Thursday, 3 July 2025
Hard News Team

‘ข่าวสามสี’ ออกแถลงการณ์ขอโทษ หลังถูกติเตียนในเรื่องเสนอข่าวพาดพิงศิลปินจีน

กลายเป็นประเด็นเดือดสุด ๆ หลังรายการข่าวสามสี ทางช่อง 3 นำเสนอข่าวในหัวข้อ “จีนผุดนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรม แบนหนุ่มหน้าหวาน ห้ามปรากฏตัวออกสื่อ” ซึ่งระหว่างการดำเนินรายการได้มีการฉายภาพตัวอย่างดารา-ศิลปินหลายคน จนทำให้เหล่าแฟนคลับและคอซีรีส์จีนไม่พอใจ เนื่องจากการนำเสนอข่าวเช่นนี้อาจทำให้หลายคนเข้าใจว่าศิลปินในภาพโดนแบน อีกทั้งศิลปินที่ยกตัวอย่างมานั้นก็ไม่ได้มีลักษณะที่ดูไม่แมนแต่อย่างใด ซ้ำยังเป็นศิลปินแนวหน้า ที่ได้ขึ้นแท่นสามีแห่งชาติกันทั้งนั้น!

จนทำให้แฮชแท็กร้อนอย่าง #แบนข่าวสามสี พุ่งติดเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศไทยไปเมื่อวันก่อน 

ทำให้ล่าสุดทางรายการข่าวสามสีได้ออกมาโพสต์ข้อความขอโทษ โดยมีใจความว่า

ประกาศขอน้อมรับทุกคำติเตียนและขออภัยเป็นอย่างสูง

เรื่อง การนำเสนอข่าว “จีนผุดนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรม แบนหนุ่มหน้าหวาน ห้ามปรากฏตัวออกสื่อ” ด้วยทางรายการข่าวสามสี ได้นำเสนอข่าว ‘จีนผุดนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรม แบนหนุ่มหน้าหวาน ห้ามปรากฏตัวออกสื่อ’ ออกอากาศทางช่อง 33 เมื่อวานที่ 6 กันยายน 2564 ทางรายการต้องขออภัยเป็นอย่างสูงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ข่าวดังกล่าวได้กระทบกับความรู้สึกของแฟนคลับศิลปินจีนจำนวนมาก และต้องขออภัยที่ไม่ได้ตรวจสอบไปยังข่าวต้นฉบับของทางการจีน

ผู้ผลิตรายการข่าวสามสีขอยืนยันว่าทางรายการไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวอ้างว่านักแสดงที่นำภาพมาประกอบเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับข่าว อย่างไรก็ตามทางผู้ผลิตรายการข่าวสามสีไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความเสียหายใด ๆ กับตัวศิลปิน ทางรายการขอน้อมรับความผิดพลาดที่ไม่เหมาะสมต่อการกระทำในครั้งนี้เและขออภัยต่อศิลปิน ต้นสังกัด รวมถึงแฟนคลับ และผู้ชมรายการทุกท่าน เป็นอย่างสูงและทางรายการข่าวสามสีจะนำคำติเตียนในครั้งนี้มาแก้ไขเพื่อพัฒนางานให้ดีขึ้นต่อไป 

บรรณาธิการข่าวสามสี

'ร้านปาจิงโกะ' ในโอซากาล้างภาพลักษณ์สถานพนัน ผันตัวมาเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนในชุมชน

ร้านปาจิงโกะกลางเมืองโอซากาให้ใช้สถานที่เป็นศูนย์ฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 สำหรับประชาชนในพื้นที่ ได้รับตอบรับอย่างดีจากชุมชนและหน่วยงานสาธารณสุข

ปาจิงโกะคือเกมยิงลูกเหล็กเพื่อลุ้นรางวัล เป็นการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมายของญี่ปุ่น แต่ในช่วงการระบาดของโควิด ร้านปาจิงโกะถูกมองว่าเป็นแหล่งมั่วสุมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรค

“ฟรีด้อม” ร้านปาจิงโกะขนาดใหญ่ในย่านเทนจินปาชิ ถนนสายชอปปิ้งที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น ใจกลางเมืองโอซากา ประกาศว่าจะงดให้บริการในวันที่ 13-14 ก.ย. และ 12-13 ต.ต. เป็นใช้เป็นศูนย์ฉีดวัคซีน

