รธน. เพื่อคืนอำนาจทางการเมืองและกลับสู่ประชาชนได้เลือกตั้ง
อีกอย่าง นายมีชัย เขียน รธน. โดยเปิดประเด็นบรรจุมาตรา 27 ให้หัวหน้า รสช.มีอำนาจทั้งบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ แต่ถูกประชาชนต่อต้าน และตนได้พบนายมีชัย ตามคำเชิญที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 2534 เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นในมาตรานี้ ในที่สุดมาตรา 27 ก็ถูกยกเลิก โดยถอดออกจาก รธน.
อย่างไรก็ตาม มาตรา 27 นั้น เป็นเพียงเกมลับลวงพราง เพราะความจริงแล้ว นายมีชัย ได้ซ่อนมาตราเกี่ยวกับที่มา "นายกฯ" ซึ่งไม่ได้มาจาก ส.ส. หรือจากเลือกตั้ง แม้ฝ่ายประชาชนชุมนุมที่ลานโพธิ์ ม.ธรรมศาสตร์ เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลง แต่นายชวน หลีกภัย ยุคนั้น บอกให้ไปแก้ไขที่สภา กระทั่งการชุมนุมยุติลง แล้วนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป
ในช่วงนั้น คณะ รสช.ได้ตั้งพรรคสามัคคีธรรม รวบรวมนัการเมืองเขี้ยวลากดินมาสังกัด พร้อมส่งตัวแทนไปคุมพรรคชาติไทยกับพรรคกิจสังคม แล้วพรรคสามัคคีธรรม ชนะเลือกตั้งอันดับ 1 เมื่อมีนาคม 2535 แต่นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรค ไม่ได้เป็นนายกฯ เพราะเจอข้อหายาเสพติดเล่นงาน จนสถานการณ์พลิกกลับทันที
เกมการตั้งนายกฯ คนใหม่มาสู่ตัวเลือกคือ พล.สุจินดา ซึ่งเคยประกาศก่อนหน้านี้ว่า คณะ รสช.จะไม่เป็นนายกฯ แต่ต้องมารับเป็นนายกฯ ถึงกับร่ำไห้ลาออกจาก ผบ.ทบ. พร้อมบอกว่า ต้องเสียสัตย์เพื่อชาติ จากนั้นขบวนประชาชนเริ่มรวมตัวต่อต้าน นับตั้งแต่ เรืออากาศตรี ฉลาด วรฉัตร อดอาหารประท้วงหน้ารัฐสภา
การชุมนุมของประชาชนในรหัส "นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง" รวมตัวครั้งใหญ่เมื่อ 17 พ.ค. ผู้คนเต็มถนนราชดำเนิน แล้วขยับเคลื่อนขบวนไปหน้ารัฐสภา แต่ถูกกำลังตำรวจ ทหาร พร้อมรถฉีดน้ำดับเพลิงแรงดันสูงมาสกัดที่ห้าแยกผ่านฟ้า แล้วในคืนนั้นประชาชนถูกกระสุนยิงจำนวนมาก
ฝ่ายประชาชนถูกทหารยกกำลังปราบปรามอีกในบ่ายวันที่ 18 พ.ค. โดยบุกจับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำการชุมนุม ม็อบแตกกระเจิง ผู้คนกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง ประชาชนถูกไล่ล่าถูกยิงล้มตายจำนวนมาก จนคนไปรวมตัวกันที่ ม.รามคำแหงในวันที่ 19 พ.ค. โดยประกาศเป็นสมรภูมิต่อต้านสุดท้าย เพื่อเป็นพื้นที่เรือนตายของฝ่ายประชาชน
การต่อต้านที่ ม.รามคำแหง มีข่าวลือจะถูกทหารบุกปราบเด็ดขาด สถานการณ์ตรึงเครียดตลอดเวลา แต่ประชาชนยังต่อสู้พร้อมตาย มีคนมาร่วมชุมนุมมากมาย แน่นลามไปถึงถนนพระราม 9 และอีกด้านไปถึงแยกบางกะปิ
กระทั่ง ในหลวง ร.9 เรียกพล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง เข้าเฝ้าในวันที่ 20 พ.ค. ทำให้บรรยากาศคลี่คลายลง จนมีการสลายชุมนุมในวันที่ 21 พ.ค. จากนั้น พล.อ.สุจินดา ลาออกจากนายกฯ แลอีก 2 วันก็ได้แก้ไข รธน.
