Saturday, 10 May 2025
Hard News Team

“โฆษก ศบศ.“ โว ต่างชาติพอใจภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ วางแผน กลับมาเที่ยวซ้ำ-เล็งตลาด ดูไบ แฟรงก์เฟิร์ต ลอนดอน กรุงปราก สตอกโฮล์ม ปารีส-มั่นใจกระตุ้นท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้ประเทศ

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลได้เดินหน้ามาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกระตุ้นเศรษฐกิจ และทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งตอนนี้เปิดได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว มีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมที่เดินทางเข้ามาเกือบหนึ่งหมื่นคน โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 อันดับแรกที่เข้ามา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, อิสราเอล, เยอรมนี และฝรั่งเศส อัตราเฉลี่ยการเข้าพักต่อคนอยู่ที่ 11 คืน ประเมินค่าใช้จ่ายต่อทริปอยู่ที่ 70,000 บาท ได้แก่ค่าที่พัก ค่าตรวจสวอป ค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าพาหนะเดินทางในจังหวัด ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เฉลี่ยการใช้จ่ายอยู่ที่ 5,500 ต่อคนต่อวัน ก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนอยู่ที่ 534.31 ล้านบาท 

นายธนกร กล่าวว่า นักท่องเที่ยวมีความประทับใจในอัธยาศัยไมตรีของชาวภูเก็ต และวางแผนเดินทางไปยังจังหวัดอื่น เช่น เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ ต่อไป นอกจากนี้นักท่องเที่ยวที่เดินทางกลับไปแล้วยังได้วางแผนพาครอบครัวกลับมาเที่ยวไทยซ้ำอีกด้วย ซึ่งจากการประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวพบว่า พอใจคุณภาพของรถบริการรับ-ส่ง SHAพลัส ที่ท่าอากาศยานภูเก็ต มากที่สุด รองลงมาคือ พอใจภาพรวมการให้บริการที่ท่าอากาศยานภูเก็ต และพอใจการตรวจคัดกรองเมื่อเดินทางมาถึง ซึ่งการเปิดประเทศครั้งนี้ถือเป็นการเตรียมตัวในการรองรับช่วงปลายปีที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาอีก ทำให้เห็นว่าการเปิดประเทศครั้งนี้ประสบความสำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว

นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงประโยชน์สูงสุดของพื้นที่ที่เปิดไปแล้ว อย่างภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และสมุยพลัสโมเดล ให้ได้ใช้ประโยชน์ก่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดประชุม การจัดแสดงสินค้า เป็นต้น แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้ทั้งจังหวัดภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี ได้เพิ่มมาตรการการคัดกรองนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติอย่างเคร่งครัด นายกฯ ได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำชับเรื่องการนำเทคโนโลยีมาใช้ที่ด่านหรือจุดตรวจอย่างเข้มงวดแล้ว  เพื่อที่ประชาชนชนในพื้นที่จะได้มีรายได้อย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศในครั้งนี้

นายธนกร กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ปรับปรุงระบบลงทะเบียน COE ออนไลน์ใหม่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาให้มีความสะดวก และ ททท.ในต่างประเทศยังได้ทำการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเจาะไปที่กลุ่มตลาดยุโรป เช่น ดูไบ แฟรงก์เฟิร์ต ลอนดอน กรุงปราก สตอกโฮล์ม และปารีส โดยคาดว่า ต่อไปนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของฤดูกาลการท่องเที่ยว

โฆษก ศบศ. กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนต่อไปคือการเดินหน้าเปิด 3 เกาะของจังหวัดกระบี่  ได้แก่ เกาะพีพี เกาะไหง และไร่เล  และ 3 เกาะของจังหวัดพังงา  ได้แก่ เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่ โดยมีกำหนดเปิดในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 นี้ โดยเน้นย้ำถึงแผน 7+7 ของการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องที่เปิดไปแล้ว เป็นการผ่อนคลายมาตรการให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาใน “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” อยู่ครบ 7 วัน (เดิม 14 วัน) และตรวจ RT-PCR จำนวน 2 ครั้งแล้ว สามารถเดินทางไปในพื้นที่เกาะสมุย พะงัน และเกาะเต่า (สุราษฎร์ธานี) รวมถึงเกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ (กระบี่) และเกาะยาวใหญ่ เกาะยาวน้อย และเขาหลัก (พังงา) ในรูปแบบซีลรูท (sealed routes) หรือ island hopping ได้ตั้งแต่วันที่ 8 เป็นต้นไป โดย ททท.ยังคงเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวรวมปีนี้ที่ 8.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากตลาดต่างประเทศ 3 แสนล้านบาทในจำนวนนักท่องเที่ยวราว 3 ล้านคน และรายได้จากตลาดภายในประเทศ 5.5 แสนล้านบาท

