Friday, 4 July 2025
Hard News Team

'จีน' ชี้ฉีด Sinovac เข็ม 3 ช่วยกระตุ้นแอนติบอดีต่อเชื้อเดลตาได้ 2.5 เท่าของเข็ม 2

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานโดยอ้างถึงผลการศึกษาจากสถาบันวิทยาศาสตร์จีน มหาวิทยาลัยฟูตัน เมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจัดทำร่วมกับบริษัท Sinovac และสถาบันอื่น ๆ ในประเทศจีน เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของวัคซีน Sinovac ในการต่อสู้กับโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาเมื่อมีการฉีดวัคซีนเป็นเข็มที่ 3

ทีมวิจัยได้ทำการเก็บตัวอย่างจากผู้เข้าร่วม 66 คนและอาสาสมัคร 38 คนที่ได้รับวัคซีน 2 หรือ 3 โดส พบว่าเมื่อฉีดวัคซีน Sinovac เข็มที่ 2 ไปแล้ว 6 เดือน ไม่พบการทำงานของแอนติบอดีที่จะสามารถต้านทานโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

แต่หากกระตุ้นด้วยการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 พบว่าสามารถเพิ่มแอนติบอดีต่อเชื้อเดลตาได้ถึง 2.5 เท่า หลังฉีดเข็มที่ 3 ไปแล้วประมาณ 4 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับระดับแอนติบอดีที่พบหลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ไปแล้ว 4 สัปดาห์เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การศึกษาดังกล่าวไม่ได้ระบุชัดเจนว่าระดับแอนติบอดีที่เพิ่มขึ้นนั้นมีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนในการต่อต้านไวรัส หรือช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยอาการหนักหรือเสียชีวิตได้หรือไม่

โดยก่อนหน้านี้ทางผู้ผลิตวัคซีนยังไม่เคยเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนดังกล่าวในการต่อต้านโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

ผลการศึกษาเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนดังกล่าวในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาซึ่งมีศักยภาพในการแพร่ระบาดสูงอันเป็นที่น่าวิตกกังวลของทั่วโลก เนื่องจากส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ แม้ในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูง

โดยหลายประเทศที่พึ่งพาวัคซีน Sinovac เป็นหลักเริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนอื่น ๆ ที่พัฒนาโดยชาติตะวันตกเป็นวัคซีนเข็มที่ 3 ให้แก่ประชาชนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) วางแผนที่จะส่งมอบวัคซีน Sinovac และ Sinopharm ประมาณ 100 ล้านโดสไปยังแอฟริกาและเอเชียภายในสิ้นเดือนนี้ โดยเป็นการส่งมอบวัคซีนที่ผลิตโดยประเทศจีนครั้งแรกผ่านโครงการ COVAX

ขณะที่บางประเทศปฏิเสธรับวัคซีนดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าวัคซีนขาดข้อมูลด้านประสิทธิภาพในการต่อต้านโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/662521

'ลาว' เตรียมพร้อมเปิดเดินรถไฟเส้นทาง 'จีน-ลาว' ตรงกับวันชาติลาว 2 ธันวาคมนี้

1.) เฟซบุ๊ก ‘ແອໂຣລາວ AEROLAOS’ เผยแพร่ภาพพนักงานต้อนรับบนรถไฟสายประวัติศาสตร์ จีน-ลาว พร้อมข้อความ ‘พร้อมมั้ย? อีกแค่ 3 เดือนเท่านั้น!’ 

2.) สำหรับการก่อสร้างและการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ใกล้ 100% เข้าไปทุกที รัฐบาลลาวมั่นใจในความพร้อม เริ่มเปิดเดินรถไฟเส้นทางจีน-ลาว วันที่ 2 ธันวาคมนี้ ตรงกับวันชาติลาวพอดี

3.) การก่อสร้างทางรถไฟจีน-ลาว เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2559 ใช้เวลาก่อสร้างรวม 5 ปี มีระยะทางยาว 414 กิโลเมตร เป็นเส้นทางรถไฟระบบรางเดี่ยว ใช้งบประมาณ 191,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนจากจีนเป็นส่วนใหญ่

4.) ตลอดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว มี 32 สถานี แบ่งเป็นสถานีขนส่งสินค้า 22 แห่ง สถานีโดยสาร 10 แห่ง เชื่อมระบบรถไฟกับจีนที่เมืองคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนาน ตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เข้าสู่เขตลาวที่เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ผ่านแขวงหลวงพระบาง แขวงอุดมไซ มาถึงแขวงเวียงจันทน์

