Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

‘ธรรมนัส’ เก็บทรงไม่อยู่ เดือดจัด ด่าไอ้ห้อยไอ้โหน ปล่อยข่าวเสี้ยมล้มนายกฯ ขู่สมัยหน้าไม่ส่งลง ส.ส.แน่ ติง รมต.ในพรรค ไร้ผลงานบอกชาวบ้าน ลั่น อย่ากดดันมาก เพราะมาจากปชช. เมินคุย ‘บิ๊กตู่’ ถกแต่กับหัวหน้าพรรค พปชร. เท่านั้น

เมื่อเวลา 14.45 น. ที่รัฐสภา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวล้ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ก่อนจะพูดเรื่องอื่นขอบอกกับสื่อมวลชนว่า ชื่นชมเกือบทุกสำนักที่นำเสนอเรื่องราวด้วยความเป็นกลาง แต่ฝากไปถึงสื่อสำนักหนึ่งให้รู้จักจิตสำนึกและจริยธรรมของความเป็นสื่อในการนำเสนอ เพราะมีสำนักหนึ่งที่แยกตัวมาใหม่ และตนฟ้องอยู่ที่ จ.พะเยา พยายามนำตนไปพูดในทางเสียหาย ไปเขียนเอาเอง โดยไม่ฟังเสียงประชาชนที่เดือดร้อนกันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ไปเขียนชื่นชมใครบางคน 

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ส่วนที่ถามถึงข้อเท็จจริงของกระแสข่าวนั้น ขอยืนยันว่าไม่เคยสนใจหรือใส่ใจเรื่องตำแหน่งหน้าที่ และพูดมาเสมอว่าจากลูกชาวนา เด็กบ้านนอก คนจน มาถึงทุกวันนี้ และได้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองถือว่าชีวิตสูงสุดแล้ว ส่วนที่เหลือถ้ามีโอกาสทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง รับใช้แผ่นดิน รับใช้ประชาชนก็จะทำให้ดีที่สุด ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาคงไม่ต้องพูดอะไรมากว่าทำอะไรเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนบ้าง ดังนั้น การจะมาแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นในรัฐบาล ในคณะรัฐมนตรีเดียวกัน ไม่ใช่พฤติกรรมของตน หากจำได้การประชุมใหญ่พรรค พปชร.ที่ จ.ขอนแก่น ได้ยืนยันว่าจะนำพรรค พปชร.ให้เป็นสถาบันการเมืองที่มีความเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของประชาชน และจะทำต่อไป

“ข่าวลือที่ออกมาว่าผมจะทำอันนู้นอันนี้ ไม่เป็นความจริง และมีข่าวที่ได้ยินมาจาก ส.ส.ที่โทรศัพท์มาหาว่ามีหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคเล็กคนหนึ่งเสนอรับเงิน 10 ล้านบาท เพื่อต่างตอบแทน และร้ายไปกว่านั้นมีรัฐมนตรีในพรรค พปชร.รับงานมาล็อบบี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรค พปชร.ในการโหวตสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง ต้องถามว่าคนเป็นรัฐมนตรีสมควรทำอย่างนั้นหรือไม่ เพราะควรเห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ไม่ต้องใคร 4 ช.ที่ว่ากัน ฝากไปบอกเขาด้วยว่า ทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมืองบ้าง อย่าเห็นผลประโยชน์ส่วนตัว นี่คือ คำตอบของผม” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการโยงชื่อ ร.อ.ธรรมนัส เป็นหนึ่งในขบวนการล้มนายกฯ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุชัดเจนว่า 1 เสียงของ ส.ส.คือ เสียงจากประชาชน ส.ส.รู้จักคิด รู้จักทำว่าควรจะทำอะไร ไม่สามารถไปครอบงำอะไรได้ มติพรรคจะให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะผิดรัฐธรรมนูญ พรรค พปชร.ไม่มีอย่างนั้น ใครมาถามก็บอกไปว่าดูแล้วกัน และให้ตัดสินใจเอง ตนไม่ได้ถูกใช้ให้มาล็อบบี้ใคร ไม่ว่าจะให้ช่วยรัฐบาลหรือไปรับรองพรรคอื่นให้มาช่วย หรือโหวตคว่ำใครคนใดคนหนึ่ง ตนไม่ทำ และตนเข้ามาสภาก็มีทุกพรรคเข้ามาสวัสดี ถ่ายรูปด้วย นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ดึงแขนมาก็เพื่อจะคุยเรื่อง ส.ป.ก. เป็นเรื่องปกติ ไม่เคยคิดว่าคนต่างพรรคจะต้องเป็นศัตรูกัน แม้แต่ถูกกระทำก็ไม่เคยโทษใคร เขาจะด่าเราอย่างไรก็ควรนำมาปรับปรุงตัวเอง ถามว่าในคณะรัฐมนตรีใครโดนหนักเท่าตนบ้าง มีม็อบบุกไปที่บ้านของตน ใครโดนแบบนี้บ้าง เคยได้ยินบ่นหรือแหกปากสักคำหรือไม่ เพราะไม่ใช่สัตว์ประเภทที่เหยียบหางหน่อยแล้วมาแหกปาก 

เมื่อถามว่า คิดว่าเรื่องดังกล่าวมีขบวนหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ขบวนการมีหรือไม่มีต้องไปถามคนเต้าข่าวว่าต้องการอะไรแน่ คนเต้าข่าวไม่ใช่ฝ่ายค้าน พรรคฝ่ายรัฐบาล ไอ้ห้อยไอ้โหนทั้งหลาย ชอบเลียแข้งเลียขา สำเหนียกซะบ้าง ผมรู้หมดแล้ว บางคนบันทึกเทปไว้หมดแล้ว ระวัง เดี๋ยวเจอกัน”

เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์อยู่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ขอถามกลับไปหาไอ้ห้อยไอ้โหนว่าเคยทำเหมือนตนหรือไม่ที่นำนโยบายของนายกฯ นำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและชาติบ้านเมือง มัวแต่ห้อยโหนอย่างนี้ประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร ตนพูดเสมอว่าไม่โกรธใคร ไม่แค้นใคร แต่จำนาน และพี่น้องร่วมอุดมการณ์เยอะ 

เมื่อถามย้ำว่า ต้องทำความเข้าใจกับนายกฯ หรือไม่ เพราะอาจจะไม่พอใจกับกระแสข่าวที่ออกมา ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ผมไม่ได้คุยกับนายกฯ ผมคุยกับหัวหน้าพรรคผม และนายกฯ ก็พูดตลอดเวลาว่าจะคุยเฉพาะหัวหน้าพรรค เราเป็นลูกพรรคและเป็นเลขาธิการพรรคก็ต้องคุยกับหัวหน้าพรรค กินข้าวคุยด้วยกันทุกวัน และในการประชุมพรรค พปชร.เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ถามพี่น้องทุกคนเลยว่าผมพูดอะไรเกี่ยวกับการเลื่อยขา มท.1 ได้ยินจากปากผมหรอครับ ผมพูดกับ ส.ส. 50-60 คน บอกว่า ส.ส.ในพรรคอึดอัดหลายเรื่อง และรัฐมนตรีที่นั่งอยู่ตรงนี้มีผลงานไปบอก ส.ส.ให้บอกชาวบ้าน นี่คือ ผลงานของพรรค พปชร. ส.ส.ตอบได้เลยว่าไม่มี มีหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเดียว คนที่เป็นตัวแทนของประชาชน ถ้าเป็นที่พึ่งไม่ได้ อย่าเป็น ส.ส.เลยดีกว่า แล้วถ้าไม่เคลียร์ตัวผมพร้อมที่จะกลับไปเป็น ส.ส.เหมือนเดิม ไม่ได้สนใจด้วย”

เมื่อถามว่า มีแนวคิดอยากเป็นนายกฯ หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า บอกแล้วว่าไม่เคยใส่ใจตำแหน่งหน้าที่ จะอยู่ในสถานะใด แม้แต่ตอนเป็นนายธรรมนัส เป็นประธานมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ทำอะไรเพื่อคนพะเยา คนภาคเหนือบ้าง ดังนั้น ทุกอย่างไม่จำเป็น ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ใจสั่งสมองให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง

เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่าทุกอย่างเป็นข่าวลือ และต้องการสกัดดาวรุ่ง ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “อย่ากดดันกันมาก ผมมาจากประชาชน” 

เมื่อถามว่า ที่บอกว่าเป็นคนจำนาน จะมีการแก้แค้นเกิดขึ้นหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นคนแบบนี้ จำนาน และจำดี แต่ไม่ใช่การแก้แค้น ถ้าคนเหล่านั้นไม่แก้ไขก็ถูกประชาชนลงโทษเอง และบอกได้เลยว่าถ้ายังเป็นแกนนำพรรค พปชร. ส.ส.ที่เป็นไอ้ห้อยไอ้โหนทั้งหลายสมัยหน้าไม่ได้ลงหรอก


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/599102


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ทร. แจง อาวุธปืนขนาด 40 มม. ที่สหรัฐมอบให้ปี 14 สูญหาย มีอายุกว่า 50 ปี ระบุ เป็นอาวุธปืนสำรองคลังพร้อมตั้งกรรมการสอบหาข้อเท็จจริง

พล.ร.อ.เชษฐา  ใจเปี่ยม  โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยถึงกรณรที่มีการนำเสนอข่าว เหตุอาวุธปืนกลขนาด 40 มิลลิเมตร ที่สหรัฐอเมริกามอบให้กองทัพเรือสูญหายไปจากคลังปืนใหญ่ กรมสรรพาวุธทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จำนวน 2 กระบอก มูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท นั้น  จากการตรวจสอบ พบว่าอาวุธปืนที่สูญหายดังกล่าวเป็น อาวุธปืนประเภท ปืนยิงลูกระเบิดกล ขนาด 40  มิลลิเมตร รุ่น มาร์ค 20 ม็อด 0 ซึ่งเป็นอาวุธประจำเรือที่ติดตั้งกับเรือตรวจการณ์ลำน้ำของกองทัพเรือ โดยกองทัพเรือได้รับการช่วยเหลือทางทหารจากประเทศสหรัฐอเมริกา ตามโครงการความช่วยเหลือทางทหารเมื่อปี พ.ศ.2514 ซึ่งอาวุธปืนดังกล่าวได้ใช้ราชการมานานถึง 50 ปี   

ทั้งนี้ อาวุธปืนดังกล่าวข้างต้นทั้ง 2 กระบอก ได้ถูกถอดถอนมาเก็บรักษาไว้ที่คลังของ กรมสรรพาวุธทหารเรือ ตั้งแต่ปี 2530 และ 2552 ตามลำดับ  เนื่องจากเรือตรวจการณ์ลำน้ำที่ติดตั้งอาวุธปืนดังกล่าวปลดระวางประจำการ  โดยอาวุธปืนดังกล่าวมีราคากระบอกละ 1,600 บาท (ราคาในปีที่กองทัพเรือได้รับมอบจากสหรัฐฯ)
      