รมต.อนุชา เผย จำนวนวัด ร่วมเจตนารมณ์ “เผาศพโควิดฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย” สั่ง พศ. เร่งรัดฉีดวัคซีน พระ-สัปเหร่อ บอก มีวัดพร้อมตั้งรพ.สนาม ศูนย์พักคอย

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดต่อเนื่อง และมียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น จากการตรวจสอบ พบว่าปัจจุบันมีหลายวัดทยอยร่วมเจตนารมณ์ "เผาศพโควิดฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย" โดยมีวัดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 62 วัด วัดในจังหวัดปริมณฑล จำนวน 124 วัด วัดในส่วนภูมิภาค จำนวน 407 วัด รวมทั้งสิ้น 593 วัด 

นายอนุชา กล่าวว่า ยังมีวัดที่มีศักยภาพและมีพื้นที่เพียงพอให้การสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ โดยใช้พื้นที่วัดจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอย และสถานที่กักตัวรอดูอาการผู้ติดเชื้อ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกวัน ปัจจุบันพบว่ามีวัดและสถานที่ในสังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทั่วประเทศได้ดำเนินการปรับพื้นที่แล้ว จำนวน 118 แห่ง ซึ่งมีความพร้อมรองรับและสนับสนุนการดำเนินงานทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดี

นายอนุชา กล่าวว่า ได้สั่งการให้ พศ. ดูแลคณะสงฆ์และผู้ปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดอย่างเต็มที่ โดยให้พิจารณาจัดหาอุปกรณ์ป้องกันเชื้อให้ทางวัด อาทิ ชุด PPE และอุปกรณ์ทำความสะอาด อีกทั้งให้เร่งประสานขอฉีดวัคซีนให้พระสงฆ์ สัปเหร่อและผู้ปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดอย่างเร่งด่วน

โฆษกกห. ชี้ ทหาร-ตำรวจ เร่งเสริมกำลังลงพท.แดงเข้ม ร่วมกทม.-สธ. คัดแยกผู้ป่วยตามบ้านในชุมชน 50 เขต กทม. พร้อมเร่งฉีดวัคซีน ผู้สูงอายุ และคนกลุ่มโรคเสี่ยง

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงการเสริมกำลังตำรวจ ทหาร เข้าไปช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์วิกฤตโควิดที่ยังมีการแพร่ระบาด และพบผู้ป่วยติดเชื้อตามบ้านและชุมชนมากขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ จังหวัดสีแดงเข้มว่า เรากำลังเร่งช่วยกันคัดแยกผู้ป่วยเชิงรุก โดยทหาร ตำรวจได้จัดกำลังเสริมชุด CCRT ของ กทม. รวม 138 ชุด เร่งเข้าไปตรวจค้นหาเชิงรุกตามบ้านและชุมชนใน กทม. 50 เขต เพื่อแยกผู้ป่วยติดเชื้อออกจากชุมชน นำเข้าสู่ระบบการรักษาตามสถานพยาบาลที่กำหนด พร้อมทั้ง ฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุและกลุ่ม 8 โรคเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับถึงบ้านทันทีในคราวเดียวกัน ซึ่งถือเป็นงานสำคัญเร่งด่วนที่ต้องช่วยกันเร่งหยุดการกระจายของเชื้อร่วมกัน

