Tuesday, 1 July 2025
Hard News Team

โฆษกรัฐบาล เผย โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 3 เปิดจองโรงแรม/ที่พักแล้ววันนี้! พร้อมเพ็คเกจ “ทัวร์เที่ยวไทย” 1 ล้านสิทธิ เริ่ม Check-In วันแรก 15 ต.ค. เป็นต้นไป 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 พร้อมเปิดให้ประชาชนจองโรงแรม/ที่พักแล้ว หลังจากที่มีการเปิดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา จำนวน 2 ล้านสิทธิ โดยประชาชนสามารถจองโรงแรม/ที่พักได้ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม – 23 ตุลาคม 2564 เข้าพักได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป และจะสิ้นสุดโครงการวันที่ 31 มกราคม 2565 โดยโครงการเราเที่ยวด้วยกัน  รัฐบาลจะสนุนค่าโรงแรม 40% ของราคาที่พักต่อห้องต่อคืน ทั้งนี้ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อห้องต่อคืน จำกัดสิทธิคนละไม่เกิน 15 ห้อง หรือ 15 คืน พร้อมสนับสนุนส่วนลด e-voucher คูปองอาหาร/ท่องเที่ยวมูลค่า 600 บาท ต่อห้องต่อคืน เมื่อเข้าพัก Check-In ที่โรงแรม

โดยคูปองอาหาร/ท่องเที่ยว สามารถใช้ได้ที่ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวที่ร่วมโครงการ ประชาชนชำระ 60% และรัฐบาลสนับสนุนอีก 40% ผ่านการตัดเงินจากคูปอง ทั้งนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 2 สิทธิผู้โดยสาร ต่อ 1 ห้องโรงแรมที่จอง 40% ของราคาค่าตั๋วเครื่องบิน แต่ไม่เกิน 2,000 บาท ต่อผู้โดยสาร พร้อมมีสิทธิเพิ่มเติมสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินเท่ากับ 40% ของราคาตั๋วเครื่องบิน แต่ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อผู้โดยสาร เมื่อเดินทางท่องเที่ยวไปยัง ภูเก็ต พังงา กระบี่ สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ และเชียงราย อีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับโครงการทัวร์เที่ยวไทย มีบริษัททัวร์สมัครลงทะเบียนเพิ่มขึ้นจำนวนกว่า 366 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กันยายน 2564) โดยประชาชนสามารถเริ่มจองแพ็คเกจทัวร์ได้ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2564 – 31 มกราคม 2565 ผ่านผู้ประกอบการนำเที่ยวโดยตรง ใช้ได้ 1 สิทธิต่อ 1 คน จองแพ็คเกจก่อนเดินทางล่วงหน้า 7 วัน ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนค่าแพ็คเกจท่องเที่ยว 40% ไม่เกิน 5,000 บาทต่อสิทธิ จำนวน 1 ล้านสิทธิ 

เด็ก"บิ๊กตู่" แจง “ประยุทธ์”นั่งนายกฯ อีกไม่แปลก ถ้าเป็นฉันทามติของประชาชน ย้อน "หมอชลน่าน" หัดละอายใจก่อนแล้วค่อยว่าคนอื่นน่าละอาย

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ระบุว่า การที่พรรคพลังประชารัฐจะเสนอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกครั้งนั้น ไม่รู้สึกละอายตัวเองบ้างหรือ เพราะ 7 ปีที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์สร้างหายนะให้กับประเทศมากแค่ไหนว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์มุ่งทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนมาตลอดมีผลงานเป็นรูปธรรมมากมาย โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมมีการขยายรถไฟฟ้าครอบคลุมทุกพื้นที่ การจัดสวัสดิการต่างๆ ให้กับประชาชนไม่ว่าจะเป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง ฯลฯ ซึ่งประชาชนก็รับรู้ได้ จึงสะท้อนผ่านผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่า ประชาชนต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศต่อไป และหากการเลือกตั้งครั้งหน้า พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าเป็นฉันทามติของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ

 

"อัครเดช" นำ กมธ.จัดระเบียบสายไฟฟ้าและสารสื่อสาร  ลงพื้นที่หาดใหญ่ ติดตามโครงการสายไฟลงดิน เตรียมจัดทำแนวทางชงสภาส่งรัฐบาลเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรม 

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.จังหวัดราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารฯ สภาผู้แทนราษฎร และประธานอนุกรรมาธิการจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารฯภาคกลาง ใต้ และตะวันออก พร้อมด้วยนาย ธนู งาเนียม ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด(มหาชน)ในฐานะกรรมาธิการฯ และคณะ เดินทางลงพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อตรวจติดตามและศึกษางานการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงดิน และการจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารให้เป็นระเบียบ โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา พล.ต ท.สาคร ทองมุนี นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ นายวัฒนา แพรกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ภาคใต้ล่าง นายไพศาล ไชยลี ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้าภาคใต้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมประชุมและลงพื้นที่ด้วย