ที่นั่งหน้าตู้ปาจิงโกะกว่า 1,000 ที่จะรองรับผู้เข้าฉีดวัคซีน ทั้งพนักงานของร้านและครอบครัว พนักงานบริษัทคู่ค้า เจ้าของร้านค้าและประชาชนในชุมชน ซึ่งจะได้รับวัคซีน “โมเดอร์นา” โดยแพทย์จากศูนย์สาธารณสุขในพื้นที่จะมาฉีดวัคซีนให้

จุนกิ ฮิรากาวะ ประธานบริษัท Avance Co. ผู้ดำเนินการร้านปาจิงโกะแห่งนี้ บอกว่า ชุมชนมีความสำคัญต่อธุรกิจ การประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลทำให้ธุรกิจซบเซาไปทั่ว และร้านปาจิงโกะยังเป็นธุรกิจที่ไม่สามารถรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลได้ เมื่อรัฐบาลประกาศโครงการฉีดวัคซีนโดยภาคเอกชน ซึ่งภาคธุรกิจต่าง ๆ บริษัท หรือมหาวิทยาลัยจะจัดหาสถานที่และเจ้าหน้าที่มาฉีดวัคซีนที่รัฐบาลจะจัดสรรให้ เขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ แม้ว่าการปิดให้บริการ 4 วันจะต้องสูญเสียรายได้หลายสิบล้านเยน

ฮิรากาวะ บอกว่า ร้านปาจิงโกะตกเป็นเป้าวิจารณ์มาตลอดว่าเป็นแหล่งการพนัน ยิ่งในช่วงการระบาดของโควิดก็ยิ่งมีภาพลักษณ์ติดลบหนักขึ้นไปอีก การใช้พื้นที่เป็นศูนย์ฉีดวัคซีนจึงเป็นการตอบแทนสังคมและสร้างภาพลักษณ์ใหม่ด้วย

ผู้แทนของศูนย์สาธารณสุขในพื้นที่สนับสนุนแนวคิดนี้ ร้านปาจิงโกะเหมาะกับเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนอย่างยิ่ง เพราะพื้นที่กว้างขวาง มีระบบปรับอากาศ และแต่ละที่นั่งมีการเว้นระยะห่าง และมีแผงพลาสติกกั้นระหว่างผู้เล่นแต่ละคนอยู่แล้ว จึงลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้

ทางร้านได้เปิดให้ประชาชนในพื้นที่จองคิวเข้ารับวัคซีน 1,500 คนผ่านทางเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ของร้านในวันที่ 17 ส.ค. และภายใน 10 วันคิวทั้งหมดก็ถูกจองเต็ม ชาวบ้านในพื้นที่ต่างยินดีกับแนวคิดนี้ เนื่องจากผู้คนจำนวนมากเผชิญความยากลำบากในการจองคิวฉีดวัคซีนกับภาครัฐ และทุกคนอยากจะได้รับวัคซีนให้เร็วที่สุด
 

'ตอลิบาน' เผย จัดตั้งรัฐบาลอัฟกัน รมว.มหาดไทยมีชื่ออยู่ในบัญชีก่อการร้ายของสหรัฐฯ

ตอลิบานดึงคนวงในระดับสูงเข้ามาดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในรัฐบาลใหม่ของอัฟกานิสถานในวันอังคาร (7 ก.ย.) ในนั้นรวมถึงสหายคนหนึ่งของผู้ก่อตั้งขบวนการเคลื่อนไหวนักรบอิสลามิสต์แห่งนี้ที่ถูกดันขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนชายผู้เป็นที่ต้องการตัวในบัญชีก่อการร้ายของสหรัฐฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

บรรดามหาอำนาจโลกแนะนำกับตอลิบานว่ากุญแจสู่เสรีภาพและการพัฒนาก็คือรัฐบาลที่ครอบคลุม ซึ่งจะเข้ามาทำตามคำสัญญาของทางกลุ่มที่เคยบอกว่าจะใช้แนวทางประนีประนอมกว่าเดิม ยึดมั่นในสิทธิมนุษยชน หลังจากครั้งที่อยู่ในอำนาจคราวก่อนระหว่างปี 1996-2001 พวกเขาแปดเปื้อนไปด้วยความอาฆาตนองเลือดและบังคับกดขี่ผู้หญิง

