Thursday, 3 July 2025
Hard News Team

รัฐบาลเปิดแอปฯ “ทางรัฐ” ช่วยเข้าถึงบริการรัฐได้ด้วยง่ายขึ้น 

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือ DGA ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และหน่วยงานพันธมิตร ได้จัดทำแพลตฟอร์มกลางภายใต้ชื่อ “ทางรัฐ” เพื่อช่วยลดความยุ่งยากของประชาชนในการติดต่อหน่วยงานราชการ ลดภาระค่าใช้จ่าย ลดอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจและดำเนินชีวิตของประชาชน โดยปัจจุบันประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปผ่านสมาร์ทโฟน และสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ จากภาครัฐ ได้ง่ายขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ 

สำหรับแอปพลิเคชันทางรัฐนี้เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ช่วยให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถตรวจสอบสิทธิ์ จ่ายบิล หรือติดตามสถานะการขอใช้บริการจากภาครัฐได้อย่างง่ายดาย ได้ทุกที่ทุกเวลา สำหรับหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการยกระดับการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็สามารถนำข้อมูล และบริการต่าง ๆ มาให้บริการผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐได้ด้วย 

ทั้งนี้ประชาชนเพียงแค่ดาวน์โหลด และลงทะเบียนไม่กี่ขั้นตอน จะพบกับบริการของแต่ละหน่วยงานที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้ทุกท่านได้ในทุกช่วงวัยกว่า 30 บริการ ทั้งการตรวจสอบสิทธิ การจ่ายบิล หรือติดตามสถานการณ์ขอใช้บริการจากภาครัฐ การตรวจสอบข้อมูลใบสั่งจราจรและการชำระค่าปรับ การตรวจสอบสถานะข้อมูลเงินสะสม กบข. การตรวจสอบสิทธิประกันสังคม การตรวจสอบสิทธิรักษาพยาบาล เป็นต้น

ผู้นำสหรัฐฯ งัดไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่รัฐและพนักงานเอกชน ต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 หากไม่ปฏิบัติตามมีบทลงโทษแรง!! ด้านรีพับลิกันจ่อฟ้อง ถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐ และพนักงานในสถานประกอบการที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐบาลต้องฉีดวัคซีน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่พุ่งสูงขึ้น

โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ จะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนภายใน 75 วันหลังจากนี้ หากผู้ใดปฏิเสธการฉีดวัคซีน 'อาจถูกไล่ออกได้' ขณะที่เจ้าหน้าที่เอกชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนจะต้องตรวจโควิด-19 ทุกสัปดาห์

แถลงการณ์จากทำเนียบขาวระบุว่า "บริษัทต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานของตนได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน หรือกำหนดให้พนักงานที่ไม่ได้รับวัคซีนแสดงผลตรวจเชื้อเป็นลบอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง"

ด้านกระทรวงแรงงานออกแถลงการณ์ว่า บริษัทใดที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวต้องชำระค่าปรับประมาณ 14,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 448,000 บาท)

ทันทีที่ข่าวดังกล่าวสะพัด ด้านรอนนา แมคแดนเนียล ประธานคณะกรรมธิการพรรครีพับลิกัน ก็ได้ออกมาแย้งว่า การฉีดวัคซีนต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ อีกทั้งเป็นการผลักภาระให้แก่เจ้าของสถานประกอบการที่ต้องจัดหาชุดตรวจโควิด-19 หรือวัคซีนให้แก่พนักงาน โดยทางพรรคจะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องเสรีภาพของชาวอเมริกันทันทีที่คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้!! 

อย่างไรก็ตาม ไบเดน ได้ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ได้เป็นการละเมิดเสรีภาพหรือความต้องการส่วนบุคคล แต่เป็นความรับผิดชอบที่ต้องทำเพื่อป้องกันตนเองและคนรอบข้าง

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ขอความร่วมมือให้สถานบันเทิงและสถานศึกษาดำเนินการฉีดวัคซีนหรือตรวจคัดกรองโควิด-19 ให้แก่พนักงานของตน

ตลอดจนมีการออกมาตรการลงโทษสำหรับผู้โดยสารบนระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย และดำเนินการเพื่อเพิ่มการผลิตชุดตรวจหาเชื้อด้วย

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนไปแล้วราว 377 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วประมาณ 177 ล้านคนหรือคิดเป็น 54% ขณะที่ยังมีชาวอเมริกันอีกส่วนหนึ่งต่อต้านการฉีดวัคซีน

ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมาอยู่ที่ 188,823 คน และผู้เสียชีวิต 2,276 คน ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อสะสมราว 40.7 ล้านคน และผู้เสียชีวิต 6.56 แสนคน


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/662827

‘รัฐสภา’ โหวตผ่านฉุยแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม มีระเบียบวาระการประชุมสำคัญ คือ การลงคะแนนเสียงร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 83 และมาตรา 91 ในวาระสาม โดยที่ประชุมใช้เวลาขานชื่อ 2 ชั่วโมง และใช้เวลานับคะแนน 20 นาที

