Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

ปันน้ำใจส่งข้าวกล่องปันอิ่ม ช่วยคนเลี้ยงช้างอโยธยา หลังรายได้วูบหายช่วงวิกฤติโควิด ขณะที่พันธมิตรจิตอาสา เดินหน้าข้ามจังหวัดช่วยคนในพื้นที่สีแดง โดยไม่มีวันหยุด

จากเหตุการณ์ช้างพังคำหล้าอายุ 89 ปี ช้างจากปางช้างอโยธยา ต.ไผ่ลิง  อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ล้มป่วยจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ จึงต้องใช้เชือกรัดที่ลำตัว แล้วคล้องกับรถแม็คโครขนาดใหญ่ ของเทศบาลเมืองอโยธยา เพื่อช่วยพยุงดึงร่างให้ลุกขึ้นยืนทรงตัวอยู่ได้ สาเหตุขาดอาหารกินที่ไม่เพียงพอ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับมีอายุมาก ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น 

วันที่ 5 กันยายน​ 2564 ที่หมู่บ้านช้างอโยธยา นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายเกียรติยศ ศรีสกุล ประธานชมรมช่างภาพสื่อมวลชนพระนครศรีอยุธยา และผู้แทนมูลนิธิสหชาติ นำข้าวกล่องพร้อมทาน จาก ”ครัวปันอิ่ม” พร้อมหน้ากากผ้า และสเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ มอบแก่ควาญช้าง และครอบครัว เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ได้มีแรงต่อสู้ที่กับวิกฤติโควิด-19 

น.ส.บุณยาพร บุญเกิด พนักงานต้อนรับหมู่บ้านช้าง เปิดเผยว่า ช่วงสถานการณ์ Covid-19 ระบาด ตลาดน้ำอโยธยา ปิดให้บริการ ทำให้ผู้ดูแลช้างไม่มีรายได้ นักท่องเที่ยวไม่ได้มาเที่ยว ขาดทุนทรัพย์ในการซื้ออาหารมาเลี้ยงช้าง แต่ยังมีผู้ใจบุญนำอาหารมาเลี้ยงอยู่บ้าง ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากช้างมีหลายเชือก ต้องนำอาหารมาแบ่งปันกัน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พังคำหล้า ได้รับอาหารไม่เพียงพอ และขาดสารอาหาร ทำให้หมดแรงและล้มป่วยลง และนอกจากช้างแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือ คนเลี้ยงช้าง หรือ ควาญช้าง ที่มีครอบครัวอยู่หลายคน ขาดรายได้ จึงวิงวอนผู้เกี่ยวข้องช่วยลงมาดูพวกเขาด้วย  

ด้าน นางสอน คำสุข อายุ 85 ปี เจ้าของช้างพังคำหล้า กล่าวว่า วันนี้พังคำหล้าได้ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองได้ หลังจากที่ได้รับอาหารจากผู้ใจบุญที่นำมาบริจาคให้ได้กิน ช่วงโควิดจะนำพังคำหล้าไปปล่อยให้กินหญ้าซึ่งได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จนร่างกายผอมโซล้มป่วยลง พรุ่งนี้ได้รับแจ้งจะมีเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จะมาตรวจเช็คร่างกายให้

วันเดียวกัน ที่ศาลาประชาคม หมู่ 3 ต.แคตก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.) สถาบันพระปกเกล้า นำโดย นางถวิล เพิ่มเพียรสิน อดีตรองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นางสาวพรทิพย์ เตชะสมบูรณา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทในเครือ เวิลด์เมดิคอลซัพพลาย จำกัด นายภูริวัจน์ ปุณยวุฒิปรีดา กรรมการผู้จัดการ บจก.เอสพีวี ปิโตรเลียม นายประเสริฐ เพิ่มเพียรสิน และนางสุกัญญา จรรยา ผู้จัดการ มูลนิธิสหชาติ ร่วมส่งมอบข้าวกล่องพร้อมทาน “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ของเครือซีพี พร้อมถุงยังชีพส่งความสุขและความห่วงใย  อาทิ ข้าวสาร ปลากระป๋อง น้ำปลา มาม่า ไข่ น้ำดื่ม หน้ากากผ้า สเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ และเครื่องตรวจวัดออกซิเจนปลายนิ้ว มอบแด่ชาวบ้านชุมชนหมู่ 3 ต.แคตก ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด โดยมีนายแพทย์ ศุภกร จิบสมานบุญ ผู้อำนวยการศูนย์โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแคตก พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านร่วมรับมอบ 

ทางด้านนายแพทย์ศุภกร จิบสมานบุญ เปิดเผยว่า ตำบลแคตกมีประชากร 1,200 คน และมีผู้ติดเชื้อโควิด 40 คน โดยได้ทำการรักษาจนหาย แล้วกลับไปทำงานบ้างแล้ว สำหรับมาตรการป้องกันได้เชิญชวนประชาชนทุกคนไปรับการฉีดวัคซีน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนกันมากแล้ว อีกทั้งยังรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักการ์ดอย่าตก กินร้อนช้อนกลาง และขอขอบพระคุณ ผู้ใหญ่ใจดี กลุ่มพันธมิตรจิตอาสา ที่นำสิ่งขอมาแบ่งปันความสุขถึงท้องถิ่นห่างไกลในครั้งนี้ 

​​​​​​

กล้าพอไหม? ถามใจ​ 'ลุง​ -​ ลุง​ -​ ลุง​'​ ดู!!