ไฮบาตุลเลาะห์ อาคุนซาดา ผู้นำสูงสุดของตอลิบาน ระบุในถ้อยแถลงต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พวกนักรบบุกยึดครองกรุงคาบูลเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ว่า ตอลิบานจะยึดมั่นกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและข้อตกลงทุกฉบับที่ไม่ขัดกับกฎหมายอิสลาม

"ในอนาคต ทุกเรื่องของการปกครองและการใช้ชีวิตในอัฟกานิสถาน จะกำหนดโดยกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ชารีอะห์" ไฮบาตุลเลาะห์ อาคุนซาดา กล่าวในถ้อยแถลง ซึ่งเขายังใช้โอกาสนี้แสดงความยินดีกับชาวอัฟกานิสถาน ในสิ่งที่เขาเรียกว่าการปลดปล่อยประเทศจากกฎเกณฑ์ของต่างชาติ

การจัดตั้งรัฐบาลใหม่มีขึ้น 3 สัปดาห์หลังจากตอลิบานคว้าชัยชนะในด้านการทหาร ท่ามกลางการถอนตัวของกองกำลังต่างชาติที่นำโดยสหรัฐฯ และการพังครืนของรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนของตะวันตก ทั้งนี้ ตอลิบานไม่ส่งสัญญาณผูกไมตรีใด ๆ กับฝ่ายต่อต้าน

ชาวอัฟกันมีความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในด้านการศึกษาและเสรีภาพพลเมืองในช่วงเวลา 20 ปีภายใต้รัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และการประท้วงยังคงเกิดขึ้นในทุก ๆ วันนับตั้งแต่ตอลิบานก้าวเข้าสู่อำนาจ ถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้ปกครองใหม่ของอัฟกานิสถาน

ในวันอังคาร (7 ก.ย.) ระหว่างการแถลงจัดตั้งรัฐบาลใหม่ บรรดาสตรีชาวอัฟกันกลุ่มหนึ่งรวมตัวบนท้องถนนในกรุงคาบูล แสดงพลังต่อต้านตอลิบาน แต่พวกเธอต้องรีบวิ่งหาที่กำบัง หลังสมาชิกตอลิบานยิงปืนขึ้นฟ้าสลายการชุมนุมของพวกเธอที่มีผู้เข้าร่วมหลายร้อยคน

ครั้งสุดท้ายที่ตอลิบานปกครองอัฟกานิสถาน เด็กผู้หญิงไม่มีสิทธิไปโรงเรียน สตรีไม่ได้รับอนุญาตให้ไปทำงานและศึกษาเล่าเรียน โดยตำรวจศาสนาจะเฆี่ยนตีใครก็ตามที่ละเมิดกฎ และลงโทษต่อสาธารณะ

ตอลิบานเรียกร้องให้ชาวอัฟกานิสถานอดทนและประกาศจะใจกว้างมากขึ้นในคราวนี้ คำสัญญาที่ชาวอัฟกันและบรรดามหาอำนาจต่างชาติจะคอยตรวจสอบกลั่นกรองอย่างพินิจพิเคราะห์ ในฐานะที่มันเป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขมอบความช่วยเหลือและการลงทุนที่จำเป็นอย่างมากสำหรับอัฟกานิสถาน

มุลเลาะห์ ฮาซาน อาคุนด์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเขาก็เหมือนกับแกนนำตอลิบานคนอื่น ๆ ที่ได้รับความเคารพจากการที่เขามีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับ มุลเลาะห์ โอมาร์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มผู้รักความสันโดษที่ล่วงลับไปแล้ว ขณะที่ โอมาร์ เคยขึ้นดำรงตำแหน่งประธานสภาสูงสุดอัฟกานิสถาน ซึ่งถือเป็นประมุขรัฐ ในสมัยตอลิบานปกครองประเทศเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน

