Friday, 9 May 2025
Hard News Team

เตือนในฐานะหมอด้วยกัน “ชลน่าน” เตือน อภ.-อย.อย่ายื้อซื้อชุดตรวจเอทีเค ระวังโดน ม.157

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ต้องตัดสินใจด่วนเลยว่าจะเลิกหรือจะซื้อ ATK ต้องรีบด่วน ช้าไปเสียหายใหญ่หลวง ควบคุมโรคโควิดไม่ได้ ติดเชื้อ ป่วย ตาย เพิ่มขึ้นมหาศาล บุคลากรแพทย์สาธารณสุขรับภาระไม่ไหว ระบบสาธารณสุขล้มเหลว สังคมแตกสลาย พ่อ-แม่ ตาย ลูกถูกพรากเป็นกำพร้า เด็กๆ ไม่ได้เรียนหรือเรียนออนไลน์อย่างไร้คุณภาพ เศรษฐกิจพังทลาย เสียหาย 4 แสนล้านต่อเดือน อ้างประหยัด 400 ล้าน คุ้มหรือ รอพบความผิดปกติทำไม ไม่เฉพาะอเมริกา ประเทศฟิลิปปินส์ข้างบ้านก็สั่งเก็บระงับใช้ไปแล้ว "อนุทิน ประยุทธ์" อยู่ไหน ตัดสินใจช้า หายนะแน่สงสัยจริงๆ ทำไมถึงดื้อบอกว่าประมูลเป็นธรรม ไม่มีล็อกสเปก อ้าปากเห็นลิ้นไก่ วิธีการประมูลโดยการคัดเลือก ใช้ราคาประมูลเป็นตัวกำหนด สามารถเลือกบริษัทผู้ประมูลตามต้องการได้ โดยการทำให้ถูกต้องตามระเบียบ เป็นการล็อคสเปกที่ถูกกฎหมาย เพราะรู้ว่าของดี คุณภาพดี สู้ราคาไม่ได้

นพ.ชลน่าน ระบุว่า ถ้าต้องการ ATK ของดี มีคุณภาพระดับ WHO รับรอง คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชตีพิมพ์เผยแพร่ แต่ราคาสูงหน่อย จัดซื้อในสถานการณ์ฉุกเฉินจำเป็น โรคติดต่ออันตรายร้ายแรงระบาด ระเบียบพร้อมหนังสือเวียนของคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างฯ ก็เปิดให้ใช้วิธีเฉพาะเจาะจง ได้โดยไม่จำกัดวงเงิน ทำไมไม่ทำ โดยเฉพาะการใช้วิธีคัดเลือกอาจล่าช้า ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง (ตาม ม.56 (2)(ง) พรบ.จัดชื้อจัดจ้างบริหารพัสดุภาครัฐ 2560) ก็ระบุไว้อย่างชัดเจน การสั่งให้ชะลอ รอผลทดสอบความผิดปกติที่ อภ.และ อย.กำลังยื้อดำเนินการอยู่ อาจเข้าข่ายผิด ม.157 ปฏิบัตหรือละเว้นปฏิบัติ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงได้ ที่สำคัญเจ้าของเงิน สปสช. เจ้าของภาษีอากรที่ใช้ในการจัดซื้อคือประชาชนต้องการของดี มาตรฐานสูงมาใช้ เพราะเกี่ยวกับความเป็นความตาย ความเสียหายของประเทศชาติ ถึงกำหนดราคาใว้ ไม่เกิน 120บาท/ชุด ทำไมไม่ซื้อ แล้วจะยื้อไปทำไม มีแรงจูงใจอะไร ยิ่งยื้อยิ่งส่อทุจริต ไม่คิดระงับยับยั้ง ระวังจะทำให้รัฐบาลพัง ไม่เชื่อเชิญฟังการอภิปรายไม่ใว้วางใจในสภาฯ ได้ เพราะรักจึงเตือนท่านปลัด สธ. ท่าน ผอ.อภ.และท่าน เลขา อย.ในฐานะเป็นแพทย์ด้วยกัน