หลังละครโรงใหญ่ของบรรดาผู้ทรงเกียรติริมน้ำเจ้าพระยา​ จบการแสดงลง...

ผลตอบรับใน 6 ตัวแสดงหลักฟากผู้คุ้มกฎหมายประเทศ​ ก็ได้รับความไว้วางใจไปตามบทที่ควรจะเป็น...

อาจจะมีแต้มรับรองหล่นหายไปมากบ้าง น้อยบ้าง ต่างกรรมต่างวาระ แต่ก็ไม่ได้มาจากคมเขี้ยวฝ่ายค้าน​ช่วยเปิดแผลอะไรใด ๆ นอกจากมาแสดงลิเกแข่งกับตัวแสดงหลักทั้ง 6 คน

ถึงกระนั้น​ เสียงโหวตในครั้งนี้​ ก็มีคำถามให้หวนมองไปถึงท่าทีของตัวแสดงหลัก โดยเฉพาะเจ้าของคณะที่เกือบหงายหลัง​ เพราะมีทีมงานเล่นไม่ซื่อ แอบไปขายตั๋วผีหน้างานดักซะงั้น!!

เหตุการณ์ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยเฉพาะเรื่องของการโหวตไว้วางใจนั้น​ ไม่ใช่สิ่งผิดคาด!!

หากไม่มีใครคิดคดหยิบตั๋วหลักหน้าเวทีไปขายเพื่อต่อรองอะไรบางอย่าง ? หรือพูดง่าย ๆ​ ก็คือมีข่าวการล็อบบี้ผลโหวตเพื่อโค่นนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยคนในพรรคพลังประชารัฐ

ตัวละครที่วันนี้เชื่อว่าคงไม่ลับอะไรมากนักแล้วอย่าง 'แก๊ง 4 ช.'​ หรือ​ 4 รัฐมนตรีช่วย​ จึงได้ฉายแสงเต็มสตรีม นำโดยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ, นางนฤมล ภิญโญศีลวัฒน์ รมช.แรงงาน, นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม โดยสมาชิกกลุ่ม4ช. อีกคนคือ สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่ไม่ได้ร่วมกันก่อการในครั้งนี้

ว่ากันว่า​ เหตุของเหตุ​ มาจากผู้กองธรรมนัสอยากให้เกิดความสั่นสะเทือน​ จนสามารถเชื่อมคนแดนไกลเจ้าของพรรคฝ่ายค้านตัวจริงอย่าง Tony ลูกพี่เก่าให้มาร่วมสังฆกรรมด้วย

การสั่นคลอนนี้​ ต้องทำกันอย่างเต็มกำลัง และมั่นใจว่าอย่างไรเสีย​ ต้องต่อรองได้​ เพราะอย่างน้อยตนก็ถือว่าเป็นผู้ขับเคลื่อนพรรค​

ทีมงานของตนก็เป็นเหรัญญิกพรรค เป็นลูกรักของพี่ใหญ่หัวหน้าพรรคอย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ

การจะอ้างชื่อพี่ใหญ่แล้วเรียก ส.ส. มาเสี้ยม หรือจะมากะเกณฑ์ให้เห็นตามก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะตัวผู้กองธรรมนัสเอง​ ก็เชี่ยวชาญการดำเนินงานทางลับ ทางล็อบบี้ มีผลการทำงานลุล่วงมานับไม่ถ้วน เป็นที่วางใจถึงกับตั้งเป็นเลขา ฯ พรรค

ฉะนั้นเมื่อมีการจัดแสดงในโรงละครโรงใหญ่อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้นมาได้​ การจะล้มเวทีด้วยยอดขายบัตรไม่ถึงเป้า​ ก็น่าจะไม่ยาก และน่าจะทำให้ตัวละครหลักถูกเปลี่ยนตามบทที่ตัวเองอยากให้เป็น

แต่ผู้กองธรรมนัส​ คงลืมไปว่าถึงแม้ตัวจะเป็นหน่วยจารชน เป็นเลขา ฯ ผู้มีอำนาจเต็ม แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าของคณะ ไม่ใช่หัวหน้าพรรค แค่การอ้างชื่อพี่ใหญ่หัวหน้าพรรคข้ามหัว ส.ส. อีกหลายคนในพรรคไปเพื่อเล่นงาน รมต.ของพรรค ไปเล่นงานเป็นน้องรักของพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ พี่ใหญ่แห่ง 3 ป. พี่ใหญ่ของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “ย่อมจบไม่สวย”

การโต้กลับของอดีตผู้นำทัพที่ชื่อ “บิ๊กตู่” จึงเกิดขึ้น!!

แม้จะมีพรรษาทางการเมืองเพียงไม่กี่ปี​ แต่ถ้าจะรบด้วยแบบไม่ระดมสมองระดับเสธ.มาออกแผน ไม่มีทางเอาอดีต ผบ.ทบ.ชื่อ “บิ๊กตู่” ลงได้แน่

นี่ยังไม่นับความอหังการที่แก๊ง 4 ช. ไปลูบคม “บิ๊กป๊อก” พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ประมาณว่าข้ามีดี แบ็กข้าไม่ว่า ท้าชนได้ทุกคน

สรุปงานนี้ผู้กองเจอของแข็ง นายกฯ ประยุทธ์ โต้กลับแบบนิ่ง ๆ ไม่โวยวาย ไม่บุ่มบ่าม ปิดม่านไว้หลายชั้น แสดงหน้าม่านไปตามบทผู้ถูกอภิปราย จนหลายคนเดาไม่ออกว่านายกฯ จะมาไม้ไหน