อาคุนด์ เป็นประธานสภาการตัดสินใจสูงสุดของกลุ่มตอลิบานที่ชื่อว่า Rehbari Shura หรือสภาผู้นำ มาช้านาน เขาเคยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและจากนั้นก็เป็นรองนายกรัฐมนตรี ตอนที่ตอลิบานอยู่ในอำนาจครั้งก่อน และก็เหมือนกับว่าที่รัฐมนตรีคนอื่น ๆ อีกหลายคน เขาอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ จากบทบาทของเขาในรัฐบาลนั้น

ซีราจุดดิน ฮักกานี รัฐมนตรีมหาดไทยคนใหม่ เป็นลูกชายของผู้ก่อตั้งเครือข่ายฮักกานี ซึ่งถูกวอชิงตันขึ้นบัญชีก่อการร้าย เขาเป็นหนึ่งในชายซึ่งเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของเอฟบีไอ สืบเนื่องจากความเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีด้วยระเบิดฆ่าตัวตายหลายครั้งและมีความสัมพันธ์กับอัลกออิดะห์

มุลเลาะห์ อับดุล กานี บาราดาร์ ประธานสำนักงานการเมืองของตอลิบาน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ การเดินหน้าแต่งตั้ง บาราดาร์ นั่งเก้าอี้ระดับสูงในรัฐบาลถือว่าสร้างความประหลาดใจแก่ผู้คนบางส่วนไม่น้อย ในขณะที่เขามีหน้าที่รับผิดชอบพูดคุยต่อรองการถอนทหารสหรัฐฯ ระหว่างการเจรจาในกาตาร์ และเป็นตัวแทนที่เผยโฉมหน้าตอลิบานต่อโลกภายนอก

บาราดาร์ เคยเป็นผู้บัญชาการระดับสูงของตอลิบานในการสู้รบอันยาวนานกับกองกำลังสหรัฐฯ เขาเคยถูกจับและโดนคุมขังอยู่ในปากีสถานปี 2010 ก่อนก้าวเข้าสู่สำนักงานทางการเมืองของตอลิบานในกรุงโดฮาร์ หลังได้รับการปล่อยตัวในปี 2018

มุลลาห์ โมฮัมหมัด ยาคูบ บุตรชายของมุลเลาะห์ โอมาร์ ได้รับการแต่งตั้งในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะดำรงตำแหน่งในฐานะรักษาการเท่านั้น โฆษกของตอลิบานระบุ

เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ระหว่างที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังบินไปยังนิวยอร์ก จะไม่มีการรับรองรัฐบาลตอลิบานเร็ววันนี้

โฆษกของตอลิบาน ยังได้พูดถึงการพังครืนของระบบบริการสาธารณะและการล่มสลายทางเศรษฐกิจท่ามกลางการถอนตัวอันยุ่งเหยิงของต่างชาติ โดยบอกว่ารัฐบาลรักษาการชุดนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานของชาวอัฟกานิสถาน และระบุจะค่อย ๆ มีการเติมเต็มเก้าอี้รัฐมนตรีที่เหลืออยู่ ครั้งที่พบผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว


(ที่มา : รอยเตอร์)
https://mgronline.com/around/detail/9640000088846

คปภ. คลอด 4 มาตรการแก้ปัญหากันบริษัทเครมประกันโควิดช้า

สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ที่มีบริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนประกันภัยโควิดล่าช้า คปภ. ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ล่าสุดได้กำหนดมาตรการเร่งด่วน 4 มาตรการเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหา คือ

1. เร่งดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย กรณีบริษัทกระทำการเข้าข่ายเป็นความผิดฐานประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ซึ่งมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่าเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2549 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท และปรับรายวันอีกวันละไม่เกิน 20,000 บาท โดยจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ในวันอังคารที่ 14 กันยายน 2564 และหากพบว่าบริษัทประกันภัยแห่งใด จงใจฝ่าฝืนมาตรการดังกล่าว ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ก็จะยกระดับการบังคับใช้กฎหมาย ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ 

2. ให้บริษัทฯ เร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนประกันภัยโควิด-19 ให้แล้วเสร็จ โดยในสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้เกี่ยวข้องของบริษัทฯ มาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องที่มีการร้องเรียนในแต่ละกรณีเพื่อให้สามารถยุติเรื่องร้องเรียนโดยเร็ว