ส่วนกรณีการเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่ตกค้างตามบ้านและชุมชนว่า  กำลังทหารตำรวจ ได้ร่วมกันจัดตั้ง “ศูนย์เคลื่อนย้ายผู้ป่วย” โดยจัดยานพาหนะกว่า 200 คัน พร้อมเจ้าหน้าที่ หนุนเสริมเข้าไปช่วยทำงานร่วมกับ กทม.และ กระทรวงสาธารณะสุขตลอด 24 ชม. (ติดต่อสายด่วน 191,1668, 1669, 1330 และ ศูนย์เคลื่อนย้ายฯ 062 4427903, 062 3502357 )  ช่วยเคลื่อนย้ายนำผู้ป่วยเข้ามาสู่ระบบการรักษาแล้ว รวม 14,635 ราย  พร้อมกันนี้  ทบ.ได้จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด” เพื่อช่วยเหลือประชาชนในทุกกรณี ฟรีตลอด 24 ชม. ทั้งการรับ - ส่ง ผู้ป่วยและผู้หายป่วย รวมทั้งเคลื่อนย้าย ฌาปนกิจศพผู้ติดเชื้อ  ขณะเดียวกันได้จัดยานพาหนะและอากาศยาน สนับสนุนส่งกลับผู้ป่วยที่สมัครใจไปรับการรักษาในภูมิลำเนาตามความพร้อมของจังหวัดปลายทาง 

เพื่อให้การแก้ปัญหาในพื้นที่ทันต่อสถานการณ์   นรม.และรมว.กห. ได้สั่งการให้กองทัพ จัดกำลังลงพื้นที่ ตั้ง “จุดบริการประชาชน” ในชุมชน 13 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม โดยกำลังทหารได้กระจายลงพื้นที่ชุมชนต่างๆ แล้ว รวม 110 จุด  โดยเป็นพื้นที่ใน  กทม. 44 จุด เช่น ชุมชนวัดมะกอก สามพะยา วัดลาดบัวขาว วัดสะพาน สวนพลู  ตลาดยิ่งเจริญและตลาดดินแดง เป็นต้น โดยประชาชนในพื้นที่สามารถแจ้งเหตุ เพื่อขอรับการช่วยเหลือได้ในทุกกรณี ซึ่งก็จะช่วยรองรับแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้รวดเร็วขึ้น

พล.ท.คงชีพ ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการสนับสนุนจัดตั้ง รพ.สนาม ว่า  กำลังทหารตำรวจได้สนับสนุน สธ.จัดตั้ง รพ.สนาม ต่อเนื่องมาแล้วกว่า 1 ปี ตั้งแต่ สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มเกิดขึ้นเมื่อ มี.ค.63  ปัจจุบันมี รพ.สนาม ในหน่วยทหารรวม 34 แห่ง ใน 24 จว.รวม 6,135 เตียง ใช้หมุนเวียนดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องมา โดยบุคลากรทางการแพทย์ของ สธ.ร่วมกับกำลังพลของกองทัพที่จัดสนับสนุน

ทั้งนี้ นายกนัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้สั่งการให้ทหารตำรวจ ใช้สโมสรทหาร ตำรวจ ทั่วประเทศ จัดตั้งเป็น รพ.สนามเพิ่มเติม เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่ยังรุนแรงอยู่ในหลายพื้นที่ ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจและปรับปรุงสถานที่ร่วมกับสาธารณสุขในแต่ละจังหวัด สำหรับสโมสรทหาร ตำรวจใน กทม. อยู่ระหว่างเร่งจัดเตรียมเป็น รพ.สนาม โดย รพ.สนามสโมสร ทบ.รองรับผู้ป่วยได้ 300-400 ราย และ รพ.สนาม สโมสร ตร. รองรับผู้ป่วยได้ 200 ราย คาดว่าจะเร่งเปิดใช้ได้ภายใน 30 ก.ค.64

“สถานการณ์วิกฤตจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่ยังรุนแรงขยายตัวเป็นวงกว้างต่อเนื่องยาวนานนี้  เป็นภัยต่อชีวิตและความยากลำบากของทุกครอบครัว ที่เราทุกคนจำเป็นต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ช่วยเหลือดูแลกันและกัน ไม่เสียดสีโทษกล่าวว่าร้าย ทำลายกำลังใจกันเอง”พช.ท.คงชีพ กล่าวว่า  ขอยืนยันว่า “เราจะสู้ไปด้วยกัน” โดยตำรวจและทหารจากทุกเหล่าทัพ ยังคงหนักแน่นมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนทำงานร่วมบุคลากรทางการแพทย์และทุกหน่วยงาน ต่อสู้กับโรคร้ายแรงนี้ไปด้วยกันต่อไป อย่างเข้มแข็งและอดทน เพื่อช่วยเหลือดูแลอยู่เคียงข้างทุกคน โดยหากมีปัญหาในทุกกรณี ขอให้ติดต่อทหารตำรวจในพื้นที่และช่องทางการสื่อสารได้ตลอด 24 ชม.