ทางโต้กลับของนายกฯ คือ​ การไปเจรจากับรุ่นใหญ่จนจบ จับมือกับเหล่าตัวแสดงเอกผู้สร้างคณะ แถมประกบจบทุกเรื่องกับกลุ่ม ส.ส.ผู้ไม่แปรพรรคและล็อกบทป้องกันกลุ่ม ส.ส.ผู้คิดเป็นอื่นจบทุกอักขระ

ปิดท้ายด้วยตอนพิเศษจากเจ้าของคณะอย่าง “บิ๊กป้อม” ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ ด้วยบทเด็ดขาดขึงขังก่อนการประชุมร่วมส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐว่า “ปัญหาในพรรคไม่มีอะไร นายกฯ ไปผมก็ไป” เอวังฯ ละครก็เริ่มแสดงต่อโดยที่บรรดาผู้ต่อรองตัวแสดงได้แต่มองตามตาปริบ ๆ เตรียมรับกรรมที่ได้ก่อขึ้น

จากแหล่งข่าวแว่วมาว่าทีมงาน 4 ช. นำโดยผู้กองธรรมนัสกำลังเตรียมการเพื่อไปขอขมากับ​ ”บิ๊กตู่”

แต่เอาเข้าจริง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะ 4 ช. ไปปรามาสความแนบแน่นของ 3 ป.แห่งบูรพาพยัคฆ์ คงคิดว่าแค่ความสัมพันธ์เก่าก่อนน่าจะไม่มีผลเท่าไร

เมื่อมาเล่นการเมืองแล้ว ผยองว่าทีมตัวเองและพวกก็เป็นเสาหลักของพรรค​ คุมทั้งส.ส. ประสานกลุ่ม หาเงินและคุมขุมกำลังพรรคเหนือกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในพรรค

นี่แหละอยากเป็นตัวละครหลักจน “ลืม”

ลืมไปว่าตัวละครหลักตัวอื่น ๆ ที่เขาไม่ได้เล่นละครในครั้งนี้​ ก็ยังอยู่กันครบ โดยเฉพาะ “กลุ่มสามมิตร” และคงลืมไปจริง ๆ ว่าถึงแม้ตัวผู้นำ 4 ช. จะร่วมสร้างพรรคกันมา แต่คนอื่น ๆ ในแก็งก็แค่ตัวประกอบที่ถูกดึงมาทีหลัง

บางคนก็เคยหักกับตัวแสดงหลักก่อนหน้าระดับรัฐมนตรีมาแล้ว ซึ่งส.ส. ในพรรคก็พร้อมแทงสวนหากพลาดเหมือนกัน

งานนี้แก๊ง 4 ช.​ เจ็บแน่!! ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพราะตัวแสดงระดับแกนนำผู้ก่อตั้งพรรคยังโดนลบบทบาทการแสดงไปแล้วหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น อ.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ นายอุตตม สาวนายน อดีตรมว.อุตสาหกรรม นายสนธิ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พาณิชย์ เราก็เคยเห็นมาแล้ว

ครั้งนี้คือเรื่องใหญ่ของพรรครัฐบาลที่น่าติดตามกันอย่างยิ่งว่า “ลุงตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะสวมหัวใจเสือ เถือหนังของบรรดาพวกลักลอบขายตั๋วผี ต่อรองบท เพื่อล้มการแสดงกลางโรงละครอย่างแก๊ง 4 ช.​ หรือไม่ ? และในแบบไหน ? เพราะเชื่อว่าพี่ใหญ่เจ้าของคณะคงเอือมเต็มทน

เรื่องนี้น่าจะไม่ต้องตามกันยาวคงได้คิวลงวิกในเร็ววันนี้แน่นอน

รวมพลังพันธมิตรจิตอาสา ปันน้ำใจ คลายทุกข์ 'ชาวชุมชนคลองเตย-สื่อภาคสนาม' ร่วมสู้ภัยโควิดก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน

(4 ก.ย.​ 64) ที่ลานหน้าสำนักงานมูลนิธิรวมน้ำใจ ถนนพระราม 4 เขตคลองเตย นางสาวสุดทินี แสงดี ประธานชุมชนริมคลองสามัคคี คลองเตย นางมาเรียม ป้อมดี ประธานชุมชนพัฒนาใหม่ พร้อมด้วยคณะกรรมการชุมชน และอาสาสมัครป้องกันภัยเขตคลองเตย ร่วมรับมอบอาหาร "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" เพื่อส่งต่อให้ผู้พักอาศัยในชุมชนได้ปันอิ่ม โดยจัดแบ่งเป็น 3 ส่วน เพื่อแจกจ่ายให้กับชุมชนริมคลองสามัคคี ชุมชนพัฒนาใหม่ และอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) เขตคลองเตย  

โดยมี นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นำทีมพันธมิตรจิตอาสา จากองค์กรต่างๆ อาทิ มูลนิธิสหชาติ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เว็บไซต์ข่าว จั่นเจา canchaonews.com หนังสือพิมพ์ ดีดี โพตส์นิวส์ ร่วมส่งมอบสิ่งของเครื่องใช้ในการบรรเทาทุกข์ อาทิ ข้าวกล่องปันอิ่มหลากหลายเมนู ขนมครัวซอง หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย พร้อมสเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ 