โฆษกกองทัพเรือ กล่าวต่อไปว่า กองทัพเรือไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยขณะนี้ได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน แม้ว่าอาวุธปืนที่สูญหายจะไม่ได้ใช้ในราชการแล้ว  แต่หากพบว่ามีข้าราชการนายใดที่เกี่ยวข้องกับการสูญหายของอาวุธปืน กองทัพเรือจะดำเนินการลงโทษทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาดต่อไป

กกร. มองเศรษฐกิจจะดีขึ้น ลุ้น GDP ปีนี้แตะ 1% แนะรัฐตั้งเป้าดันเศรษฐกิจโต 6-8% กู้เพิ่มแก้โควิด

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.วันนี้ได้เห็นชอบในการปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 64 เป็น -0.5 ถึง 1.0% ดีขึ้นจากเดิมที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะติดลบราว -1.5 ถึงไม่เติบโต หรือ ขยายตัวเป็น 0% เนื่องจากมองว่าสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเริ่มดีขึ้น และรัฐบาลคาดว่าจะจัดหาวัคซีนได้เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ 

"สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น จนนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคบางส่วนในเดือน ก.ย. 64 ทั้งนี้ หากสามารถเร่งจัดสรรและฉีดวัคซีนที่มีมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้" นายผยง กล่าว

พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้ปรับคาดการณ์การส่งออกไทยปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 12-14% จากเดิม 10-12% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด แม้บางประเทศกลับมาบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่สามารถอยู่กับโควิด-19 ได้ กิจกรรมการผลิตฟื้นตัว สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ที่อยู่ในเกณฑ์ขยายตัวในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อภาคการส่งออกของไทย

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกไทยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1.) ค่าระวางเรือที่ยังสูงต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ 2.) การขาดแคลนชิปที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของหลายสินค้าอุตสาหกรรม และ 3.) เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มการปรับทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และการเมืองระหว่างประเทศ

นายผยง กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.) Supply chain ของภาคการผลิตใน Bubble & Seal ต้องไม่หยุดชะงักจากการระบาดในกลุ่มแรงงาน และ 2.) หากควบคุมการแพร่ระบาดดีขึ้นมาก ภาครัฐจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ทัน High Season ปลายปี ซึ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศการใช้จ่ายในประเทศให้คึกคักขึ้น อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การแพร่ระบาดกลับมาแย่ลง เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Recession

ทั้งนี้ แผนการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 และการฉีดที่มีประสิทธิภาพและไม่สับสน สามารถผลักดันให้ประเทศไทยตั้งเป้าหมายการฟื้นตัวเศรษฐกิจในปี 65 ที่ท้าทายขึ้น หน่วยงานภาครัฐประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะสามารถเติบโตได้ในช่วง 3-5% ซึ่งมองว่าเป็นการตั้งเป้าหมายในอัตราต่ำเกินไป และทำให้ระดับกิจกรรมเศรษฐกิจไทยต่ำกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 62 ส่งผลให้ธุรกิจจำนวนมากยังบอบช้ำ

ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจฟื้นตัวกลับมายืนได้ด้วยตัวเองโดยเร็ว ภาครัฐควรกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ท้าทายขึ้นเป็น 6-8% ซึ่งเป็นไปได้ในภาวะที่คนไทยกว่า 50% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว โดยรัฐบาลจำเป็นต้องใช้กระสุนทางการคลังด้วยการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจาก 60% เป็น 70-80% ซึ่งจะทำให้มีเงินเข้ามาเพิ่มเติมอีกราว 7 แสน-1.5 ล้านล้านบาท โดยเน้นสนับสนุนการจ้างงาน และใช้ในมาตรการที่มี Multiplier กับเศรษฐกิจสูง อย่างมาตรการที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย (co-payment) หรือมาตรการค้ำประกันสินเชื่อที่สูงขึ้นและเทียบเคียงกับประเทศอื่น เป็นต้น

"ที่ประชุม กกร. ยังเห็นควรแสนอแนะให้รัฐบาลกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในแบบที่ท้าทาย โดยตั้งเป้าผลักดันให้ GDP ปี 65 ขยายตัวให้ได้ถึง 6-8% เพราะการตั้งเป้าหมายการเติบโตได้เพียง 3-5% มองว่าอาจอยู่ในระดับต่ำเกินไป และต่ำกว่าศักยภาพของไทยที่เคยมีมาในช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด พร้อมกับสนับสนุนให้รัฐบาลปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% ต่อจีดีพีในปัจจุบัน เป็น 70-80% ต่อจีดีพี ซึ่งจะช่วยทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 7 แสนล้านบาท-1.5 ล้านล้านบาท" นายผยงกล่าว

สำหรับการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ให้ฟื้นตัวสามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตินั้น ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟู โดยนำข้อเสนอแนะของภาคเอกชนมาใช้ปรับเกณฑ์ในรอบนี้ด้วย เพื่อให้เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อระยะถัดวงเงิน 150,000 ล้านบาทมากที่สุด โดยจะขยายวงเงินสินเชื่อลูกหนี้รายใหม่จากไม่เกิน 20 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนลูกหนี้เดิมที่มีวงเงินเดิม 30% ไม่ถึง 50 ล้านบาท สามารถขอได้สูงสุด 50 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้เพียงพอมากขึ้นต่อสถานการณ์ โควิด-19 ที่ยาวกว่าที่คาดการณ์ไว้

นอกจากนี้ ได้ปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รวมถึงการปรับลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันรวมสำหรับลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง โดยลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปีที่ 1-2 เพื่อลดภาระในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดว่าจะเริ่มได้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.นี้