"เสกสกล" ยัน "บิ๊กตู่" นำทัพ สู้สงคราม โควิด-19 จวก คนอคติ เล่นการเมืองในวิกฤตทำประเทศย่อยยับ

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมมาตรการเข้มในการบริหารจัดการดูแลผู้ป่วย ตนเห็นด้วยกับมาตรการที่ออกมา ถือเป็นการยกระดับมาตรการต่างๆให้เข้มขึ้น รัฐบาลให้ความสำคัญทั้งการบริหารสถานการณ์ให้เหมาะสมกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น การจัดสรรบุคลากร และการบริหารจัดการสถานที่ต่างๆ ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลให้ทุกฝ่ายได้เห็นภาพรวมและขับเคลื่อนไปด้วยกัน

ในที่ประชุมนายกฯให้ความสำคัญหลายเรื่อง เช่น เรื่องของโรงพยาบาลสนาม โดยนายกฯเห็นว่าต้องเร่งจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีอาการให้เข้าถึงการรักษาให้มากที่สุดและเร็วที่สุด และให้เพิ่มขีดความสามารถโรงพยาบาลสนามที่มีอยู่ในขณะนี้ ให้สามารถรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงให้มากขึ้น รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (Home Isolation – HI) และการดูแลผู้ป่วยในชุมชน (Community Isolation – CI) อย่างเป็นระบบ โดยจัดให้มีทีมแพทย์คอยติดตามอาการ ชุดเวชภัณท์และยาที่จำเป็นเพี่อคัดแยกผู้ป่วย ลดการแพร่เชื้อภายในครอบครัวและชุมชน สำหรับผู้ป่วยที่สามารถกักตัวที่บ้านได้ (HI) จะมีการจ่ายยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดออกซิเจน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้จะนำส่งศูนย์พักคอย หรือ (CI) ซึ่งกรุงเทพมหานครจะได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อให้ครบทั้ง 50 เขต

นอกจากนี้นายกฯยังได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาร่วมช่วยเหลือ สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมถึงการจัดส่งอาหารและยาให้ผู้ติดเชื้อที่รักษาตัวที่บ้านและที่ชุมชนในแต่ละวันอย่างต่อเนื่อง ให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยประสานผู้ป่วยกลับไปรักษาตัวในภูมิลำเนาได้ ตามมาตรการสาธารณสุขที่กำกับการเคลื่อนย้ายทุกขั้นตอน เพี่อลดปัญหาการได้เข้ารับการรักษาในพื้นที่ กทม. ที่มีข้อจำกัดเรื่องเตียง และสนับสนุนทีมปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุก (Comprehensive Covid-19 Response Team) หรือ CCRT อย่างต่อเนื่อง โดยจะดำเนินการลงพื้นที่ทั้ง 50 เขตเพื่อตรวจคัดกรองเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนให้ครอบคลุมและทั่วถึง เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเร็วที่สุด

นายกฯ ยังได้เน้นเรื่องการปรับปรุงระบบการรับเรื่องผ่านโทรศัพท์สายด่วนต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้สามารถประสานข้อมูลร่วมกัน เพื่อนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่เป็นจริง ควบคู่ไปพร้อมกับการเดินหน้าจัดหาวัคซีนให้มากที่สุดเพื่อเร่งฉีดให้กับประชาชนโดยเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งในขณะนี้ในพื้นที่ กทม. ได้มีการฉีดวัคซีนเกินกว่าร้อยละ 50 ของประชากรแล้ว

สิ่งที่นายกฯไม่เคยลืมคือการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ทุ่มเททำงานกันอย่างหนัก ทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุข และคนทำงานจากทุกหน่วยงานที่ร่วมใจดูแลผู้ป่วยอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย  นายกรัฐมนตรียินดีและพร้อมรับฟังปัญหาและอุปสรรค เพี่อจะได้ร่วมช่วยหาวิธีแก้ไขและนำไปสู่แนวทางที่เหมาะสมในการทำงานของทุกหน่วยงาน

