Friday, 9 May 2025
Hard News Team

ทางการจีนประกาศลงดาบ ‘จางเจ๋อฮั่น’ ลบโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง หลังเจอมือดีขุดรูปเก่าออกมาแฉ

เป็นประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว สำหรับกรณีดราม่าของนักแสดงหนุ่ม ‘จางเจ๋อฮั่น’ (张哲瀚) ที่เมื่อไม่นานมานี้ถูกมือดีออกมาขุดภาพในอดีตที่เจ้าตัวได้เคยถ่ายไว้ขณะเยี่ยมชม “ศาลเจ้ายาสุคุนิ” (Yasukuni Shrine) ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดันมีส่วนไปเชื่อมโยงกับประเด็นอ่อนไหวทางประวัติศาสตร์ระหว่างจีน-ญี่ปุ่นที่มักถูกนำมาพูดถึงและกลายเป็นที่ถกเถียงกันอยู่บ่อยครั้ง…

ก่อนอื่นต้องขอเล่าเท้าความก่อนว่าสำหรับกรณีดราม่าสุดร้อนแรงของนักแสดงหนุ่ม ‘จางเจ๋อฮั่น’ นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่เจ้าตัวถูกขุดภาพเก่าขณะที่ไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนที่จัดขึ้นใน “ศาลเจ้าโนกิ” (Nogi Shrine) ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในศาลเจ้าแห่งนี้มีการเก็บรวบรวมป้ายวิญญาณของทหารญี่ปุ่นบางส่วนที่เคยรบกับจีนในสมัยสงครามจีน-ญี่ปุ่นเอาไว้ อีกทั้งภายในงานครั้งดังกล่าว ตัวของ ‘จางเจ๋อฮั่น’ เองยังได้มีการถ่ายภาพคู่กับ ‘เดวี ซูการ์โน’ (Dewi Sukarno) อดีตภรรยาชาวญี่ปุ่นของประธานาธิบดีคนแรกของอินโดนีเซียที่เคยเป็นประเด็นกับจีน เนื่องจากเธอเคยออกมาสนับสนุนหนังสือที่ปฏิเสธการกระทำของฝ่ายญี่ปุ่นใน “เหตุการณ์สังหารหมู่ที่นานกิง” (Nanjing Massacre) ซึ่งเป็นดราม่ากันอยู่พักหนึ่งเมื่อช่วงปี 2017

นอกจากประเด็นของเรื่องการไปร่วมงานแต่งเพื่อนแล้ว ภาพถ่ายในอดีตของ ‘จางเจ๋อฮั่น’ ขณะกำลังเที่ยวชม “ศาลเจ้ายาสุคุนิ” ในประเทศญี่ปุ่นก็ได้ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาพูดถึงอย่างร้อนแรงเช่นเดียวกัน โดยเดิมทีว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสถานที่ที่คนจีนรับไม่ได้และพากันตีตราว่าไม่ควรไปอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นสถานที่เก็บรวบรวมป้ายวิญญาณเพื่อสักการะเหล่าทหารและอาชญากรทางสงครามหลายคนในกองทัพญี่ปุ่นแล้ว ยังเปรียบเสมือนตัวแทนของการบิดเบือนความโหดร้ายที่ญี่ปุ่นเคยกระทำไว้กับชนชาติอื่น ๆ ในช่วงก่อสงครามอีกด้วย

จากกระแสดราม่าที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถึงแม้ในช่วงบ่ายของวันที่ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา ตัวของ ‘จางเจ๋อฮั่น’ เองจะได้มีการออกมาขอโทษ พร้อมทั้งยอมน้อมรับทุกคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ในอดีตของตน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ดูเหมือนสถานการณ์ต่าง ๆ กลับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย โดยชาวเน็ตจีนส่วนใหญ่ต่างก็ยังคงไม่ยอมรับคำขอโทษและยังมีการจับลากประเด็นโน้นโยงประเด็นนี้มาวิพากษ์วิจารณ์ตัวของ ‘จางเจ๋อฮั่น’ กันอยู่อย่างต่อเนื่อง (เช่น เรื่องความไม่รักชาติ)

ซึ่งด้วยผลกระทบจากกระแสเชิงลบที่ไม่ยอมซาลงนี้เอง ทำให้ต่อมาเริ่มมีสินค้าหลายแบรนด์ รวมถึงผลงานหลายรายการที่ทยอยออกมาประกาศยุติการร่วมงานกับหนุ่ม ‘จางเจ๋อฮั่น’ กันแบบรัว ๆ

ล่าสุดในวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบรอบ 76 ปีที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 และตรงกับวาระที่ทางฝั่งจีนมักจะออกมารำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นเคยบุกจีนในทุกปี บทลงโทษทางสังคมในกรณีของ ‘จางเจ๋อฮั่น’ ที่มีส่วนโยงใยกับประเด็นอ่อนไหวนี้ก็ดูท่าจะเริ่มบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทาง “สมาคมอุตสาหกรรมการแสดงของจีน” (China Association of Performing Arts) ที่สังกัดภายใต้กระทรวงวัฒนธรรมได้ออกมาทำการลงดาบ ประกาศแถลงการณ์คว่ำบาตร ‘จางเจ๋อฮั่น’ อย่างจริงจัง ซึ่งในหนังสือแถลงการณ์ดังกล่าวได้ระบุเนื้อความโดยสรุปไว้ว่า

“ตามความประพฤติอันไม่เหมาะสมของนักแสดงหนุ่ม ‘จางเจ๋อฮั่น’ อย่างการไปเยี่ยมชมศาลเจ้ายาสุคุนิในประเทศญี่ปุ่นที่เพิ่งถูกเปิดเผยและได้รับความสนใจจากทุก ๆ ภาคส่วนไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ทางสมาคมฯ เอง ด้วยความที่มีความกังวลต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงได้มีการเริ่มทบทวนวินัยและระเบียบข้อบังคับด้านจริยธรรม จนมีความเห็นกับประเด็นดังกล่าวนี้ว่า