“รมว.แรงงาน” ยืดอก พร้อมแจงศึกซักฟอก ลั่น ถือโอกาสแจงผลงานในรอบ1 ปี ชี้ บุคลิกอาจเข้าตา ทำให้มีชื่อติดโผด้วย 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กล่าวกรณีที่มีชื่อถูกพรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า มองว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นความสวยงามของประชาธิปไตย และนับตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรมว.แรงงาน ได้ทำงานตามนโยบาย และคำสั่งของพล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี มาตลอด จึงต้องขอบคุณฝ่ายค้าน และดีใจที่มีชื่อตนในครั้งนี้ 
เพราะจะได้พูดชี้แจงและแถลงผลการทำงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาว่ากระทรวงแรงงาน ทำงานตลอด และยังได้ร่วมสู้ศึกการอภิปรายเคียงข้างนายกรัฐมนตรี  และได้ช่วยชี้แจงเสริมนายกฯรัฐมนตรี ในส่วนที่รับผิดชอบในโอกาสนี้ไปด้วย 

“เรื่องการทำงาน ไม่น่าจะเป็นประเด็นหลักที่ทำให้มีชื่อถูกอภิปราย แต่น่าจะเป็นเรื่องบุคลิก ท่าทางโผงผาง เสียงดังมากกว่า เพราะหากจะยกเรื่องปิดแคมป์คนงาน ที่ผ่านมาในช่วงของระบาดของโควิด 19 มาอภิปราย ก็ดำเนินเป็นไปตามคำสั่งของ ศบค.รวมถึงการดูแลเยียวยาแรงงาน ก็ดำเนินการอย่างเต็มที่อยู่แล้ว” นายสุชาติ กล่าว

"ศักดิ์สยาม" ลงพื้นที่ตรวจความพร้อม ทดสอบระบบ M-Flow คาดเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 เดือนตุลาคมนี้ 

ณ ด่านเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางธัญบุรี 2 (ขาออก) และอาคารชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ ศูนย์ควบคุมกลาง (CCB ลาดกระบัง) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์  จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง นายจิรุตม์  วิศาลจิตร  อธิบดีกรมการขนส่งทางบก พลตำรวจตรีเอกราช ลิ้มสังกาศ  ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง นายกาจผจญ  อุดมธรรมภักดี  รองผู้ว่าฝ่ายกลยุทธ์และแผนงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย นายวิรัช  พิมพะนิตย์  ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม  นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายองอาจ  ฉัตรชัยพลรัตน์ โฆษกประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม  เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทดสอบระบบ M-Flow เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดให้บริการโดยมีนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง ให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชม 

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การลงพื้นที่ตรวจความพร้อมของการพัฒนาระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น หรือ M-Flow ในวันนี้ เป็นการตรวจความพร้อมทั้งในส่วนของตัวอุปกรณ์และการเชื่อมต่อกับระบบควบคุมรายการผ่านทางในระดับช่องทาง รวมไปถึงการส่งข้อมูลรถที่ผ่านทางเข้าไปยังระบบ Single Platform ที่อาคารศูนย์ควบคุมฯ ด้วย ซึ่งพบว่าโดยรวมของระบบมีความพร้อมสำหรับการเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการแล้ว โดยกรมทางหลวงมีกำหนดที่จะทดสอบระบบเสมือนจริงแบบครบวงจร (Soft Opening) ในช่วงเดือนตุลาคม 2564 นี้ โดยคาดว่าระบบ M-Flow จะพร้อมเปิดบริการเต็มรูปแบบในปี 2565  โดยเปิดให้บริการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 ครบทั้ง 4 ด่าน ได้แก่ ด่านทับช้าง 1 ด่านทับช้าง 2 ด่านธัญบุรี 1 และด่านธัญบุรี 2 ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2565 ทางพิเศษฉลองรัช ระยะแรก จำนวน 3 ด่าน ได้แก่ ด่านจตุโชติ ด่านสุขาภิบาล 5-1 และด่านสุขาภิบาล 5-2 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ส่วนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กรุงเทพฯ-บ้านฉาง และทางพิเศษฉลองรัช ระยะที่ 2 บูรพาวิถี และกาญจนาภิเษก คาดว่าจะสามารถเปิดทดสอบระบบได้ในช่วงปี 2566 