5.) ธนาคารโลกระบุว่า เส้นทางรถไฟสายนี้ตอบโจทย์หลายข้อ ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทาง เรียกได้ว่าเป็นผลประโยชน์ร่วมทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีน-ลาว สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน ที่ต้องการให้ทุกประเทศได้ผลประโยชน์ร่วมกัน

6.) การมีเส้นทางรถไฟเชื่อมกับจีน ลาวสามารถพัฒนาประเทศทางเศรษฐกิจได้มากขึ้นกว่านี้ สามารถเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพตามพื้นที่ที่ทางรถไฟตัดผ่านได้มากขึ้นอีก


ที่มา: https://www.facebook.com/178839832836368/posts/882384835815194/

อ้างอิง: www.facebook.com/478509568864279/posts/4190207557694443/

China Xinhua News

Laos-China Railway on Track for December Opening 

https://thediplomat.com/2021/08/laos-china-railway-on-track-for-december-opening-official/

Main structure of longest bridge along China-Laos Railway completed

www.globaltimes.cn/page/202106/1226387.shtml

'ญี่ปุ่น' เตรียมคลายล็อกเปิดประเทศ อนุญาตกลุ่มนักธุรกิจก่อน ส่วนนักท่องเที่ยงยังต้องรอ

สมาพันธ์ธุรกิจแห่งญี่ปุ่น เสนอรัฐบาลให้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเดินทางสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 แล้ว นายกฯ รับปากจะเปิดประเทศอย่างเป็นขั้นเป็นตอน คาดเปิดทางให้นักธุรกิจและครอบครัวชาวญี่ปุ่นก่อน

สมาพันธ์ธุรกิจแห่งญี่ปุ่น หรือเคดันเร็ง ได้ยื่นชุดข้อเสนอต่อนายกฯ โยชิฮิเดะ ซูงะ เป็นต้นว่า ให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วได้รับการยกเว้นไม่ต้องกักตัวเมื่อเดินทางเข้าญี่ปุ่น และให้ลดระยะเวลากักตัวสำหรับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเป็นไม่เกิน 10 วัน รวมทั้งให้อนุญาตให้จำหน่ายชุดตรวจหาเชื้อได้ในร้านขายยาทั่วไป

นายมาซาคาสุ โทคูระ ประธานไคดันเร็ง ระบุว่าเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในต่างประเทศ ข้อมูลรับรองการฉีดวัคซีนสามารถใช้เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เข้าร้านอาหาร และใช้บริการระบบขนส่งสถานที่สาธารณะ

นายกฯ โยชิฮิเดะ ซูงะ รับปากว่า รัฐบาลจะพิจารณาข้อเสนอทั้งหลายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พร้อมระบุว่า รัฐบาลจะออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนแบบดิจิทัลในสมาร์ทโฟนได้ในเดือนธันวาคมนี้

ญี่ปุ่นได้ออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ แต่ไม่ใช้การฉีดวัคซีนเป็นเงื่อนไขในการเข้าใช้บริการต่าง ๆ ภายในประเทศ โดยอ้างว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติต่อคนที่ไม่อยากฉีดวัคซีน หรือไม่สามารถฉีดวัคซีนได้

ญี่ปุ่นได้ระงับการเข้าประเทศของชาวต่างชาติมานานเกือบ 2 ปีจากการระบาดของโรคโควิด ผู้ที่สามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้ในขณะนี้ คือผู้ที่มีสิทธิ์พำนักในญี่ปุ่นอยู่แล้วเท่านั้น แม้แต่นักศึกษาต่างชาติ คนทำงาน ครอบครัวที่ยื่นขอวีซ่าใหม่ก็ยังไม่สามารถเข้าประเทศญี่ปุ่นได้

ล่าสุด มีรายงานว่า สถานทูตญี่ปุ่นในหลายประเทศได้เริ่มออกวีซ่าใหม่ให้กับนักศึกษาทุนรัฐบาล และครอบครัวของชาวญี่ปุ่นแล้ว สมาคมนักธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่นคาดว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะเปิดทางให้นักธุรกิจระหว่างประเทศเดินทางได้ก่อนปลายปีนี้ แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติยังต้องรออีกนานกว่าจะมาเที่ยวญี่ปุ่นได้อีกครั้ง


ที่มา : https://mgronline.com/japan/detail/9640000088412

'สวอพ แอนด์ โก' เริ่มบริการสลับเปลี่ยนแบตฯ มอเตอร์ไซค์ กระตุ้นไทยใช้ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า หรือ EV

การใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในทิศทางกระแสโลกสืบเนื่องจากที่ผ่านมากิจกรรมของมนุษย์ได้ก่อมลพิษจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมัน ซึ่งพยายามเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ “ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV)” แต่ก็มีความท้าทายโดยเฉพาะเรื่องของสถานีชาร์จพลังงานที่ยังไม่แพร่หลายเหมือนสถานีบริการน้ำมัน หรือแบตเตอรี่ที่ใช้เวลาชาร์จนานกว่าการเติมน้ำมัน ซึ่งมีความพยายามในการแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว ดังกรณีของ “สวอพ แอนด์ โก (Swap & Go)” ธุรกิจใหม่ในกลุ่ม ปตท. ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้

นายชยุตม์ จัตุนวรัตน์ กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด เผยว่า สวอพ แอนด์ โก เป็นบริการสลับแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งปกติผู้ที่ใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะต้องคอยชาร์จแบตเตอรี่อยู่เป็นระยะ ๆ โดยการชาร์จแต่ละครั้งอาจต้องรอเวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะเต็ม ดังนั้นบริการนี้จะช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้สามารถใช้รถได้ต่อเนื่องมากขึ้น เพราะการสลับแบตเตอรี่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที

อีกทั้งเป็นบริการที่ใช้งานง่าย เพียงใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนสแกน QR Code เพื่อแสดงตนที่ตู้แบตเตอรี่ ก็จะสามารถเปิดออกให้สลับแบตที่ใช้งานแล้วกับแบตก้อนใหม่ได้ทันที ทั้งนี้ EV หรือยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ได้รับการยอมรับว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และไม่มีการเผาไหม้ที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อันเป็นมลภาวะ ซึ่งพาหนะที่ใช้น้ำมันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งยังทำให้เมืองเงียบสงบด้วยเพราะไม่มีเสียงเครื่องยนต์รบกวน โดย สวอพ แอนด์ โก มีสถานีให้บริการ หรือ สวอพสเตชั่นอยู่มากกว่า 20 จุดทั่วกรุงเทพฯ และมีแผนที่จะขยายเพิ่มเติมอีกในอนาคต

“ในไอเดียของเราคร่าว ๆ เราอยากจะให้ขั้นต่ำของจำนวนสวอพสเตชั่นของเราเท่ากับสถานีบริการน้ำมัน นั่นหมายถึงประสบการณ์ของผู้ใช้ในการใช้งานรถไฟฟ้าจะไม่ต่างจากใช้น้ำมันเลย ความสะดวกสบายจะต้องเทียบเคียงกัน เพราะเราอยากให้การใช้พลังงานเป็นเรื่องง่าย ๆ” นายชยุตม์ กล่าว

นายชยุตม์ กล่าวต่อไปว่า กลุ่มเป้าหมายสำคัญของ สวอพ แอนด์ โก คือผู้ที่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นอาชีพ คนกลุ่มนี้ไม่สามารถหยุดรออะไรได้นานเพราะเวลาที่มีอยู่คือโอกาสการสร้างรายได้ เช่น กลุ่มไรเดอร์ส่งอาหาร ที่มีบทบาทเด่นในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ลำพังการไปต่อคิวซื้ออาหารก็ใช้เวลามากแล้ว คงไม่อยากเสียเวลาไปกับการชาร์จแบตเตอรี่อีก ทำให้บริการสลับแบตเตอรี่แบบไม่ต้องรอชาร์จจึงน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสม

อนึ่ง ข้อดีอีกอย่างของ EV คือประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะการชาร์จพลังงานนั้นถูกกว่าการเติมน้ำมัน และยังไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และเมื่อดูกรณีศึกษาในต่างประเทศ จะพบบางประเทศถึงขั้นใช้งบประมาณเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากรถใช้น้ำมันสู่รถใช้ไฟฟ้า และมีอย่างน้อย 20 ประเทศที่มีแผนยุติการจำหน่ายรถใช้น้ำมันในอนาคต หรือมีบางเมืองไม่อนุญาตให้นำรถใช้น้ำมันเข้าไปในบางพื้นที่แล้ว จึงหวังว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะไปในทิศทางนั้นเพื่อให้เมืองมีความสะอาดต่อไป

แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นายชยุตม์เล่าถึงสารพัดคำถามเมื่อไปนำเสนอในองค์กรต่าง ๆ เช่น EV วิ่งได้ระยะทางไกลเท่าไร ทำความเร็วได้เท่าไร ชาร์จพลังงานได้ที่ไหน ค่าใช้จ่ายเท่าไร ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะมีคำถามเหล่านี้ ไม่ต่างจากเมื่อร้อยปีก่อนที่คนเริ่มเปลี่ยนจากการใช้รถม้ามาเป็นรถยนต์ ส่วนปัจจุบันสถานีบริการน้ำมันรถยนต์มีทั่วไปแล้ว ก็จะต้องขยายสถานีชาร์จสำหรับรถใช้ไฟฟ้าให้มีมากขึ้น เพื่อคลายความกังวลของลูกค้า

“จริง ๆ องค์ประกอบหลัก ๆ ของการเปลี่ยนผ่านมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า คือ 1.) เรื่องของข้อมูล ถ้าเขาไม่เข้าใจก็คงไม่หันมาใช้อยู่แล้ว 2.) ราคารถ ถ้าดูราคาของรถ EV บ้านเรากับรถที่เป็นน้ำมัน ถ้าเป็นรถ 4 ล้ออาจจะยังมี Gap ค่อนข้างเยอะ ทางฝั่งรถ 2 ล้อ Gap มันเริ่มน้อยลงก็จริง แต่ก็ยังมี 3.) โครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นสถานีชาร์จ สถานีสลับแบตเตอรี่ ที่ปัจจุบันไม่ว่าหน่วยงานรัฐหรือบริษัทเอกชนก็พยายามช่วยกันเพื่อขยายให้ครอบคลุมการใช้งาน

ส่วนเรื่องสุดท้าย ผมคิดว่ามันยังขาดตัวกระตุ้นอยู่ ถ้าเราเห็นความสำเร็จหลาย ๆ ประเทศที่เปิดรับการใช้ EV จะต้องมีมาตรการกระตุ้นให้เกิดในช่วงปีแรก ๆ พอหลังจากนั้นคนก็จะเริ่มใช้เป็นนิสัยกันแล้ว ตอนนี้ผมคิดว่าถ้าประเทศของเรามีตัวกระตุ้นพวกนี้เข้ามาเสริม ก็จะทำให้การรับรู้ การใช้งานเกิดขึ้น เพราะถ้าเกิดเราไม่กระตุ้นวันนี้ เขาไปซื้อรถน้ำมัน ก็แปลว่ากว่าที่เขาจะกลับมาซื้อรถคันใหม่อีกรอบหนึ่ง ก็ประมาณ 5-10 ปี ถ้าอยากจะเปลี่ยนก็ต้องมีคนกดคลิกให้มันเริ่ม” นายชยุตม์ ระบุ

กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ สวอพ แอนด์ โก ทิ้งท้ายในประเด็นมาตรการกระตุ้นเพื่อเปลี่ยนจากรถใช้น้ำมันเป็นรถใช้ไฟฟ้าว่าต้องเริ่มจากหลายฝ่าย เช่น ผู้ผลิตยานพาหนะอาจจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้องจัดให้มีโครงสร้างที่เอื้ออำนวยต่อการใช้งานอย่างเพียงพอ ส่วนภาครัฐสามารถใช้กลไกภาษีสนับสนุนได้ ดังที่เคยใช้มาแล้วกับนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายต่าง ๆ

ส่วนเป้าหมายของ สวอพ แอนด์ โก คือการส่งเสริมให้คนใช้ EV หรือยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า ที่ใช้งานได้สะดวกไม่ต้องกังวลทั้งสถานที่ชาร์จและเวลารอชาร์จ สามารถสลับแบตเตอรี่แล้วใช้รถต่อได้อย่างรวดเร็ว ตามนิยามการดำเนินงานของบริษัทคือ “สลับแบตไว..ไปได้เร็ว” เพราะหากการใช้พลังงานสะอาดเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน ในอนาคตผู้คนย่อมเปลี่ยนผ่านมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น นำไปสู่การใช้พลังงานที่ยั่งยืน ไม่ส่งต่อผลกระทบให้กับคนรุ่นหลัง


ที่มา : https://www.naewna.com/business/600130

'จีน' เตรียมเปิดตลาดหุ้นแห่งใหม่ เน้นรองรับธุรกิจ SMEs ของจีน เข้าทำนอง 'จีนทำ จีนใช้  จีนเจริญ จีนไม่สนฝรั่ง'

รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช.

รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น โพสต์ลง Facebook ในเรื่องนี้ว่า…

#ตลาดหุ้นจีนแห่งใหม่ คงตอบโจทย์คาใจใครหลายคนนะคะ การที่จีนคุมเข้มบริษัทจีนออกไป IPO ต่างประเทศ แล้วบริษัทจีนเหล่านั้นจะไประดมทุนที่ไหน ? จะเติบโตได้อย่างไร ? don’t worry นะ จีนเตรียมการไว้แล้ว ก่อนจะลงมือ #จัดระเบียบทุน จนสั่นสะเทือนไปทั้งโลกทุนนิยม !!!  #สีจิ้นผิง ประกาศจะตั้งตลาดหุ้นแห่งใหม่ #ตลาดหุ้นปักกิ่ง เตรียมเปิดรองรับการระดมทุนจีนเองเลยจ้า แถมจะเป็นตลาดหุ้นจีนที่เน้นรองรับ SMEs จีนด้วยนะ เข้าทำนองว่า “จีนทำ จีนใช้  จีนเจริญ จีนไม่สนฝรั่ง” ???? #จีนโนแคร์

Note: จีนมีตลาดหุ้น 2 แห่งแล้วบนแผ่นดินใหญ่ คือ #ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และ #ตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้น แล้วก็ยังมี #ตลาดหุ้นฮ่องกง ด้วยนะ ดังนั้น บริษัทจีนมีทางเลือกตรึมเลยจ้า ไม่ต้องไปแคร์ฝรั่ง #โลกแตกแกน #TheGreatDecoupling ????

พร้อมสาระสำคัญขยายความ อ้างอิงจากเพจ Nihao-Sawadee ว่า... 
Credit: https://www.facebook.com/117547923447097/photos/a.130779808790575/333247238543830/?type=3

#บทวิเคราะห์ เปิดเหตุผล “ทำไมจีนเตรียมเปิดตลาดหุ้นแห่งใหม่ในปักกิ่ง แม้ปัจจุบันมีตลาดหุ้นถึง 2 แห่ง ในจีน”

กลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงในช่วงสุดสัปดาห์นี้เลย สำหรับการกล่าวสุนทรพจน์ของ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในการประชุมสุดยอดการค้าภาคบริการโลกของงานมหกรรมการค้าบริการนานาชาติจีน (China International Fair for Trade in Services: CIFTIS) 

ใจความสำคัญของการกล่าวสุนทรพจน์ของสี จิ้นผิง เป็นการแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการพัฒนาการค้าภาคบริการของจีนและความร่วมมือกับนานาประเทศ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจโลก หลังจากเผชิญวิกฤติแพร่ระบาดโควิด-19 

โดย “แผนเปิดตลาดหุ้นแห่งใหม่ในกรุงปักกิ่งของประเทศจีน” จากถ้อยแถลงของสี จิ้นผิง ได้รับการจับตามองจากทั่วโลกทันที จึงขอสรุปเหตุผล “ทำไมจีนต้องเปิดตลาดหุ้นแห่งใหม่ เป็นแห่งที่ 3 ของประเทศจีน” 

จากการรายงานของสถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน ชี้ให้เห็นว่า ทางสี จิ้นผิง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ของจีน เป็นอย่างมาก จีนจึงจะเปิดตลาดหุ้นแห่งใหม่ที่ปักกิ่ง เพื่อสนับสนุนและรองรับธุรกิจ SMEs ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาด้านนวัตกรรม 

อีกเหตุผลหนึ่งคือ เป็นการดึงดูดเงินลงทุนหลั่งไหลจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นจีนแห่งนี้ ซึ่งก็ส่งผลดีโดยตรงต่อธุรกิจ SMEs ตามเหตุผลแรกที่ระบุไปแล้วว่า เปิดตลาดหุ้นเพื่อรองรับ SMEs จีน ที่มุ่งเน้นในการพัฒนานวัตกรรม ซึ่งสี จิ้นผิง ได้กล่าวถึงการพัฒนาเขตสาธิตการพัฒนาเชิงนวัตกรรมการค้าภาคบริการของรัฐ และเขตสาธิตการค้าดิจิทัล เป็นข้อบ่งชี้ถึงวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศจีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิง ว่าเน้นทางนวัตกรรม และให้ความสำคัญกับ SMEs อย่างแท้จริง


แหล่งข้อมูล:
https://news.cgtn.com/news/2021-09-02/Xi-Jinping-China-to-establish-new-stock-exchange-in-Beijing-13exDdi89CE/index.html
http://m.news.cctv.com/2021/09/02/ARTIfvz5TL90CyY0GoLTyLkW210902.shtml

