Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

'หมอยง' แนะ เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง-ตั้งครรภ์ เผยเริ่มคิดสูตรเข้ม 3 สู้เชื้อกลายพันธุ์

นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Yong Poovorawan' ระบุว่า... 

จากการระบาดของสายพันธุ์ Delta กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว 

ประเทศที่ฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก 80 เปอร์เซ็นต์ในผู้ใหญ่แล้วเช่น อิสราเอล ซึ่งมีประชากรเพียง 9 ล้านคน ก็มีผู้ป่วยต่อวันเป็นพันและเข้าสู่หลักหมื่นแล้ว เมื่อเปรียบเทียบต่อประชากรแล้ว มากกว่าประเทศไทยเสียอีก 

ในอเมริกาเอง ก็มากกว่าแสนต่อวันแล้ว อัตราการเสียชีวิตลดลง ก็ยังวันละประมาณ 1,000 จากข้อมูล CDC’s COVID Data Tracker วันที่ 2 กันยายน มีผู้ป่วยใหม่ 153,728 คน เสียชีวิต 1,209 ราย

ประเทศไทยเองก็เป็นสายพันธุ์ไวรัส Delta เกือบทั้งหมด มาเป็นเดือนแล้ว 

วัคซีนที่ใช้อยู่ในโลกนี้ จะลดประสิทธิภาพในการป้องกันลง แต่ยังสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ และลดอัตราการเสียชีวิต

ขณะนี้ผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เราจึงต้องรีบให้วัคซีนในกลุ่มเสี่ยง และสตรีตั้งครรภ์

เรายังมีความหวังว่า ถ้าอัตราการให้วัคซีนเป็นอย่างขณะนี้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราก็สามารถที่จะลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ 

ทีมของเรายังมุ่งมั่นในการทำการศึกษาวิจัย การใช้วัคซีนตามทรัพยากรที่เรามีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

การศึกษาวิจัยขณะนี้ กำลังศึกษาว่าจะให้เข็มที่ 3 อย่างไร จึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด และใช้ทรัพยากรที่น้อยที่สุด ที่จะป้องกันสายพันธุ์ที่เปลี่ยนไป 

เพื่อเตรียมรองรับการให้วัคซีนเข็มที่ 3 ที่จะต้องใช้ในอนาคตอย่างแน่นอน

ขอโทษด้วยที่หายไปนาน เพราะไปมัวเก็บขยะอยู่

#หมอยง


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=6228387063870525&id=100000978797641

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม EEF เสนอกุญแจสำคัญ 3 ดอก สู่การฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนภายหลังโควิด-19 

ตามเวลาประเทศไทย (ซึ่งตรงกับเวลา 18.08 น. ของเมือง Vladivostok) ที่มหาวิทยาลัย Far Eastern Federal เมือง Vladivostok สหพันธรัฐรัสเซีย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม Eastern Economic Forum (EEF) ครั้งที่ 6 ในช่วงการประชุมเต็มคณะ (Plenary Session) ภายใต้หัวข้อ “Through crisis towards rejuvenation” A search for ways of growth in a post-pandemic period ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมการประชุม EEF ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างผู้นำร่วมกันหาแนวทางสู่การฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ทางออกจากวิกฤตโควิด-19 ที่หลายประเทศกำลังเผชิญรวมทั้งไทยคือ การที่ทุกประเทศสามารถเข้าถึงและมีการกระจายวัคซีนได้อย่างครอบคลุมโดยเร็วที่สุด ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำและเรียกร้องให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะของโลก และขอให้ประเทศที่มีวัคซีนเพียงพอแล้ว แบ่งปันและเร่งกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงทุกภูมิภาคโดยเร็ว  
 
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับประชากรในประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรอย่างน้อยร้อยละ 70 ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ไทยยังอยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนชนิดต่าง ๆ ซึ่งบางโครงการอยู่ในขั้นตอนทดลองในมนุษย์ มีผลที่น่าพอใจ จึงเห็นได้ว่า ไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางการกระจายวัคซีนของภูมิภาค 
 
