Tuesday, 25 March 2025
Hard News Team

นายคำรณ ปราโมช ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้งและอดีตกรรมการผู้จัดการนิตยสารอิมเมจ โพสต์ข้อความยกย่อง 'หมอยง' หลังสื่อนอกเสนอข่าวการไขว้วัคซีน

นายคำรณ ปราโมช ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้งและอดีตกรรมการผู้จัดการนิตยสารอิมเมจ โพสต์เฟซบุ๊ก ยกย่องนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เสนอแนวคิดฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ ว่า...

ศ.นพ.ยง ภูวรวรรณ ท่านเป็นนักไวรัสวิทยาระดับโลก งานวิจัยของท่านจึงเป็นที่เชื่อถือ และเป็นที่จับตามจากนักวิทยาศาสตร์ และแพทย์ทั่วโลก อีกทั้งการที่ทำงานเกี่ยวข้อง ประสานกันมาโดยตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ระหว่างสถาบันนักวิจัย และแพทย์องค์กรระหว่างประเทศ

ล่าสุด สำนักข่าว สื่อ ชั้นนำทั่วโลกลงข่าวพร้อมกันว่า ประเทศไทยได้ทดลองทำการวิจัย โดยสลับ Sinovac กับ AztraZeneca ประเทศแรกในโลก ในการต่อสู้การระบาดของโควิดกลายพันธุ์

และหนึ่งในสาเหตุที่ทั่วโลกสนใจการวิจัยนี้เพราะเป็นการวิจัย ระหว่างวัคซีนเชื้อตาย กับสาย viral vector

อนึ่งก่อนหน้านี้ ประเทศเยอรมันนี ยืนยันหนักแน่นว่า การฉีดสลับยี่ห้อโดยเข็มแรก AstraZeneca เป็น viral vector เข็ม 2 เป็น Pfizer หรือ Modena ซึ่งเป็นเป็น mRNA ให้ผลดีมากในทุกวัย

ประเทศสเปน วิจัยพบว่าการฉีดวัคซีสสลับยี่ห้อ ปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีเป็นการทดลอง AstraZeneca+Pfizer (Viral vector + mRNA)

ประเทศอังกฤษ ยืนยันว่าการฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ กระตุ้นการสร้างภูมิตุ้มกันได้ผลดี และการผสมวัคซีนจะช่วยให้การกระจายวัคซีนทั่วโลกทำได้ง่ายขึ้น ลดความตึงเครียดจากการรอวัคซีนยี่ห้อเดียว #ประเทศไทยต้องชนะ


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จุดสะสมเชื้อเจ้าวายร้ายโควิด-19 ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม

อย่ามองข้ามความปลอดภัย!!

ทางรอดจากเชื้อร้ายวันนี้ แค่ฉีดวัคซีนคงไม่พอ ต้องมีสติทุกครั้งที่สัมผัสสิ่งที่อาจจะมีเชื้อ

จำใส่ใจ จุดสะสมเชื้อเจ้าวายร้ายโควิด-19 ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติประจำจุดตรวจ จุดสกัด ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตามมาตรการของ ศบค.

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. และคณะ ได้ออกตรวจเยี่ยมจุดตรวจ จุดสกัด รวมถึงจุดตรวจป้องกันอาชญากรรม กำชับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในห้วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จำนวน 2 จุด ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม และอีก​ 1​ จุด คือ​ จุดตรวจ สภ.โพธิ์แก้ว

โดยมี พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผบช.ภ.7, นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม, นายเชาวเนตร ยิ้มประเสริฐ ปลัดจังหวัดนครปฐม และ พ.อ. พงษ์สวัสดิ์ ภาชนะทิพย์ รอง ผอ.รมน. จว. นครปฐม ร่วมคณะตรวจเยี่ยม และพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร 1 จุด คือจุดตรวจ สภ.กระทุ่มแบน โดยมี พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผบช.ภ.7, นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร, นายบรรพต จันทรวงศ์ นายอำเภอกระทุ่มแบน และ พ.อ.เอกพล จูฑะพันธ์ ผู้บังคับการกรมทหารสื่อสารที่ 1 ค่ายกำแพงเพชรอัครโยธิน ร่วมคณะตรวจเยี่ยม

​พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ กล่าวว่าการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019​ (โควิด-19) ด้วยมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายและกิจกรรมของบุคคล  ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้กำชับไปยังทุกหน่วยงานในสังกัด ให้ปฏิบัติตามประกาศ ข้อกำหนด ตามความมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 ก.ค. 2564 ในการควบคุม ระงับ ยับยั้ง การแพร่ระบาดของโรคฯ โดยให้ประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด ฝ่ายปกครอง เพื่อตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจตราห้ามมิให้บุคคลออกนอกเคหสถานในห้วงระหว่างเวลา 21.00-04.00 น.

นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำมาตรการในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฯ คลี่คลาย

ทั้งนี้ ผบ.ตร. ได้แนะนำให้มีการนำเทคโนโยลีที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดหาให้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่สำหรับการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ในพื้นที่จังหวัดที่ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จำนวน 10 จังหวัด มีข้อมูล ณ วันที่ 14 ก.ค. 2564 เวลา 10.00 น. ดังนี้... 

1.พื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตั้งจุดตรวจ 88 จุด เรียกตรวจยานพาหนะ 1,214 คัน จำนวน 1,529 คน พบผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯรวม 17 ราย มีเหตุจำเป็นและตักเตือน 8 ราย ดำเนินคดี 9 ราย

2.พื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ตั้งจุดตรวจ 11 จุด เรียกตรวจยานพาหนะ 576 คัน 
จำนวน 798 คน พบผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯรวม 28 ราย มีเหตุจำเป็นและตักเตือน 24 ราย ดำเนินคดี 4 ราย

3.พื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ตั้งจุดตรวจ 10 จุด เรียกตรวจยานพาหนะ 203 คัน จำนวน 264 คน พบผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯรวม 87 ราย มีเหตุจำเป็นและตักเตือน 73 ราย ดำเนินคดี 14 ราย

4.พื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ตั้งจุดตรวจ 39 จุด เรียกตรวจยานพาหนะ 6,021 คัน จำนวน 4,160 คน พบผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯรวม 44 ราย มีเหตุจำเป็นและตักเตือน 23 ราย ดำเนินคดี 21 ราย

รวมทั้งมีการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด จำนวน 148 จุด เรียกตรวจยานพาหนะ 8,014 คัน จำนวน 6,796 คน พบผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 186 ราย มีเหตุจำเป็นและตักเตือน 128 ราย ดำเนินคดี 48 ราย

​ทั้งนี้ ผบ.ตร. ได้มอบสิ่งของบำรุงขวัญ ได้แก่ หน้ากากอนามัย เฟสชิลด์ ถุงมือ เจลแอลกอฮอล์ ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ พร้อมแสดงข้อห่วงใยกำลังพลที่ต้องปฏิบัติงานในช่วงการแพร่ระบาดของโรคฯ ให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุข DHMTTA รวมไปถึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค. กำหนด

โดยเน้นย้ำการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ไปยังพี่น้องประชาชนที่อาจยังไม่ทราบถึงประกาศ ข้อกำหนดฯ แต่หากพบว่าพี่น้องประชาชนท่านใดที่จงใจฝ่าฝืนก็ต้องจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีข้อยกเว้น

‘โฆษกแรงงาน’เผยมาตรการเยียวยา 10 จังหวัด 9 กิจการ ช่วยบรรเทาภาคแรงงานให้กิจการฟื้นตัวโดยเร็ว

นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 ก.ค.64 เห็นชอบมาตรการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตน รวมทั้งอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัดได้แก่ จังหวัดกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เป็นเวลา 1 เดือนนั้น 

ประเภทกิจการที่ให้ความช่วยเหลือ จากเดิม 4 สาขา ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ และกิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมเป็น 9 สาขาโดยเพิ่มเติมสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร

สำหรับรูปแบบการให้ความช่วยเหลือ ดังนี้

1) ลูกจ้างมาตรา 33 จ่าย 50 เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้างรายวัน สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท และจ่ายสมทบให้สัญชาติไทยอีก 2,500 บาทต่อคน ไม่เกิน 10,000 บาท

2) นายจ้างมาตรา 33 จ่าย 3,000 บาทต่อคน ลูกจ้างสูงสุดไม่เกิน 200 คน

3) ผู้ประกันตนมาตรา 39,40 จ่ายรายละ 5,000 บาท

4) ผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Freelance) ที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนและไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ให้ขึ้นทะเบียนตามมาตรา 40 ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อจะได้รับ 5,000 บาท