‘อนุทิน’ ยอมรับ ข้อมูลสาธารณสุขโดนแฮกจริง แต่แค่ข้อมูลเบื้องต้น ย้ำไม่ต้องตื่นตระหนก

วันที่ 7 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีที่โซเชียลเปิดเผยว่าข้อมูลผู้ป่วยของกระทรวงสาธารณสุขถูกแฮก ว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่จ.เพชรบูรณ์ และเคยเกิดที่สระบุรี เมื่อทราบข่าวได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ไปดำเนินการและได้สั่งการเรียบร้อยแล้ว โดยข้อมูลที่ถูกโจรกรรมเป็นข้อมูลเบื้องต้นทั่วไป ไม่ได้เป็นความลับอะไร 

เมื่อถามว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 จะปรับมาตรการอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า หลังจากนี้จะปรับมาตรการทางปลอดภัยทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น เราไม่คิดจะมีคนคิดทำได้ขนาดนี้ แต่เชื่อว่าทางโรงพยาบาลจะมีการจัดข้อมูลชั้นความลับของคนไข้ซึ่งเป็นเรื่องที่สำนักปลัดกระทรวงต้องไปแก้ไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ไม่มีอะไรตื่นตระหนก

เมื่อถามถึงแนวทางการยุบ ศบค.กระทรวงสาธารณสุข พร้อมรับไม้ต่ออย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ด้านการสาธารณสุข มีความพร้อม แต่ต้องหาวิธีการบูรณาการกับภาคส่วนอื่นโดยเฉพาะด้านความมั่นคง การบังคับใช้กฎหมาย เรื่องการสนับสนุนระหว่างกันของหน่วยงาน แต่คิดว่าจะต้องหารือกัน

'กรณ์' พรรคกล้า คว้า 'สมคิด จิรานันตรัตน์' ผู้ปั้นแอป 'เป๋าตัง' ร่วมงาน หลังแนวคิด 'เศรษฐกิจดิจิทัล' ลงตัว

น่าจับตามองอย่างมาก เมื่อพรรคกล้าได้มือดีอย่าง 'เชาว์-สมคิด จิรานันตรัตน์' เข้ามาร่วมทัพ โดย คุณกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า... 

คนที่คิดจะแก้ปัญหา และพัฒนาบ้านเมือง 
ต้องมีครบทั้งความตั้งใจ ความรู้ และความกล้า

วันนี้อีกปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือความเข้าใจเรื่อง ‘เทคโนโลยี’ ทั้งในมุมลึกและกว้าง จนสามารถนำมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนา และแก้ปัญหาประเทศ และช่วยเหลือประชาชนได้จริง

พรรคกล้า - KLA Party เห็นว่ากุญแจสำคัญสู่การปลดล็อกปมปัญหาของประเทศคือ ‘เทคโนโลยี’ ไม่ว่าจะเป็น... 

1.) เทคโนโลยีที่จะมาสร้างระบบราชการให้ทุจริตยากขึ้น โปร่งใสตรวจสอบได้ 

2.) ทำให้เรามีระบบการเงินที่เข้าถึงได้ด้วยดอกเบี้ยที่เป็นธรรม

3.) เทคโนโลยีที่จะช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิต และขายตรงถึงผู้บริโภคได้

คีย์แมนสำคัญคนหนึ่งที่มาร่วมทีมกับเราในเรื่องนี้คือ ‘พี่เชาว์-สมคิด จิรานันตรัตน์’ Chao Jiranuntarat ผู้ก่อตั้ง settrade.com ทำระบบหลักทรัพย์ในโลกออนไลน์ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาแพลตฟอร์ม Digital ต่าง ๆ ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นพร้อมเพย์สู่แอป “เป๋าตัง” และ K-Plus ผู้พลิกโฉมครั้งใหญ่ให้ธนาคารกสิกรไทย

‘พี่เชาว์' เข้าใจปัญหาและได้ทำจริงจนมั่นใจว่า "เทคโนโลยีจะเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาของประเทศไทยได้ ทั้งระบบเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน และกับดักระบบราชการที่ตามโลกไม่ทัน" เจาะลึกลงไปก็จะพบความวิกฤตระบบการศึกษา ข้อบกพร่องระบบสาธารณสุข ปัญหาสังคม เศรษฐกิจปากท้อง และสิ่งแวดล้อมอีกมากมาย

ถ้าเรายังอยู่กันแบบเดิม การเมืองก็ ‘เล่น’ กันไปแบบเดิม ๆ คนไทยจะลำบาก ประเทศไทยจะไม่มีที่ยืน เราจะไม่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของโลก คุณภาพชีวิตคนไทยจะมีแต่แย่ลง