ทั้งนี้ กกร.ได้มีข้อเสนอแนะถึงภาครัฐในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1.) ปัจจุบันรัฐบาลได้จัดหาและนำเข้ามาวัคซีนมาอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญคือ ต้องดำเนินการให้การฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสื่อสารให้ชัดเจน ไม่ให้สับสน และโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน เห็นด้วยกับการคลายล็อกดาวน์ของรัฐบาล และไม่ควรมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกต่อไป เพราะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจค่อนข้างมาก แต่ควรใช้มาตรการ Bubble & Seal ร่วมกับการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit เชิงรุก โดยใช้ศักยภาพของภาค เอกชนอย่างเต็มที่ในทางที่เสริมและไม่แย่งกัน เพื่อให้การป้องกันโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

2.) รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมาตรการระยะสั้นเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่ง 3,000-6,000 บาท เพราะเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ ช้อปดีมีคืน (ลดหย่อนภาษี) และกระตุ้นการท่องเที่ยว ส่วนมาตรการระยะยาว มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและรักษาฐานการผลิต รับมือสงครามทางการค้า (Trade war) ผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ๆ (New s-Curve) โดยการลงทุนภาครัฐควรทำต่อเนื่องทั้งการลงทุนโดยรัฐเอง และการลงทุนแบบ PPP พร้อมสร้างบรรยากาศการลงทุน และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปอย่างเต็มศักยภาพ

นอกจากนี้ รัฐควรเพิ่มงบประมาณสำหรับการช่วยผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งในต่างประเทศมีสัดส่วนการค้ำประกันที่ทางการสนับสนุนสูงถึง 80-100% ของยอดสินเชื่อ ขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนการค้ำประกันเพียง 40%

3.) ขอให้ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายชุดตรวจ antigen test kit ในการตรวจหาเชื้อในภาคอุตสาหกรรม โดยให้ความช่วยเหลือในเรื่องของชุดตรวจ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงช่วยเหลือในเรื่องของมาตรการการจ่ายภาษีเพื่อลดภาระของผู้ประกอบการ

4.) กกร.ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือในส่วนปัญหาค่าระวางเรือที่มีราคาสูง โดยภาคเอกชนต้องการให้มีมาตรการลดค่าใช้จ่ายส่วนที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการช่วยแก้ปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ชิป (Semiconductor chips)

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการผ่อนคลายมาตรการของรัฐบาลในรอบนี้ที่เริ่มต้น 1 ก.ย. ให้กิจการ หรือกิจกรรมบางประเภทสามารถเปิดดำเนินการได้นั้น อยากขอให้ผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของธุรกิจและประชาชนที่มาใช้บริการ ปฏิบัติตัวให้ได้ตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันโอกาสในการแพร่กระจายของโรค ซึ่งหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน จะทำให้ภาครัฐจะสามารถผ่อนคลายมาตรการในระดับที่เพิ่มมากขึ้นได้ในระยะต่อไป และส่งผลดีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศที่จะขับเคลื่อนไปได้ แรงงานที่ตกงานก็มีโอกาสกลับมาทำงานได้มากขึ้น และมีผลต่อการเปิดเมือง เปิดประเทศในลำดับถัดไป

พร้อมมองว่า รูปแบบการเปิดประเทศให้มีความปลอดภัยและช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นนั้น อาจต้องใช้ตัวอย่างจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แล้วค่อย ๆ ขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ที่มีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในพื้นที่แล้วไม่ต่ำกว่า 70% นอกจากนี้ การเปิดบางกอก แซนด์บอกซ์ก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการค้า ธุรกิจ และการท่องเที่ยว ซึ่งหากสามารถเปิดกิจกรรม กิจการต่าง ๆ ได้มากขึ้นและทำได้อย่างปลอดภัย ก็จะนับว่าประสบความสำเร็จและเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าไทยจะสามารถเปิดประเทศได้อย่างสง่างาม

ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยังเชื่อว่า รัฐบาลจะสามารถเปิดประเทศได้ตามเป้าหมาย 120 วันที่วางไว้ในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งหลังจากการคลายล็อกมาตรการในเดือนก.ย.รอบนี้ เชื่อว่าประชาชนเองจะเห็นความสำคัญของการป้องกันตัวเองและปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ดังนั้น หากเป็นเช่นนี้ การเปิดประเทศของรัฐบาลก็จะทำได้ตามเป้าหมาย

พร้อมประเมินว่า รัฐบาลคงไม่ประกาศล็อกดาวน์อีกรอบแล้ว เนื่องจากสถานการณ์ระบาดภายในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น ยอดผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มลดลง อีกทั้งในเร็ว ๆ นี้ ก็จะมีการทยอยนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิดจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น และเป็นไปตามเป้าหมายที่ครอบคลุมอย่างน้อย 70% ภายในปีนี้

"เราคาดว่ารัฐบาลคงไม่ล็อกดาวน์อีกรอบ เพราะวัคซีนก็จะมีเข้ามาอีกเรื่อย ๆ คนฉีดวัคซีนในประเทศก็จะมากขึ้น โอกาสติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรง ก็จะน้อยลง ถ้าติดก็เป็นผู้ป่วยระดับสีเขียว...โอกาสที่จะต้องล็อกดาวน์ประเทศ ก็น่าจะน้อยลงแล้ว" นายสุพันธุ์ระบุ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ททท.มุมไบ-นิวเดลี ชี้ นักท่องเที่ยวอินเดียยังต้องการเที่ยวไทย หากมาตรการผ่อนคลาย ปลายปี 64 เตรียมดึงกลุ่มศักยภาพ สร้างรายได้ท่องเที่ยวเฉียดแสนล้านบาท

