Sunday, 6 July 2025
Hard News Team

"จุรินทร์" เห็นด้วยเปิดประเทศ 1 พ.ย. เชื่อการท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นจีดีพีประเทศเพิ่มขึ้น

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ในวันที่ 1 พ.ย.ว่า ตนเห็นด้วย เพราะหลักสำคัญที่ตนเคยพูดคือเราต้องนำเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตโควิด19ไปให้ได้ ต้องยอมรับความจริงว่าสองเครื่องยนต์หลักที่ช่วยประเทศขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือการส่งออกกับการท่องเที่ยว และเมื่อเราเจอสถานการณ์โควิด เราเหลือแค่เพียงการส่งออก ส่วนการท่องเที่ยวนั้นหายไปเยอะ จากตัวเลขก่อนสถานการณ์โควิดคิดเป็น 11%ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)  แต่ช่วงวิกฤตโควิดจนถึงวันนี้เหลือเพียงแค่เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ขณะที่การส่งออกเพิ่มไปถึง 51% จึงถือว่าการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา และเมื่อเราเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามา โดยมีเงื่อนไขดูแลมาตรการโควิดควบคู่กันไป ก็จะมีการท่องเที่ยวเติมเข้ามา ทำให้จีดีพีของเราเพิ่มขึ้นไปได้  ส่วนเรื่องของสถานการณ์นั้นกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ตอบ แต่ตนมองว่าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

“อนุทิน” ขานรับ เปิดประเทศ 1 พ.ย.ลั่น ถูกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ชี้ เปิดได้ปิดได้ หากไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องโรค 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้จะดูแลเรื่องความปลอดภัยอย่างไร ว่า เราเตรียมความพร้อมไว้ระดับหนึ่งและ
หารือในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนองนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่แจ้งไว้ต่อประชาชน ส่วนการจะเปิดให้ 10 ประเทศเดินทางเข้ามาโดยไม่ต้องกักตัวนั้น ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องของประเทศ รอให้ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศปก.ศบค.)หารือก่อนที่จะนำเสนอศบค.ชุดใหญ่ในวันที่ 14 ต.ค.นี้ ก่อน 

ผู้สื่อข่าวถามว่ากระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้มีปัญหากับการเปิดประเทศ และยังสามารถรองรับเรื่องการรักษาได้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า นายกฯให้เหตุผลความสำคัญต่างๆไปแล้ว กระทรวงสาธารณสุข ต้องปฏิบัติตามนโยบายด้วยความระมัดระวังและเตรียมการให้มากที่สุด 

เมื่อถามว่านายกฯระบุว่าเมื่อเปิดไปแล้ว อาจมีความเสี่ยงแพร่ระบาด และอาจมีโควิด-19สายพันธุ์ใหม่ ต้องมีมาตรการเข้ามารองรับหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า นายกฯพูดเผื่อ ถ้าหากมีสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาและสถานการณ์ไม่ดีก็ค่อยว่ากัน พูดง่ายๆว่าเปิดได้ แต่ถ้าดูแล้วไม่ดีก็พร้อมจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาต่อไป เราต้องยืดหยุ่นถ้าไปกำหนดไว้หมดว่าพูดอย่างนี้ต้องทำอย่างนั้นเท่านั้น ถอยหลังไม่ได้ เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็รออย่างนี้ไปดีกว่าซึ่งก็ไม่ดี เพราะรัฐบาลต้องการจะแก้ปัญหาในทุกมิติ 

เมื่อถามว่าหากเปิดสถานบันเทิงและร้านเหล้าคนจะเข้าไปใช้บริการได้เหมือนเดิมหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า กรมควบคุมโรคคงต้องหามาตรการ แต่เราต้องดูว่าเปิดแล้วมีความเสี่ยงหรือไม่ ถ้าเสี่ยงก็ต้องหามาตรการมาดูแล เช่น covid free settingคือทุกคนต้องฉีดวัคซีนทั้งผู้ให้บริการ ลูกค้า และสถานที่นั้นต้องปฏิบัติตามมาตรการของกรมควบคุมโรค แต่เวลานี้ยังไม่ได้หารือในส่วนการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนสถานบันเทิงก็ต้องปฏิบัติในแนวเดียวกัน