ผู้ต้องหาคดี 112 มือทวีต ‘เฟกนิวส์’ ในวัง ร้องผู้ตรวจการฯ สอบ 'ราชทัณฑ์' ละเมิดสิทธิ

สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน - นายเวหา แสนชนชนะศึก เจ้าของทวิตเตอร์ ‘ฟ้าฝนverเกี้ยวกราด’ และผู้ต้องหาคดีความผิดอาญา มาตรา 112 ที่ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำ เข้าร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้เข้าไปตรวจสอบและแก้ไขปัญหาภายในเรือนจำผ่านนายปิยะ ลือเดชกุล ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบเรื่องร้องเรียน ผู้ตรวจฯ

นายเวหา กล่าวว่า ตนได้ถูกเจ้าหน้าที่กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสันติบาลจับกุมตัวที่จ.พิษณุโลก และนำตัวมาขออำนาจศาลอาญา และถูกนำส่งเข้าทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง จนได้รับการปล่อยตัว รวมระยะเวลาที่เข้าเรือนจำทั้งสิ้น 51 วัน แต่การเข้าเรือนจำครั้งนี้ของตนเนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ทางกรมราชทัณฑ์ได้ออกมาตรการต่างๆ ทำให้การดำเนินการถูกจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐาน 

ทั้งนี้ปัญหาหนึ่งของราชทัณฑ์คือเรือนจำต่างๆ งดรับผู้ต้องขังใหม่ อ้างเหตุที่ว่า แต่ละเรือนจำไม่สามารถรับมือการแพร่ระบาดโควิดได้ ในช่วงที่ตนเข้าไปนั้นมีเพียงทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางเท่านั้นที่รองรับผู้ต้องขังใหม่ในทุกคดี ทุกเขตอำนาจในกรุงเทพฯ

ดังนั้น ทัณฑสถานฯ จึงเป็นแดนแรกรับ และเกิดปัญหาในการจัดการทั้งเรื่องจำนวนผู้ต้องขังใหม่ที่มีจำนวนมาก อีกทั้งปัญหาที่ว่าผู้ต้องขังที่มาในวันเดียวกัน ตรวจไม่พบเชื้อจะต้องถูกกักตัวรวมกันบนเรือนนอนเป็นเวลา 21 วัน ทำให้เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวไม่เพียงพอ หรือแม้กระทั่งการตรวจหาเชื้อที่มีทุกๆ 7 วัน หาพบเชื้อจะส่งตัวไปทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แต่หากมีใครป่วยขึ้นมาในระหว่างนี้ จะได้รับแค่ยาพาราเซตามอล 1 เม็ดต่อวันเท่านั้น แม้ว่าจะมีไข้สูงก็ต้องรอตรวจในอีก 7 วันข้างหน้า และไม่มีการให้ติดต่อญาติ

‘พรรคเพื่อไทย’ ลุย ‘ลพบุรี’ ลงพื้นที่ช่วยชาวบ้าน เผยพี่น้องประชาชนสุดทน รัฐบาลลอยแพปล่อยเจอปัญหาซ้ำซ้อน ‘น้ำท่วมบ้าน-ท่วมนาข้าวเน่า-ราคาข้าวตกต่ำ’ ไร้การเหลียวแล 

พรรคเพื่อไทย นำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมาและเลขาธิการพรรคเพื่อไทย, นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรค, นางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรค, นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม., นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. พร้อมด้วยอดีต ส.ส.ลพบุรี นำโดย สุชาติ ลายน้ำเงิน และ พิชัย เกียรติวินัยสกุุล ลงพื้นที่ บ้านเนินยาวและวัดบ้านคลอง ตำบลหนองทรายขาว และวัดหนองเมือง ตำบลหนองเมือง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งต้องจมอยู่ในน้ำมานานมากกว่า 10 วัน

โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ สะท้อนว่าสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอย่างหนัก เนื่องจากระดับน้ำที่สูงมากกว่า 1 เมตร จะเดินทางไปไหนต้องลุยน้ำที่สูงระดับหน้าอก บางชุมชนระดับน้ำสูงเกือบถึงชั้นสองของบ้านพัก อีกทั้งการที่น้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ทำให้เริ่มเกิดปัญหาน้ำเน่าและเกิดโรคที่มากับน้ำ โดยเฉพาะโรคน้ำกัดเท้า รวมทั้งมีปัญหาการขาดแคลนอาหาร น้ำดื่มและยารักษาโรค นอกจากนี้ชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนา ยังได้แจ้งความเสียหายที่เกิดขึ้น หลังจากน้ำท่วมไหลบ่าเข้าท่วมนาข้าวที่กำลังตั้งท้อง ซึ่งส่วนใหญ่เก็บเกี่ยวไม่ทัน และได้พยายามสอบถามถึงความชัดเจนของรัฐบาล ที่จะมีมาตรการชดเชยความเสียหายให้กับเกษตรกร

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ต้องอยู่อย่างยากลำบากเป็นเวลานาน เนื่องจากน้ำท่วมขังมานานนับสิบวัน แต่ระดับน้ำกลับไม่ลดลง ซึ่งตลอดการลงพื้นที่ได้เห็นอย่างชัดเจนว่า นาข้าวของชาวบ้านจมน้ำจำนวนมาก ดังนั้นรัฐบาลจึงควรเร่งหาทางระบายน้ำออกจากพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือให้พี่น้องประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้โดยเร็ว รวมทั้งบรรเทาความเสียหายอันเกิดจากน้ำท่วมนาข้าวและผลผลิตอื่นๆ ของพี่น้องประชาชนด้วย 

‘เมอร์ค’ ตั้งราคา ‘โมลนูพิราเวียร์’ สูงเกินจริงถึง 40 เท่า

บริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการเปิดตัวยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ที่จุดประกายความหวังในการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ได้คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกไปกว่า 4.8 ล้านราย

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่า เมอร์ค ได้ตั้งราคา ยาโมลนูพิราเวียร์ ที่เรียกเก็บจากรัฐบาลสหรัฐฯ สูงกว่าต้นทุนการผลิตถึง 40 เท่า

รายงานวิเคราะห์ราคายาโมลนูพิราเวียร์ที่จัดทำโดย Harvard School of Public Health และ King’s College Hospital พบว่า เมอร์ค มีต้นทุนผลิตยาโมลนูพิราเวียร์เพียง 17.74 ดอลลาร์ต่อ 1 คอร์ส หรือราว 600 บาท แต่ได้คิดราคาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงคอร์สละ 700 ดอลลาร์ หรือราว 24,000 บาท ซึ่งสูงกว่าต้นทุนถึง 40 เท่า

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลงกับบริษัทเมอร์คเพื่อสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จำนวน 1.7 ล้านคอร์ส ด้วยวงเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์ โดยมีราคาคอร์สละ 700 ดอลลาร์

ยา 1 คอร์สประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน

รายงานดังกล่าวระบุอีกว่า ในช่วงเริ่มแรก รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้ให้เงินทุนสนับสนุนแก่บริษัทเอกชนและหน่วยงานหลายแห่งในการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ เพื่อรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ แต่ต่อมาในเดือนพ.ค. 2563 เมอร์คได้ซื้อลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการผลิตและจำหน่ายยาโมลนูพิราเวียร์แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก

เมอร์คเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ยาโมลนูพิราเวียร์มีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์เดลตา และสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 50%

การประกาศดังกล่าวของเมอร์ค ส่งผลให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกแห่จองซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จากเมอร์ค ซึ่งทางบริษัทคาดว่าจะสามารถผลิตได้ 10 ล้านคอร์สภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้เมอร์คมีรายได้จากการจำหน่ายยาดังกล่าวสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.4 แสนล้านบาท

"กรณ์ - อรรถวิชช์" ประกาศ ผู้ว่าฯ ภูเก็ต ต้องมาจากการเลือกตั้ง ดันนโยบายจังหวัดจัดการตนเอง สู่เมืองเศรษฐกิจท่องเที่ยวระดับโลก เปิดตัว "เทมส์ ไกรทัศน์" เดินหน้านโยบายในพื้นที่

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ร่วมเทศกาลถือศีลกินผัก จ.ภูเก็ต กราบไหว้ศาลเจ้ากวนอู บ้านนาบอน เปิดตัวนายเทมส์ ไกรทัศน์ เป็นผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ภูเก็ต พร้อมนโยบายที่สำคัญต่อจังหวัดภูเก็ต โดยนายกรณ์กล่าวว่า ภูเก็ต มีของดีในตัวเองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ ทะเล เกาะ ภูเขา รวมไปถึงมรดกทางวัฒนธรรมชาวใต้ผสมผสานจีนฮกเกี้ยนแบบเพอรานากัน Sino-Portuguese ต้นทุนทางวัฒนธรรมหรือ Soft Power ทรงพลังมากๆ และที่ผ่านมาก็ถูกใช้กับการท่องเที่ยว ทำรายได้ให้ประเทศมาโดยตลอด ถึงวันนี้การจะขยายโอกาสไปต่ออีกขั้นต้องการบริหารจัดการระดับ World Class ในทุกมิติ และทั้งหมดนี้เชื่อมั่นว่าต้องเป็นการบริหารจัดการจากคนคุณภาพที่คนภูเก็ต กำหนดเอง เลือกเอง เพราะไม่มีใครรู้จักภูเก็ตดีเท่าคนภูเก็ตเอง 