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานมุมไบ และนิวเดลี ประเทศอินเดีย ฉายภาพรวมโควิด-19 ในอินเดียดีขึ้น ผู้ติดเชื้อลดลง กระจายวัคซีนแล้วกว่า 600 ล้านโดส จากสถิติปี 62 ตลาดอินเดียน่าสนใจ มีอัตราเติบโตรวดเร็ว ย้ำจากผลสำรวจพบนักท่องเที่ยวอินเดียยังคงสนใจเดินทางท่องเที่ยวไทย หากเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่กักตัว ไตรมาส 4 เตรียมเจาะกลุ่มศักยภาพ Golf, Wedding และ Millennials ประสานเที่ยวบินพาณิชย์ หรือจัด Charter Flight จากเมืองหลักเข้าไทยไม่น้อยกว่า 4,200 คน สร้างรายได้กว่าแสนล้านบาท

นางสาวชลดา สิทธิวรรณ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานมุมไบ และนายวชิรชัย สิริสัมพันธ์ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานนิวเดลี ร่วมกันเปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในอินเดียมีแนวโน้มดีขึ้น เริ่มผ่อนคลายมาตรการจากจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและมีอัตราผู้รักษาหายสูงขึ้น โดยเฉพาะเมืองนิวเดลีและมุมไบ เนื่องจากมีความพร้อมกระจายผลิตวัคซีน เวชภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอินเดียใช้วัคซีนหลัก 2 ชนิด ได้แก่ Covishield และ Covaxin เริ่มต้นฉีดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม 2564 ในประชาชนอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เฉลี่ยฉีดได้วันละ 5 ล้านโดส ปัจจุบันมีอัตรากระจายวัคซีนแล้วกว่า 600 ล้านโดส และประชากรได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ร้อยละ 10.3 ของจำนวนประชากร ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียคาดว่าจะสามารถกระจายวัคซีนครอบคลุมกลุ่มผู้สูงอายุในเมืองใหญ่อย่างเมืองนิวเดลลีและมุมไบ ครบ 100% ภายในเดือนตุลาคม 2564

ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวอินเดีย เนื่องจากเป็นจุดหมายระยะใกล้และได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival (VOA) จากสถิติปี 2562 พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางท่องเที่ยวไทย 1,961,069 คน เติบโตร้อยละ 25.48 ใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 44,688 บาทต่อคน พักค้างเฉลี่ยประมาณ 7 วัน สร้างรายได้ 80,039.88 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 19.96 ส่งผลให้อินเดียขึ้นมาเป็นตลาดอันดับ 3 จากอันดับ 6 ในปี 2561 รวมถึงมีจำนวนเที่ยวบินเข้าประเทศไทยจากอินเดียกว่า 300 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ด้วย สะท้อนว่าอินเดียเป็นตลาดศักยภาพที่น่าจับมอง มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว 

ททท.จึงพยายามผลักดันโดยพิจารณา 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.) นักท่องเที่ยวอินเดียยังคงต้องการเดินทางท่องเที่ยวไทย เนื่องจากมีการสอบถามเกี่ยวกับมาตรการเข้าประเทศไทยอย่างสม่ำเสมอ 2.) มาตรการการเดินทางเข้า-ออกอินเดีย มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน สามารถเดินทางออกนอกประเทศและกลับเข้ามาในประเทศได้ตามมาตรการควบคุมโรค ซึ่งกำหนดให้รายงานตัวผ่านระบบออนไลน์ แสดงหลักฐานการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ภายใน 72 ชั่วโมง และขอความร่วมมือสังเกตอาการตนเอง (Self Monitoring) เป็นเวลา 14 วัน 

3.) ช่วงโควิด-19 แม้ว่าต้นทุนการเดินทางจะสูงขึ้น แต่ยังพบการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียโดยเที่ยวบินพาณิชย์ (Commercial Flight) ระหว่าง 28 ประเทศภายใต้ข้อตกลง Air Bubble Agreement อาทิ มัลดีฟ รัสเซีย ศรีลังกา เยอรมัน แคนาดา สะท้อนว่านักท่องเที่ยวอินเดียไม่ค่อยอ่อนไหวกับสถานการณ์ มีกำลังซื้อสูง และจากการสำรวจความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของคนอินเดีย โดย Thomas Cook เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 กลุ่มตัวอย่างกว่า 4,000 ราย พบว่า ร้อยละ 46 ต้องการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเมืองหรือประเทศที่ต้องการเดินทางไปมากที่สุดได้แก่ ดูไบ อะบูดาบี มัลดีฟส์ และไทย

สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวอินเดียเข้าประเทศไทย ปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศกลับมาเปิดรับคำขอใบรับรองในการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry: COE) ของผู้ไม่มีสัญชาติไทยที่ประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศไทยจากอินเดีย ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2564 เฉพาะกลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุน ผู้มีเอกสารอนุญาตทำงาน (work permit) และครอบครัว โดยต้องเดินทางด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) และเข้าสู่มาตรการ State Quarantine ในกรุงเทพฯ เป็นเวลา 14 วัน หลังจากนี้จึงจะประเมินและพิจารณากลุ่มอื่นๆ ต่อไป 

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ ททท. ทั้ง 2 สำนักงาน จะอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวอินเดียอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ทั้งการให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์สถานการณ์ภายในประเทศ มาตรการด้านสุขอนามัย SHA ตลอดจนสำรวจความเห็นของ Travel Agency (TA) กว่า 300 รายทั่วประเทศอินเดีย ได้รับยืนยันกว่า 94% ว่านักท่องเที่ยวอินเดียมีความต้องการเดินทางท่องเที่ยวไทยอย่างแน่นอน โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยสุขอนามัย กิจกรรมท่องเที่ยว และราคาที่น่าดึงดูดเป็นหลัก ส่วนใหญ่มีระยะเวลาพักค้างต่ำกว่า 7 วัน ซึ่ง TA เตรียมนำร่องทำการตลาดในกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียระดับกลางไปจนถึงกลุ่มระดับบน