5) ผู้ประกอบการที่มีลูกจ้าง แต่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมให้ขึ้นทะเบียนตามมาตรา 33 ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อรับเงินช่วยเหลือตามการเยียวยาลูกจ้างมาตรา 33 และนายจ้างมาตรา 33 ผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” 5 หมวด ภายใต้โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะที่มีลูกจ้างให้ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนมาตรา 33 ภายในเดือน ก.ค. นี้ เพื่อรับเงินช่วยเหลือตามผู้ประกอบการในระบบถุงเงิน 5 หมวด ภายใต้โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะที่ไม่มีลูกจ้างให้ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนมาตรา 40 ภายในเดือน ก.ค. นี้ เพื่อรับค่าช่วยเหลือ 5,000 บาท

สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาทั้งนายจ้างและผู้ประกันตนในครั้งนี้ เมื่อสำนักงานประกันสังคมได้รับจัดสรรเงินงบประมาณจากรัฐบาล และตรวจสอบข้อมูลถูกต้องครบถ้วนแล้ว จะดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนให้แก่ผู้ประกันตนทั้งมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 รวมถึงนายจ้างในกิจการเจ้าของคนเดียวที่มีชื่อระบุตามทะเบียนพาณิชย์ ขอให้ท่านรีบดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนให้เรียบร้อย ส่วนนายจ้างที่มีสถานะนิติบุคคล สำนักประกันสังคมจะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารตามชื่อนิติบุคคลที่แจ้งขึ้นทะเบียนนายจ้างกับสำนักงานประกันสังคมไว้
 
“ในเรื่องนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ จึงได้กำชับให้สำนักงานประกันสังคมประชุมหารือกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งกำหนดรายละเอียดให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า เพื่อดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวต่อไป” นางเธียรรัตน์ กล่าวในท้ายสุด

"เลขานุการประธานสภาฯ" ยัน ส.ส.ที่ร่วมประชุมกมธ.ผ่านออนไลน์ หากครบองค์ มีสิทธิรับเบี้ยประชุมตามระเบียบ ย้ำ สภามีมาตรการเข้มป้องกันโควิด เชื่อ หากทุกคนปฏิบัติตามสามารถป้องกันได้ 

นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ตามระเบียบและกฎหมาย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เข้าประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แม้ว่าจะประชุมผ่านระบบออนไลน์ แต่หากปฏิบัติครบตามขั้นตอน คือ เข้าร่วมประชุมและมีองค์ประชุมครบก็มีสิทธิที่จะรับเบี้ยประชุมโดยในการประชุม (กมธ.) มีค่าเบี้ยประชุมครั้งละ 1,500 บาท การประชุมอนุกมธ.มีค่าเบี้ยประชุมครั้งละ 800 บาท เพราะต้องถือว่าเป็นการทำงาน แม้ว่าขณะนี้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 แต่กมธ.บางคณะจำเป็นต้องทำงาน เนื่องจากมีเรื่องของกรอบเวลาในการทำงานและเพื่อความปลอดภัย จึงอาจต้องประชุมโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้แก้ไขเมื่อปี 2563 ให้ สามารถประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้

นายสมบูรณ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม พรรคก้าวไกล ติดเชื้อโควิด-19 นั้น ตนได้ทราบมาว่านายณัฐชาติดเชื้อจากทนายความส่วนตัวซึ่งมาคุยงานที่รัฐสภา ไม่ได้ติดจากเจ้าหน้าที่รัฐสภา และความจริงแล้วทางรัฐสภาได้กำหนดมาตรการไว้แล้วว่า ในวันที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.สามารถนำผู้ติดตามมาได้เพียงคนเดียว รวมถึงจะต้องผ่านการคัดกรองตามมาตรการที่สภากำหนด ซึ่งเชื่อว่าหากทำตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่กำหนด เชื่อว่าสามารถควบคุมและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากมีช่องโหว่ก็จำเป็นต้องป้องกันต่อไป

“มงคลกิตติ์” เดินหน้าเอาผิด รมต.-ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ฐานกำจัดสารสไตรีนโรงงานหมิงตี้ ผิดกฎหมาย ชี้บริษัทกำจัดสารไม่ผ่าน EHIA