นางสาวสุดทินี แสงดี เปิดเผยว่า ชุมชนของเรามีผู้พักอาศัย 700 คน ตั้งแต่เกิดการแพร่ระเบิดเชื้อโควิด มีผู้ติดเชื้อ 170 คน และทำการรักษาจนหายดี ปัจจุบันเหลือเพียง 10 คน ส่วนการดูแลเป็นไปตามระบบของสาธารณสุข ขอขอบคุณพันธมิตรจิตอาสา และเครือซีพี ที่ร่วมแบ่งปันห่วงใย มอบความสุขช่วยคลายทุกข์ ให้คนในชุมชนแห่งนี้ 

ด้าน นายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า พันธมิตรจิตอาสาเดินหน้าลงพื้นที่ชุมชนต่างๆอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุด ในการทำหน้าที่เป็นสะพานบุญ นำสิ่งของเครื่องใช้ ที่ได้รับการสนับสนุนจ อาทิ ขนมครัวซองต์ จากร้าน Susan Croissant เอกมัย สเปรย์ฉีดแลกอฮอล์ กองพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม หน้ากากผ้า มูลนิธิสหชาติ รวมทั้งอาหารพร้อมทานจาก ”น้องเทนนิส” ที่ส่งกำลังใจผ่านข้าวกล่อง “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ผนึกกำลังบริษัทในเครือซีพี และห้างสรรพสินค้า โลตัส ส่งถึงมือผู้ได้รับความเดือดร้อน ผู้ที่ต้องแยกกักตัวที่บ้าน เพื่อได้มีอาหารที่ดีได้รับประทาน 

นอกจากนี้ พันธมิตรจิตอาสา ยังบรรเทาทุกข์คนสื่อภาคสนามที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มอบสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องตรวจออกซิเจนปลายนิ้วแก่นายสุรเชษฐ ศิลานนท์ ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย และมอบอาหารให้กับคุณยายและหลาน ที่ได้รับความเดือดร้อน ยืนเช็ดกระจกรถเวลาติดไฟแดงบริเวณหน้ากรมศุลกากร

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีทิ้งกระจาดครั้งยิ่งใหญ่ สู้ภัยมหาวิกฤตโควิด-19

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีทิ้งกระจาดครั้งยิ่งใหญ่ สู้ภัยมหาวิกฤตโควิด-19 ยกทัพคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่า 15 ล้านบาท ลงพื้นที่แจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพฯ 

(4 ก.ย.​ 64) ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ และคณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีปล่อยคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำพริก เจลแอลกอฮอล์ บรรจุถุงผ้าดิบ พร้อมเงินสดที่ในปีนี้กลุ่มบริษัท นันยางเท็กซ์ไทล์ จำกัด ได้ร่วมบริจาคทำบุญ นำออกแจกจ่ายให้กับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร (รวม 50 เขต) เขตละ 500 ชุด รวมจำนวน 25,000 ชุด รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 15 ล้านบาท

โดยมี นายชวลิต ตวงสิทธิสมบัติ ประธานบริษัท นันยางเท็กซ์ไทล์ จำกัด นายชาติชาย กุละนำพล ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย นายพันธ์ศักดิ์ เจริญสุข ผู้อำนวยการเขตสาทร นายยุทธนา ป่าไม้ ผู้อำนวยการเขตภาษีเจริญ  พ.ต.อ มนัส รุ่งนาค ผู้กำกับสถานีตำรวจพลับพลาไชย 1  พ.ต.อ.พนม เชื้อทอง ผู้กำกับสถานีตำรวจพลับพลาไชย 2 พร้อมด้วย อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ อาสาสมัครศิลปิน อาสาสมัครกู้ภัย และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธีปล่อยคาราวาน ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า ในปีนี้ ด้วยวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่รุนแรง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้เพิ่มชุดเครื่องอุปโภคบริโภคจากปีที่แล้วอีก 10,000 ชุด การแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคในปีนี้ มูลนิธิฯ ได้ประสานงานกับสำนักงานเขตทุกเขต ในการจัดเตรียมสถานที่และชุมชนในพื้นที่ เพื่อจัดระเบียบ ตั้งจุดคัดกรองประชาชนในแต่ละจุดตามหลักการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งจัดกำลังอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ในทุกๆ จุด ทั่วกรุงเทพมหานคร รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ เพื่อเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาในการลงพื้นที่แจกจ่ายสิ่งของ 

งานประเพณีทิ้งกระจาด เป็นงานบุญประเพณีสำคัญของชาวพุทธที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่สมัยพุทธกาลกว่าสองพันปี กำหนดจัดขึ้นในเดือน 7 ตามจันทรคติของจีน เป็นการทำบุญใหญ่ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปแล้วพร้อมกับการแจกทานให้ผู้ยากไร้ เป็นงานบุญที่ครบพร้อมทั้งการทำบุญและทำทาน โดยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้บำเพ็ญบุญประเพณีนี้ต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปีกว่า 80 ปี 

ตลอดระยะเวลากว่า 110 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านที่ได้ช่วยกันบริจาค และสนับสนุนกิจกรรมสาธารณกุศลของมูลนิธิฯ ตลอดมา ทำให้มูลนิธิฯ สามารถขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายๆ ทาง รวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#ป่อเต็กตึ๊ง ยึดมั่นอุดมการณ์ อยู่เคียงข้างทุกวิกฤต

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง110ปีความดีที่ยั่งยืน

#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418

#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

'เฉลิมชัย'​ ระบุผลคะแนนไว้วางใจ สะท้อนความเป็นปึกแผ่นของพรรคร่วม วอน!! ให้แก้ไขปัญหาประเทศให้จบไปก่อน ช่วยกันทำให้โควิดเบาลงให้ได้

(4 ก.ย. 64)​ ที่อาคารรัฐสภา​ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจสูงที่สุดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า... 