จากนั้นเวลา 11.50 น. นายชวน ได้ประกาศผลการนับคะแนน ว่าที่ประชุมเห็นชอบ 472 เสียง แบ่งเป็นเสียงจากส.ส. 323 คะแนน และจากส.ว. 149 คะแนน ไม่เห็นชอบ 33 คะแนน แบ่งเป็นของ ส.ส. 23 เสียง และส.ว. 10 เสียง งดออกเสียง 187 คะแนน แบ่งเป็นของ ส.ส. 121 เสียง และส.ว. 66 คะแนน  ซึ่งตามรัฐธรรมนูญกำหนดเกณฑ์ผ่านร่างแก้ไขไว้ 3 เงื่อนไข 

ดังนั้นผลการลงมติที่ประชุมมีคะแนนเสียงเห็นชอบ 472 คะแนน มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา กึ่งหนึ่งคือ 365 คะแนนดังนั้นคะแนน 472 คะแนนมากกว่ากึ่งหนึ่งจึงผ่านเงื่อนไขที่ 1 ส่วนเงื่อนไขที่ 2 ในจำนวนนี้มีสมาชิกสภาฯ จากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ เห็นชอบด้วย 142 คะแนน มากกว่าร้อยละ 20 คือ 49 คะแนน 

ดังนั้นคะแนนที่ได้เกินกว่าที่กำหนดเอาไว้ ถือว่าผ่านเงื่อนไขที่ 2 และเงื่อนไขที่ 3 คะแนนดังกล่าวมีส.ว.เห็นชอบ 149 คะแนน ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของส.ว. คือไม่น้อยกว่า 84 คน 

ดังนั้น ถือว่าที่ประชุมได้ลงมติผ่านทั้ง 3 เงื่อนไขเป็นการเห็นชอบให้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ..... แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91 ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญต่อไป โดยกระบวนการต่อไปจะเป็นไปตามมาตรา 256 (7) คือรอไว้ 15 วัน แล้วจึงจะนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ทูลเกล้าฯ โดยนายกรัฐมนตรี และมีผลบังคับตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 81 เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา 

‘ลิซ่า BLACKPINK’ สวมชุดไทยสไบเฉียง อวดสายตาชาวโลก ผ่านโซโล่แรก ‘LALISA’

สิ้นสุดการรอคอยของชาวบลิ๊งค์ทั่วโลก!! “ลิซ่า BLACKPINK” หรือ “ลลิษา มโนบาล” ไอดอลสาวชาวไทยสุดฮอต ได้ปล่อยซิงเกิลอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรก โดยล่าสุดวันนี้ 10 กันยายน เวลา 11.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ค่าย YG ENTERTAINMENT ได้ปล่อยเพลงและเอ็มวีตัวเต็มเพลง “LALISA” ออกมาเป็นที่เรียบร้อย และบอกเลยว่า ยอดสตรีมผู้ชมสดและยอดเข้าเข้าชมวิดีโอทะลุล้านวิวไม่ถึง 2 นาที ซึ่งล่าสุดทะลุสูงกว่า 10 ล้านวิว และพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง!!

เรียกได้ว่าเป็นการปลุกกระแสความปังให้วงการเพลงได้ลุกเป็นไฟอีกครั้ง!! โดยเฉพาะ 1 ในฉาก ที่ทำให้แฟนคลับชาวไทย รู้สึกเซอร์ไพรส์ไม่น้อย คือฉากที่สาวลิซ่า ปรากฏตัวในชุดสไบเฉียง สวมชฎา โดยมีด้านหลังเป็นปราสาทหิน แสดงถึงบ้านเกิดที่ประเทศไทย 

ทั้งนี้ ชุดสไบดังกล่าว เป็นผลงานการออกแบบของ Asava แบรนด์ชื่อดังของไทย ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อเธอ โดยเป็นกระโปรงสั้น และ สไบเฉียง ตัดเย็บจากผ้าไหมยกลำพูนลายพานจักรพรรดิยกทอง ปักคริสตัลสวารอฟสกี้ด้วยมือ และดอกไม้อลังการประดับผมจาก SARRAN และชฎาทองสุดอลังการเป็นผลงานจาก Hook's by Prapakas 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้หลังจากที่ซิงเกิลอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของ ลิซ่าได้สร้างสถิติงานเพลงของไอดอลหญิงในวงการเพลงเค-ป็อป ที่มียอด “พรีออร์เดอร์” ถึงหลัก 200,000 ออร์เดอร์ ซึ่งเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ภายในระยะเวลาเพียง 3 วันกับอีก 17 ชั่วโมงเท่านั้น และล่าสุด YG Entertainment ประกาศวันที่ 10 ก.ย. 64 ว่ายอดพรีออเดอร์สำหรับอัลบั้มโซโล่เดี่ยวบั้มแรกของ ลิซ่า BLACKPINK ‘LALISA’ มียอดเกิน 800,000 ก๊อบปี้แล้ว ซึ่งเป็นยอดของศิลปินเดี่ยวหญิง K-pop ที่มีสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