3. ให้บริษัทฯ ปรับปรุงหน่วยงานรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนและเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 โดยเพิ่มบุคลากรให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ผู้เอาประกันภัย และให้นำระบบออนไลน์มาใช้ในการบริหารจัดการการรับเรื่องร้องเรียนและการติดตามความคืบหน้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันภัย และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาที่บริษัทฯ รวมทั้งลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของผู้เอาประกันภัย 

4. ให้บริษัทฯ เร่งปรับปรุงและเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้เอาประกันภัยให้ถูกต้องและชัดเจน 

ทั้งนี้ คปภ. จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับทุกบริษัทที่ฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมทั้งจะติดตามและดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยให้บริหารจัดการการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และแก้ไขกรณีการจ่ายเคลมประกันภัยโควิด-19 ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงเชื่อว่าปัญหาการจ่ายค่าสินไหมทดแทนล่าช้าจะคลี่คลายโดยเร็ว

รัฐบาลเล็งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ล็อตใหม่เริ่มต.ค.นี้

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลกำลังประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ และสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเดือน ก.ย.นี้อย่างใกล้ชิด หากจำนวนผู้ติดเชื้อยังทรงตัว และไม่มีคลัสเตอร์ใหม่ ๆ ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากเพิ่มอีก ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ เบื้องต้นอาจจะเริ่มในเดือน ต.ค.เป็นต้นไป โดยจะใช้ทั้งนโยบายใหม่ และนโยบายเดิม เช่น โครงการคนละครึ่ง หรือนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ยังมีอยู่และมีการขยายระยะเวลาออกไปก็ยังเดินหน้าต่อ

“นโยบายทุกอย่างอยู่ในลิ้นชักอยู่แล้วรอเวลาที่เหมาะสมที่จะเอาขึ้นมาใช้ได้ หากสถานการณ์ในตอนนี้เป็นไปด้วยดี ประชาชนดูแลตัวเองดี ก็คิดว่าถึงเวลาที่เราจะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะเริ่มในเดือน ต.ค.นี้ ส่วนเศรษฐกิจในปีนี้จะยังขยายตัวได้หรือไม่นั้น ประเมินดูแล้ว ก็น่าจะยังขยายตัวได้ เพราะยังมีบางส่วนของเศรษฐกิจที่เติบโตได้อยู่”

คอลเกต สนับสนุนผลิตภัณฑ์มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ผ่านโครงการ “ต้องรอด” โดยกลุ่มอาสา Up for Thai เพื่อส่งมอบแก่โรงพยาบาลสนามบุษราคัม

โครงการ “ต้องรอด” โดยกลุ่มอาสา Up for Thai ยังคงดำเนินการเปิดรับบริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภคสำหรับโครงการเฉพาะกิจ ​#missionบุษราคัม75 ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตรภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคสื่อสารมวลชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสนามบุษราคัม บุคลากรทางการแพทย์และอาสา ให้การดำเนินการของโรงพยาบาลเป็นไปอย่างราบรื่นเป็นระยะเวลา 75 วัน ก่อนจะมีการย้ายไปยังสถานที่ใหม่ 

สำหรับในโอกาสนี้​ ต้องขอขอบคุณบริษัท คอลเกต-ปาล์ม โอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัดที่เล็งเห็นความสำคัญของโครงการดังกล่าว​ ซึ่งได้ร่วมบริจาคผลิตภัณฑ์ “ยาสีฟันคอลเกต Dare to Kiss” จำนวน 21,600 หลอด มูลค่าถึง 1,058,400 บาท โดยมีหม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ “ต้องรอด” และอาสาสมัครกลุ่ม Up for Thai เป็นตัวแทนส่งมอบให้แก่นพ.พงษ์ศักดิ์ นิติการูญ รองผู้อำนวยโรงพยาบาลสนามบุษาราคัม เพื่อให้บุคลากรด่านหน้าและผู้ป่วยมีกำลังใจ ยิ้มสู้ไปด้วยกัน 