จากสถานการณ์โควิด-19 IMF และธนาคารโลกได้รายงานตัวเลขคนยากจนทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 100 ล้านคนในปี 2020 ตอกย้ำความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นและจะดำเนินต่อไปถึงยุคหลังโควิด-19 โดยเฉพาะประเด็นช่องว่างของการพัฒนาและความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ทุกประเทศจึงต้องร่วมกันยึดมั่นระบบพหุภาคีนิยมและเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกันให้มากขึ้นบนพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอมุมมองของไทยเกี่ยวกับกุญแจสำคัญ 3 ดอก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เพื่อนำไปสู่การฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ภายใต้วิถีปกติใหม่ ดังนี้ 
 
กุญแจสำคัญดอกแรก คือ การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการรักษาสมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความเท่าเทียมทางสังคม และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยไทยได้ประยุกต์ใช้ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ Bio-Circular-Green Economy (BCG) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการต่อยอดความเข้มแข็งของไทยในด้านเกษตรกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งไทยยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับทุกประเทศ 
 
กุญแจสำคัญดอกที่สอง คือ การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมและแรงงาน รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ห่วงโซ่อุปทานระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม MSMEs โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเปลี่ยนการค้ารูปแบบเดิมให้เป็นการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะการปรับกฎระเบียบของภาครัฐให้รองรับการค้าแบบดิจิทัล การปรับโครงสร้างภาคแรงงานที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ได้ ซึ่งรวมถึงการ upskill และ reskill ตลอดจนเร่งจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างภูมิภาคเพิ่มเติม รวมถึงสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ ไทยจะเดินหน้าหารือกับประเทศสมาชิก EAEU รวมทั้งรัสเซีย และคาซัคสถานต่อไป 
 
กุญแจสำคัญดอกที่สาม คือ การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนแนวความคิดในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกัน ซึ่งไทยอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างดีเลิศ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ทันสมัย พร้อมเชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนใน EEC โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยส่งเสริม นอกจากนี้ การเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไทยได้ดำเนินโครงการ Phuket Sandbox และ Samui Plus พร้อมเสนอให้มีการหารือเพื่อจัดทำแนวปฏิบัติด้านการเดินทาง และการใช้เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกและกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่จะมีขึ้นในอนาคต 
 
วิกฤตโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรง การจะกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิมได้นั้น ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจอย่างจริงจังในทุกระดับซึ่งไทยได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ทั้งในกรอบ UN และองค์กรระดับภูมิภาค โดยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC ในปีหน้า ไทยจะผลักดันวาระที่มุ่งไปสู่การฟื้นตัวหลังโควิด-19 โดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยว และการส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ซึ่งต้องขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไทยหวังจะขับเคลื่อนภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีภูมิคุ้มกัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

จับตาธุรกิจเอสเอ็มอีสายป่านไม่พอเสี่ยงถูกฮุบกิจการ

นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา ประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า กระทรวงพาณิชย์ กำลังจับตามองผลกระทบจากการระบาดของโควิดที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอสเอ็มอี  หลังพบการควบรวมธุรกิจ โดยมีกว้านซื้อธุรกิจรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประกอบธุรกิจ ทำให้โอกาสการแข่งขันเอสเอ็มอีรายย่อย และรายกลางลดลง ไม่สามารถแข่งขันได้เนื่องจากไม่มีอำนาจทางการค้าที่มากพอ อาจจะตามมาซึ่งการผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ จากธุรกิจรายใหญ่อีกด้วย

ทั้งนี้ จากการจับตามองผลกระทบต่อเอสเอ็มอีนั้น นอกจากปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินที่ทำให้เอสเอ็มอีจำนวนมากต้องล่มสลายแล้ว ยังพบปัญหาโครงสร้างทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการมีแพลทฟอร์มออนไลน์ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น อีเซอร์วิส อีโลจิสติกส์ อีคอมเมิร์ซเข้ามาแข่งขันทำให้ธุรกิจแบบดั้งเดิมไม่สามารถปรับตัวได้ทัน และถูกแย่งพื้นที่ตลาดไปมากเช่นกัน