นายจตุพร กล่าวว่า ตนนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเพื่อต้องการบอกว่า เมื่อ 29 ปีที่ผ่านมานั้น ฝ่ายประชาธิปไตยและประชาชน ได้จับมือกันต่อต้านเผด็จการ รปห.เป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นเมื่อประชาชนแตกแยกแล้ว อำนาจจะตกอยู่กับเผด็จการ ซึ่งสิ่งนี้เป็นโลกแห่งความจริง
"มาใน พ.ศ.นี้ ผมจึงเชิญชวนว่า การสามัคคีประชาชน คือการสู้กับเผด็จการให้สำเร็จ ยิ่งเผด็จการแก้ปัญหาทุกมิติไม่ได้ และแก้การระบาดโควิดไม่ได้ ก็มาเปิดประเด็นปราบการทุจริตใหม่ แล้ว 7 ปีที่ผ่านมาใครเป็นรัฐบาล ก็คือประยุทธ์ แล้วการแก้ทุจริตเป็นวาระแห่งชาติจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นอะไรได้ เพราะการโกงเองหรือปล่อยให้คนอื่นโกง ก็เลวพอกันในทางปฏิบัติ"
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญการพยายามใช้เรื่องหนึ่งมากลบเรื่องหนึ่ง ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว ยิ่งในช่วง 7 ปี มีการทุจริตมโหฬารที่สุด แต่ไม่มีใครจัดการได้ เพราะเต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ชน องค์กรปราบการทุจริตยังตั้งโดยคณะ รปห.ทั้งทางตรงและอ้อม ดังนั้น ใครทุจริตและเกิดในยุคใคร ซึ่งคำตอบคือประยุทธ์ ซึ่งไม่ได้ปราบปรามเลยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา
ส่วนการจัดหาวัคซีนยังด้อยประสิทธิภาพ จึงทำให้ประยุทธ์ไม่น่าเชื่อถือในสายตาของประชาชนเห็นชัดเจนขึ้น ดังนั้น ถ้าประชาชนรวมตัวกันได้ ก็ไม่มีใครสู้กับประชาชนได้ และประชาชนควรตาสว่างได้แล้วในช่วง 7 ปีของประยุทธ์
"ถ้าประยุทธ์ เป็นคนมีศักยภาพแล้ว ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เกิด วันนี้พยายามอธิบายว่า อยู่เพื่อปกป้องสถาบัน แล้ววันนี้สถาบันได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดในยุคใคร และใครใช้ประโยชน์สถาบันมาปกป้องตัวเอง มาทำลายกันมากที่สุด ลองคิดและตรวจสอบกันดูว่า ใครสร้างความเสียหายให้สถาบันมากที่สุด"
พร้อมถามว่า การแก้ไขโควิดจนเกิดระบาด 3 ครั้งนั้น เป็นความบกพร่องของประยุทธ์นั่นเอง แม้ดึงเอาอำนาจตามกฎหมายของ รมต.มาไว้กับตัวเอง แต่ประยุทธ์ กลับขาดอย่างเดียวคือ ขาดน้ำยาในการทำงานแก้ปัญหา
ดังนั้น การปล่อยปละละเลยให้คนใกล้ชิดไปแจ้งความ ม.112 แล้วมาต่อรองว่า ถ้าผู้ถูกกล่าวหายอมทำตามจะถอนแจ้งความให้ ซึ่งทำไม่ได้ในทางกฎหมาย จึงสะท้อนถึงการใช้อำนาจเลอะเทอะไปหมด
นายจตุพร ย้ำว่า ในวันนี้ครบรอบ 29 ปีพฤษภา 35 และพรุ่งนี้ (19 พ.ค.) ครบ 11 พฤษภา 53 และจากนั้นวันเสาร์ 22 พ.ค.จะครบ 7 ปีรัฐประหาร ดังนั้น เดือนพฤษภาจึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมาย ตนจึงหวังว่า บทเรียนพฤษภา 35 จะทรงคุณค่าระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยและเผด็จการ ถ้าประชาชนไม่สามัคคีไม่มีวันชนะเผด็จการ
"ผมในฐานะคนเดือนพฤษภา 35 ผมต้องการพฤษภาโมเดลเพื่อสร้างความถูกต้องให้เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินนี้ จึงขอส่งเสียงถึงประชาชนทุกฝ่าย ไม่จำเป็นต้องชอบผม ขอพักความเกลียดผมไว้สักครู่ จัดการรัฐบาลประยุทธ์เสร็จ ค่อยมาเกลียดผมต่อ เพราะมิฉะนั้นบ้านเมืองนี้จะไม่เหลืออะไรเลย เราจะสูญเสียทุกอย่าง"