นอกจากโครงการเฉพาะกิจ ​#missionบุษราคัม75 กลุ่มอาสา Up for Thai ยังคงปฏิบัติภารกิจหลักโครงการ “ต้องรอด” ควบคู่กันไป ทั้งการแจกจ่ายอาหารปรุงสุกและสิ่งของอุปโภคบริโภคไปยังชุมชน คลัสเตอร์ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงการรับบริจาคและส่งต่ออุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อส่วนบุคคล ให้กับโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม สถานีอนามัย ศูนย์พักคอย เจ้าหน้าที่กู้ชีพ กู้ภัย อาสาด่านหน้าทั่วประเทศ อีกทั้งยังจัดเตรียมชุดยังชีพอันประกอบด้วยอาหารแห้งพร้อมทานและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น จัดส่งให้แก่ชุมชน ผู้พิการ คนชรา ครอบคลุมถึงผู้ป่วยติดเตียง ผู้ติดเชื้อ COVID-19 และครอบครัวที่ต้องกักตัว

ร่วมส่งต่อความช่วยเหลือกับ "ต้องรอด" ได้ที่
สถานที่ปฎิบัติงานและรับบริจาค :
ศูนย์อาสาต้องรอด Up For Thai วัดเทวสุนทร https://goo.gl/maps/X6VJJXWgD7FxVM6X6

ที่อยู่ในการจัดส่งสิ่งของบริจาค :
กองอำนวยการ Up For Thai ต้องรอด วัดเทวสุนทร
เลขที่ 1 ม.19 ถ.กำแพงเพชร 6 ลาดยาว จตุจักร กทม. 10900

หากส่ง delivery กรุณาแจ้ง tracking มาที่ LINE
สมทบทุนเป็นเงินสดที่
กสิกรไทย 096-3-23974-2
(ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล และนางสมใจ พุ่มสมบัติ)

ครม. เห็นชอบจัดหาวัคซีนซิโนแวคเพิ่ม 12 ล้านโดส รองรับการฉีดวัคซีนสูตรผสม ร่นระยะเวลาฉีดสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เร็วขึ้น 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ก.ย. มีมติเห็นชอบอนุมัติกรอบวงเงิน 4,254.36 ล้านบาท สำหรับจัดหาวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติม จำนวน 12 ล้านโดส เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแก่ประชาชน ใน 4 กลุ่มเป้าหมาย ดังนี้ 

1.) กลุ่มประชาชนที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง (ปอดอุดกั้น หอบหืด) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 (ไตวายเรื้อรัง) โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งทุกชนิดที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด รังสีบำบัดและภูมิคุ้มกันบำบัด โรคเบาหวาน และโรคอ้วน (BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 35 น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม) 

2.) ประชาชนอายุ 60 ปีขึ้นไป

3.) เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโควิด-19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย เช่น ด่านควบคุมโรคตามชายแดน สถานกักกันโรค ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่เก็บขยะติดเชื้อเป็นต้น 

4.) ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

การจัดหาวัคซีนซิโนแวคจำนวน 12 ล้านโดสนี้ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน เพราะเป็นวัคซีนที่ผลิตแล้ว ทำให้สามารถส่งมอบได้ในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. และยังเป็นการรองรับการฉีดวัคซีนสูตรผสมและเพิ่มความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศที่รวดเร็วยิ่งขึ้น 

"ณัฐชา" ดักคอ อย่ายื้อเลือกตั้ง กทม.-พัทยา เบี่ยงกระแสหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้ ควรเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับให้เร็วที่สุดแก้ปัญหาโรคระบาด พร้อมปลดล็อกระเบียบข้อบังคับส่วนกลาง ให้เกียรติผู้แทนปชช.