ด้านนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า สำหรับการทดสอบแบบเสมือนจริงนั้น จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเป็นสมาชิก เพื่อทดลองใช้บริการและมีส่วนร่วมในการทดสอบเสมือนจริง นอกจากนี้ กรมทางหลวงยังได้เตรียมที่จะมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ (Promotion) เพื่อเชิญชวนให้ผู้ใช้ทางเข้ามาใช้ระบบ M-Flow ให้มากที่สุด 

ทั้งนี้ กรมทางหลวงได้ออกแบบระบบ M-Flow ในรูปแบบของ Single Platform System เพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการทางพิเศษทั่วประเทศได้บน Platform เดียวกัน โดยบูรณาการเทคโนโลยีและการให้บริการอย่างเป็นระบบ และมีมาตรฐานทางเทคโนโลยีที่ทันสมัยในระดับสากล รวมไปถึงการพัฒนาระบบให้รองรับความต้องการใช้งาน และตอบโจทย์ Lifestyle ของประชาชนในยุคดิจิทัลซึ่งเป็นสังคมไร้เงินสด ไม่ว่าจะเป็นการชำระค่าผ่านทางแบบอัตโนมัติด้วยบัตรเครดิต/บัตรเดบิต การหักบัญชีธนาคารแบบอัตโนมัติ การตัดชำระผ่านระบบ Pre-Paid เช่น M-Pass  Easy-Pass และ Wallet อื่นๆ ในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันก็จะยังคงมีบริการรับชำระเงินผ่านช่องของทางธนาคาร และ Counter Service ในรูปแบบต่าง ๆ ผ่าน QR Code ด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยตลอดการเดินทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง

ผู้สนใจสมัครใช้บริการในช่วงทดสอบระบบเสมือนจริงแบบครบวงจร (Soft Opening) ระบบ  M-Flow ในเดือนตุลาคม 2564  โดยสามารถลงทะเบียนผ่านทางช่องทาง ดังนี้ WebSite : www.mflowthai.com Mobile Application : Mflow จุดบริการที่กรมทางหลวงกำหนด ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลและรายละเอียดการลงทะเบียนเพิ่มเติม ผ่านทาง Facebook : https://www.facebook.co/mflowthailand

"ศรีสุวรรณ" จ่อร้อง ป.ป.ช.สอบกรมการแพทย์ทหารอากาศ ปมพิรุธวัคซีนเข็ม 3​ พรุ่งนี้

นายศรีสุวรรณ​ จรรยา​เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย​ เปิดเผยว่า ตามที่มีพยาบาลด่านหน้ารายหนึ่งได้โพสต์ระบายว่าชื่อตกหล่น ไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เข็ม 3 ได้ พร้อมกับปรากฎบัญชีรายชื่อบุคคลต่างๆที่มีรายชื่อซ้ำซ้อนกันเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าโฆษกกองทัพอากาศออกมาแถลงว่าเจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ ยืนยันว่าไม่มีการสวมสิทธิ์หรือ แย่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 ของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช แต่อย่างใด เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนั้น​ กรณีดังกล่าวมีข่าวแพร่งพรายออกมาว่า มีการเร่งสอบสวนคนปล่อยรายชื่อหลุด และมีการเรียกผู้ที่โพสต์ระบายดังกล่าวไปพบเจ้ากรมการแพทย์ฯ ซึ่งอาจจะถูกเตือน/ภาคทัณฑ์ หรือใด ๆ ทั้งๆที่ควรตรวจสอบว่าใครทำให้มีชื่อซ้ำซ้อน ด่านหน้าคนไหนชื่อตกหล่นและยังไม่ได้วัคซีน อันควรต้องเร่งจัดหามาให้เป็นการเร่งด่วน ซึ่ง ผบ.ทอ.ควรจะตั้งกรรมการสอบเจ้ากรมการแพทย์ฯมากกว่า
 