เรียกได้ว่างานนี้สาวลิซ่า นอกจากสวยดังระดับโลกแล้วยังไม่ลืมบ้านเกิดจัดเต็มความเป็นไทยลงไปในเอ็มวีกันเลยทีเดียว ทำเอาเหล่าแฟนชาวไทยปลื้มปริ่มกับฉากสุดปังอลังการนี้ จนดัน #TodayIsLalisaDay ทะยานขึ้นเทรนด์อันดับ 1 บนโลกทวิตเตอร์ไทย และเทนรด์โลกไปเป็นที่เรียบร้อย

ญาติเหยื่อ 9/11 ถอดใจ!! หลังสหรัฐฯ ส่อแววเลื่อนการพิจารณาคดี

ข่าวดังที่ชาวอเมริกันเริ่มกลับมาให้ความสนใจใหม่ในช่วงนี้ก็คือ การไต่สวนคดีเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา ช่วงวันที่ 11 กันยายน 2001 ที่มีกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ 19 คน จี้เครื่องบินพาณิชย์อเมริกันพุ่งชนอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์ก และ อาคารแพนทากอน ศูนย์บัญชาการฝ่ายกลาโหมสหรัฐฯ จนมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 2,996 คน และบาดเจ็บมากกว่า 2 หมื่นคน

เหตุการณ์ผ่านมาเนิ่นนานจนจะครบรอบ 20 ปีในปีนี้ แต่ทว่าคดีไต่สวนผู้ต้องหาที่เป็นเบื้องหลังคนสำคัญนอกเหนือจาก โอซามา บิน ลาเดน กลับยังค้างอยู่ในศาล จนถึงวันนี้ ก็ยังไต่สวนไม่แล้วเสร็จ

และยิ่งมาเจอการระบาด Covid-19 ครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ เลยทำให้ตลอดทั้งปี 2020 การพิจารณาคดีต้องถูกระงับไปโดยปริยาย จนญาติผู้เสียชีวิตบางคนถึงกับถอดใจว่า พวกเขาจะได้โอกาสเห็นผู้กระทำผิดถูกตัดสินลงโทษอย่างสาสมหรือไม่  

และผู้ต้องหาคดี 9/11 คนสำคัญ ที่เชื่อว่าเป็นผู้ชักใย เจ้าของแผนการโจมตีสหรัฐฯ ที่ตอนนี้ยังไม่ถูกตัดสินก็คือ นายคาลิด ชีค โมฮัมเหม็ด ที่สื่อสหรัฐฯ มักเรียกชื่อย่อว่า "KSM"

KSM เกิดในคูเวต และได้มีโอกาสมาเรียนจบด้านวิศวกรรมเครื่องกลถึงสหรัฐอเมริกา แต่กลับฝักใฝ่ในขบวนการใต้ดิน และเข้าร่วมขบวนการมูจาฮีดีนในปากีสถาน เพื่อต่อสู้กับกองทัพโซเวียตในอัฟกานิสถาน จึงทำให้ได้รู้จักกับโอซามา บิน ลาเดน และร่วมก่อตั้งกลุ่มอัลกออิดะห์ด้วยกันในยุคบุกเบิก 

ทางการสหรัฐฯ เชื่อว่า KSM คนนี้จุดประกายให้เกิดแผนการที่จะโจมตีสหรัฐฯ ในวันที่ 11 กันยายน 2001 และถูกหน่วย CIA จับได้ที่ปากีสถานพร้อมผู้ร่วมขบวนการจำนวนหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2003 และส่งไปขังคุกที่กวนตานาโม ในเขตประเทศคิวบา 

ดังนั้นการสืบสวนคดี จึงต้องเริ่มที่นั่น ที่กลายเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการทำงานสืบคดีของบรรดาทนายของฝ่ายญาติ ไม่เว้นแม้แต่ทีมอัยการ ผู้พิพากษา ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การต้องเดินทางไปถึงที่กวนตานาโมนั้น มัน 'นรก' ชัด ๆ 

ด้วยการเดินทางที่ยากลำบาก กว่าจะไปถึง และการสอบปากคำของผู้ต้องหา ต้องทำผ่านห้องสอบสวนที่มีกระจกชนิดหนากั้น พูดคุยผ่านหูฟังที่เสียงปลายสายต้องดีเลย์ประมาณ 40 วินาทีเพื่อการตรวจสอบ และหากมีเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนกระทบกับฝ่ายความมั่นคง ก็จะถูกเซ็นเซอร์ออกไป

แต่นอกเหนือจากกระบวนการสอบสวนที่ยุ่งยากแล้ว สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สุดที่ทำให้คดีไปต่อได้ยาก คือ ทีมกฎหมายไม่สามารถเข้าถึงเอกสารการสืบสวนที่ทางฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นความลับสุดยอด และเปิดเผยไม่ได้ 

ทำไมการสอบปากคำผู้ต้องหาถึงเป็นความลับเปิดเผยไม่ได้?