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคกล้า เลยเสนอนโยบายภูเก็ต 3 ข้อชัดๆ ดังนี้ 

1.) ภูเก็ต ต้องเป็น "จังหวัดจัดการตัวเอง" การเมืองส่วนกลางระดับประเทศ และระบบราชการที่กระจุกตัว ไม่ตอบโจทย์ปัญหาเฉพาะพื้นที่ จึงจำเป็นต้องกระจายอำนาจในการบริหารงานเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเมือง โดยให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ภาษีและรายได้ปันส่วนให้ตอบโจทย์กับเนื้องานเพื่อการหารายได้เข้าประเทศอย่างมีระบบ 

2.) ภูเก็ต ต้องเป็น “เมืองเศรษฐกิจท่องเที่ยวพิเศษ” ส่งเสริมการลงทุนด้านการท่องเที่ยว ดึงดูด Nomad ทุกวงการเข้ามา Work From Phuket ต่อยอดจากของดีที่มี ทำงานเชิงรุก ทำให้เมืองเป็น Business Unit ของประเทศ สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างโอกาสให้คนในชุมชนมีโอกาสทำกิน 

3.) ภูเก็ต ต้องพลิกโฉมเป็น “เมืองมาตรฐานโลกทันสมัย" พัฒนาสาธารณูปโภคและความเป็นอยู่ ให้ตอบโจทย์ความเป็นเมืองเศรษฐกิจท่องเที่ยวระดับ World Class ที่แท้จริง ต้อง Re-Design เมืองในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการคมนาคม การโทรคมนาคม การบริหารจัดการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน การดูแลทางด้านการแพทย์สาธารณสุข การศึกษา ฯลฯ 

ชิลีคาดยอดส่งออก ‘ต้นคีไย’ พุ่ง หลังเป็นองค์ประกอบสำคัญวัคซีนโควิด-19 โนวาแวกซ์ แต่หวั่นทรัพยากรร่อยหรอในเวลาอันสั้น

ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ชิลีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อไม่น้อย มีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 1.6 ล้านราย เสียชีวิตกว่า 37,000 ราย ในขณะเดียวกัน ชิลีก็เป็นประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 อยู่ในระดับสูง โดยประชากรมากกว่า 70% ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

เมื่อพูดถึงวัคซีนโควิด-19 ก็จำเป็นต้องพูดถึง ‘ต้นคีไย (Quillay)’ พืชพื้นเมืองของชิลีที่เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 โนวาแวกซ์ ซึ่งเป็นความหวังของใครหลาย ๆ คน

บางคนเรียกต้นคีไยว่า ‘ต้นเปลือกสบู่ (Soapbark Tree)’ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Quillaja Saponaria เป็นพันธุ์ไม้หายากในป่าดิบที่มีถิ่นกำเนิดในชิลี ซึ่งชาวมาปูเช (Mapuche) หรือชนพื้นเมืองในชิลีใช้ในการทำสบู่และยารักษาโรคมาอย่างยาวนาน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้นคีไยถูกนำมาใช้เพื่อผลิตวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดและวัคซีนมาลาเรียตัวแรกของโลก ตลอดจนสารทำให้เกิดฟองสำหรับผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และเหมืองแร่

โดยโมเลกุลซาโปนิน (Saponin) 2 ตัว ซึ่งสร้างจากเปลือกกิ่งต้นคีไยที่มีอายุได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทโนวาแวกซ์ โดยนำมาใช้ทำสารเสริมที่ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน

สำหรับสารเสริมของวัคซีนโควิด-19 โนวาแวกซ์ ที่เรียกว่า Matrix-M จะประกอบด้วยโมเลกุลซาโปนินที่สำคัญ 2 โมเลกุล หนึ่งในนั้นเรียกว่า QS-21 ซึ่งจัดหาได้ยากเพราะส่วนใหญ่พบในต้นคีไยที่มีอายุอย่างน้อย 10 ปี