ทั้งนี้ สำนักงานฯ ขอแนะนำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ต้องเรียนรู้ด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้น โดยประเมินสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจตนเอง พร้อมกับศึกษาความท้าทายจากเทคโนโลยี รวมถึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวกับแข่งขันทางการการค้าเพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการรายอื่น โดยจะเร่งสร้างบรรยากาศทางการค้าให้เป็นธรรม ไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ ผ่านการเร่งออกแนวปฏิบัติที่จะใช้กำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้เป็นธรรมกับทุกราย

‘เสกสกล’ ร้อง ‘ชวน’ สอบ 3 ส.ส. ขัดจริยธรรม ปมใช้ข้อมูลเท็จซักฟอก แฉ ขบวนการคนทางไกลใช้ 2 พันล้านล้ม ‘บิ๊กตู่’ เปิดตัวย่อพร้อมเส้นทาง

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบ 3 ส.ส. โดยมี นายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยนายเสกสกล กล่าวว่า จะขอให้นายชวนตรวจสอบ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล ฐานใช้หลักฐานอันเป็นเท็จในการกล่าวหากองทัพและใช้ไอโอเอกสารประกอบการอภิปรายเป็นเอกสารปลอม ซึ่งได้ไปยื่นแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้ว 

คนที่สอง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายด้วยการตกแต่งตัวเลขผู้ป่วยและผู้หายป่วย แล้วนำไปกล่าวหานายกฯ และรมว.สาธารณสุข ทำให้เกิดความเสียหาย 

คนที่สาม นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ที่ระบุพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม จ่ายเงิน 5 ล้านให้ส.ส.สนับสนุนลงมติ ซึ่งตนเห็นว่าบุคคลดังกล่าวสติสตังไม่อยู่กับร่องกับรอย 

เพราะคราวก่อนลูกสาวเตรียมลงสมัครนายกฯ อบจ.ที่จังหวัดเชียงรายก็ทำให้เกิดกระแสดราม่าโดยการกรีดเลือดในสภา จนทำให้ประชาชนประณามว่าเป็นส.ส.ที่ไม่ทรงเกียรติ เมื่อมีสติไม่สมประกอบแล้วยังไปพูดในห้องประชุมสภาทำให้ประชาชนรับไม่ได้อีก จึงขอยื่นให้นายชวนตรวจสอบ กรณีฝ่าฝืนข้อบังคับขัดมาตรฐานทางจริยธรรม ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับมาตฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้คณะกรรมการจริยธรรมของสภาได้ตรวจสอบ 3 ส.ส. ก่อนที่จะส่งไปดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินคดีอาญา ขณะเดียวกันก็ได้มีบุคคลไปแจ้งความร้องทุกข์นอกสภาแล้วเพื่อให้ดำเนินคดีเนื่องจากอภิปรายทำให้เกิดความเสียหายส่วนตัว ส่วนเอกสิทธิคุ้มครองนั้นก็คุ้มครองได้เพียงบางเรื่อง 

นายเสกสกล กล่าวว่า การที่นายวิสาร พูดกล่าวหานายกฯ จ่ายเงิน 5 ล้านให้ส.ส. คงเป็นเพราะเคยเห็นมาในอดีต เพราะคนในอดีตเคยมีการกระทำเช่นนี้ ขอถามกลับไปยังนายวิสารว่า นายทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย เคยมีพฤติกรรมอย่างนี้ใช่หรือไม่ จึงมากล่าวหานายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีทางจะทำการอย่างนี้ เพราะประชาชนทราบดีว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนอย่างไร ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเรื่องทุจริตคอร์รัปชันหรือเล่นการเมืองสกปรก จึงได้นำมากล่าวหานายกฯ ในสภาฯ ซึ่งเป็นความเสียหายที่ร้ายแรง เป็นการกล่าวหาอันเป็นเท็จ 