‘ศาลเจ้ายาสุคุนิ’ เป็นเครื่องมือทางจิตวิญญาณและสัญลักษณ์ของกองทัพทหารญี่ปุ่นในการก่อสงครามรุกรานนานาประเทศ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่อำนาจฝ่ายขวาในญี่ปุ่นใช้เพื่อบิดเบือนและตกแต่งหน้าประวัติศาสตร์สงครามของตัวเองให้ดูสวยงาม ในฐานะของการเป็นบุคคลสาธารณะ การสร้างมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ถือเป็นพื้นฐานของความเป็นมืออาชีพอย่างหนึ่ง ซึ่งคำว่า “ไม่รู้” ไม่สามารถใช้มาเป็นข้อแก้ตัวได้

ในครั้งนี้ทางสมาคมฯ มองว่า การกระทำของนักแสดงหนุ่ม ‘จางเจ๋อฮั่น’ นั้นไม่เหมาะสมอย่างร้ายแรง เนื่องจากไม่เพียงแต่เป็นการทำร้ายความรู้สึกของคนในชาติ แต่ยังส่งผลที่ไม่ดีต่อค่านิยมด้านความคิดของเยาวชนในกลุ่มผู้ติดตาม ซึ่งด้วยเหตุนี้เองสมาคม ฯ ขอตำหนิการกระทำของตัวนักแสดงหนุ่มและเพื่อให้สอดคล้องกับ “มาตรการการจัดการตามวินัยข้อบังคับของคนในวงการอุตสาหกรรมการแสดง” จึงขอกำหนดให้มีการคว่ำบาตร ‘จางเจ๋อฮั่น’ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ในขณะเดียวกัน ทางสมาคมฯ ก็ขอเตือนให้ศิลปินส่วนใหญ่เสริมสร้างการศึกษาและความตระหนักรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติอย่างจริงจัง หากมีผู้ใดฝ่าฝืน จะต้องถูกลงโทษ”

หลังจากองค์กรระดับทางการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการแสดงโดยตรงได้มีการออกมาลงดาบกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทางด้านโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่ของจีนอย่างเว๋ยป๋อ (Weibo) จึงได้มีการตัดสินใจปิดบัญชีแอคเคาน์เว่ยป๋อส่วนตัวและสตูดิโอของ ‘จางเจ๋อฮั่น’ รวมไปถึงล้าง Super Topic (超话) หรือหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับตัว ‘จางเจ๋อฮั่น’ ออกจากหน้าระบบทั้งหมด โดยแอคเคาน์ทางการของเว่ยป๋อได้ออกมาแถลงการณ์ยืนยันเหตุที่ต้องปิดทุกอย่างเกี่ยวกับ ‘จางเจ๋อฮั่น’ ตามทำนองเดียวกับประกาศจากสมาคมอุตสาหกรรมการแสดงของจีน แถมยังมีการเสริมเน้นเช่นเดียวกันอีกว่า “ในฐานะที่เป็นบุคคลสาธารณะซึ่งมีแฟนคลับติดตามเป็นจำนวนมาก การมีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ควรเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมขั้นพื้นฐานที่เหล่าศิลปินคนดังนั้นควรยึดถือ”

โดยนอกจากเว่ยป๋อที่เริ่มเปิดฉากออกมาปิดบัญชีของ ‘จางเจ๋อฮั่น’ แล้ว ทางด้านของแพล์ตฟอร์มวีดิโอคอนเทนท์ชื่อดังอย่าง “Douyin” (โต่วอิน) หรือที่รู้จักกันในนาม Tiktok ของจีนก็ได้มีการออกมาลบแอคเคาน์ของ ‘จางเจ๋อฮั่น’ เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นในส่วนของแพล์ตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงออนไลน์ อาทิเช่น QQ Music, Wangyi (NetEase) ก็ได้ออกมาลบเพลงของ ‘จางเจ๋อฮั่น’ ออกจากระบบทั้งหมด และที่ล่าสุดเลยสำหรับทางด้านของ YOUKU ถึงขั้นมีการลบชื่อของ ‘จางเจ๋อฮั่น’ ออกจากคำอธิบายรายละเอียดเบื้องต้นของซีรีส์ดังที่เคยนำแสดง งานนี้เรียกได้ว่าค่าของ “ความไม่รู้” ที่เกิดขึ้นในอดีตและนักแสดงหนุ่ม ‘จางเจ๋อฮั่น’ ต้องเก็บนำมาจ่ายชดใช้ในปัจจุบันนั้นค่อนข้างเป็นราคาที่สูงแบบที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็คาดไม่ถึงเลยทีเดียว...


ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9640000080690


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ธปท.แนะนำรัฐกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท ย้ำ ต้องมีแบบแผนให้เหมาะกับอาการเศรษฐกิจ-การคลังของไทย

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรง และมีผลชัดเจน 4 อาการ ได้แก่...

1.) หลุมรายได้ขนาดใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ โดยพบว่า ในช่วงปี 2563-2564 รายได้จากการจ้างงานหายไปถึง 1.8 ล้านล้านบาท ขณะที่ปี 2565 คาดว่ารายได้จากการจ้างงานจะหายไปอีก 8 แสนล้านบาท ทำให้ตั้งแต่ปี 2563-2565 รายได้จากการจ้างงานจะหายไปรวมกว่า 2.6 ล้านล้านบาท

2.) การจ้างงานในระบบถูกกระทบรุนแรง โดยในช่วงไตรมาส 2/2564 พบว่ามีจำนวนผู้ว่างงาน หรือเสมือนว่างงาน (ผู้ที่มีงานทำไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) อยู่ที่ 3 ล้านคน และคาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 ล้านคน สูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิดถึง 3 เท่าตัว

3.) การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่เท่าเทียม ส่งผลให้ความเป็นอยู่ของครัวเรือนเปราะบาง

4.) เศรษฐกิจไทยถูกกระทบจากโควิด-19 หนักกว่าและจะฟื้นตัวช้ากว่าประเทศในภูมิภาค เนื่องจากไทยพึ่งพารายได้จากภาคการท่องเที่ยวและบริการสูงสุดในเอเชีย คิดเป็น 11.5% ของจีดีพี และจากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะต้องใช้เวลา 3 ปี จากช่วงเริ่มระบาดในการกลับสู่ระดับก่อนโควิด ขณะที่เอเชียโดยรวมจะใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี โดยในไตรมาส 1/2564 จีดีพีของไทยอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่ 4.6% ขณะที่เอเชียโดยรวมฟื้นเหนือระดับก่อนโควิดหมดแล้ว