นอกจากนี้​ ยังมีข้อพิรุธของการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ของโรงพยาบาลแห่งนี้หลายอย่าง ทั้งที่ได้รับการจัดสรรมากว่า 1,860 โดส ซึ่งมากกว่าจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีอยู่ 700-800 คน แต่ก็ยังมีบุคลากรที่เป็นแพทย์ และพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยตรงประมาณ 100-200 คน ไม่ได้รับการจัดสรรวัคซีนในครั้งนี้ แต่กลับมีการแถลงข่าวว่าจะขอรับการสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติมในสัปดาห์หน้าอีก 400 โดส จึงน่าจะเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้​ ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความดังกล่าวไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ในวันจันทร์ที่ 16 ส.ค.64 เวลา 10.00 น.ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นนทบุรี เพื่อขอให้ไต่สวนและเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อกระชากหน้ากาก VVIP หน้าด้านทั้งหลายออกมาให้ประชาชนได้รับรู้ต่อไป 

“รองโฆษก ปชป.”เย้ยญัตติซักฟอกฝ่ายค้านไม่มีน้ำหนัก หลังมีชื่อ “เฉลิมชัย”ด้วย ชี้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ แนะไม่ไว้วางใจทุจริตดีกว่าประเด็นการเมือง

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี  และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของฝ่ายค้าน ที่มีกระแสข่าวว่ามีรายชื่อของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ว่า พรรคประชาธิปัตย์เคารพในกระบวนการตรวจสอบของฝ่ายค้าน แต่ที่มีข่าวว่ามีชื่อของ รมว.เกษตรฯที่จะถูกอภิปรายในประเด็นราคาสินค้าเกษตรนั้น หากเป็นจริงตามข่าวก็จะทำให้น้ำหนักของการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ลดไปมาก เพราะที่ผ่านมาผลงานของรรมว.เกษตรฯ เป็นที่ประจักษ์และรับรู้ของประชาชนอย่างยิ่ง 

โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์อย่างเต็มที่ และที่ผ่านมาผลสำรวจต่างๆก็เป็นที่พอใจของประชาชน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาราคามังคุดในปัจจุบันที่ได้มีการนำเข้าคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ หรือ Fruit Board ซึ่งมีรมว.เกษตรฯเป็นประธานก็สามารถแก้ไขปัญหาจนเป็นที่พอใจของเกษตรกรผู้ปลูกมังคุดเป็นอย่างยิ่ง รวมถึงยังได้มีการทำงานร่วมกับหลายภาคส่วน ทั้งส.ส.ของพรรค และกลไกภาครัฐต่างๆเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
       
“การทำงานของรมว.เกษตรฯ ตลอด2ปีกว่าที่ผ่านมา ก็มีผลเป็นที่พอใจของพี่น้องเกษตรกร ถ้ามีชื่อในการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจจริงและเป็นประเด็นในเรื่องของสินค้าราคาเกษตรก็จะทำให้ญัตติของฝ่ายค้านลดน้ำหนักลงไปมาก ซึ่งเราก็เคารพในการทำงาน แต่อยากให้ฝ่ายค้านดูในประเด็นไม่ไว้วางใจที่เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นจริงๆ ไม่ใช่เป็นประเด็นทางการเมือง” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

เสกสกล ลั่น จันทร์นี้ จูงทนาย แจ้งความกองปราบฯ ดำเนินคดี เต้น กับพวก ฝ่าพรก.ฉุกเฉิน - จี้ ปปง. สอบเส้นทางการเงิน

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนพร้อมทนายความ จะเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีกับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และพวก ในข้อหากระทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ และความผิดหลายคดีตามประมวลกฎหมายอาญาอีกหลายมาตรา ในวันจันทร์16 สิงหาคม เวลา 10.00 น. ที่กองปราบปราบฯ 

และในวันเดียวกัน เวลา 11.30 น. จะเดินทางไปยื่นหนังสื่อที่สำนักงาน ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมการเงินของนายณัฐวุฒิและพวกในการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้ด้วย

“โฆษก ศบศ.”เผย “บิ๊กตู่” สั่งเร่งเยียวยา ชี้โอนแล้ว ม.33 พื้นที่13 จ.ล็อกดาวน์กว่า 6.5 พันล้าน แจงเตรียมโอน16 จังหวัดพร้อม ม.39-40 กลุ่มแรก ด้านส่วนลดค่าเทอมเริ่มโอน 31 ส.ค.นี้ ขณะที่ยอดใช้จ่ายมาตรการลดค่าครองชีพใกล้ทะลุ 6.3 หมื่นล้าน