ทส. ขานรับประกาศ "บิ๊กตู่" เปิดประเทศ 1 พ.ย. รับนทท.เข้าอุทยานฯ วางมาตรการนิวนอร์มอล กำชับอย่าทำแหล่งธรรมชาติเสื่อมโทรม 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมในส่วนของ ทส.  หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ในวันที่ 1 พ.ย.ว่า ขอบคุณนายกฯที่ประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 พ.ย. ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาตนกำชับหน่วยงานของ ทส. โดยเฉพาะกรมอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ และองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ในการดำเนินการปัดกวาดเช็ดถูและปรับปรุง และทำให้เป็นสถานที่ ที่ออกแบบ Friendly Design หรือพื้นที่สาธารณะที่เป็นมิตรกับผู้คน เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย ทุกสถานะ และกำชับเจ้าหน้าที่ทุกคนให้ดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะกิจกรรมดำน้ำหรือเดินป่า ต้องไม่ทำให้ทรัพยากรของเราโดนทำลายจนเสื่อมโทรม เหมือนตอนช่วงก่อนสถานการณ์โควิด19 ห้ามไม่ให้อุทยานกลับไปมีสภาพสกปรกและเสื่อมโทรมเป็นอันขาด เพราะโอกาสที่เราจะได้พักปรับปรุงเช่นนี้ไม่มีอีกแล้ว

"สุชาติ" เชื่อแรงต้าน "พีระพันธุ์" เรื่องเล็ก แค่ความเห็นส่วนตัว ไม่เชื่อจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว มั่นใจทุกคนเชื่อมั่นในแนวทาง+ นโยบายบิ๊กป้อม

ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประขุม ครม.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน  กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงแรงกระเพื่อมต่อต้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มารับตำแหน่งที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ โดยเปรียบเป็นพระบวชใหม่ ถ้าจะรับตำแหน่งสำคัญจะต้องนั่งเรียงตามลำดับพรรษาก่อน ว่า พรรค พปชร. มีคน 100 กว่าคนซึ่งทุกคนก็รับนโยบายและแนวทางจาก พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.อยู่แล้ว ในส่วนดังกล่าวส่วนตัวเชื่อว่าเป็นเรื่องปกติของพรรคการเมืองทุกพรรคพี่มีคนหลากหลายอยู่ภายในพรรคซึ่งก็อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่การที่จะเป็นพรรคการเมืองหรือสถาบันการเมืองก็ต้องฟังหัวหน้าพรรคและนโยบายพรรคอยู่แล้ว

“ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะออกความคิดเห็นได้อยู่แล้วแต่สุดท้ายก็ต้องจบที่แนวทางของหัวหน้าพรรค และเชื่อว่าจะไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของบางคนทุกวันนี้ทุกคนอยู่ในระบบประชาธิปไตยก็ต้องให้ในสิทธิการแสดงออกแต่ สุดท้ายก็ต้องยอมรับกฎเกณฑ์และกติการวมทั้งแนวคิดนโยบายของหัวหน้าพรรค ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นไม่เป็นปัญหา ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก”
นายสุชาติกล่าว

ตำรวจภูธรภาค​ 5 จับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ เฮโรอีน 35 กิโลกรัม ในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่

ตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยคุกคามและอาชญากรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้สร้างผลกระทบต่อประชาชน และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติเป็นอย่างมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./หน.ศอปส.ตร. ได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง ตามแผนปฏิบัติการ ด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมนั้น