ด้วยความมุ่งมั่นที่ผมตั้งใจสร้างพรรคการเมืองแห่งแพลตฟอร์ม นำ “เทคโนโลยี” เข้ามาแก้ไขปัญหาหลักของประชาชน ผมเชิญ “พี่เชาว์” เข้ามามีบทบาทสำคัญเป็น "ที่ปรึกษานโยบาย ด้านเทคโนโลยีเพื่อเศรษฐกิจดิจิทัล" ช่วยร่างนโยบายให้เป็นกระบวนการทำงานสำคัญที่ตอบโจทย์ประเทศไทย รัฐต้องบริหารราชการแผ่นดินด้วยสิ่งที่เรียกว่า #GovTech ให้ก้าวทันโลก ทันสมัย และที่สำคัญคือ ต้อง ‘ทำได้จริง’ ! 

ผมมั่นใจว่า ชุดนโยบายของ “พรรคกล้า” เป็นนโยบายที่แตกต่างจากทุกนโยบายของพรรคการเมืองที่เคยมีมาก่อน

ผมดีใจ และภูมิใจที่พรรคกล้ามาถึงวันที่เราได้รวบรวมคนเก่ง คนมีของ ที่มีความตั้งใจ ความรู้ และความกล้ามาช่วยกันสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทย เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย

ด้าน คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับการเข้าร่วมพรรคกล้าในครั้งนี้ด้วยว่า... 

ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดเล่นการเมือง เห็นว่าควรอยู่ห่างการมืองมากที่สุด แต่ปัจจุบันปัญหาบ้านเมืองมีมากเหลือเกิน และอนาคตที่จะเปลี่ยนไปในโลกใบที่ไม่เหมือนเดิม ทำให้ผมไม่ลังเลที่จะขอมีส่วนช่วยคิด ช่วยทำ ในหลาย ๆ เรื่องที่กำลังคิดและทำอยู่ 

เมื่อพรรคกล้าให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีมาก และคุณกรณ์ ก็มาชวนให้ผมออกความเห็นหลายครั้ง จนมีความคิดที่ตรงกันว่า เทคโนโลยีที่ออกแบบมาดี ใช้ให้เหมาะ มีโอกาสอย่างมากที่จะแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของประเทศไทยได้ เตรียมความพร้อมให้รุ่นลูกรุ่นหลาน สร้างโอกาสให้คนตัวเล็ก รวมถึง Startups และเกษตรกรด้วย 

แต่การจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จจะต้องเกิดความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาคประชาชนด้วย บางครั้งเรื่องที่จะทำได้ กลับทำไม่ได้ เสียโอกาสไปมากมาย เพราะเราขาดการทำความเข้าใจกัน 

แม้ประเทศไทยจะไม่ได้มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี เมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศจีน หรือสิงคโปร์ แต่เรามีคนเก่ง ๆ มากพอ และผมได้เคยทำงานร่วมและสัมผัสคนเก่งเหล่านี้มาแล้วมากมาย โดยเฉพาะคนไทยเก่ง ๆ ที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ 

ผมจึงมีความเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนได้ หากเราร่วมมือกัน พร้อมใจกัน และวันนี้พรรคกล้าได้เสนอโอกาสให้ผมเสนอความคิดได้อย่างเต็มที่เพื่อให้นโยบายพรรคกล้าตอบโจทย์ของอนาคตประเทศได้ดีที่สุด และสามารถปฏิบัติได้ 

ซึ่งผมมีความเชื่อว่าสิ่งที่เสนอปฏิบัติได้จริง เพราะเชื่อในความสามารถของคนไทยที่ยังไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ และทุกเรื่องที่เสนอไม่ได้เป็นเรื่องเลื่อนลอย เพราะได้คิดเรื่องเหล่านี้มาเป็นปีแล้ว ได้เห็นภาพที่ปะติดปะต่อได้ชัดเจน ขาดแต่ความเชื่อร่วมกัน ความร่วมมือกันที่จะสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาเปลี่ยนประเทศ 

เรื่องนี้จะสำเร็จได้ ภาครัฐต้องมีวิสัยทัศน์ ทุ่มสุดตัว และไม่กลัวในการที่จะส่งเสริมและร่วมมือสนับสนุนเอกชน เราต้องพร้อมร่วมมือ ร่วมใจ และสร้างพลังใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้มีความสดใสและมีความหวังที่จะเชิดหน้า ชูตาในสังคมโลกอนาคตได้ครับ

#ประเทศไทยเปลี่ยนได้ด้วยเทคโนโลยี


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4765472956814121&id=100000543919894
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=394745362014031&id=100044357112719

‘บิ๊กป้อม’ ลั่นศึกภายในพรรคพลังประชารัฐเรียบร้อยดี ระบุ ‘นายกฯ’ บอกแล้วไม่ปรับครม.