ที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ แถลงว่า ผ่านมา 21 วันแล้วจากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงาน หมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ซ.กิ่งแก้ว 21 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งตนได้รับทราบว่ากระทรวงอุตสาหกรรมว่า จะนำสารสไตรีนโมเนอร์เมอร์ ไปกำจัดโดยมีบริษัทอัคคี ปราการ นิคมอุตสาหกรรมที่บางปู เป็นผู้ดำเนินงาน ซึ่งบริษัทยังไม่ผ่าน EHIA เท่ากับยังไม่ได้รับอนุญาต และยังไม่มีอำนาจในการขนย้าย ต้องทำแผนในการดำเนินการเสนอ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมให้ก่อน และการดำเนินงานของบริษัทอัคคี ปราการ สามารถกำจัดสารได้ 8 อย่าง ซึ่งไม่มีสารสไตรีนฯ ฉะนั้นการดำเนินการของกรมโรงงานกระทรวงอุตสาหกรรมถือว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และตามขั้นตอนจะต้องแจ้งกรมโรงงานว่ามีสารเคมีหรือกากประเภทใดที่ต้องเอาไปกำจัด และเมื่อจะเอากากออกจากโรงงานผู้ก่อเหตุจะต้องลงรายละเอียดในระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมกับสำนักกากกรมโรงงานว่าจะเอากากออกอย่างไร และกรมโรงงานจะต้องเป็นผู้พิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่และดูว่าบริษัทมีความสามารถกำจัดและได้รับอนุญาตหรือไม่ และต้องเป็นบริษัทที่จดทำเบียนกับกรมโรงงาน ดังนั้นการที่นำสารดังกล่าวไปกำจัดที่บริษัทอัคคี ปราการ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะมีการประกาศเมื่อปี 2562 เกี่ยวกับการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ดังนั้นการดำเนินการของบริษัทดังกล่าวก่อนที่จะเผาสไตรีนครั้งนี้ จะต้องทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและผ่าน EHIA แต่ครั้งนี้ยังไม่ได้ทำ
         
นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า ตนอยากทราบว่าทั้งรมว.อุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมโรงงาน จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ เพราะถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายและที่ผ่านมาตนได้ดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กับรองปลัดที่กำกับอุตสาหกรรมจ.สมุทรปราการ รวมทั้งอธิบดีกรมโรงงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และต้องดำเนินคดีในเรื่องของการกำจัดสไตรีนเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อาจผิดกฎหมาย ซึ่งเท่าที่ตนตรวจสอบถือว่าผิดกฎหมายและกฎหมายไม่ได้ละเว้นหรืองดเว้นให้ดำเนินการได้ ฉะนั้นการกำจัดสารสไตรีนสามารถดำเนินการได้โดยการเผา ฝังกลบ แต่เรื่องการเผาของ บริษัทอัคคี ปราการยังไม่ผ่าน EHIA ซึ่งเป็นเหมือนการนำสารสไตรีนจากอีกที่หนึ่งไปไว้อีกที่หนึ่ง ซึ่งสารเหล่านี้มีผลกระทบต่อเลือด หัวใจและลมหายใจของประชาชนอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามภายในสัปดาห์หน้าตนจะเดินทางไปที่บริษัทอัคคี ปราการ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป และขอเตือนไปยังรมว.อุตสาหกรรมว่าควรทำอะไรให้ถูกต้อง 

“ปิยะรัฐย์” ชี้หาก “บิ๊กตู่” ยังอยู่เชื่อประเทศไทยล่มสลายแน่ เผยโรงพยาบาลเชียงรายไม่รับตรวจหาเชื้อเหตุไม่เหลือเตียงรักษาแล้ว

นางสาวปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อชาติ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดในพื้นที่เชียงรายรุนแรงมาก ทั้งนี้หากมีการตรวจเชิงรุกเชื่อว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งนี้เพราะหลังมาตรการปิดแคมป์ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล พบว่าแรงานจำนวนมาก ไหลกลับพื้นที่ทั้งแรงงานคนไทยและแรงงานต่างด้าว เพราะเชียงรายเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นจากมาตการดังกล่าวจึงเป็นการปล่อยให้ผู้ติดเชื้อนำเชื้อไปแพร่ในพื้นที่ ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว

นางสาวปิยะรัฐชย์ กล่าวด้วยว่า ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถตรวจหาเชื้อได้เพราะโรงพยาบาลไม่รับตรวจหาเชื้อ เนื่องจากไม่มีเตียงรักษา ในขณะเดียวกันโรงพยาบาลสนามก็เต็มไปด้วยผู้ป่วย ดังนั้นหากตรวจเชื้อพบจำเป็นต้องรักษาเป็นไปตามประกาศของรัฐบาล จึงเลือกไม่ตรวจดีกว่า

“พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศแบบไร้ประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประชาชนไดรับผลประทบในทุกพื้นที่ ทำให้ทุกพื้นที่ของประเทศแปรสภาพจากวิกฤตสู่หายนะ ทำลายความเชื่อมั่นของประเทศ เศรษฐกิจพังทั้งการค้าขายและการท่องเที่ยวเป็นทรุดจนยากจะกู้คืนได้ นอกจากนี้ยังทำลายระบบธารณสุขไทย จากอันดับ 6 ของโลกจนอับดับลดลงไปเรื่อยๆ และหากขืนอยู่ในตำแหน่งต่อไปคงทำลายประเทศอย่างย่าอยยับที่สุด” นางสาวปิยะรัฐชย์ กล่าว

สื่อนอกรายงานข่าวการไขว้วัคซีนของไทย ทางด้านแอตร้าฯ เผย นโยบายวัคซีนเป็นเรื่องที่แต่ละชาติตัดสินใจเอง

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น สื่อมวลชนสหรัฐฯ และรอยเตอร์รายงานข่าว กรณีที่นักไวรัสวิทยาและที่ปรึกษาของรัฐบาลไทย เมื่อวันอังคาร (13 ก.ค.) รับรองแผนฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับยี่ห้อระหว่างแอสตร้าเซนเนก้ากับซิโนแวค ท่ามกลางความกังวลของประชาชนบางส่วนต่อการใช้ยุทธศาสตร์ที่ยังไม่ผ่านการทดสอบในวงกว้าง

โดยรายงานของซีเอ็นเอ็นระบุว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการเผยแพร่การวิจัยอย่างเจาะจงเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไขว้ 2 ชนิด แต่มีประเทศต่าง ๆ มากขึ้นที่กำลังพิจารณาแนวทาง mix-and-match (ฉีดวัคซีนสลับชนิด) เพื่อประสิทธิภาพการป้องกันที่ดีขึ้นจากตัวกลายพันธุ์ต่าง ๆ ที่แพร่เชื้อได้ง่าย ล่าสุด ได้แก่เวียดนาม

ซีเอ็นเอ็นรายงาน นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ผู้เชี่ยชาญด้านไวรัสวิทยาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า มีประชาชน 1,200 คน ในไทยที่ได้รับวัคซีนสลับยี่ห้อ ซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า ในคำสั่งแพทย์ที่ต่างกันออกไป ส่วนใหญ่สืบเนื่องจากอาการแพ้หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก ทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนวัคซีนเข็มที่ 2

"ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง ซึ่งบ่งชี้ว่ามันมีความปลอดภัยสำหรับการใช้จริง" ซีเอ็นเอ็นอ้างคำแถลงของนายแพทย์ยง

นายแพทย์ยง ระบุว่า ผลเบื้องต้นจากการติดตามผู้ได้รับวัคซีนมากกว่า 40 คน พบว่าการฉีดวัคซีนเชื้อตายซิโนแวค ตามด้วยวัคซีนไวรัสเวคเตอร์ของแอสตร้าเซนเนก้า สร้างแอนติบอดีแก่ผู้รับวัคซีนแบบเดียวกับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ไทยแถลงในวันจันทร์ (12 ก.ค.) ว่าจะรับรองฉีดวัคซีนโควิดสลับ 2 ยี่ห้อ แต่ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ระบุว่ามันเป็นแนวทางที่เสี่ยง "คนไทยไม่ใช่หนูทดลอง" นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย กล่าว

ในจังหวัดนนทบุรี ที่อยู่ติดกับกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเขียนบนเฟซบุ๊กเสนอฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าแก่ประชาชน 20,000 คน แต่มันเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากวก่า 700 ความเห็น จนกระทั่งต้องชะลอแผนดังกล่าวไป

รอยเตอร์อีกหนึ่งสื่อมวชนชื่อดัง ได้ติดต่อสอบถามไปยังซิโนแวคในวันจันทร์ (12 ก.ค.) เพื่อขอความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนของไทย แต่ทางซิโนแวคยังไม่ได้ให้คำตอบ ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า ระบุว่า นโยบายวัคซีนเป็นเรื่องที่แต่ละชาติตัดสินใจเอง ตามรายงานของซีเอ็นเอ็น