11 ตุลาคม 2564 เวลา 09.30 น. ตำรวจภูธรภาค 5 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, พล.ต.ต.วรพงค์ คำลือ ผบก.บก.สส.ภ.5 และ พ.ต.อ.ทรงกริช ออนตะไคร้ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, พ.ต.อ.สกุลรัชช์ คงทอง ผกก.สภ.นาหวาย จ.เชียงใหม่ แถลงผลการจับกุมขบวนการลักลอบขนยาเสพติดรายสำคัญ พร้อมของกลาง เฮโรอีน 35 กิโลกรัม ในท้องที่ สภ.นาหวาย จว.เชียงใหม่ มีผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องจำนวน 4 คน หลบหนีไปได้ 1 คน ดังนี้... 

1. นายอาทิตย์ จะวอ อายุ 26 ปี  ที่อยู่ 36 ม.15 ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 
2. นายอาคาริ จะอื่อ  อายุ 24 ปี ที่อยู่ 401 ม.3 ต.บ้านหลวง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (หลบหนี)
3. นายจะอื่อ จะทอป่า อายุ 36 ปี ที่อยู่ 338 ม.10 ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่     
4. นายจะนู (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี 

สถานที่จับกุม ผู้ต้องหาที่ 1 บริเวณ ริมถนนสาย 3002 หน้าสุสานบ้านทุ่งข้าวหลวง ม.5 ต.ทุ่งข้าวพวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ต่อเนื่องจับกุม ผู้ต้องหาที่ 3 และ 4 ที่บริเวณศาลาที่พักริมทาง สามแยกปิงโค้ง ขาเข้าเมือง ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่  


 
พร้อมด้วยของกลางเฮโรอีนประมาณ 35 กิโลกรัม แบ่งเป็น... 

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ชนิดผงบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส มีโลโก้สิงโตคู่เหยียบลูกโลก สีแดง น้ำหนักรวมสิ่งบรรจุภัณฑ์ประมาณ 350 กรัม บรรจุในกล่องกระดาษ สีขาว ห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำ จำนวน 2 ใบ รวม 30ถุง น้ำหนักรวมประมาณ 10,500 กรัม

2. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ชนิดผง บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส มีโลโก้สิงโตคู่เหยียบลูกโลก สีแดง น้ำหนักรวมสิ่งบรรจุภัณฑ์ประมาณ 350 กรัม บรรจุในกล่องกระดาษ สีขาว ห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำ จำนวน 5 ใบ รวม 70 ถุง น้ำหนักรวมประมาณ 24,500 กรัม

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” 

‘วิโรจน์’ แนะ 6 ข้อ เปิดประเทศแบบมีหวัง หลัง 14 ตุลา ครบ 120 วัน สัญญานายกฯ

(11 ต.ค. 64) วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมพร้อมที่จะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

วิโรจน์ กล่าวว่า หากนับจากวันที่ 16 มิ.ย. 64 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้คำมั่นกับประชาชนเอาไว้ว่าจะเปิดประเทศใน 120 วัน ซึ่งจะครบกำหนด 120 วัน ในวันที่ 14 ต.ค. 64 ที่จะถึงนี้ ตนและ ฐณฐ จินดานนท์ ในฐานะกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตามตรวจสอบเงินกู้ 5 แสนล้าน ในสัดส่วนพรรคก้าวไกล ได้ให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า…

สำหรับการเปิดประเทศ เพื่อให้การค้าการขาย การหารายได้ และการทำมาหากินของประชาชน สามารถดำเนินไปได้ตามปกติ เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลจะเปิดประเทศได้ หรือทำ Travel Bubble กับประเทศต่างๆ เพื่อเปิดให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รัฐบาลจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ และมีดัชนีในการพิจารณา และตรวจติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ชัดเจน โปร่งใส 