โดย ธปท. ยังคงคาดการณ์ตัวเลขจีดีพีในปีนี้ไว้ที่ 0.7% ส่วนปัจจัยที่จะทำให้มีการปรับคาดการณ์ในจีดีพีใหม่ คือ หากมีการล็อกดาวน์ยาวถึงไตรมาส 4/2564 เพราะการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในแต่ละเดือน มีผลกระทบต่อจีดีพีประมาณ 0.3-0.4% และมองว่ามีโอกาสน้อยที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตติดลบ แม้ว่าผลกระทบจากการระบาดของโควิดระลอกปัจจุบันจะหนัก และมากกว่าที่คาดการณ์ แต่ก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจจะโตเป็นบวกได้ไม่ที่ระดับ 0.7% ตามที่คาดการณ์ก็บวกได้ในระดับใดระดับหนึ่ง เพราะยังมีตัวช่วยอย่างภาคการส่งออก

สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้จึงต้องเหมาะสม และสมเหตุสมผลกับอาการ จากอาการของไทยที่หนัก ก็ต้องใช้ยาแรง ต้องแก้ให้ตรงจุด ตรงต้นเหตุ นั่นคือ “วัคซีน” โดยยังยืนยันเหมือนเดิมว่า หากไม่เร่งดำเนินการเรื่องวัคซีน มาตรการอื่น ๆ ที่เร่งผลักดันออกมาให้ตายก็ไม่พอ ไม่จบ เป็นแค่การซื้อเวลาเท่านั้น เรื่องวัคซีนยังเป็นตัวหลัก และหากไปดูข้อมูลการฉีดวัคซีนในปัจจุบันของประเทศไทย พบว่า สัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 2 เข็มมีแค่ 7% ของประชากรทั้งหมด ต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว และยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศด้วย ตัวนี้เป็นเครื่องสะท้อนว่าไทยในฐานะที่เป็นประเทศต้องพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว และบริการเยอะ ยิ่งจำเป็นต้องกระจายวัคซีนให้เร็วขึ้น

ในระหว่างที่สังคมไทยยังไม่ได้รับวัคซีนมากพอ เราจะเป็นต้องใช้มาตรการด้านสาธารณสุขต่าง ๆ คุมการระบาด เพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามรุนแรงขึ้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้มีต้นทุนด้านเศรษฐกิจสูง เพราะเป็นการจำกัดการเคลื่อนที่ของคน ซึ่งกระทบการดำเนินธุรกิจรุนแรง จึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบด้านสาธารณสุขกับเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับบริบทประเทศ ที่สำคัญต้องเร่งรัดมาตรการตรวจ และคัดแยกผู้ติดเชื้อในครัวเรือนให้ครอบคลุม และทันการณ์ หากพบการติดเชื้อ อาจต้องใช้มาตราการควบคุม หรือล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่อย่างเข้มข้นในระยะเวลาจำกัดให้ได้ทันท่วงที

นอกจากนี้ ภาครัฐจะมีบทบาทในการเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ และครัวเรือน ผ่านมาตรการทางการคลังซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น ขาดไม่ได้ เพราะรายได้ครัวเรือนที่หายไปในช่วง 2 ปี จำนวน 1.8 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกิน 10% ของจีดีพี ยังไม่มีอะไรมาทดแทนได้ แม้ปีนี้จะประเมินว่าภาคส่งออกจะเติบโตได้ถึง 17.7% ก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะการจ้างงานในภาคการส่งออกไม่ได้เยอะเมื่อเทียบกับการจ้างงานในระบบ และเมื่อเทียบกับตัวเลขคนว่างานและเสมือนว่างงาน จึงเป็นเหตุผลว่าการส่งออกสามารถพยุงเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่นัก ขณะที่บริษัทเอกชนแม้จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่น่าจะเพียงพอ ดังนั้นการใช้จ่ายของภาครัฐจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากปัญหาหลุมรายได้ที่ทั้งใหญ่ และลึก และคาดว่าจะยาวนาน

โดยการใช้จ่ายของภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นอีกมาก และต้องเร่งเบิกจ่ายให้ได้มากที่สุดเพื่อเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการที่ช่วยพยุงการจ้างงาน และเพิ่มรายได้ รวมถึงการใช้วงเงินกู้ตาม พ.ร.ก. กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาทที่อาจนำมาใช้เยียวยากลุ่มเปราะบางให้ตรงจุด และทันการณ์ และออกมาตรการเพื่อรักษาการจ้างงาน และสร้างรายได้โดยเร็ว

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า การกู้เงินเพิ่มเติมของภาครัฐก็จะช่วยให้จีดีพีกลับมาเติบโตได้ใกล้ศักยภาพเร็วขึ้น โดยกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่มเติมอีก 1 ล้านล้านบาท คาดว่าจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ประมาณ 70% ของจีดีพีในปี 2567 และจะลดลงได้ค่อนข้างเร็วตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ และความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้น เนื่องจากฐานภาษีจะไม่ได้ลดลงจากแผลเป็นของเศรษฐกิจมากนัก ดังนั้นหากรัฐบาลไม่เร่งพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมในภาวะที่ความไม่แน่นอนสูง เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤติยืดเยื้อ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีแม้จะเพิ่มขึ้นช้า แต่จากการประมาณการคาดว่าจะทรงตัวในระดับสูง และปรับลดลงได้ไม่มากนักในระยะยาว

การกู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 7% ของจีดีพี สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเจออยู่ อีกประเด็นที่สำคัญและน่าสนใจ คือ การกู้ตอนนี้แล้วใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจกลายเป็นจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในอีก 10 ปีข้างหน้าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเราไม่กู้ เพราะการกู้ และการใส่เงินเข้าไปตอนนี้เป็นการขยายเศรษฐกิจ เพิ่มฐานภาษี และทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไปได้ ช่วยให้ภาระหนี้กลายเป็นลดลงในอนาคต