วันที่ 7 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงสถานการณ์ภายในพรรคพปชร. ว่า ในพรรคเรียบร้อยดี ไม่มีอะไร ผู้สื่อข่าวถามกรณีของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และฐานะเลขาธิการพรรค ที่เคลื่อนไหวก่อนหน้านั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็เรียบร้อยดี 

เมื่อถามย้ำว่าอนาคตร.อ.ธรรมนัส ในรัฐบาลจะเป็นอย่างไร "เรียบร้อย ๆ" รองนายกฯ กล่าวว่า "นายกฯบอกแล้วไงไม่มีปรับคณะรัฐมนตรี"

"อนุทิน " โยน เป็นเอกสิทธิ์ส.ส.โหวตแก้รธน.วาระสาม

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระสามของพรรคภูมิใจไทย ในวันที่ 10 ก.ย.นี้ ว่า เป็นเอกสิทธิ์ของส.ส. จุดยืนของพรรคภูมิใจไทย หากจะแก้รัฐธรรมนูญ ต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ใช่ประโยชน์ของพรรคการเมืองหรือนักการเมือง หลักมีอยู่แค่นี้ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยมีวุฒิภาวะที่จะตัดสินใจได้ว่าจะโหวตแบบไหน เพราะเรื่องรัฐธรรมนูญไปบังคับกันไม่ได้

วราวุธ ยัน ส่วนตัว พร้อมโหวตวาระ3แก้รธน. หนุน บัตร 2 ใบ สานต่อ บรรหาร-รธน.40 ส่วนส.ส. ถือเป็นเอกสิทธิ์

ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ  ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของพรรคชาติไทยพัฒนาในการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ในวันที่ 10 ก.ย.นี้ว่า ในช่วงเช้าวันที่ 8 ก.ย. จะมีการประชุมส.ส.พรรคเพื่อเตรียมความพร้อม แต่อย่างไรก็ตามการโหวตนั้นถือเป็นเอกสิทธิ์ของสส.และสว. ส่วนตัวการโหวตที่จะเปลี่ยนระบบมาเป็นบัตร 2 ใบนั้น จะสอดคล้องกับแนวทางที่รัฐธรรมนูญปี 40 ได้เริ่มมา ถือเป็นสิ่งที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ริเริ่มไว้ ส่วนตัวตนจะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดและสานต่องานที่บิดาของตนได้ริเริ่ม 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของสว.ที่ไม่เห็นด้วยกับบัตร 2 ใบ เราจะมีการพูดคุย ประเมินเรื่องดังกล่าวอย่างไร นายวราวุธ กล่าวว่า ทั้งใบเดียวและ 2 ใบ ต่างก็มีข้อดีต่างกันไป เชื่อว่าทางสว.จะมองเห็นต่างมุมกันไป และในที่ประชุมของวิปก็คงมีการประชุมแลกเปลี่ยนกันไปทั้งข้อดีข้อด้อย และคิดว่าแบบใดจะเหมาะกับสถานการณ์ในระบบของประเทศมากกว่ากัน เชื่อว่าสว.น่าจะเห็นพ้องต้องกัน แต่อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภา

เมื่อถามว่าพรรคชาติไทยพัฒนาซึ่งเป็นพรรคขนาดกลางคิดว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากระบบนี้ นายวราวุธ กล่าวว่า ถ้าเป็นประโยชน์คือเราไม่ต้องส่งผู้สมัครลงทุกเขต เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงที่ต่างจากระบบบัตรใบเดียว แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าจะใบเดียวหรือ 2 ใบก็มีทั้งข้อดีและข้อด้อย แต่ถ้าตามรัฐธรรมนูญปี 60 ขณะนี้ คะแนนทุกคะแนนสามารถนำมาใช้เป็นคะแนนของพรรคได้หมด ไม่มีคะแนนใดที่ตัดได้เลย ซึ่งถ้าใช้บัตร 2 ใบ การทำงานหาคะแนนในพื้นที่ก็คงมีความเข้มข้นมากขึ้น ก็จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้สมัครและพรรคการเมืองกันไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top