โดยที่ประชาชนสามารถร่วมติดตามสถานการณ์ไปด้วยได้ หากรัฐบาลมีแต่แผนการเปิดประเทศ เพียงแค่แบ่งเป็นกลุ่มจังหวัด และมีประมาณการคร่าวๆ ประชาชน ตลอดจนผู้ประกอบการต่างๆ จะไม่สามารถวางแผน และเตรียมการล่วงหน้าอย่างเหมาะสมได้เลย และไม่มีความมั่นใจว่า แผนการเปิดประเทศดังกล่าว จะเปิดได้จริงหรือไม่ เปิดแล้วจะปิดอีกเมื่อไหร่ 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 10,000 รายเศษ และมีผู้เสียชีวิตประมาณวันละ 60-80 ราย ที่สำคัญหากพิจารณาจากผลตรวจจากชุดตรวจ ATK ก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่ และการระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นการระบาดที่แพร่กระจายไปยังส่วนภูมิภาค หลายจังหวัดยังมีแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น

วิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า การที่จะเปิดประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมได้ รัฐบาลจำเป็นต้องทำให้การระบาดของโรคโควิด-19 เป็น “การเจ็บป่วยในภาวะปกติวิสัย (Normality)” ที่ระบบสาธารณสุขปกติ สามารถควบคุมการระบาด และดูแลรักษาผู้ป่วยได้ โดยต้องมั่นใจว่า ไม่เกินขีดความสามารถของระบบสาธารณสุข หรือมีแผนสำรองในการเพิ่มขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขได้โดยทันที อย่างไม่ตระหนกตกตื่น ในกรณีจำเป็น

“ถ้า Normality ไม่เกิดขึ้น การเปิดประเทศ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ก็จะเป็นเครื่องยนต์ที่กระตุก ติดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และประชาชนได้”

วิโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดประเทศไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ คิดจะเปิดก็เปิด คิดจะปิดก็ปิด พอไม่กล้าปิด ก็ฝืนเปิด แล้วก็มาปิดแบบกะทันหัน จนสร้างความสูญเสียให้กับประชาชน พรรคก้าวไกล จึงเสนอแนวทางในการเตรียมความพร้อมในการเปิดประเทศ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ นำไปดำเนินการ 6 ข้อ ดังต่อไปนี้

BOI เผยยอดขอส่งเสริมลงทุนพุ่ง 5 แสนล้าน ส่วนคำขอจากต่างประเทศ เพิ่มขึ้นกว่า 200%

บีโอไอ เผยภาวะการลงทุน ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุน มีมูลค่ารวมมากกว่า 5 แสนล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นกว่าปี 2563 ทั้งปี ขณะที่การลงทุนผ่าน FDI มูลค่าก็เพิ่มขึ้นสอดคล้องกัน โดยมีอัตราเติบโตมากกว่า 200% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค. - ก.ย.) ปี 2564 มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 1,273 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 520,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 140 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าสูงกว่าปี 2563 ทั้งปี (432,000 ล้านบาท) และสูงกว่ามูลค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโควิดช่วงปี 2558 - 2562 (483,664 ล้านบาท) 

กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 269,730 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52 ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด โดยอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุดอันดับแรก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 77,210 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการย้ายฐานการผลิตและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เปลี่ยนกิจกรรมของคนทำงานในรูปแบบ WFH ทำให้มีความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น 

อันดับ 2 อุตสาหกรรมการแพทย์ 59,210 ล้านบาท ซึ่งก็เป็นการลงทุนต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด ส่งผลให้ความต้องการสินค้าที่ใช้ในการป้องกันเชื้อโควิด เช่น ถุงมือยาง เพิ่มขึ้นอย่างมาก อันดับ 3 ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 36,760 ล้านบาท อันดับ 4 การเกษตรและแปรรูปอาหาร 31,660 ล้านบาท และอันดับ 5 เทคโนโลยีชีวภาพ 20,950 ล้านบาท