ในปี 2565 ททท. ให้ความสำคัญกับกลุ่มตลาดอินเดียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม First Mover ได้แก่ กลุ่มศักยภาพ Golf, Wedding, Millennials ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วจากเมืองหลัก ซึ่งประมาณการว่า หากไตรมาส 4 ในช่วง 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2564 ศบค. มีมติผ่อนคลายเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่กักตัวและเที่ยวบินพาณิชย์กลับมาบินใน 6 เมืองหลัก ได้แก่ นิวเดลี มุมไบ กัลกัตตา เชนไน ไฮเดอราบัด และบังกะลอร์ สัปดาห์ละ 1 เที่ยวบิน เที่ยวบินละ 250 ที่นั่ง รวม 14 สัปดาห์ พิจารณาจากจำนวน Seat Capacity จะทำให้มีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าไทย ประมาณ 21,000 ที่นั่ง สร้างรายได้ประมาณ 938,448,000 บาท หากไม่มีเที่ยวบินพาณิชย์ จะจัด Charter flight สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใน 2 เมืองหลัก ได้แก่ นิวเดลีและมุมไบ เที่ยวบินละ 150 ที่นั่ง รวม 14 สัปดาห์ ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าไทย 4,200 คน สร้างรายได้ประมาณ 187,689,600 บาท


ที่มา : https://mgronline.com/travel/detail/9640000086454


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

องค์การอนามัยโลกกำลังจับตา Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่า 'มิว' ซึ่งเสี่ยงที่จะดื้อวัคซีน

จดหมายข่าวรายสัปดาห์เกี่ยวกับการระบาดของ Covid-19 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ขณะนี้องค์การอนามัยโลกกำลังเฝ้าจับตาเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า ‘มิว (Mu)’ หรือสายพันธุ์ B.1.621 ซึ่งพบครั้งแรกในประเทศโคลอมเบียเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา

องค์การอนามัยโลกระบุว่า สายพันธุ์มิวซึ่งถูกจัดให้อยู่ในสายพันธุ์ที่น่าจับตามอง (variant of interest) มีการกลายพันธุ์ที่บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงที่จะดื้อต่อวัคซีน และย้ำว่ายังต้องศึกษาสายพันธุ์นี้เพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจ

‘สายพันธุ์มิวมีกลุ่มของการกลายพันธุ์ที่บ่งชี้ว่ามีแนวโน้มที่จะมีคุณสมบัติในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน’ จดหมายข่าวระบุ

ขณะนี้มีความกังวลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ ๆ เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยมีสายพันธุ์เดลตาซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายเป็นสายพันธุ์หลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน และในภูมิภาคที่มีการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด

ไวรัสทุกชนิด รวมทั้งเชื้อโคโรนาไวรัส SARS-CoV-2 ที่ก่อให้เกิดโรค Covid-19 กลายพันธุ์ตลอดเวลา และการกลายพันธุ์ส่วนใหญ่มีผลกระทบเล็กน้อยหรือไม่มีเลยกับคุณสมบัติของไวรัส

ทว่า การกลายพันธุ์บางอย่างส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติของไวรัสและมีอิทธิพลกับความยากง่ายของการแพร่กระจาย ความรุนแรงของโรค และการดื้อต่อวัคซีน ยา หรือมาตรการรับมืออื่น

ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกระบุให้ 4 สายพันธุ์ รวมทั้งอัลฟาซึ่งพบใน 193 ประเทศ และเดลตาซึ่งพบใน 170 ประเทศเป็นสายพันธุ์ที่น่ากัวล (variant of concern) และอีก 5 สายพันธุ์ รวมทั้งมิวเป็นสายพันธุ์ที่น่าจับตามอง

ทั้งนี้ หลังจากพบครั้งแรกในประเทศโคลอมเบีย มีการพบสายพันธุ์มิวแพร่ระบาดในอเมริกาใต้และยุโรป โดยมีอัตราความชุกของโรคทั่วโลกลดลงต่ำกว่า 0.1% ในจำนวนเคสที่ทำการตรวจสอบพันธุกรรม อย่างไรก็ดีในโคลอมเบียมีความชุกอยู่ที่ 39%


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

'นพ.มนูญ' โพสต์ข้อความ ชี้ ผู้ป่วยที่หายจากโควิด-19 มีโอกาสผมร่วงวันละ 300 เส้น นาน 6 เดือน

วันนี้ (1 ก.ย. 64)  นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับผู้ป่วยโควิด ทำให้ผมร่วงได้ โดยระบุว่า 

ผู้ป่วยโรคโควิด-19 หลาย ๆ คนมีปัญหาผมร่วงหลังจากที่หายป่วยไปแล้ว 2-3 เดือน ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากไวรัสโดยตรง แต่เป็นผลพวงจากการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับร่างกายจากเชื้อไวรัส เช่น ไข้สูง ความเครียด ความวิดกกังวล ที่เป็นอาการที่พบได้จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19

โดยปกติแล้วเส้นผมคนเราจะร่วงวันละประมาณ 100 เส้น หลังจากหายป่วยจากโรคโควิด 2-3 เดือน ผมอาจร่วงได้ถึงวันละ 300 เส้น ตลอดระยะเวลา 6 เดือนเลยทีเดียว ส่วนใหญ่ผมที่ร่วงไปก็จะค่อย ๆ งอกกลับมาใหม่อีกครั้ง และกลับมามีผมเหมือนก่อนป่วยในเวลา 6-9 เดือน

ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 65 ปี ป่วยเป็นโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 มีไข้สูง ไอ เหนื่อย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ขณะนี้หายดีเป็นปกติ ไม่ไอ ไม่เหนื่อย ผมเริ่มร่วงหลังจากหายป่วย 2 เดือนครึ่ง เวลาหวีผม ผมหลุดออกมาเป็นกระจุกหลายร้อยเส้นต่อวัน ผมร่วงต่อเนื่อง 2 เดือนผมบางลงมากทั้งศีรษะ ลูกสาวที่ป่วยพร้อมกัน ผมก็ร่วงเหมือนกันแต่น้อยกว่า

แนะนำผู้ป่วยไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องวิตกกังวล อีกประมาณ 4 เดือนผมก็จะหยุดร่วงและจะงอกขึ้นมาใหม่เหมือนเดิม


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

อิสราเอลเจอเดลตาแผลงฤทธิ์ ยอดติดเชื้อและเสียชีวิตพุ่งสูง ทั้งที่ฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่แล้ว 80%

อิสราเอลเมื่อวันอังคาร (31 ส.ค.) พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่รายวันเกือบ 11,000 คน สูงสุดนับตั้งแต่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางระลอกการแพร่ระบาดที่มีต้นตอจากตัวกลายพันธุ์เดลตา หนึ่งวันหลังจากยอดผู้เสียชีวิตสะสมทั่วประเทศทะลุ 7,000 ราย

สถิติพบผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม คราวนั้นพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 10,118 คน

แม้เคสผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันในวันอังคาร (31 ส.ค.) จะสูงถึง 10,947 ราย แต่อิสราเอลยังคงเดินหน้าแผนกลับมาเปิดระบบการศึกษาเต็มรูปแบบในวันพุธ (1 ก.ย.) ขณะเดียวกัน ก็พยายามยกระดับอัตราการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน

นายกรัฐมนตรีนาฟตาลี เบนเนตต์ ยืนกรานว่าสามารถควบคุมระลอกการแพร่ระบาดได้ผ่านการฉีดวัคซีนและมาตรการป้องกันต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงสวมหน้ากาก หลังจากก่อนหน้านี้รัฐบาลของเขาสนับสนุนให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป เข้ารับวัคซีนไฟเซอร์/ไบออนเทค เข็มที่ 3

จากประชากรทั้งหมด 9.3 ล้านคนของอิสราเอล จนถึงตอนนี้มีผู้เข้ารับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว คิดเป็นราว ๆ 60% แต่หากนับเฉพาะประชากรวัยผู้ใหญ่ จะมีอัตราส่วนผู้ฉีดวัคซีนสูงถึง 80%

ในเดือนธันวาคมปีก่อน อิสราเอลเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ของโลกที่เริ่มโครงการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ช่วยฉุดให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลงอย่างมาก และเปิดทางให้พวกเขายกเลิกข้อจำกัดสกัดโรคระบาดใหญ่เกือบทั้งหมดในเดือนมิถุนายน

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นั้น อิสราเอลได้กลับมาบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ หลายมาตรการอีกรอบ ในนั้นรวมถึงบังคับสวมหน้ากากยามอยู่ในร่ม จำกัดการรวมตัวทางสังคม และจำเป็นต้องแสดงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนหากต้องการเข้าไปในสถานที่สาธารณะบางแห่ง

เบนเนตต์ ระบุว่า โครงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นกำลังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการสกัดไม่ให้มีผู้ติดเชื้ออาการหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น

กระนั้นก็ตามหนึ่งวันก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุขเผยแพร่รายงานระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตสะสมจากโควิด-19 ในอิสราเอล พุ่งเกิน 7,000 คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลักหมายอันน่าเศร้าท่ามกลางการแพร่ระบาดระลอกแล้วระลอกเล่าของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

จากข้อมูลจนถึงวันจันทร์ (30 ส.ค.) ระบุว่ามีชาวอิสราเอลเสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 7,043 รายนับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้น โดยอิสราเอลพบผู้เสียชีวิตรายแรกของประเทศในเดือนมีนาคม 2020 และจากนั้นหนึ่งปีต่อมา ยอดผู้เสียชีวิตสะสมแตะระดับ 6,000 คน

อิสราเอลเคยมีหลายสัปดาห์ที่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เลยในช่วงเดือนพฤษภาคม หลังวัคซีนช่วยยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อ แต่ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้เสียชีวิตกลับมาพุ่งขึ้นอีกครั้ง มีคนเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 550 รายในเดือนสิงหาคม ในนั้น 100 คนเกิดขึ้นในช่วง 5 วันหลังสุด

รวมแล้วค่าเฉลี่ยผู้เสียชีวิตในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ราว ๆ 18 คนต่อวัน สวนทางกับตลอดทั้งเดือนมิถุนายน ซึ่งพบผู้เสียชีวิตแค่เพียง 7 รายเท่านั้น


(ที่มา : เอเอฟพี/ไทม์สออฟอิสราเอล)
https://mgronline.com/around/detail/9640000086336


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ราเมศ ยัน รบ. ทำตามนโยบายที่แถลงต่อสภา สวน เพื่อไทย ประกันรายได้ ปชป. ไม่มีทุจริต เหมือนจำนำข้าว

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่ มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า