"ก็ต้องถือว่ารัฐบาลได้รับการไว้วางใจทั้งหมด ส่วนคะแนนที่ออกมา ต้องขอไปตรวจสอบคะแนนดูก่อน คิดว่าคะแนนที่ออกมาอย่างนี้ถือว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นปึกแผ่น และทุกคนผ่านการตรวจสอบครั้งนี้ทั้งหมด" 

ส่วนที่ผู้สื่อข่าวระบุว่า จากการที่นายเฉลิมชัย ได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุด และมีเสียงสนับสนุนจากโลกโซเชียลให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายเฉลิมชัย รู้สึกประหลาดใจ และฝากขอบคุณ พร้อมกับปฏิเสธว่าไม่หรอก ซึ่งคะแนนที่ออกมาในวันนี้ก็เป็นภาพที่ชัดเจนว่ารัฐบาลยังเป็นปึกแผ่น เหนียวแน่น และเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี 

สำหรับการที่มีบางส่วนเรียกร้องให้ยุบสภานั้น นายเฉลิมชัย ระบุว่า ก็ต้องดูสถานการณ์ทุกอย่างว่าเหมาะสม หรือสมควรหรือไม่ ตรงนี้ท่านนายกฯ ท่านมีวิจารณญาณอยู่แล้ว ถ้าจะถามยุบสภาตนก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่อำนาจของตน แต่คิดว่าวันนี้ควรแก้ไขปัญหาประเทศให้จบไปก่อน ช่วยกันทำให้โควิดมันเบาลงให้ได้ หรืออยู่ในสถานการณ์ปกติให้ได้ แล้วสถานการณ์อื่นๆ ก็ว่ากันอีกเรื่องนึง แต่ก็ยืนยันว่าวันนี้พรรคร่วมรัฐบาลเป็นปึกแผ่น

ผู้สื่อข่าวสอบถามความรู้สึกถึงการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งที่ไม่น่าจะถูกอภิปรายในครั้งนี้ นายเฉลิมชัย ตอบว่า ก็ดี ได้มีโอกาสชี้แจง เพราะบางครั้งถ้ามีเรื่องอะไรที่ยังคาใจอยู่ แล้วเราไม่มีโอกาสได้ชี้แจง มันก็จะยังคาใจอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราได้ชี้แจงโดยชัดเจนแล้ว มันก็จะมีคำตอบให้คนฟังเขาได้คิดดูว่าอะไรถูกอะไรผิด 

​​​​​

'สกพอ.'​ ร่วมมือ 'อบจ.ระยอง -​ เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่'​ เร่งเครื่องพัฒนาไม้ผลครบวงจร

ตามโครงการ EFC แผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี นำร่องชาวสวนทุเรียนผลิตได้ตรงตลาด รักษาคุณภาพรสชาติด้วยห้องเย็นทันสมัย จัดระบบขายได้ตลอดปี สร้างรายได้สูงให้เกษตรกร

วันที่ 4 กันยายน 2564 นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมเป็นประธานและสักขีพยาน การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาไม้ผลอย่างครบวงจร ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 
(อีอีซี) ภายใต้โครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor : EFC) และแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมี นางสาวพจณี  อรรถโรจน์ภิญโญ รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง (อบจ.ระยอง) และนายโชติชัย  บัวดิษ ประธานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ไม้ผลจังหวัดระยอง ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม 3 องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง

โดยบันทึกข้อตกลงฯ ครั้งนี้ จะช่วยยกระดับผลไม้ไทย ให้มีคุณภาพมาตรฐานพรีเมียมระดับสากล ตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงการทำตลาดด้วยนวัตกรรมใหม่ ตรงความต้องการตลาดผู้บริโภครายได้สูง และสนับสนุนโครงการระบบห้องเย็นตามโครงการ EFC ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ มีความร่วมมือสำคัญ ๆ 4 ด้าน ได้แก่... 

1) สนับสนุนกลุ่มเกษตรกรไม้ผล ได้พัฒนาทักษะการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในการผลิต แปรรูป การค้าการตลาดยุคใหม่อย่างครบวงจร สร้างโอกาสเข้าถึงทรัพยากร เพิ่มอำนาจต่อรองตลอดช่วงการผลิตสินค้า

2) ยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลไม้ไทย สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคตลาดในและต่างประเทศ รักษาเสถียรภาพราคา ลดความเสี่ยงให้เกษตรกร

3) พัฒนาการเก็บรักษา ยืดอายุผลผลิตให้คุณภาพ รสชาติเดิมได้นาน ด้วยการใช้ประโยชน์ระบบห้องเย็น (Blast Freezer & Cold Storage)

4) ส่งเสริมการวิจัยและต่อยอดการแปรรูปไม้ผลมูลค่าสูง ร่วมกับพันธมิตร ให้ตรงความต้องการตลาด และสนับสนุนด้านการตลาดสมัยใหม่อย่างครบวงจร