‘ผมมีข้อมูลที่มีสายข่าวรายงานว่าคนทางไกลชื่อย่อ ‘ท’ ‘ด’ กำลังเคลื่อนไหวผ่านกลไกพรรค ‘พ’ ให้อดีตรัฐมนตรี ‘ว’ ที่เป็นอดีต ส.ส.ภาคเหนือ ให้นำเงินมาวางให้พรรคเล็กพรรคน้อยแล้ว แต่ส.ส.พรรคเล็กกำลังตัดสินใจว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไปจึงยังไม่กล้าไปรับเงินดังกล่าว โดยวางมัดจำก่อน 2 กิโลกรัม ซึ่งเงินมัดจำทั้งหมดวางที่บ้านส.ส.พรรคเล็กอักษรย่อ ‘พ’ ซึ่งเป็นขบวนการที่ล้มนายกฯ ของคนทางไกลที่เตรียมเงินไว้ล้ม 2,000 ล้าน ประกอบกับความเคลื่อนไหวของม็อบที่สี่แยกอโศกนำโดยอดีตรัฐมนตรี ‘ต’ เพราะคาดว่าเกมนี้จะเดินสำเร็จ เป็นการเคลื่อนไหวนอกประเทศ บนถนน ในสภาฯ เพื่อล้มพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ นี้คือวิธีการเล่นการเมืองด้วยวิธีเดิม ๆ เหมือนในอดีตที่เคยไปลืมถุงขนมที่ศาลมาแล้ว 

'สี จิ้นผิง' เตรียมกวาดล้าง 'ปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรม' เพื่อพลิกโฉมสังคมจีน

กระแสความสนใจคำว่า 'เปี้ยนเก๋อ' หรือ การปฏิวัติสังคมในจีน มันจะปฏิวัติอะไร จะเกิดเมื่อไร และความคิดสีจิ้นผิง คืออะไร 

ปฏิบัติการ 'เปี้ยนเก๋อ' ถูกเร่งขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากการประชุมลับที่ Beidaihe ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และถึงเวลาที่สุกงอมมากพอแล้ว right timing ที่จะ 'เปี้ยนเก๋อ' เพื่อปฏิวัติ ให้ถึงแก่นพลิกโฉมสังคมจีน Social Transformation 

#จีนกวาดบ้าน ล้างบาง ชำระล้าง กวาดล้างในวงการต่าง ๆ ที่จีนเคย #ปิดตาข้างเดียว ปล่อยให้ตักตวงประโยชน์มานาน และ #ปัญหาที่เคยซุกไว้ใต้พรม ด้วยการทำ Social Governance ตามแนวทาง 14 ด้าน Xi Jinping Thought 

#ความคิดสีจิ้นผิง คืออะไร สำคัญถึงขั้นที่มีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญจีน ตั้งแต่ปี 2018 และจีนได้ผ่านกฎหมายสำคัญหลายฉบับเพื่อติดอาวุธให้กับหน่วยงาน regulator มือฉมังทั้งหลาย ในการทำปฏิบัติการปฏิวัติเปลี่ยนโฉมสังคมจีน #จีนเปี้ยนเก๋อ ได้หรือไม่ อย่างไร ส่องเลยค่ะ 

Note: นี่คือส่วนหนึ่งของ my Talk #อ่านเกมสีจิ้นผิง เพื่อทำความเข้าใจทิศทางจีน และผลกระทบที่สั่นสะเทือนแผ่นดินจีนอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งจะมีแรงต้านหรือไม่อย่างไร หาคำตอบเพิ่มเติมได้​ที่นี่ >> https://www.facebook.com/1037140385/posts/10223885692543683/?d=n


ที่มา : รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. https://www.facebook.com/1037140385/posts/10223885692543683/?d=n

สคบ.เตือนซื้อสินค้ากันโควิดผ่านออนไลน์ ระวังเจอโกง

นายสุวิทย์ วิจิตรโสภา รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า สคบ.ขอแจ้งเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังการซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งหน้ากากอนามัยชนิดต่าง ๆ ปืนฉีดพ่นแอลกอฮอล์ ยาฟ้าทะลายโจร รวมทั้งชุดตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตัวเอง หรือ แอนติเจนเทสคิท ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนทำการสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ เพราะที่ผ่านมามีผู้บริโภคหลายรายเจอการหลอกลวงโอนเงินซื้อสินค้าแล้วไม่ได้สินค้า และในด้านการติดตามตรวจสอบกับทางผู้ขายนั้นก็ทำได้ยากอีกด้วย 