ดังนั้นภาพระยะยาวการกู้เพื่อใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่จริง ๆ แล้วทำตอนนี้ดีกว่าทำทีหลัง และมองว่าหนี้สาธารณะที่ 70% ของจีดีพีเป็นอะไรที่เศรษฐกิจก็ไม่ได้ลำบาก รองรับได้ สภาพคล่องในระบบรองรับการกู้ยืมจากภาครัฐได้ ขณะที่ดอกเบี้ยก็สะท้อนความสามารถที่ภาคการคลังจะกู้เพิ่มได้ โดยดอกเบี้ยกู้ระยะยาว 10 ปี ไม่ถึง 1.6% เป็นพื้นที่ที่ยังมีศักยภาพเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ดอกเบี้ยสูงถึง 4-6% เป็นภาพรวมที่มองว่าเป็นยา หรือเป็นมาตรการที่จำเป็น และเหมาะสมกับอาการของเศรษฐกิจไทยที่เห็น

อย่างไรก็ตาม การกู้เงินต้องมีแผนชัดเจนในระยะยาวที่จะทำให้ภาคการคลังกลับมาสู่ระดับที่เข้มแข็งกว่าเดิม เพื่อรักษาความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ และเพิ่มช่องทางในการทำนโยบายไว้รองรับภาระทางการคลัง และความเสี่ยงในอนาคต ดังนั้นรัฐบาลต้องมีมาตรการรัดเข็มขัดในระยะปานกลาง เพื่อให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีกลับลงมาในระยะข้างหน้า เช่น การปฏิรูปการจัดเก็บภาษีผ่านการขยายฐานภาษี การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ พร้อมทั้งการปรับเพิ่มภาษีบางประเภทให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศหลังการแพร่ระบาดของโควิด พร้อมทั้งควบคุมรายจ่ายประจำ เพิ่มสัดส่วนของรายจ่ายลงทุน

นอกจากนี้ หากภาครัฐทำให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวตามศักยภาพได้เร็ว จะช่วยเร่งการเข้าสู่ความยั่งยืนทางการคลังได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากฐานภาษี และความสามารถในการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เช่น กรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว หากรัฐบาลเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 1% จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะลดลงอีกประมาณ 0.33% ต่อจีดีพี

ธปท.ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้ แต่ด้วยสภาพอาการที่จำเป็นกับเศรษฐกิจไทยตอนนี้ มองว่ามีอะไรที่ต้องทำบ้าง เรื่องหนึ่งที่หนีไม่พ้นคือมาตรการการคลัง โดยผมมองว่าน้อยมากที่ไทยจะเสี่ยงถูกลดเครดิตเรตติ้ง เพราะฐานะการคลังไม่ใช่เรื่องที่บริษัทเครดิตเรตติ้งเป็นห่วงที่สุด สิ่งที่เป็นห่วงคือความไม่แน่นอนทางการเมือง และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ส่วนที่บริษัทเครดิตเรตติ้งมองว่าเป็นจุดแข็ง คือ ฐานะการคลัง และเสถียรภาพทางการคลัง แต่จากสภาพอาการการของไทยตอนนี้จะรักษาโรคได้ก็ต้องรักษาที่องค์รวม จะแยกหมอเฉพาะทางอย่างเดียวไม่ได้ เพื่อให้คนไข้รอด ไม่ใช่ว่า ธปท.ไม่ทำอะไร ธปท.ก็ต้องทำเช่นกัน

โดยมาตรการทางการเงินของ ธปท. จะเป็นมาตรการเสริมในการช่วยดูแลภาระลูกหนี้ และเติมสภาพคล่องให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบที่รายได้หายไปชั่วคราว ที่ผ่านมามีการดำเนินการหลายมิติ ทั้งการแก้ไขหนี้ ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระยะยาว การพักชำระหนี้ระยะสั้น และการเติมสภาพคล่อง

สำหรับข้อเสนอเรื่องการปรับลดเพดานดอกเบี้ยนั้น มองว่า ต้องพิจารณาให้ดี ให้รอบคอบ รอบด้าน เพราะว่ามีผลข้างเคียงเยอะ ไม่ใช่แค่กับระบบแต่เป็นผลกับลูกหนี้เอง ซึ่งการพิจารณาผลกระทบต่อลูกหนี้ในเรื่องการปรับลดเพดานดอกเบี้ยนั้น แนวทางที่จะช่วยเหลือลูกหนี้ได้มากกว่าภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่มีความเสี่ยงสูง คือ การขยายเพดานวงเงินให้เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เพื่อให้คนที่เสี่ยงสูงยังอยู่ในระดับต่อไป และเสริมมาตรการปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่มีปัญหาในการชำระหนี้เดิม

สำหรับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ธปท. ไม่ได้มีการกำหนดระดับอัตราแลกเปลี่ยนไว้ในใจ แต่ก็ไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหวของค่าเงินที่เป็นอุปสรรค หรือมีความผันผวนที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องการเก็งกำไร


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/113487


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ทิพานัน”จวก “พิธา”ทำนาบนหลังม็อบ ลงทุนน้อยหวังกำไรมาก เชื่อ ปชช.-มวลชน เห็นธาตุแท้ แนะ ให้ชวนม็อบลดรุนแรง คุยสันติวิธี