ทั้งนี้ ระยะแรกกลุ่มที่เข้าร่วมลงนามเพื่อผลิตทุเรียนพรีเมียม จะมีเครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจแปลงใหญ่ 16 กลุ่ม เกษตรกรประมาณ 700 ราย พื้นที่ประมาณ 8,200 ไร่ โดยจะผลิตทุเรียนได้ประมาณปีละ 13,000 ตันต่อปี และจะขยายเครือข่ายสมาชิกให้มากขึ้น จากความร่วมมือของ อบจ.และเกษตรจังหวัดที่สนับสนุนร่วมกัน รวมทั้งขยายผลเพิ่มเติมในกลุ่มไม้ผลอื่นๆ ต่อไป

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ กล่าวว่า สาระสำคัญการลงนามความร่วมมือ ครั้งนี้ จะสอดคล้องกับโครงการ EFC ที่เป็นโครงการหลักของแผนพัฒนาเกษตรในอีอีซี ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ คือ การสร้างสินค้าให้มีคุณภาพตามความต้องการตลาด โดย สกพอ. มุ่งเน้นตลาดกลุ่มลูกค้าทุเรียนพรีเมียม การวางระบบการค้าสมัยใหม่ ผ่านระบบ e-Commerce และ e-Auction ผลผลิตที่ส่งออกต้องตรวจสอบและย้อนกลับได้ สร้างมูลค่าให้ทุเรียนของภาคตะวันออก การลงทุนห้องเย็นด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เก็บรักษาให้มีความสดใหม่ และการจัดระบบสมาชิกชาวสวนผลไม้ สหกรณ์ที่เข้าร่วม ให้พัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพพรีเมียม

โดยการผลิตทุเรียนของไทย คาดว่าในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า จะสูงถึง 2 ล้านตัน ปัจจุบันผลผลิตจากระยอง​ คิดเป็น 10% หรือกว่า 1 แสนตันต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งระบบห้องเย็น ภายใต้โครงการ EFC จะสามารถจัดเก็บผลผลิต เพื่อขายในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยวหรือช่วงขาดแคลนได้ โดยจะจัดเก็บทุเรียนได้ประมาณ 4,000 ตันต่อรอบ ซึ่งหากจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจะจัดเก็บได้มากกว่า 10,000 ตันต่อปี ช่วยรักษาความสด คงรสชาติ สร้างเสถียรภาพทางราคา สามารถส่งออกทุเรียนออกขายช่วงเทศกาลสำคัญ ที่มีความต้องการเป็นจำนวนมาก ขายได้ราคาสูง หรือกำหนดราคาเองได้ รวมทั้งรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศให้กินทุเรียนของระยองได้ตลอดปี สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน

'บลูเทค ซิตี้'​ มอบน้ำดื่มสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ในการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19

'บลูเทค ซิตี้'​ มอบน้ำดื่มสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ในการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19

(2 ก.ย.64) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ทีมงานฝ่าย CSR ของโครงการนิคมอุสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ มอบน้ำดื่ม จำนวน 300 แพ็ค เพื่อสนับสนุนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ที่ปฏิบัติงานร่วมการทดสอบระบบบริหารจัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่ประชาชนในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมี นายสุพจน์ สกุลธรรม หัวหน้างานประชาสัมพันธ์และเลขานุการอธิการบดี เป็นผู้รับมอบ

โดยวันนี้ยังเป็นวันที่มีการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา ล็อตการผลิตในไทยพร้อมกันทั่วประเทศด้วย ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีนซิโนแวคที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจุดที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์นั้น สามารถรองรับประชาชนที่จะเข้ามารับบริการวัคซีนฯได้ประมาณวันละ 2,000 คน

สถานทูตจีนในไทย​ เรียกร้อง!! ยุติด้อยค่า​ 'วัคซีนจีน'​ หลังบางกลุ่ม มุ่งทำร้ายความหวังดีจีนไม่เลิก

ไม่นานมานี้​ ทางเฟซบุ๊ก Chinese​ Embassy Bangkok​ สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน​ ประจำประเทศไทย​ ได้โพสต์ข้อความว่า... 

คัดค้านการกล่าวหาวัคซีนจีนโดยไร้เหตุ
โดย โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทย

ปีนี้ ประเทศจีนได้ส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยในโอกาสแรก เพื่อเป็นการสนับสนุนประเทศไทยในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 โดยได้พยายามเอาชนะกับความยากลำบากที่ความต้องการในการใช้วัคซีนภายในประเทศยังสูงอยู่ และจำนวนวัคซีนที่ผลิตยังไม่เพียงพอ ซึ่งวัคซีนจีนทุกโดสก็เป็นมิตรไมตรีจิตรอันจริงใจที่รัฐบาลและประชาชนจีนมีต่อรัฐบาลและประชาชนไทย

วัคซีนที่ฝ่ายจีนส่งมอบให้ฝ่ายไทยนั้น ได้รับการอนุมัติโดยองค์การอนามัยโลกให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินได้ และได้ผ่านการวิจัยและทดลองในมนุษย์ในระยะต่างๆ ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยาของไทยอย่างเคร่งครัด เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิผลและมีการรับรองคุณภาพ

การกลายพันธุ์ของตัวไวรัสโคโรนาเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่บริษัทผลิตวัคซีนของจีนติดตามโดยตลอด บริษัทซิโนแวคได้ทำการทดสอบแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ระหว่างเซรั่มของผู้ฉีดวัคซีนซิโนแวคกับไวรัสกลายพันธ์ุต่างๆ ซึ่งก็ได้ผลออกมาอย่างดี 

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศชิลีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคในการป้องกันการรักษาที่โรงพยาบาล อาการหนักและเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 86% 

ผลการวิจัยของรัฐบาลอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคในการป้องกันการรักษาที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตได้ถึง 92% และ 95% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิผลในการป้องกันไวรัสกลายพันธ์ุเป็นอย่างดี ไม่ใช่วัคซีน “คุณภาพต่ำ” ตามที่กล่าวหาอย่างแน่นอน

เมื่อเร็วๆ นี้ บางคนและบางองค์การของประเทศไทยได้ด้อยค่าและใส่ร้ายวัคซีนจีนโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ซึ่งเป็นการกล่าวหามุ่งร้ายที่ไม่เคารพข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง และเป็นการทำร้ายความหวังดีของฝ่ายจีนในการสนับสนุนประชาชนไทยต่อสู้กับโรคระบาด

>> สถานทูตจีนจึงขอคัดค้านอย่างเด็ดขาด และเรียกร้องให้บุคคลและองค์การที่เกี่ยวข้อง​ ยุติการกระทำผิดอย่างร้ายแรงเช่นนี้

ฝ่ายจีนยินดีที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยต่อไป โดยยึดมั่นในความจริงใจและความหวังดีอย่างมากที่สุด ให้ความช่วยเหลือกับฝ่ายไทยในการต่อสู้กับโรคระบาด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะเอาชนะกับโรคโควิด-19 โดยเร็ว และกลับคืนสู่ภาวะปกติในการดำรงชีวิตและทำงานในเร็ววัน

ที่มา: https://www.facebook.com/846555798724560/posts/4352763731437065/

'3 ปัจจัย' สำคัญที่ทำให้ประเทศ 'เวียดนาม' ก้าวกระโดด

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (เอ้) อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง เวียดนาม (จะ) ชนะไทย? โดยมีเนื้อหาดังนี้

...พี่เอ้สารภาพ คิดอยู่หลายคืน ว่าจะเขียนเรื่องเวียดนามกับไทยดีไหม ขอออกตัวก่อนว่า เขียนให้คิด ให้สู้ ให้เกิดพลัง ให้ฮึกเหิม มิใช่เขียนบ่นหรือเขียนให้ท้อ หรือไม่เขียนเพื่อโทษใคร...

เอาล่ะครับ พร้อมอ่านหรือยัง

ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ กมลา แฮริส เยือนอาเซียนอย่างเป็นทางการ ลงเครื่องพบผู้นำสิงค์โปร์ 3 วัน เพื่อกระชับความร่วมมือ สนับสนุนสิงคโปร์เป็นศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุขระดับโลก ก่อนบิน (ข้ามประเทศไทย) ไปคุยกับผู้นำเวียดนามอีก 2 วัน แล้วบินกลับกรุงวอชิงตัน

ไม่มาประเทศไทย...

ครั้งนี้ สิงคโปร์ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ ได้ทั้งความเชื่อมั่นในการเมืองระหว่างประเทศ ว่าคือ "ศูนย์กลาง หรือ ผู้นำชาติอาเซียน" ได้ทั้งกำลังการลงทุน และได้ทั้งกำลังมันสมอง เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของชาติ ไม่ว่ากัน เพราะสิงคโปร์กับอเมริกา ผูกพันกันต่อเนื่อง ยาวนาน

แต่...เวียดนาม ประเทศสังคมนิยม เคยทำสงครามกับสหรัฐ วันนี้เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐ และกำลังก้าวขึ้นเป็น "จีน 2"  ในเอเชีย

ทำไมเวียดนามถึงก้าวกระโดด? (ข้ามประเทศไทย) พี่เอ้ตอบตรง ๆ เพราะเขามีปัจจัยหลัก ดังนี้

1.) มีปริมาณ "กำลังคน" ประชากรมากกว่าไทย มีคน 100 ล้าน และไม่ใช่แค่คนระดับใช้แรงงาน แต่ยังมีคนระดับชั้นมันสมองเพิ่มมากขึ้น จากการพัฒนาการศึกษา "เชิงคุณภาพ" ต่อเนื่อง อย่างจริงจัง ขณะที่ไทย...

ลองพิสูจน์จากเด็กเวียดนามที่ได้รับทุน (ของไทย) มาเรียนปริญญาโท-เอก ที่คณะวิศวะลาดกระบัง ทุกคนทั้งเก่งคณิตศาสตร์ (มากกว่าเด็กไทย) ภาษาอังกฤษก็เข้มแข็งกว่า และยังขยันสุด ๆ น่ากลัวมาก แต่อาจารย์ไทยชอบมาก เพราะทำงานวิจัยได้ยอด รับผิดชอบสูง น่าประทับใจ

นี่แค่ เด็กเวียดนามระดับกลาง ๆ เพราะระดับตัวท๊อป จะไปเรียนต่อที่อเมริกา ซึ่งวันนี้มีมากกว่า 24,000 คน!!! ซึ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะที่มีเด็กไทยเรียนอยู่ในอเมริกาเพียง 6,000 คน น้อยกว่าเวียดนาม 4 เท่า!!!!

หมายความว่า เวียดนามกำลังมี "คนระดับมันสมอง" โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งคือรากฐานของการยกระดับประเทศ มากกว่าไทย (หลายเท่า)

2.) มีเงิน มีงบประมาณ เพราะเศรษฐกิจเวียดนามปีที่ผ่านมา เติบโตที่สุดของโลก! ขณะที่ประเทศอื่น รวมทั้งไทย ติดลบ! และแค่ครึ่งปีนี้ โตไปมากกว่า 5% แล้ว และจะร้อนแรงยิ่งขึ้น...