ทั้งนี้ สคบ. ได้มีการตรวจสอบการลักลอบขายผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้ผ่านออนไลน์ ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีเจ้าของบริษัทหลายแห่งที่ตัดสินใจซื้อแอนติเจนเทสจากช่องทางออนไลน์เพื่อเอาไปใช้ตรวจให้กับพนักงานในบริษัทของตัวเอง ซึ่งการซื้อแต่ละครั้งจะเป็นล็อตใหญ่ เมื่อตกลงซื้อ-ขายกันเสร็จแล้วก็โอนเงินไปยังผู้ขายบางรายเป็นเงินหลายหมื่นบาท ปรากฏว่า ผู้ขายกลับไม่ส่งสินค้าให้ จึงทำให้เกิดปัญหาการหลอกลวง หรือฉ้อโกงเกิดขึ้น ขณะเดียวกันในบางรายตกลงซื้อ-ขายกันเสร็จ ได้รับสินค้าเรียบร้อย แต่สินค้ากลับไม่มีคุณภาพ หรือไม่มีมาตรฐานตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุขด้วย

นายสุวิทย์ กล่าวว่า หากผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้าเกี่ยวกับโควิดหลาย ๆ ชนิด รวมไปถึงชุดตรวจแอนติเจน ผู้บริโภคควรไปเลือกซื้อในสถานที่ที่รัฐกำหนด ทั้งสถานพยาบาล หรือร้านขายยาต่าง ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ แทนการไปซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ และสามารถตรวจสอบข้อมูลของสินค้าที่เข้าข่ายเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกชนิดได้ผ่านทางเว็บไซต์ของ อย. ซึ่งนำข้อมูลทั้งหมดมาแสดงไว้ให้ผู้บริโภคตรวจสอบแล้ว โดยเฉพาะรายชื่อบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้นำสินค้านี้มาขายให้กับผู้บริโภค เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคถูกหลอกลวง เพราะปัจจุบันมีสินค้าปลอมเกี่ยวกับโควิดเกิดขึ้นจำนวนมาก หากผู้บริโภคไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนก็อาจทำให้เกิดความเสียหายตามมาทั้งสุขภาพและเงินที่ต้องจ่ายไปด้วย 
 

"บิ๊กป้อม" ลั่น "นายกฯไป ผมก็ไป” ยัน พปชร.เอกภาพปึ้ก  ไร้ปัญหาโหวต ด้าน “ธรรมนัส” เสียงหนัก “ยังไม่คุยนายกฯ”

ที่ชั้น6 รัฐสภา ก่อนประชุมส.ส.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางมาถึงอาคารรัฐสภา โดย มีร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพปชร. นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน ในฐานะเหรัญญิกพรรคพปชร.รอรับ โดยพล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์อย่างมีอารมณ์ดุเดือด ก่อนการประชุมร่วมส.ส.ของพรรคว่า "ปัญหาในพรรคไม่มีอะไร นายกฯ ไปผมก็ไป" 

ผู้สื่อถามว่าถ้านายกฯ ไปก็พร้อมไปด้วยกันใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "เออ" 

เมื่อถามว่าพรรคพปชร.ยังมีเอกภาพหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังมีเอกภาพ ต่อข้อถามว่าผลคะแนนลงมติจะมีปัญหาหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มีปัญหา 

ด้านร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและ
สหกกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพปชร.กล่าวก่อนการประชุมส.ส.พรรคพปชร.ถึงการพูดคุยทำความเข้าใจกับพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า “ยังไม่ได้พูดคุย”

'ผศ. ดร. ปริญญา' หนุนส.ส.โหวตคว่ำนายกฯ เพื่อปิดสวิตช์คสช. ชี้! อยู่มา 7 ปี ไม่ถูกตรวจสอบทรัพย์สิน

ศึกอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันที่ 3 ก่อนลงมติในวันที่ 4 ก.ย. 64 โดยหนึ่งในรายชื่อที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อยู่ด้วยนั้น