นั่นก็เพราะคำให้การของผู้ต้องหาเหล่านั้น ถูกเค้นออกมาจาก "เทคนิคการสอบปากคำพิเศษ" ของหน่วย CIA ในฐานลับ ก่อนที่จะถูกส่งตัวมาที่กวนตานาโมนั่นเอง 

ซึ่งเทคนิคพิเศษที่ CIA อ้างถึงนั้น ล้วนมาจากการบีบเค้น ทรมานผู้ต้องหาอย่างรุนแรง จนต้องยอมรับสารภาพ ซึ่งความจริงเรื่องนี้เองที่ทำให้ทางการสหรัฐฯ ไม่สามารถปล่อยเอกสารการสอบปากคำเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้

จึงทำให้กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 9/11 พยายามร้องเรียนมาตลอด ให้ช่วยลดขั้นตอน และอุปสรรคการสอบสวน รวมถึงให้เปิดเผยเอกสารการสอบสวนทั้งหมดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีออกมา 

โดยในสมัยอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา มีการเสนอให้ส่งตัวผู้ต้องหาคดี 9/11 จากกวนตานาโม มาคุมขังที่สหรัฐฯ เพื่อง่ายต่อการสอบสวนกว่านี้ แต่ถูกสภาคองเกรซคัดค้าน และตีตกไป 

จนมาถึงสมัยของโจ ไบเดน ญาติผู้เสียชีวิตได้ร่วมกันส่งจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้เปิดเผยเอกสารลับการสอบสวนคดีออกมาทั้งหมด ไม่เช่นนั้นพิธีไว้อาลัยในวันครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ 9/11 ประธานาธิบดีก็ไม่ต้องมา! 

ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน เองก็ยืนยันว่าคดีนี้มันต้องจบเสียที จึงได้เซ็นคำสั่งประธานาธิบดีถึงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ FBI ให้เปิดเผยเอกสารการสืบสวนทุกอย่างที่เคยลับให้เผยแพร่ได้ แม้จะมีข้อเท็จจริงบางส่วนที่อาจกระทบกับความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียก็ตาม 

แต่ขั้นตอนไขเอกสารลับ ก็ต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือน และสังเกตได้ว่าเอกสารที่โจ ไบเดนสั่งให้เปิดเผยได้ มีเพียงส่วนของฝ่ายกฎหมาย และ FBI เท่านั้น ไม่ได้พูดถึงข้อมูลของ CIA และฝ่ายกลาโหมแต่อย่างใด 

และล่าสุดการพิจารณาคดีที่เคยระบุว่าจะกลับมาปัดฝุ่นเริ่มได้ภายในปีนี้ อาจต้องเลื่อนออกไปอีกจนถึงปี 2022 

คดีที่หลายคนคาดว่าจะจบได้ในปีนี้ ดูท่าจะไม่จบง่าย ๆ เสียแล้ว และเริ่มสงสัยว่าจะปิดคดีได้ภายในสมัยรัฐบาลโจ ไบเดนได้จริงหรือ จากที่เคยสัญญาเสียดิบดี แต่สุดท้ายดูท่าจะกลายเป็นบัวแล้งน้ำเสียแล้ว

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

อ้างอิง: NY Times / NBC News / ABC News  /  Wikipedia

“จุรินทร์” ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันทำให้ ร่างแก้ไข รธน. ผ่านความเห็นชอบวาระสาม สะท้อนว่า รธน.ฉบับนี้แม้แก้ยาก แต่สามารถแก้ได้ หากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกัน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงข่าวภายหลังประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่บริเวณชั้น 1 อาคารรัฐสภา (วาระลงมติร่างรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3) 

ซึ่งได้กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะเจ้าของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เพิ่งผ่านที่ประชุมรัฐสภาไปเมื่อสักครู่ ซึ่งต้องขอถือโอกาสนี้ขอบคุณทุกฝ่ายทั้งในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน และสมาชิกวุฒิสภา ที่ได้ให้ความร่วมมือในการทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบไปได้ด้วยดี ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็สะท้อนให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้แม้จะแก้ยาก แต่ก็สามารถแก้ได้ ถ้าทุกฝ่ายให้ความร่วมมือร่วมใจซึ่งกันและกัน ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผมมั่นใจว่าจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง และระบอบประชาธิปไตยในอนาคตมากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนอยากเห็น