สำหรับมูลค่าขอรับการส่งเสริมจากต่างประเทศ หรือ FDI ช่วง 9 เดือนแรกปี 2564 มีจำนวน 587 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 372,068 ล้านบาท โดยมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 220 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประเทศที่มีมูลค่าลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 67,816 ล้านบาท สหรัฐฯ 26,936 ล้านบาท และสิงคโปร์ 26,882 ล้านบาท

สำหรับพื้นที่เป้าหมาย EEC มีการขอรับส่งเสริมจำนวน 348 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 173,780 ล้านบาท โดยจังหวัดระยอง มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 91,670 ล้านบาท รองลงมาเป็นจังหวัดชลบุรี มูลค่าเงินลงทุน 54,310 ล้านบาท และจังหวัดฉะเชิงเทรา มูลค่าเงินลงทุน 27,800 ล้านบาท ตามลำดับ 

กกร.ปรับกรอบ GDP ใหม่โต 0-1% ลุ้นพบ ‘บิ๊กตู่’ ชงมาตรการขับเคลื่อนเพิ่ม

‘กกร.’ ปรับ GDP ปีนี้ใหม่ไม่ติดลบ วางกรอบโต 0-1% แต่คงเป้าส่งออก เงินเฟ้อ หลังเริ่มผ่อนคลายกิจกรรม ศก.มากขึ้น รวมถึงมาตรการคนละครึ่ง เที่ยวด้วยกันเฟส 3 หนุน จ่อร่อนหนังสือถึงนายกฯ ขอเข้าพบสัปดาห์นี้ เล็งเสนอมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวและ ศก.อื่นๆ เพิ่มเติม แนะอัดเงินคนละครึ่งเป็น 6 พันบาท ใช้ช้อปดีมีคืน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะทำหน้าที่ประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) วันที่ 11 ต.ค. ว่า กกร.ได้ปรับประมาณการการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2564 ดีขึ้นจาก ณ ก.ย. 64 ที่คาดการณ์ไว้ GDP จะโตในกรอบ -0.5-1% เป็น 0.0-1% ส่งออกยังคงเดิมที่ 12-14% และเงินเฟ้อทั่วไปคงกรอบเดิมที่ 1-1.2% 

ทั้งนี้เนื่องจากมีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้เห็นว่ารัฐบาลควรจะต้องมีมาตรการเสริมอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในปีนี้และระยะต่อไป โดยเฉพาะการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ดังนั้น กกร.จึงกำลังรวบรวมประเด็นข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับมาตรการการเงิน การคลัง และภาษีเพื่อส่งหนังสือที่จะขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในสัปดาห์นี้

“เราเชื่อว่า GDP ปีนี้จะไม่ติดลบ เพราะเศรษฐกิจไทยเรามีปัจจัยบวกจากสถานการณ์ติดเชื้อโควิด-19 ที่ลดลงจากแผนกระจายการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น และรัฐเริ่มผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยเปิดดำเนินการได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องจับตามองมาตรการผ่อนคลายที่จะออกมากลางเดือน ต.ค.ถึงต้นเดือน พ.ย.ต่อไป ขณะเดียวกัน รัฐได้มีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีทั้งโครงการคนละครึ่งเฟส 3 โครงการเที่ยวด้วยกันเฟส 3 ซึ่งรัฐบาลควรมีมาตรการเสริม ทั้งช้อปดีมีคืนที่เห็นว่าควรต้องเร่ง พ.ย.-ม.ค. 65 นี้ และอยากให้เติมเงินคนละครึ่งเป็น 6,000 บาทเพื่อให้หมุนเวียนดีขึ้น และแผนเปิดประเทศต้องการให้ชัดเจนเพื่อที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาวางแผนได้ล่วงหน้า” นายสนั่นกล่าว

'คณะก้าวหน้า' มั่นใจ สนามเลือกตั้ง อบต. เชื่อ 'ภาคตะวันออก-อีสาน' ไม่หลุดมือ

เมื่อวานนี้ น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เปิดเผยถึงความพร้อมในการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล หรือ อบต. ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายนนี้ โดยระบุว่าคณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครลงครบทุกภาค กว่า 200 ทีม ตั้งแต่ภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้ และจังหวัดชายแดนภาคใต้