ข้อมูลของ ส.ส.เพื่อไทย ที่อภิปราย เป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง ไม่มีความรู้จริงในเรื่องที่อภิปราย รัฐบาลโดยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาอย่างครบถ้วนคือความรับผิดชอบสำคัญในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและรายได้ให้กับเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม อ้อยและข้าวโพด 

การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่เหมาะสมการปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิต เล็งเห็นความสำคัญของเมล็ดพันธุ์พืชพื้นที่เพาะปลูกปุ๋ยและอุปกรณ์ทางการเกษตรรวมถึงแหล่งน้ำ การพัฒนาองค์กรเกษตรและเกษตรกรรุ่นใหม่ก็ดำเนินการอย่างครบถ้วน ดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกิน มีแผนแม่บทชัดเจนในเรื่องการทำเกษตรปลอดภัย เกษตรชีวภาพ เกษตรแปรรูป

เกษตรอัจฉริยะ ระบบนิเวศการเกษตร คือการสนับสนุนให้เกษตรกรบริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่

การพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำและฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพดินการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ การแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำและการควบคุมป้องกันปัญหาโรคระบาด ทุกอย่างเป็นนโยบายที่ประสบผลสำเร็จแทบทั้งสิ้น

และกรณีประกันรายได้ชัดเจนว่าเป็นนโยบายที่มุ่งแก้ปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรให้มีหลักประกันในเรื่องราคาพืชผลสินค้าทางการเกษตร เพื่อให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีที่สุดโดยกำหนดรายได้ขั้นต่ำที่พี่น้องเกษตรกรจะได้รับเป็นเพดาน ช่วยให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้ 2 ทาง ถ้าราคาต่ำกว่ารายได้ที่ประกันจะมีเงินส่วนต่างโอนเข้าบัญชีพี่น้องเกษตรกรโดยตรงช่วยให้พี่น้องมีหลักประกัน ยามที่พืชเกษตรราคาตกให้พอยังชีพได้โดยมีเงินส่วนต่างเข้ามาเป็นตัวช่วย ไม่มีเงินรั่วไหล ไม่มีเรื่องทุจริต เช่นโครงการรับจำนำข้าว 

พรรคประชาธิปัตย์ได้หาเสียงไว้เรื่องประกันรายได้แล้วเราทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ผลักดันจนสำเร็จ มีพี่น้องเกษตรกรได้รับประโยชน์แล้วกว่า 7.67 ล้านครัวเรือนได้รับประโยชน์ ฝ่ายค้านควรใช้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา แต่เข้าใจได้ว่าเมื่อมีผลงานที่มีผลสำเร็จ ก็ต้องโจมตีและทำลายเป็นเรื่องธรรมดา

คลังเร่งจ่ายเงินยังชีพผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการ ตกเบิก 

นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลาง ได้เริ่มจ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิ ตามอัตราการจ่ายเดิม (ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะได้รับความช่วยเหลือ 100 บาทต่อเดือน และผู้สูงอายุที่มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี จะได้รับความช่วยเหลือ 50 บาทต่อเดือน) ให้เป็นไปตามมติของ คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ มีมติเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2564 เห็นชอบการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจากกองทุนผู้สูงอายุ

 

ทั้งนี้ได้กำหนดจะจ่ายย้อนหลัง คือ ปีงบบประมาณ พ.ศ. 2563 จ่าย 4 เดือน (มิถุนายน - กันยายน 2563) และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จ่าย 6 เดือน แบบเดือนเว้นเดือน (ตุลาคม และธันวาคม 2563 กุมภาพันธ์ เมษายน มิถุนายนและสิงหาคม 2564) 

 

สำหรับเงื่อนไขของผู้มีสิทธิ จะต้องเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป ก่อนเดือนที่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์ฯ โดยกรมบัญชีกลางจะจ่ายเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิในวันที่ 3 ก.ย.64 ซึ่งวงเงินนี้ สามารถใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่านเครื่อง รับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือแอปพลิเคชั่น ถุงเงินประชารัฐ ที่ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น หรือร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รวมทั้งสามารถถอนเป็นเงินสดได้ที่ตู้ ATM ของ บมจ. ธนาคารกรุงไทย หรือสาขาของ บมจ.ธนาคารกรุงไทย

'หมอยง' โพสต์ข้อความ ยก 'คำสาบานของแพทย์จบใหม่' เน้นคุณธรรม จริยธรรม ที่อยู่สูงกว่ากฎหมาย เชื่อ แพทย์ทุกคนเข้าใจในคำสาบาน

นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Yong Poovorawan' ระบุว่า... 

โควิด-19 วัคซีน
ยง ภู่วรวรรณ 1 กันยายน 2564 
Hippocratic Oath คำปฏิญาณหรือคำสาบานของแพทย์ (ที่จบใหม่) ที่จะรักษาจรรยาบรรณแพทย์

แพทย์ทุกคนจะถูกสอนให้เน้นคุณธรรม จริยธรรม ที่อยู่สูงกว่ากฎหมาย และทุกคนจะต้องยึดมั่น สืบเนื่องมาตั้งแต่ 'ฮิปโปเครติส'

แพทย์สภาจะมีการแจกเอกสารดังกล่าว

โดยในคำสาบานนั้น จะเน้นถึงความกตัญญู และเน้นในคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรมของแพทย์ ต่อครูบาอาจารย์

ผู้ป่วย การปฏิบัติในการช่วยเหลือผู้ป่วย แต่ในปัจจุบันนี้ เชื่อว่าทุกคนที่เป็นแพทย์จะเข้าใจในคำสาบาน คงไม่ถึงกับต้องใช้กฎหมายกัน


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=6218418824867349&id=100000978797641


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top