โดยเนื้อหาสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ประเด็นที่ 1 ก็คือเปลี่ยนระบบเลือกตั้งจากบัตรใบเดียวเป็นบัตรสองใบ 2. ปรับจำนวนผู้แทนราษฎรเป็นผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้ง 400 เขต หรือ 400 คน และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 100 คน และประเด็นที่ 3 ก็คือในเรื่องการคำนวนจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อซึ่งมีอยู่ 100 คนนั้น ก็ให้นับคะแนนบัตรใบที่สองที่ลงคะแนนเลือกพรรค แล้วนำมาเทียบสัดส่วนกับผู้แทนราษฎรทั้งหมดที่มีอยู่จำนวน 100 คน ถ้าพรรคการเมืองไหนได้คะแนนพรรค 100% ก็จะได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 100 คนไปเลย แต่ถ้าพรรคไหนได้คะแนนพรรค 60% ก็จะได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 60 คน เป็นต้น ซึ่งเป็นหลัก 3 ข้อ ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ 

ขั้นตอนต่อไปนับจากนี้ก็คือจะต้องรอไว้ 15 วัน ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งระหว่าง 15 วันนี้ถ้ามีสมาชิกรัฐสภาสงสัยในเรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการแก้ไขเที่ยวนี้ ก็สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับตั้งแต่รับเรื่อง ถ้าทุกอย่างผ่านตามขั้นตอนกระบวนการจนกระทั่งทรงลงพระปรมาภิไธย และถือว่าผ่านกระบวนการเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญทุกประการแล้ว ขั้นต่อไปก็คือจะต้องมีการยกร่างกฎหมายลูก หรือพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่แก้ไขต่อไป

ซึ่งเนื้อหาในนั้นคงประกอบด้วยวิธีการสมัครรับเลือกตั้ง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การนับคะแนน การประกาศผล รวมไปจนกระทั่งถึงการที่จะต้องกำหนดมาตรการที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรมต่อไปด้วย ซึ่งจะเป็นเนื้อหาหลักๆ สำหรับกฎหมายลูกที่จะต้องดำเนินการต่อไป 

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ จะได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องของกฎหมายลูกต่อไป และขณะเดียวกันก็จะมอบให้วิปของพรรค หารือร่วมกับวิปสามฝ่าย ทั้งในส่วนของวิปพรรคร่วมรัฐบาล วิปพรรคร่วมฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภา เพื่อที่จะร่วมมือร่วมใจกันในการขับเคลื่อนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง หรือกฎหมายลูกให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป 

ซึ่งในการแถลงข่าวดังกล่าวมีนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรค นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ นายประกอบ รัตนพันธ์ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมอยู่ด้วย

‘สุชาติ’ ชี้!! ไม่มีกลุ่มใดออกตาม ‘ธรรมนัส’ ยัน ทุกคนเข้าร่วม พปชร. เพราะเชื่อใน ‘ประยุทธ์-ประวิตร’

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาภายในพรรคพปชร. จนมีกระแสข่าวว่าจะปรับโครงสร้างพรรคว่า ในเรื่องของการเมืองไม่ว่า จะการประชุมพรรคหรือตำแหน่งต่าง ๆ ในพรรคต้องให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ในพรรคตัดสินใจ ตนเป็นเพียงแค่สมาชิก ทั้งนี้เราในฐานะนักการเมืองก็ทำหน้าที่เพื่อประเทศไทย จุดยืนอยู่ตรงไหนก็ทำงานตรงนั้นให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

เมื่อถามว่า มองผลต่อเนื่องทางการเมืองหลัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ลาออก จะมีการลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคพปชร. รวมทั้งตำแหน่งอื่น ๆ ด้วยหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า เราคิดแทนคนอื่นไม่ได้ ในทางการเมือง ส.ส. ทุกคน มีพื้นที่มาจากเสียงของประชาชน ทุกคนรู้ว่า เข้ามาเพื่อทำงาน และทุกคนที่มากับพรรคพลังประชารัฐ ก็ถือว่าเป็นพรรคพลังประชารัฐ มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และมีหัวหน้าพรรค ณ วันนี้คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของทุกคนอยู่แล้ว

“ผมคิดว่า ทุกคนไม่ได้มีประเด็นปัญหาอะไร เพราะเรามีศูนย์รวมจิตใจอยู่แล้ว คือพล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรค ส่วนการทำงานในภาพรวมของพรรค ก็ต้องมีการหารือกัน ซึ่งหัวหน้าพรรคก็คงจะได้พิจารณา ซึ่งวันนี้ถือว่า ไม่มีประเด็นอะไร” นายสุชาติ กล่าว