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี  กล่าวกรณีที่ประชาชนในชุมชนต่างๆแสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การชุมนุมของมวลชนกลุ่มต่างๆ จะส่งผลต่อการเมืองและการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และการฟื้นฟูประเทศ ว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่น จริงใจ พยายามทำทุกวิถีทางที่จะคลี่คลายสถานการณ์ทั้งวิกฤตโควิดและวิกฤตการเมือง ไปพร้อมกันอย่างดีและเร็วที่สุด ส่วนที่มีนักการเมือง เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์หลังการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ส.ค.เชื่อว่า ประชาชน กลุ่มมวลชน รู้เท่าทันนักการเมืองว่ามีเจตนาอะไร 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การแสดงตนหลังสถานการณ์จบลง แล้วถ่ายภาพเผยแพร่ในโซเชียล เพื่อเรียกคะแนนนิยม ช่วงชิงมวลชนใช่หรือไม่ หากมีความจริงใจและเป็นผู้นำที่แท้จริง ต้องลงพื้นที่ช่วยพูดคุย ควบคุมและนำมวลชนให้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบสันติวิธีและไม่ผิดกฎหมาย จึงจะเป็นฮีโร่ที่แท้จริง ไม่ใช่เดินเกมแก้เก้อ หวังผลทางการเมือง หวังคะแนนมวลชนแบบหลบหลังม็อบ สิ่งที่นายพิธาและพรรคก้าวไกล ควรทำคือช่วยรณรงค์สื่อสารให้ม็อบชุมนุมโดยสันติ ไม่พกพาอาวุธ ไม่ยั่วยุเจ้าหน้าที่หรือกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายไม่ทำให้ประชาชนทั่วไป ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายและฝ่าฝืนมาตรการควบคุมการแพรระบาดโควิด-19 ช่วยกันสร้างเวทีพูดคุย ลดการปะทะและยั่วยุอย่างสร้างสรรค์เป็นธรรม 

“สิ่งที่นายพิธา ทำ ลงทุนน้อยแต่หวังกำไรมาก เชื่อว่ากลุ่มผู้ชุมนุม ดูออกแล้วว่าธาตุแท้ของนักการเมืองทำนาบนหลังม็อบ ที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างที่ตนเองย้ำมาตลอดนั้น หน้าตาเป็นแบบไหน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

รบ.สหรัฐฯ ส่อแววเมิน ประธานาธิบดีอัฟกานิสถาน พร้อมยินดีรับรองตอลิบาน หากเคารพสิทธิเด็ก-สตรี

เมื่อวันจันทร์ที่ 16 ส.ค. 64 สหรัฐฯ ระบุว่า จะรับรองรัฐบาลตอลิบานในอัฟกานิสถาน ก็ต่อเมื่อพวกเขาเคารพสิทธิสตรีและตีตัวออกห่างจากขบวนการเคลื่อนไหวหัวรุนแรงต่าง ๆ อย่างเช่นอัลกออิดะห์ ขณะเดียวกัน ก็ปฏิเสธยืนยันว่ายังให้การรับรอง อัชราฟ กานี ในฐานะประธานาธิบดีของอัฟกานิสถานอยู่หรือไม่

"ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพูดถึงท่าทีของเราต่อรัฐบาลใด ๆ ของอัฟกานิสถานในอนาคต มันจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของรัฐบาลนั้น ๆ มันจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของตอลิบาน" เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวเมื่อถูกถามเกี่ยวกับการรับรอง

"รัฐบาลอัฟกานิสถานในอนาคตที่ยึดมั่นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนของพวกเขา ไม่ให้แหล่งพักพิงแก่พวกก่อการร้ายและปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนของพวกเขา ในนั้นรวมถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิงและเด็ก ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของประชากร รัฐบาลนั้น ๆ จะเป็นรัฐบาลที่เราสามารถทำงานร่วมกันได้" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุ

ไพรซ์ บอกด้วยว่า ซัลเมย์ คาลิลซัด ผู้แทนเจรจาของสหรัฐฯ ด้านอัฟกานิสถาน ยังคงอยู่ในกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ดินแดนที่ตอลิบานมีสำนักงานทางการเมืองและการทูต พร้อมระบุเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อยู่ระหว่างเจรจากับตัวแทนของตอลิบานในประเทศแห่งนี้

ตอลิบาน บุกจู่โจมและเข้ายึดกรุงคาบูลได้อย่างรวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจ ในวันอาทิตย์ที่15 ส.ค. 64 สามารถโค่นล้มรัฐบาลอัฟกานิสถาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางทหารจากสหรัฐฯ มานานกว่า 2 ทศวรรษได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ทั้งนี้ ตอลิบานเคยกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดสำหรับสตรีระหว่างที่พวกเขาขึ้นปกครองประเทศช่วงปี 1996-2001 ในนั้นรวมถึงห้ามมอบการศึกษาแก่เด็กผู้หญิง ก่อนที่สหรัฐฯ จะยกทัพโค่นล้มรัฐบาลตอลิบาน ตามหลังโศกนาฏกรรมโจมตีนิวยอร์กและวอชิงตัน 11 กันยายน 2001

ระหว่างแถลงข่าวในวันจันทร์ (16 ส.ค.) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธยืนยันว่าสหรัฐฯ ยังคงให้การรับรอง อัชราฟ กานี ในฐานะประธานาธิบดีของอัฟกานิสถานหรือไม่ ขณะที่เขาหลบหนีออกนอกประเทศในวันอาทิตย์ (15 ส.ค.) หลังจากพวกนักรบตอลิบานสามารถโค่นล้มรัฐบาลของเขาได้ภายในไม่กี่สัปดาห์

"นี่เป็นบางอย่างที่เรากำลังทำงานร่วมกับประชาคมนานาชาติ" ไพรซ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าว เมื่อถูกถามว่าวอชิงตันจะให้การรับรองใครในฐานะผู้นำอัฟกานิสถาน

นอกจากนี้แล้ว ไพรซ์ ยังปฏิเสธตอบคำถามที่ว่า แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งพูดคุยทางโทรศัพท์กับ กานี ในวันเสาร์ (14 ส.ค.) ทราบหรือไม่ว่าในตอนนั้นประธานาธิบดีอัฟกานิสถานอยู่ที่ไหน หรือได้รับการบอกกล่าวจากกานีหรือไม่ ว่าเขากำลังหลบหนีออกนอกประเทศ

"สถานการณ์ทางการเมืองกำลังมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เราจะปล่อยให้ประธานาธิบดีกานีเป็นคนเล่าเองว่าเขาบอกอะไรกับท่านรัฐมนตรี ยังไม่มีการถ่ายโอนอำนาจอย่างเป็นทางการ" ไพรซ์ ระบุ

สำนักข่าวอัลจาซีเราะห์รายงานว่า กานี บินหลบหนีไปยังอุซเบกินสถาน อย่างไรก็ตามทางรอยเตอร์ยังไม่ยืนยันข่าวนี้