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบเฉพาะการจัดเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในส่วนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ขณะที่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและนายกเทศมนตรีเมืองพัทยาที่ประชุมยังไม่พิจารณาโดยคาดว่าจะมีขึ้นในปีหน้า ว่า สถานการณ์ประเทศไทยในขณะนี้ควรมีการจัดการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นอย่างเร่งด่วน เพราะปัญหาการจัดการโรคระบาดหลายพื้นที่มีความจำเป็นต้องใช้อำนาจท้องถิ่นในการจัดการ หากรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาของประชาชนจริง เร่งจัดการเลือกตั้งอบต.ให้เร็วที่สุดเพราะมีความจำเป็นอย่างมาก และหากรัฐบาลต้องการแสดงความจริงใจไม่เบี่ยงประเด็นความบอบช้ำหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องเดินหน้ากำหนดวันเลือกตั้งอย่างตรงไปตรงมาเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในขณะนี้ 

"โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ กทม. ที่อยู่ภายในการบริหารงานของผู้ว่าฯ และสมาชิกกรุงเทพฯ ที่แต่งตั้งมานานกว่า 7 ปี อยู่ในตำแหน่งโดยกินเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน แต่ประชาชนแทบไม่รู้ว่าทำอะไรไปเพื่อประชาชนบ้าง ดังนั้นการเดินหน้าประกาศให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุดคือทางออกวิกฤตในขณะนี้" นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องตระหนักคือการมีตัวแทนประชาชนที่ไม่สะท้อนความต้องการของประชาชนเช่นนี้ ถือเป็นการซ้ำเติมปัญหา จึงควรเดินหน้าให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับ เพราะมีความใกล้ชิด รู้และเข้าใจปัญหาให้พื้นที่ตัวเองดี ระเบียบข้อบังคับหรืออะไรต่างๆ ที่ล็อกไว้จากส่วนกลางก็ต้องคลายล็อก เป็นการทำงานอย่างให้เกียรติและไว้ใจตัวแทนของประชาชน ไม่ใช่แค่หาประเด็นเบี่ยงกระแสหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สื่อมีเรื่องใหม่ไปตีข่าวแล้วก็ยื้อต่อไปในปีหน้า แต่ที่ต้องทำเช่นนี้คงเพราะรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายแม้จะรอดทั้งคณะ แต่เชื่อว่าในใจท่านรู้ดีว่ามือที่ยกให้นั่นไม่ใช่ความไว้ใจของประชาชนอย่างแน่นอน

ราเมศ เผย ที่ประชุมพรรค มีมติ เห็นชอบ วาระสาม ร่าง รธน. ลุยผลักดัน ร่างกฎหมายป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงผลการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 ว่า

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.พรรค ได้ให้นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักได้รายงานความคืบหน้าเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการพิจารณาวาระสามในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ และที่ประชุม ส.ส.ได้มีมติเห็นชอบในวาระที่สาม ที่ประชุมไม่ได้มีความกังวลใดๆ และเชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาจะให้ความเห็นชอบผ่านวาระสามไปได้อย่างแน่นอน พรรคผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ 
 
ในส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ที่มีนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นผู้เสนอ ไว้ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นร่างที่ได้บรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมแล้ว ทางพรรคก็จะผลักดันให้มีการเลื่อนระเบียบวาระขึ้นมาพิจารณาก่อน เพื่อจะได้พิจารณาทันก่อนปิดสมัยประชุม เพราะเมื่อรับหลักการในวาระแรก ในวาระที่สองในชั้นกรรมาธิการก็สามารถพิจารณาในช่วงปิดสมัยประชุมได้ 

นายราเมศกล่าวต่อว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวทางพรรคได้ให้ความสำคัญ ที่ผ่านมาได้เชิญภาคประชาชนที่ร่วมผลักดันเรื่องนี้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในที่ประชุมพรรค เห็นตรงกันว่า ควรมีกฎหมายเพื่อป้องกันการกระทำหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมที่ป้องกันการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหายซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นกฎหมายที่จะมุ่งคุ้มครองสิทธิมนุษยชนซึ่งสอดคล้องกับหลักเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และหากเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาในวาระที่สองพรรคก็จะได้เชิญภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งนายชินวรณ์ บุญยเกียรติ จะได้นำไปหารือกันในวิปรัฐบาลต่อไป

สหรัฐฯ ตรวจพบ โควิด-19 กลายพันธุ์สายพันธุ์ 'มิว' ครบทุกรัฐ ขณะยอดติดเชื้อในประเทศทะลุ 40 ล้านคน