เมื่อถามว่า มีการมองกันว่า อาจจะต้องมีการปรับโครงสร้างพรรค นายสุชาติ กล่าวว่า ตนไปพูดเกินเลยตรงนั้นไม่ได้ เพราะตนเป็นแค่หนึ่งในคณะกรรมการบริหาร หนึ่งเสียงเท่านั้น ทั้งหมดอยู่ที่หัวหน้าพรรค และสมาชิก ส.ส. แต่อย่าลืมว่า ทุกคนมาด้วยเสียงของประชาชนที่เลือกตั้งเข้ามา และการพูดคุยทุกคนต่างก็รู้ว่ามีหน้าที่ของตัวเอง อย่างวันนี้ก็ต้องทำหน้าที่ในสภา

เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งให้พรรคพลังประชารัฐกลับมาสามัคคีกันหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งที่พรรคมีความเหนียวแน่น เพราะเรามีหัวหน้าพรรคที่ทุกคนให้ความเคารพ ในส่วนของเลขาธิการพรรค ก่อนหน้านี้เรามีนายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเลขาธิการพรรค ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร พอเปลี่ยนมาเป็นร.อ.ธรรมนัส ก็เหมือนเดิม เพราะหัวหน้าพรรคเราคือ พล.อ.ประวิตร เราอาจจะไม่เหมือนกับพรรคอื่น แม้จะเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ระยะเวลา 2-3 ปี แต่ความแข็งแรงความสามัคคี ความเข้มแข็งของส.ส.ทุกคน ก็มีมากขึ้น และทุกคนต่างรู้บทบาทหน้าที่ ส.ส. ในพรรคก็มีทั้ง ส.ส.ใหม่และส.ส.เก่า ซึ่งตนเชื่อว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย

“เพราะทุกคนที่มาอยู่กับพรรคนี้ เพราะพรรคเสนอชื่อคนเดียว คือ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ผมจึงเชื่อว่า ไม่มีอะไร การเมืองก็ปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เหมือนเราเปลี่ยนผู้บริหารบริษัท ลักษณะคล้ายกัน ส่วนจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรคหรือไม่นั้น ผมยังไม่ทราบและยังไม่ถึงเวลา” นายสุชาติ กล่าว

เมื่อถามว่า แสดงว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรคใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรค โดยหัวหน้าพรรคต้องใช้องคาพยพทั้งหมด ทั้งพวกตน สมาชิก และกรรมการบริหารพรรค ทุกคนก็รักกันดีอยู่แล้ว พรรคมีความสามัคคี และเชื่อว่า จะไม่มีเอฟเฟกต์ตามมา ไม่ว่า จะเป็น 2 ช. 3 ช. โดยภาพรวมนักการเมืองทุกคนมีความสนิทสนมกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องแบ่งเป็นกลุ่มเป็นก๊วน เพียงแต่มีความสนิทสนมกันบ้าง อย่างตนอยู่ภาคกลางก็มีเพื่อนอยู่ภาคกลาง แต่ทุกคนฟังหัวหน้าพรรคและนโยบายของพรรค ถ้าเราอยู่ในพรรคแล้วไม่เคารพหัวหน้าพรรคหรือมติพรรค ก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือเป็นบทเรียนครั้งใหญ่หรือไม่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ นายสุชาติ กล่าวว่า จะไปพูดตรงนั้นไม่ได้เพราะตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่อย่างตนที่มาอยู่พรรคพลังประชารัฐ เพราะรู้ว่าพรรคเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ตนถึงเข้ามา เพราะเราต้องดูก่อนว่า เราจะมาอยู่พรรคนี้เพราะอะไร เพราะยังไม่รู้เลยว่า มาอยู่พรรคนี้แล้วจะได้เป็นรัฐบาลหรือเปล่า แต่ถ้าได้เป็นรัฐบาลเราก็รู้ว่า นายกรัฐมนตรีคือ พล.อ.ประยุทธ์ เราถึงมา อย่างเพื่อนของตนที่มาจากหลายจังหวัดและชักชวนกันมาก็เพราะเรื่องนี้

เมื่อถามว่า คิดว่า นายกรัฐมนตรีมีระยะห่างระหว่างส.ส.มากไปหรือเปล่า นายสุชาติ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ วันนี้นายกฯ ทำงานหนักมาก ขณะที่พล.อ.ประวิตร ก็ดูแลลูกพรรคเป็นอย่างดี พล.อ.ประยุทธ์ มีอะไรก็คุยผ่านหัวหน้าพรรคอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งหมด ต้องยอมรับว่า ขนาดเป็นรัฐมนตรีอย่างเดียวงานก็หนักและเหนื่อยมาก มีเวลาน้อยที่จะได้พบกับเพื่อน แต่ทุกคนเข้าใจว่า อยู่บนพื้นฐานการทำงานเพื่อประเทศ

เมื่อถามว่า การที่ร.อ.ธรรมนัสลาออกไป คิดว่าจะมีกลุ่มก๊วนใดตามออกไปบ้างหรือไม่ นายสุชาติกล่าวว่า นักการเมืองไม่มีอย่างนั้นแน่นอน