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตน ม. 33 ม. 39 และ ม. 40 ว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้โอนเงินเยียวยานายจ้างและลูกจ้างผู้ประกันตน ม. 33 ในพื้นที่ 13 จังหวัดไปแล้ว แบ่งเป็นลูกจ้าง 2,399,459 ราย เป็นเงิน 5,998.65 ล้านบาท และทำการโอนให้นายจ้างไปแล้ว  12,711  กิจการ เป็นเงิน 594.12 ล้านบาท รวมยอดเงินที่ทำการโอนไปแล้วจำนวน 6,592.77 ล้านบาท  โดยจะดำเนินการทยอยโอนให้ลูกจ้างและนายจ้าง ม. 33 พื้นที่ 16 จังหวัดที่ลงทะเบียนและจ่ายเงินสมทบภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ต่อไป พร้อมกับโอนเงินให้ผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ใน 29 จังหวัด กลุ่มแรกวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เช่นกัน ซึ่งจะทยอยโอนวันละ 1 ล้านราย โดยผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม 

นายธนกร กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้ามาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองและนักเรียนนักศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประจำปีการศึกษา 1/2564 ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะนี้ อยู่ระหว่างการยืนยันตรวจสอบสิทธิ์การได้รับความช่วยเหลือ โดยเบื้องต้นกระทรวงศึกษาธิการ จะโอนเงินช่วยเหลือให้นักเรียนและผู้ปกครองในอัตรา 2,000 บาทต่อคน ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ทั้งนี้ สำหรับผู้ได้รับเงินเยียวยาในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการมีประมาณ 11 ล้านคน วงเงินรวมประมาณ 21,600 ล้านบาท 

โฆษก ศบศ. กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษนั้น ยอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 38 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสมรวม 62,967.7 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 23.49 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 56,339.7 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 28,588.2 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 27,751.5 ล้านบาท 2.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 66,101 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 1,161 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 31 ล้านบาท 3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.48 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 5,110.8 ล้านบาท และ 4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 979,821 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 325.2 ล้านบาท นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งพิจารณาเชื่อมต่อแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่เพื่อให้สามารถเชื่อมกับโครงการ “คนละครึ่ง” ด้วย คาดว่าจะดำเนินการเชื่อมระบบเสร็จสิ้นและพร้อมใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อให้ทันกับการรองรับการโอนเงิน “คนละครึ่ง” รอบ 2 อีก 1,500 บาท ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเร่งเยียวยาประชาชนทุกกลุ่ม

ปชป. นัด ส.ส. ประชุมเตรียมพร้อมเปิดสภา“องอาจ” ชี้ รัฐมนตรี ปชป. ไม่หวั่นไหว ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมรับการตรวจสอบ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเปิดประชุมสภาเพื่อพิจารณาเรื่องสำคัญๆ ว่า ตนได้เชิญ ส.ส. ประชาธิปัตย์ประชุมในวันอังคารที่ 17 ส.ค. นี้ เวลา 13.30 น. เพื่อเตรียมความพร้อมในการประชุมสภาตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ซึ่งมีเรื่องสำคัญที่จะเข้าสู่การพิจารณาในสภาหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่การพิจารณางบประมาณประจำปี 2565 ซึ่งจะเป็นการพิจารณาเนื้อหาสาระที่คณะกรรมาธิการได้พิจารณามาแล้ว ก่อนลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน

หลังจากนั้นสภาก็จะพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งในส่วนของพรรคได้แสดงจุดยืนชัดเจนมาตั้งแต่ต้นถึงความตั้งใจที่จะผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ถึงแม้ช่วงเวลาที่ผ่านมา การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราต้องการทั้งหมด เนื่องจากข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้ต้องมีความเห็นพ้องต้องกันทั้งจากฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งตามเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดไว้ แต่เราก็ได้พยายามอย่างถึงที่สุด ถึงแม้จะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ได้ เราก็พยายามเสนอแก้รายมาตราในประเด็นที่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ในที่สุดจะแก้ได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะแสดงความเห็นพ้องต้องกันของฝ่ายต่างๆ ได้มากน้อยแค่ไหน

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่าเราได้แสดงออกถึงการกระทำให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญอย่างเต็มกำลังตลอดมา

เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่จะต้องพิจารณาในสภาคือการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มองว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นกระบวนการปกติของการทำงานในระบบรัฐสภา ที่ฝ่ายบริหารต้องพร้อมรับการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายค้าน

รัฐมนตรีของพรรคก็พร้อมจะให้ตรวจสอบและเชื่อมั่นว่ารัฐมนตรีทุกคนทำงานโดยยึดประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมเป็นหลัก จึงไม่รู้สึกหวั่นไหวถ้ามีรายชื่อถูกอภิปรายและพร้อมจะชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องให้สภาและสาธารณชนรับทราบได้อย่างแน่นอน

ถึงแม้ขณะนี้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดอย่างรุนแรงในประเทศไทย ซึ่ง ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดอย่างเต็มที่ต่อเนื่องตลอดมาควบคู่ไปกับการทำหน้าที่ในสภา ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนตลอดไป

“จุรินทร์ ออนทัวร์ กทม.” เปิดตัว “กัปตันไมเคิล” ผู้สมัคร ส.ส. และ “ปพนชัย” ผู้สมัคร ส.ก. บึงกุ่ม ยันไม่ห่วงถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากถูกยื่นญัตติจะใช้เป็นโอกาส “โชว์ผลงาน” มั่นใจทำงานเองกับมือ 

ที่ชุมชนวัดพิชัย เสรีไทยซอย 2 แขวง คลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พร้อมคณะลงพื้นที่มอบถุงน้ำใจ ปชป. ที่เขตบึงกุ่ม เปิดตัว “กัปตันไมเคิล” นายพันธ์พิสุทธิ์ นุราช เป็นผู้สมัคร ส.ส.บึงกุ่ม และนายปพนชัย สุวรรณทศ เป็นผู้สมัคร ส.ก. เขตบึงกุ่ม พร้อมกับให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการวางตัวผู้สมัครผู้ว่า กทม. ของพรรคว่า พรรคได้ตัดสินใจตัวผู้สมัครแล้ว เพียงแต่ยังรอเวลาที่เหมาะสม ยังไม่เปิดตัวในขณะนี้ ซึ่งผู้สมัครของพรรคเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักตามสมควร และมีศักยภาพที่จะเป็นผู้ว่าฯ กทม. ได้ ที่สำคัญคือเป็นคนรุ่นใหม่พร้อมมาร่วมอุดมการณ์กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป 

เมื่อถวาทว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีการยื่นญัตติในวันที่ 16 ส.ค.นี้ และมีข่าวว่าจะมีชื่อของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน โดยจะอภิปรายถึงเรื่องปัญหาการส่งออก และสินค้าการเกษตรตกต่ำนั้น จะมีการตั้งวอร์รูมเพื่อรับมือการอภิปรายหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า คงไม่ต้องตั้งวอร์รูม และยังไม่ทราบว่าสุดท้ายจะมีใครถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจบ้าง แต่ถ้ามีชื่อถูกอภิปรายก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้อาศัยญัตติอภิปรายแถลงผลงานที่ทำมาเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบพร้อมกันทั้งประเทศ 

“คงไม่ต้องตั้งวอร์รูมอะไร และยังไม่ทราบว่าสุดท้ายแล้วจะมีใครถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจบ้าง แม้จะมีชื่อ หรือจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่จำเป็นต้องไปตั้งวอร์รูม เพราะผมกับท่านเฉลิมชัย เราทำงานมาโดยต่อเนื่องตลอด และลงไปทำทุกเรื่องกับมือ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องไปมีวอร์รูมอะไรเป็นกรณีพิเศษ ยังไม่ทราบว่าจะมีชื่อ หรือไม่มี แต่ว่าถ้ามีก็จะถือว่าเป็นโอกาสดีในการที่จะได้แถลงผลงานที่ทำมา เพราะเราก็มั่นใจว่าที่ผ่านมาเรามีผลงานที่จะบอกกับพี่น้องประชาชนพร้อมกันทั้งประเทศได้ โดยอาศัยญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในการที่จะเป็นโอกาสสำคัญ และผมก็มั่นใจว่าเกษตรกร พี่น้องประชาชนก็ทราบดี ผู้ส่งออกก็ทราบดีว่า เราทำอะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง และประสบความสำเร็จบ้าง” นายจุรินทร์กล่าว 