รายงานของซีเอ็นเอ็นระบุด้วยว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของไทยเปิดเผยในวันจันทร์ (12 ก.ค.) ว่าบุคลากรด้านสาธารณสุขจะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นของแอสตร้าเซนเนก้าหรือไม่ก็ไฟเซอร์ หลังจากบุคลากรทางการแพทย์ 618 คน จากทั้งหมดกว่า 677,000 รายที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้ว มีผลตรวจโควิด-19 ออกมาเป็นบวก อย่างไรก็ตาม ในบรรดา 618 รายนั้น มีเพียง 2 คนที่อาการสาหัส ในนั้น 1 รายเสียชีวิต


(ที่มา : ซีเอ็นเอ็น)

https://mgronline.com/around/detail/9640000068849


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ประวิตร”เร่งออกโฉนดที่ดิน จชต.-แก้ภาวะโภชนาการเด็ก ฟื้นคุณภาพชีวิตปชช. มอบ มท-ศธ.-สธ. ดำเนินการ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้(กพต.) ผ่านระบบผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ 

โดยที่ประชุมเห็นชอบโครงการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดิน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้(จชต.)ปี 2565-2570พื้นที่จ.ปัตตานีจ.ยะลา จ.นราธิวาส และ 4 อำเภอ ของจ.สงขลา เพื่อให้ประชาชนได้รับเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน ตามนโยบายของรัฐบาล และเห็นชอบโครงการแก้ไขปัญหาสุขภาวะและภาวะโภชนาการต่ำของเด็กเล็กในพื้นที่ จชต. ปี 2565-2568และสนับสนุนการเสริมทักษะการสื่อสารภาษาไทย ควบคู่กับภาษาอื่นของเด็กเล็ก โดยมอบให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการ

นอกจากนั้นรับทราบความคืบหน้าการช่วยเหลือแรงงานไทยในพื้นที่จชต.กลับจากต่างประเทศ ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)และกระทรวงแรงงาน จัดอบรมให้ความรู้ ฝึกทักษะแนะแนวอาชีพ ะช่วยเหลือให้มีงานทำแล้วมากกว่า 8,000 คน จากเป้าหมาย 10,000 คน ภายในเดือนก.ย.64 และรับทราบการดำเนินงานขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อ.จะนะ จ.สงขลา รวมทั้งการเร่งช่วยเหลือชาวประมงตามข้อเสนอ ของสมาคมการประมง จ.ปัตตานี ตามโครงการนำเรือออกนอกระบบฯ รองรับมาตรการ IUU Fishing สามารถดำเนินการช่วยเหลือเรือประมงกลุ่มแรก ได้ 101 ลำ และจะดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มอื่นๆ ต่อไป

โดยพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ให้ศอ.บต. และทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนาเป็นแนวทางที่สำคัญในการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด และนำไปสู่การปฏิบัติ ให้เป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ของประชาชนในการยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมเศรษฐกิจ และนำมาซึ่งสันติสุขในพื้นที่ จชต.อย่างยั่งยืน พร้อมกำชับ ศอ.บต. ต้องให้การสนับสนุนช่วยเหลือประชาชน เพื่อลดผลกระทบ จากโควิด-19 ในขณะนี้ อย่างเร่งด่วน

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา ประธานกรรมาธิการการแรงงานวุฒิสภามอบอุปกรณ์ป้องกันไวรัส Covid 19 ให้ รพ.ตร.

วันพฤหัสบดีที่ 15 ก.ค. 64​ เวลา 09.00 น. ณ มูลนิธิ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงานวุฒิสภา ในนามโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) มูลนิธิ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว และครอบครัวแสงสิงแก้ว ได้มอบอุปกรณ์ป้องกันไวรัส Covid 19 ให้ รพ.ตร.เพื่อแจกจ่ายให้กับอดีตข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ ประกอบด้วย

หน้ากากอนามัย จำนวน 100,000 ชิ้น และแอลกอฮอล์เจล จำนวน 1,000 ขวด มูลค่ากว่า 300,000 บาท (สามแสนบาท) ที่มูลนิธิ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว โดยมี พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รอง ผบ.ตร., พล.ต.ต.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ รองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นผู้แทนรับมอบเพื่อแจกจ่ายตามวัตถุประสงค์ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top