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าในพรรคจะไม่มีใครตามร.อ.ธรรมนัสไป นายสุชาติ กล่าวว่า “วันนี้ท่านก็ยังอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ และผมคิดว่า ผู้แทนทุกคนที่มาอยู่กับพรรค มาอยู่เพราะเลือกนายกฯ และหัวหน้าพรรคลุงป้อม ไม่ได้มาเพราะร.อ.ธรรมนัส เป็นหัวหน้าพรรค จึงอย่าไปกังวลเพราะเรื่องนี้ ยืนยันว่า ไม่มีความกังวล และคิดว่า ไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ เพียงแต่เดี๋ยวรอเวลาหน่อย” 


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/601144

พม. จับมือสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ จัดสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ปี 2564 หัวข้อ "โควิด 19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ" 

นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2564 หัวข้อ "โควิด 19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ" (From COVID-19 to Development of Innovation for Persons with Disabilities) ผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ร่วมกับสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นเจ้าภาพหลัก 

นางพัชรี กล่าว่า ด้วยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ร่วมกับสถาบันการศึกษา องค์กรด้านคนพิการ และหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้จัดทำบันทึกความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนางานวิชาการ วิจัย นวัตกรรม เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวก และการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานด้านวิจัย งานวิชาการ นวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รวมทั้งจัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา โดยได้นำเสนอผลงานวิชาการ งานนวัตกรรม และนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มากกว่า 250 เรื่อง  

นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า สำหรับปี 2564 กระทรวง พม. โดย พก. จึงได้ดำเนิน "โครงการบูรณาการความร่วมมือทางวิชาการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ" ภายใต้งานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2564 หัวข้อ "โควิด 19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ" (From COVID-19 to Development of Innovation for Persons with Disabilities) ด้วยรูปแบบออนไลน์ (Fully online) ลักษณะ Hybrid and Virtual Conference ตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข ในการป้องการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือภาคีเครือข่าย ในการผลิตผลงานวิชาการด้านคนพิการ และเป็นช่องทางการสนับสนุนงานพัฒนางานวิจัยที่มีมาตรฐานสูง และสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง รวมทั้งนำนวัตกรรมองค์ความรู้มาต่อยอดทางความคิดและสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ และขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในสังคม รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนอาจารย์ นักวิจัย บุคลากร นิสิต นักศึกษาในสถาบันการศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป ได้ร่วมศึกษา ค้นคว้า วิจัย วิชาการเพื่อพัฒนางานด้านคนพิการ

นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า งานสัมมนาวิชาการฯ ปี 2564 มีกิจกรรมที่สำคัญ คือ พิธีการลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ระหว่างกระทรวง พม. โดย พก. กับสถาบันการศึกษา และหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมจำนวน 72 แห่ง อีกทั้งพิธีการมอบธงเจ้าภาพการจัดงานสัมมนาวิชาการฯ ปี 2565 ให้แก่มหาวิทยาลัยนเรศวร นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาทางวิชาการ หัวข้อ "โรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการ" รูปแบบออนไลน์ โดย พก. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ และองค์กรด้านคนพิการ และการบรรยายพิเศษ ได้แก่ 1) หัวข้อ "Hone Isolation สำหรับคนพิการ" โดย สถาบันสิรินธรฯ และ 2) หัวข้อ "อาชีพที่ใช่สำหรับคนพิการหลังโควิด 19"  โดยมหาวิทยาลัยนเรศวร

พาณิชย์ รับธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ตดาวเด่น รายพุ่งแสนล้าน

นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลการวิเคราะห์ธุรกิจในช่วงเดือนก.ค. 2564 ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ถึงการปรับตัวของภาคธุรกิจและผู้บริโภคในการเข้าสู่การค้าออนไลน์ พบว่า ธุรกิจที่กลายเป็นดาวเด่นประจำเดือนนี้คือ ธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต (e-Commerce) ปัจจุบันมีธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวน 3,525 ราย และตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2564 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ภายใน 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) จำนวน 794 ราย ซึ่งมีจำนวนเกือบเท่ากับปี 2563 ตลอดทั้งปี ที่มีจำนวน 798 ราย 

แต่หากเปรียบเทียบในช่วงเดือนก่อนหน้าพบว่า ในเดือนก.ค. 2564 มีจำนวน 112 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนมิ.ย. 2564 ที่มีจำนวน 106 ราย คิดเป็น 5.66% และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก.ค. 2563 ที่มีจำนวน 79 ราย ก็แสดงให้เห็นว่าการจัดตั้งธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ยังมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องคิดเป็น 41.77% เป็นที่น่าจับตามองถึงยอดจดทะเบียนในครึ่งปีหลังที่จะสร้างโอกาสใหม่ให้ธุรกิจนี้กลายเป็นธุรกิจดาวเด่นของปี 2564 