ล่าสุด ผศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Prinya Thaewanarumitkul ระบุข้อความว่า... #เรื่องร้ายแรงที่สุด ของพลเอกประยุทธ์ 7 ปีผ่านไป ประเทศไทยได้ระบบที่ #นายกรัฐมนตรีไม่ถูกตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดนข้อกล่าวหามากมายอย่างที่แทบไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนเคยเจอมาก่อน แต่เรื่องที่ผมเห็นว่าน่าจะร้ายแรงที่สุด แล้วอาจจะยังไม่ได้มีการพูดถึงมากนักในการอภิปรายครั้งนี้ คือเรื่อง #การทำลายหลักการตรวจสอบถ่วงดุล และ #ความโปร่งใสของระบบการเมืองของประเทศ ครับที่ชัดเจนที่สุดคือ การที่ ปปช.ไม่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของพลเอกประยุทธ์ตอนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งที่สองหลังการเลือกตั้งในปี 2562 โดยประธาน ปปช. ชี้แจงว่า เพราะกฎหมาย ปปช. ฉบับใหม่ไม่ได้ให้อำนาจ ปปช.ไปตรวจสอบ

ทีแรกผมสงสัยว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ปปช. พ.ศ. 2561 ที่ร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และให้ความเห็นชอบโดย สนช. ที่เลือกมาโดยพลเอกประยุทธ์ จะเขียนชัดเขียนไว้ชัดเจนอย่างนั้นเชียวหรือ เพราะดูจะน่าเกลียดเกินไป ผมจึงไปเปิดดูแล้วก็พบว่า เขียนไว้ให้ ปปช.ไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของพลเอกประยุทธ์ไม่ได้จริงๆ ครับ

โดยมาตรา 105 วรรคสี่ กำหนดว่า ถ้าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคนใดพ้นตำแหน่ง แต่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรง “ตำแหน่งเดิม” หรือ “ตำแหน่งใหม่” ภายในหนี่งเดือน ผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน โดยมีประโยคปิดท้ายว่า “แต่ไม่ต้องห้ามที่ผู้นั้นจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐาน” คือไม่บังคับให้ยื่น แต่ถ้าอยากยื่นก็ยื่นได้ ว่าง่าย ๆ คือขึ้นอยู่กับอำเภอใจของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้นั้นว่าอยากจะยื่นหรือไม่ ซึ่งเป็นการเขียนกฎหมายที่ดูจะเอาใจผู้มีอำนาจจนน่าเกลียด

นี่เองทำให้ ปปช.ไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินพลเอกประยุทธ์ตอนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง รวมถึงรัฐมนตรีอีกบางคน และ ส.ว.จำนวนมากที่เป็น สนช. ไม่ได้ครับ

โดยหลักความโปร่งใส และหลักการที่ผู้บริหารบ้านเมืองจะต้องถูกตรวจสอบได้นั้น ใครยิ่งอยู่นาน ยิ่งเป็นหลายสมัย ยิ่งต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน แต่ภายใต้กฎหมาย ปปช. ฉบับใหม่กลับตรงกันข้าม เพราะยิ่งเป็นต่อ ยิ่งเป็นหลายสมัยยิ่งตรวจสอบไม่ได้ นี่จึงทำให้ผมใช้คำว่าน่าประหลาด เพราะนอกจากจะตรงข้ามกับหลักการ แล้วยังเขียนไว้ตรง ๆ แบบไม่ค่อยเกรงใจประชาชนเลย

แต่แม้ว่าจะไม่ได้บังคับให้ยื่นบัญชีทรัพย์ แต่ถ้าจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐานก็ยื่นได้ ซึ่งเท่าที่เราทราบกันคือพลเอกประยุทธ์ก็ได้ยื่นให้ ปปช.แล้ว และก็มีคนไปขอคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารให้สั่ง ปปช.ให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินพลเอกประยุทธ์ ซึ่งคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเห็นว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ เมื่อสมัครใจยื่นมาแล้ว มีคนขอดูก็ควรเปิดให้ดูได้ แต่ ปปช. ก็ไม่ยอมเปิดเผยโดยประธาน ปปช.อ้างว่าไม่มีอำนาจ