(ที่มา : รอยเตอร์)

https://mgronline.com/around/detail/9640000080738


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“พระครูแจ้” หนุนเกษตรกรพิจิตร เหมาแตงโม 8,000 โล แจกประชาชนที่มาฉีดวัคซีน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ภายในวัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่  อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ได้มีรถกระบะบรรจุผลไม้มาเต็มคันรถ  และจากการสอบถามทราบว่ารถคันดังกล่าว  ได้มีการลำเรียงผลไม้มาเป็นจำนวนมากเดินทางมาจากทางจังหวัดพิจิตร  โดยการสนับสนุนจากท่าน​  พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง  ที่มีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกรชาวสวนจังหวัดพิจิตร จึงได้ให้การสนับสนุนพี่น้องเกษตรกรชาวสวน โดยการสั่งผลไม้ประเภท แตงโม  ของพี่น้องชาวสวนจังหวัดพิจิตร จำนวน 8 ตัน หรือ 8,000 กิโลกรัม เพื่อเป็นการช่วยเหลือและให้กำลังใจเกษตรกรชาวสวนเพื่อช่วยกันฟันฝ่าวิกฤตโควิด-19

โดย  ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง  กล่าวว่า  ผลไม้ทั้งหมดได้สั่งตรงมาจากสวนผลไม้ของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนในจังหวัดพิจิตร จำนวน 8 ตัน หรือ 8,000 กิโลกรัม เพื่อเป็นการช่วยเหลือและอุ้มพี่น้องเกษตรกรชาวสวนเพื่อฟันฝ่าวิกฤตโควิด-19

อีกทั้ง  ในวันนี้ศูนย์ฉีดวัคซีนวัดบางพลีใหญ่กลาง  ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มแรกให้กับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12-18 ปี 7 กลุ่มโรคเสี่ยง  ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 100  กิโลกรัม และผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกิน 80 กิโลกรัม  โดยตั้งแต่ในช่วงเช้าภายในศูนย์ฉีดวัคซีนวัดบางพลีใหญ่กลาง  ได้มีผู้ปกครองนำบุตรหลานเดินทางมารอรับการฉีดวัคซีนกันอย่างต่อเนื่อง  ตามที่โรงพยาบาลได้มีการแจ้งผ่านทาง SMS  และได้ลงทะเบียนไว้ก่อนหน้านี้  โดยมีการจัดระเบียบและเว้นระยะห่างแบบ New normal

โดย  ทุกคนที่เดินทางมารับการฉีดวัคซีนยังศูนย์ฉีดวัคซีนวัดบางพลีใหญ่กลางจะได้รับมอบแตงโมจากท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ  เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง  มอบแตงโมให้คนละ 2 ลูก นำกลับไปทานที่บ้านโดยสั่งตรงมาจากเกษตรกรชาวสวนในจังหวัดพิจิตร  จำนวน 8,000 กิโลกรัม  

อย่างไรก็ตาม  ผลไม้ทั้งหมดที่ช่วยเกษตรกรอุดหนุนมานั้น จะนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ โรงพยาบาลสนาม รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการตำรวจและพี่น้องประชาชนในชุมชน อีกทั้ง ยังเป็นการแสดงออกถึงความรักและความห่วงใยที่มีต่อพี่น้องเกษตรกรชาวสวนและจะนำผลผลิตทั้งหมดแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนที่เดินทางมารับการฉีดวัคซีนในวันนี้แต่จะทำการแจกทุกๆวัน  จนกว่าผลไม้ที่สั่งมานั้นจะหมดเพื่อแทนความห่วงใยที่มีต่อบุคลากรทางการแพทย์ที่ยังคงปฎิบัติหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อย รวมถึงประชาชนที่เดือดร้อน  ประชาชนที่ขาดรายได้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 

"กมธ.ตำรวจฯ" กำชับ จนท. คุมม็อบปฏิบัติการตามหลักสากล เผย ตำรวจยันไม่ใช้กระสุนจริง วอนฟังข้อมูลทุกด้าน ระบุ ใครมีข้อมูลหลักฐานขอให้แจ้งเข้ามา จ่อ เชิญผบช.น.เข้าชี้แจง 19 ส.ค.นี้ 

ที่รัฐสภา นายสัญญา นิลสุพรรณ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมการชุมนุมที่ผ่านมา ว่า กมธ.ตำรวจได้ติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาโดยตลอด ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งที่ผ่านมา กมธ.ตำรวจได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง ไม่ว่าจะที่แยกราชประสงค์หรือหลายๆ ที่ ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่มีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีการปะทะและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงเจ้าหน้าที่ก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน โดยเราได้มีการขอข้อมูลไปเบื้องต้น รวมถึงภาพจากสื่อมวลชน

นายสัญญา กล่าวว่า จากการสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการยืนยันว่าเป็นการใช้หลักสากลควบคุมมวลชน ไม่ว่าจะเรื่องขั้นตอน แนวทางการใช้เครื่องมือเข้าควบคุม เช่น การใช้กระบอง การยิงกระสุนยาง การใช้น้ำฉีด การใช้แก๊สน้ำตา ซึ่ง กมธ.ตำรวจฯ ได้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตลอดเวลาว่าขอให้ใช้หลักสากลอย่างเคร่งครัด และได้รับคำยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่มีการใช้กระสุนจริงควบคุมสถานการณ์ และจากที่ได้เห็นภาพหลักฐานก็ยังไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธจริง ดังนั้นอย่าเพิ่งไปปรักปรำหรือโจมตีซะทีเดียว ขอให้ได้ฟังข้อมูลทุกด้าน อย่างไรก็ตามหากท่านใดมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่เกินกว่าที่ระเบียบกำหนด หรือใช้อาวุธจริงเข้าปราบปราม ทางกมธ.ตำรวจฯ ยินดีที่จะเข้าไปตรวจสอบและดำเนินการเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมฝูงชน  โดยในวันที่ 19 ส.ค. นี้ กมธ.ตำรวจฯ จะเชิญผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าควบคุมมวลชนเข้ามาชี้แจงที่รัฐสภา