นายกฯและรัฐบาลทำงานกันอย่างหนัก หามรุ่งหามค่ำขนาดนี้ก็ยังไม่พอใจคนที่คิดอคติ เอาการเมืองมาเล่นในสถานการณ์วิกฤตโควิดในขณะนี้ โดยไม่คิดว่าความเสียหายที่ตัวเองคอยแซะ คอยวิพากษ์วิจารณ์นั้นจะเป็นอย่างไร ประเทศจะเสียหายย่อยยับขนาดไหน ไม่ว่านายกฯหรือรัฐบาลจะทำอะไร ก็คอยตั้งท่าตำหนิติเตียนตลอด จึงอยากเตือนสติฝ่ายค้านฝ่ายเห็นต่างทั้งหลาย ช่วยนึกถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย อนาคตลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร ญาติพี่น้องเราจะเป็นอย่างไร ต้องนึกถึงเขาด้วย อย่าเห็นแก่ตัวนึกถึงแต่ตัวเอง ด่าเอามันปากเอาสนุกอย่างเดียวไม่ได้ สุดท้ายถ้าเกิดกับญาติพี่น้อง ลูกหลาน หรือบุคคลใกล้ตัว เมื่อคิดได้ก็อาจจะสายไปแล้ว

วันนี้เป็นการต่อสู้กับสงครามโควิด มหันตภัยไวรัสที่ไม่เห็นตัว เราคนไทยจะมามัวทะเลาะกันไม่ได้แล้ว นายกฯและรัฐบาลอยากเห็นความร่วมมือร่วมใจเสียสละร่วมกัน จับมือกันสามัคคีกัน ไม่มีเวลามาทะเลาะขัดแย้งกัน เพื่อปกป้องรักษาชีวิตคนไทยทุกคนให้ผ่านสงครามโควิดนี้ไปให้ได้ ประเทศไทยจึงจะชนะด้วยพลังสามัคคีของคนไทยทุกคน

“บิ๊กป้อม” ยินดี “น้องเทนนิส” คว้าเหรียญทองโอลิมปิก พร้อมส่งกำลังใจให้นักกีฬาทุกคน

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์  โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ใน,านัประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ ได้ชื่นชมและแสดงความยินดีกับ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดสาวไทย ที่คว้าเหรียญทองแรกให้กับทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิกเกมส์ 2020 

โดย พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวระหว่างการลุ้นชมว่า เป็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นและสูสีมากในรอบชิงชนะเลิศ ที่เห็นได้ถึงความแกร่ง ไหวพริบและความมุ่งมั่นของ “น้องเทนนิส” ตลอดการแข่งขัน  พร้อมขอถือโอกาสนี้ ขอบคุณทีมงานและโค้ช รวมทั้งสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ที่สนับสนุนให้การฝึกซ้อมนักกีฬาอย่างอุตสาหะต่อเนื่อง ท่ามกลางข้อจำกัดในสถานการณ์โควิด-19

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร’ ได้กล่าวย้ำเพิ่มว่า ขอเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาทุกคนในทุกประเภทการแข่งขัน ขอให้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังด้วยใจที่มุ่งมั่น เพื่อเป็นตัวแทนนำชัยชนะมาสู่คนไทยทั้งประเทศ และขอเชิญชวนคนไทยทุกคน ติดตามเชียร์และส่งกำลังใจให้นักกีฬาทุกคนในการแข่งขันพร้อมเพรียงกัน

นายกฯ ยินดี 'เทนนิส พาณิภัค' คว้า ทองแรกให้ทัพนักกีฬาไทย ชี้เป็นรางวัลแห่งความมุมานะ  เชิญชวนคนไทยร่วมส่งแรงใจเชียร์นักกีฬาไทยถึงวันที่ 8 ส.ค. นี้ 

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความยินดีกับน.ส.พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ หรือน้องเทนนิส นักกีฬาเทควันโดหญิง ในรุ่น 49 กก. และสมาคมเทควันโด ที่สามารถคว้าเหรียญทองแรก ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 โดยเอาชนะอาเดรียนา เซเรโซ อิเกรเซียส จากสเปน เป็นเหรียญทองแรกในการแข่งขันครั้งนี้ ที่นำความภูมิใจให้กับทัพนักกีฬาไทย และเป็นเหรียญทองเหรียญแรกของกีฬาเทควันโดไทย ถือเป็นรางวัลของความมุ่งมั่นตั้งใจของนักกีฬาไทย ที่ทุ่มเทและฝึกฝนแม้จะอยู่ห้วงเวลาและสถานการณ์ที่ยากลำบาก เชื่อว่าจะเป็นกำลังใจ เพิ่มแรงใจ และความกระตือรือร้นให้กับนักกีฬาไทยไนการแข่งขันประเภทอื่นๆ อีกด้วย  