ซึ่งอันนี้ก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะองค์กรอิสระทั้งหลายที่รัฐธรรมนูญ 2540 สถาปนาขึ้นมาให้มาตรวจสอบรัฐบาล ตอนนี้ก็กลายเป็นองค์กรที่ไม่ค่อยมีใครเชื่อว่าเป็นอิสระ เพราะล้วนแต่มีที่มาที่ยึดโยงกับพลเอกประยุทธ์ คือมาจาก สนช. และ ส.ว.ที่พลเอกประยุทธ์เลือกไว้ทั้งสิ้น

ไม่ต้องพูดถึงกระบวนการยุติธรรมที่ต้นทางคือตำรวจ ซึ่งเป็นผู้ปราบปราม จับกุม และตั้งข้อหา ที่อยู่ใต้อำนาจนายกรัฐมนตรีตาม พรบ.ตำรวจแห่งชาติ โดย 7 ปีที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีไม่ยอมแก้ไขหรือปฏิรูปอะไรเลย

ที่เมื่อ 7 ปีที่แล้วพูดกันว่าจะต้อง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” จนทำให้พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจได้ และมีอำนาจมาจนทุกวันนี้ น่าจะสรุปกันได้เสียทีแล้วว่าเหลว แล้วยิ่งจะอยู่นานไปทั้งการเมืองและบ้านเมืองดูท่าจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่

7 ปีที่แล้วมีการพูดว่า ชัตดาวน์กรุงเทพเพื่อจะรีสตาร์ทประเทศไทย ผมว่าตอนนี้ถ้าจะรีสตาร์ทประเทศไทยที่เสียหายมา 7 ปีแล้ว จะยืมคำ 7 ปีที่แล้วมาใช้ว่า ต้องชัตดาวน์พลเอกประยุทธ์ ก็ดูก็จะแรงเกินไป จึงขอใช้คำว่า ชัตดาวน์ คสช. คือปิดสวิตช์ คสช.ให้จบไป ทั้งนี้ในวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญนะครับ ประเทศไทยและประชาธิปไตยจะได้ฟื้นตัวเสียที

ในการลงมติหลังการอภิปรายครั้งนี้ ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรไม่ว่าจะสังกัดพรรคไหนก็สามารถช่วยกันปิดสวิตช์ คสช.ได้ หรือจะเรียกว่าเป็นการก้าวข้ามพลเอกประยุทธ์ก็ได้ เพื่อประเทศไทยจะได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ครับ

#อภิปรายไม่ไว้วางใจ


ที่มา : https://siamrath.co.th/n/277221

อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลางและ “น้องเทนนิส” ส่งกำลังใจผ่านโครงการ “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19”

“โครงการครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19” โดยโลตัส (lotus’s) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรกว่า 100 องค์กร อาทิ สำนักข่าวบางกอกทูเดย์ นำอาหารกล่องมอบให้กับข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เขตจตุจักร เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานช่วงโควิด ตลอดจนชุมชนต่างๆที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ประกอบด้วย ชุมชนร่มเย็น คลองสามวา, ชุมชนเลิศอุบล พระยาสุเรนทร์ 44, ชุมชนศาลเจ้ากวนอูหลอแหล ,  ชุมชนเสรีไทย 73 (สน.บึงกุ่ม),  ชุมชนเฟื่องฟ้าวิลเลจ,  ชุมชนเคซีสุขาภิบาล 5 และแคมป์คนงานเคซี และ  ชุมชนพรรณี วิภาวดีรังสิต ซอย 17 โดยมี ดร.ปัณฑิพาณ์  ธาราภิบาล และทีมงาน เป็นผู้แทนเดินทางไปส่งมอบอาหารกล่อง 

ในโอกาสนี้ นางอโนชา ชีวิตโสภณ  อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้กล่าวขอบคุณโครงการครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19 ที่เป็นพลังสำคัญต่อการมีส่วนร่วมช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ผู้คนในสังคมผ่านพ้นช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นน้ำใจของคนไทยไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงหรือรุนแรงครั้งใด น้ำใจของคนไทยช่วยเหลือคนไทยด้วยกันไม่เคยเหือดแห้งและขอส่งกำลังใจให้กับทุก ๆ คน ทุก ๆ ฝ่ายในการฝ่าฟันวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้ 