เมื่อถามว่าจะมีการสอบถามผู้ชุมนุมอย่างไรบ้าง นายสัญญา กล่าวว่า ความจริงแล้วเรามีช่องทางให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งข้อมูลมาได้ นอกจากเราจะไปเห็นและรู้ว่าเป็นใครก็อาจจะเชิญเขามาได้ วันนี้หลายกรณีทางกมธ.ตำรวจฯ ก็มีความสนใจ แต่คนที่ได้รับผลกระทบที่มีข้อมูลตนขอเชิญให้ส่งข้อมูลมาที่กมธ.ตำรวจ เราจะได้นำมาพิจารณา และเชิญมาให้ข้อมูล 

เมื่อถามว่าจะมีการประสานไปยังแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาให้ข้อมูลหรือไม่ นายสัญญา กล่าวว่า  ไม่ได้ประสาน เพราะเราต้องเน้นไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนว่าปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรอบหรือไม่  เมื่อถามอีกว่าแบบนั้นข้อมูลจะไม่ออกมาด้านเดียวใช่หรือไม่ นายสัญญา กล่าวว่า ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ด้านเดียว เพราะเราแสวงหาข้อเท็จจริง หากเราพบว่าบุคคลใดได้รับผลกระทบเราก็อาจจะเชิญมา หากเราพบเห็นหลักฐาน

เกษตรฯ เร่งจัดการตลาดลำไย รับผลผลิตมากสุดเดือนส.ค.

นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้ สถานการณ์และการบริหารจัดการลำไย ระหว่างเดือนมิ.ย. – ก.ย. 2564 (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ส.ค. 2564) พบว่า คาดการณ์ผลผลิตลำไย 683,435 ตัน ซึ่งประเมินว่า จะมีผลผลิตลำไยออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนส.ค.นี้ ประมาณ 394,707 ตัน ส่วนการเก็บเกี่ยวลำไย มีปริมาณเก็บเกี่ยวสะสม 415,797 ตัน คิดเป็น 60.84% และยังไม่ได้เก็บเกี่ยว 267,638 ตัน คิดเป็น 39.16% 

ส่วนการกระจายผลผลิตลำไย ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ล่าสุดมีมติเห็นชอบให้เน้นทำการตลาดภายในประเทศ โดยกระจายผลผลิตผ่านล้งภายในประเทศ วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร ห้าง ระบบของไปรษณีย์ไทย การตลาดออนไลน์และตลาดค้าผลไม้ภายในจังหวัด การจัดจำหน่ายตรงผู้บริโภค รณรงค์การบริโภคลำไยในครัวเรือน สนับสนุนจุดรวบรวมและคัดคุณภาพลำไยเพื่อกระจายออกนอกแหล่งผลิต ประสานงานกับภาคเอกชนและโลจิสติกส์ในการลดค่าขนส่งให้เกษตรกร 

รวมทั้งการเชื่อมโยงและกระจายผลผลิตลำไยไปยังจังหวัดปลายทาง และการแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรข้ามภาค โดยประสานงานร่วมกับกระทรวงกลาโหม เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า ลำไย – มังคุด จากภาคใต้เพื่อกระจายผลผลิตสู่ผู้บริโภคภายในพื้นที่ภาคเหนือ

“ตอนนี้ กรมฯ ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกลำไย เน้นการพัฒนาคุณภาพผลผลิต เพื่อให้ได้ลำไยขนาดผลใหญ่คุณภาพระดับพรีเมี่ยม เกรด AA และเกรด A เหมาะสำหรับการบริโภคผลสดภายในประเทศ โดยไม่เน้นส่งเข้าโรงงานอบแห้งแปรรูปส่งออกประเทศจีน และการพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้รับการรับรองคุณภาพตามระบบการจัดการกระบวนการผลิตทางการเกษตร ซึ่งมีเกษตรกรได้รับการรับรองทั้งหมด 12,494 ราย 14,400 แปลง พื้นที่รวม 135,595.47 ไร่ รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ช่องทางการตลาดแบบออนไลน์มากขึ้น” นายเข้มแข็ง กล่าว

17 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันสถาปนาศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย 

ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2508 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับแสดงความจำนงบริจาคดวงตา จัดเก็บดวงตาผู้บริจาคเมื่อเสียชีวิต และจัดสรรดวงตาบริจาคให้จักษุแพทย์นำไปปลูกถ่ายกระจกตาให้แก่ผู้ป่วยกระจกตาพิการ โดยวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2512  ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ได้รับดวงตาบริจาคจากผู้ถึงแก่กรรมเป็นคู่แรก นำไปปลูกถ่ายกระจกตาให้แก่ผู้ป่วยกระตาพิการ 2 ราย  ดังนั้น เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณความดีของผู้บริจาคดวงตา คณะกรรมการจัดหาและบริการดวงตาแห่งสภากาชาดไทย จึงมีมติให้วันที่ 17 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้ดำเนินงานมาครบ 56 ปี ในปี พ.ศ. 2564 นี้

​ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด 19 ในปัจจุบัน ทำให้ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยและหน่วยงานเครือข่าย ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลทำให้สามารถจัดหาดวงตาบริจาคได้น้อยลง ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้มีการกำหนดมาตรการคัดกรอง

ผู้บริจาคที่เสียชีวิตก่อนดำเนินการจัดเก็บดวงตาอย่างเข้มข้น ​เพื่อความปลอดภัยของผู้รับดวงตาบริจาคและเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจว่าดวงตาบริจาคที่ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้รับนั้นมีความปลอดภัย ก่อนส่งมอบดวงตาบริจาคให้จักษุแพทย์นำไปปลูกถ่ายกระจกตาให้แก่ผู้ป่วยกระจกตาพิการ อย่างไรก็ตาม ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยและหน่วยงานเครือข่าย ยังมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยกระจกตาพิการให้ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดในท่ามกลางวิกฤติครั้งนี้

​ในปี 2564 ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยและหน่วยงานเครือข่าย ยังร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ป่วยกระจกตาพิการให้ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา ตลอดจนการพัฒนาองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์และความร่วมมือด้านการแพทย์ เพื่อให้บุคลากรหน่วยงานเครือข่ายสามารถปฏิบัติงานด้านการจัดหาและบริการดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ ข้อมูลศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย (ตั้งแต่ 2508 - สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564) มีผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา 
จำนวน 15,506 ราย และมีผู้แสดงความจำนงบริจาคดวงตา (ตั้งแต่ 2508 - สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564) จำนวน1,452,327 ราย

​สำหรับการบริจาคดวงตาในสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ที่ต้องการแสดงความจำนงบริจาคดวงตาให้แก่ ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย สามารถใช้ช่องทางการแสดงความจำนงบริจาคได้ดังต่อไปนี้ บริจาคดวงตาผ่านเว็บไซต์ www.eyebankthai.com แจ้งความจำนงผ่านโทรศัพท์ หมายเลข 0 2256 4039-40 (ในวันและเวลาราชการเท่านั้น) หรือสอบถามข้อมูลได้ที่เหล่ากาชาดจังหวัด โรงพยาบาลเครือข่ายศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย และที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ

​เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และเพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 30) ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย จำเป็นต้อง เลื่อนการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลให้แก่ผู้อุทิศดวงตาให้แก่สภากาชาดไทยที่ล่วงลับไปแล้ว เนื่องในวันศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ประจำปี 2564 ออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

‘บิ๊กตู่’ ตั้ง ‘เสรี วงษ์มณฑา - เกษมสันต์ วีรกุล’ เป็นบรรณาธิการบริหาร ศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤต วางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. ช่วยตอบโต้เฟกนิวส์อย่างทันท่วงที

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลและศบค. กำลังเร่งควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ไทยที่ยังถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤตมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนให้ได้โดยเร็ว โดยได้เร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรค ทั้งในการเร่งรัดการจัดหาวัคซีน ปูพรมฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด การค้นหาผู้เสี่ยงติดเชื้อเชิงรุกและนำผู้ป่วยทุกคนเข้าระบบการรักษาให้เร็วที่สุด รวมถึงให้ผู้ป่วยติดเชื้อเข้าถึงยาให้ไวที่สุด การสร้างสถานที่กักตัวให้เพียงพอทั้งในประเภท Home Isolation (HI) และ Community Isolation (CI) ให้เพียงพอทุกพื้นที่ รวมทั้งดูแลแรงงานและโรงงานในรูปแบบ Bubble and Seal ใช้ระบบการแพทย์ทางไกล (Tele-Medicine) ในระบบ HI และ CI จัดระบบการส่งยา รวมทั้งติดตามการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ฟ้าทะลายโจร และสูตรยาอื่น ทั้งของยาจากต่างประเทศ เช่น Remdesivir หรือ Oseltamivir หรือ Hydroxychloroquine เพื่อให้ผู้ป่วยสีเหลืองและสีเขียวเข้าถึงยาได้กว้างขวางที่สุด รวมทั้งให้มีการจัดซื้อชุดตรวจ ATK อย่างโปร่งใส ชัดเจน ขณะเดียวกันต้องมีการจัดการขยะติดเชื้อแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นทาง คือ การทิ้งขยะติดเชื้อที่ถูกต้อง การจัดเก็บ และปลายทาง คือ กระบวนการทำลายขยะติดเชื้อ

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบบริหารการสื่อสารในภาวะวิกฤต ด้วยการตั้งศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤต โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเลขานุการ มีนายเสรี วงษ์มณฑา และนายเกษมสันต์ วีรกุล เป็นบรรณาธิการบริหาร เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. โดยขอให้ทุกฝ่ายเร่งสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชน ทั้งในรูปแบบคู่มือประชาชน คู่มือชุมชน ช่องทางติดต่อทั้งโทรศัพท์ สายด่วน ไลน์ แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ ของหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนทราบการปฏิบัติตัวตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ สิ่งที่สังคมต้องการ คือข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง มีความเป็นเอกภาพ โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ทั้งเรื่องวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ ยาสมุนไพร สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ทุกหน่วยต้องแก้ข่าวบิดเบือน (Fake News) ให้ทันท่วงที  


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จับตาสัญญาณว่างงานสิ้นปีพุ่งหลังเจอผลกระทบโควิด

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ต่อการจ้างงานว่า ขณะนี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกิจการในภาคบริการและกิจการที่มีสายป่านสั้น เห็นได้จากข้อมูลการจ้างงานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 พบว่า มีผู้ว่างงานหรือเสมือนว่างงาน (ผู้มีงานทำไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) อยู่ที่ 3 ล้านคน และคาดว่า ในช่วงสิ้นปีนี้คนกลุ่มนี้จะเพิ่มเป็น 3.4 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดกว่า 1 ล้านคน เช่นเดียวกับผู้ว่างงานระยะยาว เกิน 1 ปี มี 1.7 แสนคน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดถึงกว่า 3 เท่าตัว 

ส่วนตัวเลขผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนอยู่ที่ 2.9 แสนคน เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิดถึง 8.5 หมื่นคน และแรงงานย้ายถิ่นกลับภูมิลำเนาที่เพิ่มขึ้นจากภาคบริการ/อุตสาหกรรมในเมือง กลับไปยังภาคเกษตรที่มีผลิตภาพต่ำกว่า ล่าสุดอยู่ที่ 1.6 ล้านคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยต่อปีในช่วงก่อนโควิดที่ 5 แสนคนมาก

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การล็อกดาวน์รอบนี้ยิ่งซ้ำเติมธุรกิจและครัวเรือน ส่งผลให้ฐานะการเงินมีความเปราะบางสูงขึ้น เพราะเงินออมลดลงทุกครั้งที่การระบาดกลับมา สายป่านของครัวเรือนสั้นลงเรื่อย ๆ สะท้อนจากตัวเลขเงินฝากในบัญชีที่มียอดต่ำกว่า 50,000 บาท ล่าสุดในเดือนพ.ค. 2564 ปรับลดลงเทียบกับปีก่อนเป็นครั้งแรก โดยหดตัวที่ 1.6% ขณะที่เงินฝากในบัญชียอดสูงกว่า 1 ล้านบาทยังขยายตัวได้ที่ 6.0% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด ขณะที่หนี้สินก็มีสัญญาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top