นายสินิตย์ กล่าวว่าธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ตถือเป็นธุรกิจที่มีการรายได้ภายในประเทศสูงถึงระดับแสนล้านบาทต่อปี โดยในปี 2563 ธุรกิจนี้มีรายได้รวมอยู่ที่ 111,670.15 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น สามารถใช้บริการได้แบบใกล้ตัวผ่านโทรศัพท์มือถือ ชำระค่าบริการสินค้าได้ทันทีผ่าน Mobile Banking และระบบการขนส่งสินค้าที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตภายใต้การระบาดของโรคโควิด-19 ยังผลักดันครั้งใหญ่ให้ผู้บริโภคลดการเดินทางออกจากบ้าน จึงจำเป็นต้องซื้อสินค้าผ่านทางโลกออนไลน์เป็นหลัก ทำให้ธุรกิจในกลุ่มนี้ได้รับผลเชิงบวกตามไปด้วย 

'พิธา' ยืนยัน พรรคก้าวไกลงดออกเสียง แก้รัฐธรรมนูญ วาระที่ 3

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 ที่อาคารรัฐสภา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำทีม ส.ส.พรรคก้าวไกล เเถลงข่าวต่อสื่อมวลถึงจุดยืนของพรรคก้าวไกลของการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ที่จะเกิดภายในวันนี้ 

พิธา กล่าวว่า จุดยืนของพรรคก้าวไกลในการที่จะโหวตในวาระ 3 ครั้งนี้ คือ งดออกเสียง ด้วยเหตุผลในหลายประเด็น 

ประเด็นแรก พรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยกับร่างดังกล่าวตั้งแต่วาระแรก และยืนยันว่าปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นถูกผูกด้วยรัฐธรรมนูญปี 2560 ต้องแก้ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยมี สภาร่างรัฐธรรมนูญ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง สามารถแก้ไขได้ทุกหมวดและทุกมาตรา ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาถูกผูกด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งหากประชาชนยังจำได้ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ผ่านเพียงร่างของพรรคประชาธิปัตย์ร่างเดียว และให้สามารถแก้ได้เพียง 2 มาตรา 

ประเด็นที่สอง หลังจากที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับถูกลดทอน เหลือเพียงการแก้ไขระบบการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลมีความเห็นว่า ควรที่จะแก้ไขระบบเลือกตั้งเพื่อที่จะให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า และถอดบทเรียนจากระบบเลือกตั้งที่ทำให้เกิดปัญหาวิกฤตทางการเมืองในอดีต เราเห็นด้วยกับการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ เพื่อที่จะขจัดการเหมารวมเจตจำนงของประชาชน ดังนั้นการเลือก ส.ส. 1 ใบ และพรรค 1 ใบ จึงมีความชัดเจน 

ในขณะเดียวกัน เรื่องการคำนวณ​ เราสนับสนุนให้มีการคำนวณจำนวน ส.ส.ในระบบที่โปร่งใสเป็นธรรม และทำให้การเมืองเข้มแข็ง เป็นการเมืองที่โอบรับความหลากหลายจากทุกภาคส่วนของประเทศไทย ซึ่งผลลัพธ์ออกมาอย่างที่ประชาชนได้เห็นชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของพรรคก้าวไกล จนกระทั่งวันนี้ (10 ก.ย. 64) ที่จะมีการลงมติโหวตในวาระ 3  

“พรรคก้าวไกล ยืนยันว่าเราไม่เห็นด้วยกับ รัฐธรรมนูญปี 60 ในการสืบทอดอำนาจ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช.) แต่ในขณะเดียวกัน เราก็มิอาจเห็นชอบกับผลลัพธ์ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ทั้งในวาระ 1 และวาระ 2 พรรคก้าวไกลจึงของดออกเสียง เพื่อเป็นการชี้ชะตาของผู้ที่ต้องการที่จะเสนอเงื่อนไขให้กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ว่าจะมีเสียงสนับสนุนมากน้อยเพียงใด"

พิธา กล่าวต่อไปว่า สุดท้ายที่สุด ตนในฐานะหัวหน้าพรรคและ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล พร้อมที่จะสู้ในทุกกติกา ในทุกสนาม ในทุกเมื่อ พร้อมที่จะเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนในการแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง ทั้งปัญหาวิกฤตบ้านเมือง เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองต่อไปในอนาคต 

เมื่อถามถึงกรณี พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐที่มีกระแสขัดแย้งกันภายในพรรค ภายหลังการลาออกของ 2 รัฐมนตรีช่วยนั้น หัวหน้าพรรคก้าวไกลระบุว่า เสถียรภาพภายในพรรคและของรัฐบาล และที่เป็นผลตามมาต่อความไร้เสถียรภาพของพรรคและรัฐบาล คือคุณภาพในการแก้ไขบ้านเมืองในปัจจุบัน พรรคก้าวไกลขอส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลว่าช่วยให้ความสำคัญอย่างตรงจุดคือเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มากกว่าปัญหาของศึกภายในพรรคของตัวเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top