“ในฐานะที่ทำงานด้านดูแลเด็กและเยาวชน ขอแสดงความห่วงใยกับอนาคตของชาติทุกคน ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เช่น การรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากผู้อื่น แม้ว่าผู้นั้นจะไม่ได้ป่วยก็ตาม การสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดหรือเว้นระยะห่างไม่ได้ หลีกเลี่ยงพื้นที่ปิด ใช้สบู่ และน้ำหรือเจลล้างมือที่มีส่วนผสมหลักเป็นแอลกอฮอล์ เมื่อรู้สึกไม่สบายรีบแจ้งผู้ใหญ่และปรึกษาแพทย์ก่อนอาการรุนแรง อย่างไรก็ตามขอให้ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ  เพื่อสร้างภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 ค่ะ”

น้องเทนนิส-เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดเหรียญทองโอลิมปิก 2020 และ Brand Endorser ของโลตัส กล่าวว่า ในขณะนี้นี้สถานการณ์โควิด-19 ยังคงรุนแรงอยู่ มีผู้ติดเชื้อ และผู้ที่ต้องทำการกักตัวอยู่ที่บ้านเพิ่มขึ้นทุกวัน อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพตัวเองและคนรอบข้าง นอกจากสุขภาพกายที่ต้องดูแลแล้ว สุขภาพของจิตใจ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่ต้องดูแล ในฐานะที่ตนเองเป็นนักกีฬาเข้าใจว่าสุขภาพใจนั้นสำคัญไม่ต่างจากสุขภาพกาย เทนนิสคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือ การให้กำลังใจกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นพี่ๆ หมอและพยาบาล มูลนิธิและจิตอาสา หรือผู้ป่วยและคนที่ต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน เทนนิสคิดว่าทุกคนต้องการกำลังใจในช่วงที่ต้องเผชิญกับความท้าทายนี้ จึงอยากขอเป็นหนึ่งกำลังใจให้กับคนไทยทุกคน เพื่อที่เราจะผ่านวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ไปด้วยกันค่ะ

สำหรับ “โครงการครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19” เป็นความร่วมมือระหว่าง โลตัส (lotus’s) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรกว่า 100 องค์กร โดยมีเป้าหมายมอบอาหารกล่อง 2,000,000 กล่องให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้าน โดยอาหาร 1,000,000 กล่องมาจากการสนับสนุนร้านอาหารรายย่อยในการผลิตและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ ส่วนอาหารอีก 1,000,000 กล่องได้รับการสนับสนุนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์

'เรืองไกร' จี้ 'เสี่ยโจ้' แจง เที่ยวบินนาริตะ เอี่ยว ประมูลกรมอุตุฯ หรือไม่ 

ที่รัฐสภา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. แถลงว่า ได้รับข้อมูลจากผู้หวังดีส่งมาให้ ตรวจสอบเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเรียกร้องให้ออกมาชี้แจงว่า หลังจากที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2562 แล้วเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 พบว่ามีการเดินทางโดยหลักฐานเป็นเอกสารตั๋วโดยสารเครื่องบินเฟิร์สคลาส TG677 ที่เดินทางจากนาริตะ มายังกรุงเทพมหานคร ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้น เป็นการเดินทางพร้อมทั้งครอบครัว และเกี่ยวข้องกับผู้ประมูลในกรมอุตุนิยมวิทยาหรือไม่ เพราะการเป็น ส.ส. ต้องชี้แจง รายได้ ค่าใช้จ่าย ในการเดินทางใครเป็นผู้ออกให้ ได้มีการนำไปชี้แจงตามกฎหมายหรือไม่ และการเดินทางน่าจะเป็นประเด็นที่ต้องตรวจสอบ พร้อมค่าที่พักว่าใครเป็นผู้ใช้จ่าย รวมทั้งมีการนำคนในครอบครัวเดินทางไปด้วยอีก 2 คน พร้อมตั้งข้อสังเกตจากข้อมูลพบว่า จากการประมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ผู้ชนะการประมูลได้บริจาคให้พรรคจำนวน 10 ล้านบาท จึงขอให้นายยุทธพงศ์ ชี้แจงว่าเดินทางไปเมื่อไหร่ เพราะเอกสารที่ได้รับแต่รายละเอียดการเดินทางขากลับ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top