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า การส่งออกในวันนี้ได้กลายเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเห็นชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีข้อกังขาอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่จะต้องมีการแก้ปัญหาแวดล้อมอื่นๆ ประกอบกันไปด้วย เช่นเรื่องแรงงาน เรื่องผู้ผลิต แรงงานในโรงงานต่างๆ ที่จะต้องมีการอำนวยความสะดวกให้แรงงานมีเพียงพอในการผลิต ขณะเดียวกันการบริหารจัดการในเรื่องของโรงงานบางโรงที่ติดเชื้อ จะต้องมีการบริหารจัดการที่เอื้ออำนวยต่อการที่จะให้การส่งออกเดินหน้าต่อไปได้

นายจุรินทร์ กล่าวว่า เวลาปิดโรงงานก็ควรจะปิดเฉพาะส่วนที่ติดโควิด ไม่ควรไปปิดรวมทั้งโรงงาน ไม่อย่างนั้นภาคการผลิตก็จะเสียไปหมดทั้งโรง สุดท้ายเมื่อของผลิตมาไม่พอ นอกจากจะเป็นปัญหาตลาดในประเทศ หรือไม่พอที่จะสนองความต้องการในประเทศแล้ว ตัวเลขส่งออกก็จะกระทบด้วย ถึงอย่างไรก็ตามส่วนไหนที่เกี่ยวกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรฯ เราก็จับมือทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 

เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านจะมีหมัดเด็ดในเรื่องใบเสร็จที่จะสร้างความหนักใจให้กับพรรคร่วมรัฐบาลในการโหวตไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่สามารถตอบแทนฝ่ายค้านได้ ก็ต้องถามฝ่ายค้านว่ามีข้อมูลอะไรอย่างไร

ททท. เตรียมชง ศบค. เปิด “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เชื่อม 3 จังหวัด ส.ค.นี้

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เปิดเผยว่า ในเร็ว ๆ นี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมนำเสนอที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เห็นชอบแนวทางการให้นักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ สามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่นในลักษณะ 7+7 โดยนักท่องเที่ยวต้องพำนักภายในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต 7 วันก่อน จึงสามารถเดินทางท่องเที่ยวและพำนักในพื้นที่นำร่องจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 7 วัน  คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนส.ค.นี้ 

ทั้งนี้ในส่วนของพื้นที่นำร่องที่เชื่อมโยงจังหวัดภูเก็ตในลักษณะ 7+7 ได้แก่ 1.เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2.เขาหลัก เกาะยาวใหญ่ และเกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา และ 3.เกาะพีพี ไร่เลย์ และเกาะไหง จังหวัดกระบี่ โดยแนวปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่งของ ศบค. และข้อกำหนดตามมาตรการของแต่ละจังหวัด เชื่อว่าจากนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้าย ที่เป็นไฮซีซั่น ของการท่องเที่ยว

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลกำชับมาตรการการยกระดับดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในทุกพื้นที่ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว โดยจังหวัดมีการถอดบทเรียน แหล่งไหนที่ไม่เหมาะสมกับการท่องเที่ยว เป็นพื้นที่เปลี่ยวไม่ปลอดภัย เร่งปรับปรุงแก้ไขควบคู่ไปกับการดำเนินการตามมาตรการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่อย่างเข้มงวด

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ มียอดนักท่องเที่ยวสะสมอยู่ที่เกือบ 20,000 คน มียอดการจองโรงแรมที่ได้เครื่องหมายมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและสุขอนามัย SHA Plus ตลอดไตรมาส 3 (ก.ค. –ก.ย. 2564) จำนวนกว่า 371,826 คืน มีเที่ยวบินเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน โดยนักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกมาจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล เยอรมนี และฝรั่งเศส โดยจำนวนนักท่องเที่ยวแซนด์บ็อกซ์ที่เดินทางเข้ามาทั้งหมดนั้น ตรวจคัดกรองพบเชื้อจำนวน 55 คน คิดเป็น 0.28 % และนำเข้าสู่กระบวนการของสาธารณสุขแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top