โควิด-19 กลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ “Mu” ตรวจพบเกือบครบทุกรัฐในสหรัฐฯ แล้ว และพบในกรุงวอชิงตันดีซี เมืองหลวงด้วย ล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อ Mu ในสหรัฐฯ พบกว่า 2,200 คน แซงหน้าโคลอมเบีย ประเทศต้นตอ “Mu” และเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อ Mu ที่พบทั่วโลก ขณะยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมในสหรัฐฯ ทะลุ 40 ล้านคน

Newsweek รายงานว่า สหรัฐฯ ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ “Mu” ใน 49 รัฐ และพบในกรุงวอชิงตันดีซี เมืองหลวงสหรัฐฯ ด้วย เหลือเพียงรัฐเดียวที่ยังรอดจาก Mu คือ รัฐเนแบรสกา

ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อ Mu ที่พบในสหรัฐฯ ล่าสุด มากกว่า 2,200 คนแล้ว แซงหน้าโคลอมเบีย ประเทศต้นกำเนิดสายพันธุ์ Mu ที่พบผู้ติดเชื้อราว 900 คน และคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อ Mu ทั่วโลกกว่า 5,000 คน ในอย่างน้อย 39 ประเทศทั่วโลก 

รัฐแคลิฟอร์เนียพบผู้ติดเชื้อ Mu มากที่สุด 384 คน เฉพาะในเขตปกครองลอสแองเจลิส พบ 167 คน

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เพิ่งยกระดับ Mu เป็นโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่ “ควรสนใจ” และเตือนว่า Mu อาจสามารถหลบเลี่ยงวัคซีนต้านโควิดได้ และอาจติดต่อได้ง่ายกว่าโควิดกลายพันธุ์ตัวอื่น ๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC ยังไม่ได้ยกระดับอันตรายของ Mu ในสหรัฐฯ ให้เท่ากับ WHO และเมื่อสัปดาห์ก่อน นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันว่า ขณะนี้ Mu ยังไม่เป็นภัยคุกคามสหรัฐฯ ในเวลาอันใกล้ และยังไม่เข้าใกล้การเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดหลักในสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ กำลังจับตา Mu อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ สายพันธุ์ที่ระบาดหลักในสหรัฐฯ ยังคงเป็น “Delta”

สหรัฐฯ ได้รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อ Mu สูงสุดในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้น ปรากฏว่า ผู้ติดเชื้อ Mu ในสหรัฐฯ กลับลดลง เป็นสัญญาณว่า Mu อาจกำลังอ่อนแอลงก็เป็นได้ และยังไม่เป็นปัญหาในตอนนี้ แต่อาจเป็นปัญหาในอนาคตได้

ทั้งนี้ โควิดกลายพันธุ์ Mu พบครั้งแรกที่โคลอมเบียเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และได้ระบาดในทวีปอเมริกาใต้ สหรัฐฯ และยุโรป

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ ล่าสุด ทะลุ 40 ล้านคนแล้วเมื่อวานนี้ (6 กันยายน) อยู่ที่ 40,865,794 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 666,559 คน สหรัฐฯ ยังครองอันดับ 1 ของโลก เป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตและติดเชื้อโควิด-19 สูงที่สุดในโลก ผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 18% ของผู้ติดเชื้อทั่วโลก ส่วนผู้เสียชีวิตคิดเป็นเกือบ 14% ของผู้เสียชีวิตทั่วโลก

สาเหตุจากกลายพันธุ์ “Delta” ยังคงทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และอาการทรุดต้องเข้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 

ขณะ 5 รัฐที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในสหรัฐฯ อันดับ 1 คือ แคลิฟอร์เนีย ผู้ติดเชื้อสะสม 4,421,247 คน, อันดับ 2 เทกซัส 3,706,980 คน, อันดับ 3 ฟลอริดา 3,352,451 คน, อันดับ 4 นิวยอร์ก 2,304,955 คน และอันดับ 5 อิลลินอยส์ มากกว่า 1.5 ล้านคน และมีอีก 8 รัฐที่มีผู้ติดเชื้อสะสมเกิน 1 ล้านคน คือ จอร์เจีย, เพนซิลเวเนีย, โอไฮโอ, นอร์ธแคโรไลนา, นิวเจอร์ซีย์, เทนเนสซี, มิชิแกน และแอริโซนา


ที่มา : https://www.facebook.com/351495409269379/posts/520543789031206/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top