ในบรรดาบริษัทยารายใหญ่ มีเพียงโนวาแวกซ์ และ GSK ผู้พัฒนาวัคซีนป้องกันมาลาเรียรายแรกของโลก เพียง 2 เจ้านี้เท่านั้นที่ใช้ QS-21 เป็นส่วนผสมในการพัฒนายาและวัคซีน

โดยในอีก 2 ปีข้างหน้า โนวาแวกซ์วางแผนที่จะผลิตวัคซีนจำนวนหลายพันล้านโดส ซึ่งจะทำให้เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนต้นคีไยที่เหลืออยู่ในชิลีที่จะนำไปใช้สำหรับทำวัคซีนโควิด-19 ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมจึงไม่แน่ใจว่า ทรัพยากรต้นคีไยในชิลีจะหมดลงเมื่อไร แต่เกือบทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ในบางอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาสารสกัดจากคีไยอาจจะต้องเปลี่ยนไปใช้ต้นไม้อื่นแทน เพื่อสงวนคีไยไว้สำหรับการทำวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะ

จากการวิเคราะห์ของรอยเตอร์เกี่ยวกับข้อมูลการส่งออกจากผู้ให้บริการข้อมูลการค้า ImportGenius แสดงให้เห็นว่า ทรัพยากรต้นคีไยอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้น เพราะเดิมทีการส่งออกคีไยก็เพิ่มขึ้นเป็น 3,600 ตันต่อปีในช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดอยู่แล้ว หากต้องมีการส่งออกคีไยเพิ่มเติมสำหรับวัคซีนก็อาจไม่เพียงพอ

‘รมว.ท่องเที่ยว ยัน 1 พ.ย. เปิดกทม.และ 4 จังหวัด รับต่างชาติ พร้อมตั้งธงปี 65 คืนชีพรับนักท่องเที่ยว 15 ล้านคน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า คาดการณ์เป้าหมายรายได้รวมของภาคการท่องเที่ยวในปี 2565 อยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย จำนวน 15 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 6 แสนล้านบาท ส่วนตลาดไทยเที่ยวไทย เกิดการเดินทาง 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ประมาณ 8 แสนล้านบาท ซึ่งหากประเมินในแง่รายได้ของตลาดรวมจะคิดเป็น 50% ของปีปกติก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 หรือปี 2562 ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ 3.4 ล้านล้านบาท โดยในปี 2564 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ตั้งเป้ารายได้รวมจากการท่องเที่ยวทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศที่ 8.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3 แสนล้านบาท ส่วนนักท่องเที่ยวในประเทศ อยู่ที่ 5.5 แสนล้านบาท

นายพิพัฒน์กล่าวว่า การระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยทั้งระบบ อาทิ โรงแรม ขนส่ง บริษัทนำเที่ยว นวดสปา ซึ่งคิดเป็น 17% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ไทย เนื่องจากการเดินทางท่องเที่ยวหายไป ทั้งตลาดไทยเที่ยวไทย และตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยจากข้อมูลพบว่า การเดินทางของคนไทยหายไป 84.75% ส่วนต่างชาติหายไปกว่า 99.98% กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ร่วมกับ ททท. ในการจัดทำแผนขับเคลื่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามนโยบายเปิดประเทศใน 120 วันของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

เชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. 2564 อยู่ที่ระดับ 41.4 ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังจากที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการ โดยอนุญาตให้เปิดกิจการ/กิจกรรมต่างๆได้มากขึ้น นอกจากนี้สถานการณ์ระบาดของโควิดในประเทศก็ดีขึ้น โดยจำนวนผู้ได้รับวัคซีนต้านโควิดเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และคาดว่าจะฉีดได้ครบ 70% ของประชากร ตามเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อรายวันมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปัจจัยบวกคือ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด เพื่อให้ธุรกิจและประชาชนสามารถดำเนินชีวิตและประกอบธุรกิจได้ใกล้เคียงปกติ รวมทั้งขยายเวลาเคอร์ฟิวออกไปเป็น 22.00-04.00 น. โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป การฉีดวัคซีนของโลกและการฉีดวัคซีนในประเทศที่เริ่มเป็นรูปธรรมและปรับตัวดีขึ้น ภาครัฐดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประกอบด้วย โครงการเราชนะ ม.33 เรารักกัน คนละครึ่งเฟส 3 ยิ่งใช้ยิ่งได้ และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 เป็นต้น

ขณะที่ปัจจัยลบได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน ความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังส่งผลกระทบต่อกากรดำเนินชีวิต ธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ระดับระคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง ผู้บริโภค มีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังชะลอตัวลง ตลอดจนค่าครองชีพและราคาสินค่ายังทรงตัวในระดับสูง ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลดลง 33.07 จุด และ เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top