ทั้งนี้ นายอนุชากล่าวว่า นายกรัฐมนตรีส่งกำลังใจให้นักกีฬาทุกประเภท และยังได้เชิญชวนคนไทยร่วมส่งกำลังใจเชียร์กองทัพนักกีฬาไทย ทำหน้าที่ผู้แทนประเทศไทยแข่งขันโอลิมปิก โตเกียว 2020 ถึงวันที่ 8 ส.ค. นี้ 

“บิ๊กป๊อก” ประชุมติดตามแก้ไขโควิด-19 ร่วมกับผู้ว่าฯ - นายอำเภอทั่วประเทศ - กทม.ย้ำ “บิ๊กตู่” สั่งไม่ให้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินการป้องกัน ควบคุม และแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.ร่วมประชุมผ่านระบบวีดิโอคินเฟอร์เรนซ์ร่วมกับนายทรงศักดิ์ ทองศรี นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และนายอำเภอทั่วประเทศ 

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขอชื่นชมผู้ว่าฯ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ตลอดจนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะในด้านการสร้างระบบการส่งต่อผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดที่สามารถช่วยแบ่งเบาการบริหารสถานการณ์ระบาดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งในขณะนี้การระบาดของโควิด-19 ค่อนข้างรุนแรง โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ รได้มีบัญชาให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดช่วยเหลือประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่ใดให้เข้าสู่ระบบโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขอให้ผู้ว่าฯ และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด  สร้างการรับรู้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้ลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 คือ มาตรการ DMHTTA ได้แก่ รักษาระยะห่างระหว่างกัน ไม่พบปะหรือไปยังสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก การสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี หมั่นล้างมือด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือสม่ำเสมอ ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจเชื้อโควิด-19 ใช้แอปหมอชนะ/ไทยชนะ อย่างเข้มข้น ด้วยทุกกลไกของกระทรวงมหาดไทยในระดับพื้นที่ ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน หอกระจายข่าว และเสียงตามสายในพื้นที่ นอกจากนี้ให้ผู้ว่าฯ เร่งบูรณาการหน่วยงานทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการสนับสนุนมาตรการในการบริหารจัดการเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อในพื้นที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อให้การจัดการเกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวต่อว่า ขอให้ผู้ว่าฯ กทม.และผู้ว่าฯ จังหวัดปริมณฑล ควบคุมการแพร่ระบาดผ่านกลไกและมาตรการอย่างเข้มข้น ในส่วนของผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องควบคุมการแพร่ระบาดพร้อมสกัดกั้นการแพร่ระบาดตามแนวชายแดน ไม่ให้แพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นอย่างเต็มกำลัง เพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาด นอกจากนี้ให้ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดบริหารจัดการขยะติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้ากากอนามัยใช้แล้ว ให้เป็นไปตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขและมาตรการที่กระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้กำชับและแจ้งแนวปฏิบัติ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้น สร้างความเข้าใจ และความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อให้เราผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน

นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า ตัวเลขของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากคนที่ไม่รู้ว่าตนเองมีเชื้อ ซึ่งส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ขอให้ผู้ว่าฯ และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กำหนดมาตรการการตรวจเชิงรุก หาวิธีการบำบัดรักษาในเบื้องต้น เพื่อลดการสูญเสียชีวิต นอกจากนี้ให้ใช้กลไกกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในการติดตามรับคนกลับมารักษาตัวที่บ้าน

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ขอให้ผู้ว่าฯ สร้างความเข้าใจและความมั่นใจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ยารักษาโรคโควิด-19 และอุปกรณ์ตรวจเชื้อเบื้องต้น เพื่อให้มีกลไกรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)ไปดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ 

ปชป. “จุรินทร์” ส่งกำลังใจ ไปโตเกียว  เชียร์ทัพนักกีฬาไทย โอลิมปิกและพาราลิมปิก “Tokyo 2020 Olympics” 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 32 และพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 16 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นว่า

พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค  ขอส่งกำลังใจให้กับนักกีฬาทีมชาติไทย ทุกคนในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 32 และพาราลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 16 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ขอร่วมกับพี่น้องชาวไทย ร่วมส่งแรงใจ ส่งกำลังใจให้กับนักกีฬาไทยทุกคน ขอให้ได้รับชัยชนะในการแข่งขัน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ได้ติดตามการแข่งขันอย่างใกล้ชิด และฝากส่งกำลังใจไปให้ทัพนักกีฬาไทยทุกคน 

พรรคขอขอบคุณในความเสียสละทุ่มเท ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อชื่อเสียงของประเทศไทย รวมถึงบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังทุกคน ทีมงานในทุกประเภทกีฬา ความเหน็ดเหนื่อยจากการซ้อม เป้าหมายคือความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะคว้าเหรียญรางวัลกลับมาได้หรือไม่ก็ตาม คนไทยจะเป็นกำลังใจให้กับทัพกีฬาไทยเสมอ 

ทุกคนคือแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นหลังที่จะนำมาเป็นต้นแบบในการก้าวเดินในเส้นทางนักกีฬาทีมชาติไทยในรุ่นต่อๆไป 

นายราเมศกล่าวต่อว่า ขอให้นักกีฬาทุกท่าน ดูแลสุขภาพเพราะด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 มีความจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังในช่วงระหว่างการเข้าร่วมแข่งขันที่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น พรรคขอส่งกำลังใจให้ ขอให้ประสบผลสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้ทุกประการ

 

ยันรัฐบาลพร้อมช่วยเหลือค่าครองชีพ-เยียวยาต่อเนื่อง

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีความห่วงใยประชาชนทุกคน และดำเนินการเยียวยาควบคู่ไปกับการดำเนินการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเต็มที่ ซึ่งล่าสุดกระทรวงการคลัง กำลังพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดของโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน และเร่งให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจตามเป้าหมายของโครงการ หลังจากการใช้สิทธิโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนหนึ่งอาจมาจากการปิดห้างสรรพสินค้าในช่วงนี้

ทั้งนี้หลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการลดภาระค่าครองชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจออกไป มีเสียงตอบรับจากประชาชนทั่วประเทศ ใช้จ่ายผ่านโครงการอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขณะนี้ยอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม รวม 35.8 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 41,847.8 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 22 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 38,569.4 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 19,508.1 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 19,061.4 ล้านบาท 

2.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 54,007 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 544 ล้านบาท 3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 2,584.4 ล้านบาท และ 4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 759,155 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 150 ล้านบาท

กสร. ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย จับตา ‘ทิศทางการค้าโลก’ นำ GLP มาใช้ป้องกันการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เปิดอบรมออนไลน์ เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ได้นำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงาน ผลิตสินค้าที่ไม่มีการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวในฐานะประธานเปิดการอบรมออนไลน์ในหัวข้อ “ทิศทางการค้าโลกกับแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี” ว่า กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต่างมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ โดยกำหนดนโยบายให้มีการถอดถอนสินค้าออกจากรายการที่ถูกขึ้นบัญชีการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ และให้นำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) มาเป็นเครื่องมือในการดำเนินการในกลุ่มเป้าหมาย 4 รายการ คือ กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนให้นโยบายดังกล่าวสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

กรมได้จัดพิธีประกาศเจตนารมณ์และพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 ที่กระทรวงแรงงาน ซึ่งนายยุทธนา ศิลป์สรรค์วิชช์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยได้สานต่อเจตนารมณ์และการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดยจัดอบรมออนไลน์เพื่อให้ความรู้เรื่องทิศทางการค้าโลก และแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ที่ถูกต้อง ให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งจะได้รับความรู้ในเชิงลึกและนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การลดปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานและเพิ่มโอกาสทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยผลักดันการถอดถอนรายการสินค้าเครื่องนุ่งห่มออกจากรายการสินค้าของประเทศไทยที่ถูกขึ้นบัญชีไว้ ให้ประสบผลสำเร็จต่อไป

อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย จึงเปิดอบรมออนไลน์ให้กับสมาชิกสมาคม จำนวน 40 ราย โดยหวังว่าผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มจะได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ นำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) มาใช้ ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพร้อมให้การสนับสนุนด้านเทคนิควิชาการ โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือโทรสายด่วน 1506 กด 3 หรือ 1546


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top