นางสาวพรรณิการ์ กล่าวต่อว่า เมื่อเราประกาศรับผู้สมัครลงเลือกตั้ง อบต. ในนามคณะก้าวหน้า มีผู้สมัครมากว่า 500 ทีม แต่เราคัดเลือกเฉพาะผู้ที่มีอุดมการณ์ และแนวทางการทำงานการเมืองตรงกับเรา 3 ข้อหลักที่เป็นกฎเหล็กคือไม่ซื้อเสียง ไม่ฝักใฝ่ระบอบเผด็จการ และไม่แสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองหรือพวกพ้อง หากยอมรับ 3 ข้อนี้จึงจะร่วมงานกับเราได้ และในตอนนี้ได้ผู้สมัครแล้วกว่า 210 ทีม โดยจังหวัดที่คึกคักที่สุดคือ ร้อยเอ็ด และอุดรธานี มีผู้ลงสมัครในนามก้าวหน้าเกือบ 20 ทีม ทั้งสองจังหวัด

น.ส.พรรณิการ์ ยืนยันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ผู้สมัครของคณะก้าวหน้าชนะใจประชาชน คือผลงานที่สำเร็จเป็นรูปธรรมแล้วของนายกเทศมนตรีที่ร่วมงานกับคณะก้าวหน้า หลังจบการเลือกตั้งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายก และทีมได้เข้าไปทำงานเพียง 5 เดือนก็มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชน เช่น 

ที่อาจสามารถ แก้ปัญหาน้ำประปาที่ขุ่น ไหลอ่อน มีกลิ่น จนกลายเป็นน้ำประปาใสสะอาดได้มาตรฐาน ลงทุนเพียงหลักแสน กับเวลาเพียง 5 เดือน ก็สามารถปลดล็อกปัญหาที่เรื้อรังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชนมาหลายสิบปีได้

บอร์ดบีโอไอ ไฟเขียวขยายเวลาหนุนลงทุนเอสเอ็มอี อีก 1 ปี 

น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบีโอไอ ที่มี นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เห็นชอบขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับเอสเอ็มอี อีก 1 ปีจนถึงสิ้นปี 65 โดยมีมาตรการพิเศษสำหรับเอสเอ็มอีคือ กำหนดวงเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 5 แสนบาท จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็น 2 เท่าจากเกณฑ์ปกติ และผ่อนปรนเงื่อนไขต่างๆ รวมถึงการให้สิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมตามเกณฑ์ และยังเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการยกระดับไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักร

โดยได้กำหนดเกณฑ์การยกระดับไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 เช่น ระบบอัตโนมัติและการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลและการปฏิบัติการที่ชาญฉลาด หรือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้บริหารจัดการในกระบวนการผลิตและการบริหารองค์กร โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี สัดส่วน 100% ของเงินลงทุนในการปรับปรุง แต่ต้องเสนอแผนการลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยยื่นขอรับการส่งเสริมภายในสิ้นปี 65 และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี นับจากวันที่ออกบัตรส่งเสริม 

น.ส.ดวงใจ กล่าวว่า ที่ประชุมยังรับทราบตัวเลขการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือน (ม.ค. - ก.ย.64) มีจำนวน 1,273 โครงการ เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 520,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140% โดยมีมูลค่าสูงกว่าปี 63 ทั้งปี ที่มี 432,000 ล้านบาท และสูงกว่ามูลค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโควิดช่วงปี 2558 – 2562 ที่มี 483,664 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นสัญญาณที่ดีกับการลงทุนที่กำลังเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยบีโอไอ ประเมินตัวเลขคำขอทั้งปีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 6 แสนล้านบาท 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top