เพราะเกิดการลงทุนจากต่างประเทศมหาศาล (มากกว่าลงทุนในไทยไปนานหลายปีแล้ว) เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก มีบริษัทเกาหลีมาลงทุน 4,000 กว่าบริษัท ขณะที่มาไทย 400 บริษัท และมีบริษัทชั้นนำของโลกทุกแขนงกำลังมุ่งสู่เวียดนาม

ทำให้เกิดการส่งออกสินค้ามูลค่าเพิ่มมหาศาล ซึ่งตอนนี้เวียดนามส่งออกมากกว่าไทยไปแล้วครับ และกำลังจะทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ หากเราไม่คิดสู้!

3.) มีความรักชาติ เป็นชาตินิยมสูง ถือเป็นจุดแข็งของเวียดนาม เด็กเวียดนามทุกคนเรียนรู้ "ประวัติศาสตร์ชาติ" รู้จัก "การต่อสู้ของลุงโฮ" ท่านโฮจิมินห์ บิดาของชาติ (เคยมาอยู่เมืองไทย) รู้เรื่องราว การต่อสู้ ด้วยความทรหด อดทน ไม่ยอมแพ้ ให้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างชาติ

ทั้งคนเวียดนาม ปลูกฝังค่านิยม การรักการอ่าน การขยันเรียนแบบสุด ๆ โรงเรียนเวียดนาม แม้ไม่ใหญ่ ไม่สวย เหมือนโรงเรียนไทย แต่คุณภาพไม่แพ้ใครในโลก ลองดูคะแนนมาตรฐาน PISA Score เด็กเวียดนามทำได้คะแนนสูงสุดในอาเซียน เกือบเท่าเด็กสิงคโปร์!

คนอเมริกันเชื้อสายเวียดนามในสหรัฐ ก็เรียนเก่ง (ที่ MIT ที่พี่เอ้เรียนจบมา ก็มีเด็กอเมริกันเวียดนามเยอะมาก) ประสบความสำเร็จสูงมาก แม้แต่คุณหมอ พญ. ดร. พริสซิลลา ชาน ภรรยาคนสวยของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ผู้ก่อตั้งเฟชบุ๊ค ก็เป็นคนเชื้อสายเวียดนาม คนเหล่านี้ยังสนับสนุนประเทศเวียดนามทุกรูปแบบ เต็มที่

พี่เอ้ไม่อยากให้คนไทยมองข้ามเรื่องนี้ รุ่นพ่อแม่เราเกิดมา ก็ไม่แพ้เกาหลี วันนี้เกาหลีเป็นประเทศชั้นนำของโลกไปแล้ว รุ่นพี่เอ้เกิดมาก็ไม่แพ้สิงคโปร์ ไม่แพ้มาเลเซีย วันนี้เขากระโดดไปไกลแล้ว

และวันนี้ พี่เอ้ยอมรับว่า "ทำใจไม่ได้" ที่เรากำลังเป็นรองเวียดนาม

แม้เราไม่ได้อิจฉาเวียดนาม และก็ไม่ได้ชื่นชมว่าจะดีเก่งกว่าไทยไปซะทุกเรื่อง เพียงแต่อยากให้ คนไทยเรียนรู้ข้อเท็จจริง เพื่อนำมาวางแผนสู้ พัฒนาชาติไทย ต้องไม่ยอมแพ้!!!
เพราะพี่เอ้ยังมั่นใจ #คนไทยไม่แพ้ใครในโลก และ #จะทำก็ทำได้

ขอเป็นกำลังใจ ให้คนไทยทุกคนครับ สู้ ๆ

'ดร.สันต์' ชี้!! หากไทยติด 5-6 ล้าน ค่าเฉลี่ยตายต้อง 5% แต่กดได้ 1% สะท้อนความจริงคือคนไทยต่างร่วมมือ

ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้าภายในประเทศ ระบุว่า... 

Covid-19 : บทเรียนจากชัยชนะของไต้หวัน 'สัจพจน์' ที่เราได้จากตัวเลขที่นั่น เพื่อพิสูจน์ความจริงและความลวงในบ้านเรา 

>> เรื่องราวของไต้หวัน:
ไต้หวันเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการระบาดของ Alpha อย่างหนักหน่วง และสามารถเอาชนะมันได้แบบลงสู่ Zero New Case ด้วยมาตรการในแบบฉบับ Lockdown ล้วน ๆ ยาวนาน 3 เดือน โดยแทบไม่มีวัคซีนช่วยเลย 

ไม่เคยมีใครทำได้ ประเทศที่สามารถคุม Alpha ได้สำเร็จ คือ คุมไม่ให้ระบาดหนักแต่แรก ในประเทศอื่น ๆ ที่ระบาดหนักแล้วกดลงได้ ก็ไม่เคยกดลงจนเป็นศูนย์ได้เลย 

ข้อมูลที่ไต้หวันมีความสำคัญและเที่ยงตรงมากเพราะ ไต้หวันมีการตรวจเชื้อมหาศาล ในระดับที่เพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าไม่มีตกหล่น 

ไต้หวัน Test ไปถึง 5 ล้านครั้งในระดับผู้ติดเชื้อ 16,000 คิดเป็น %Positive แค่ 0.32% เทียบกับไทยเราที่ติดเชื้อไป 1.2 ล้าน เพิ่งตรวจไปได้แค่ 8 ล้านกว่าคนเท่านั้น 

กราฟชัยชนะของไต้หวันจึงเป็น Sample ของ Full Wave ของ Alpha ที่สมบูรณ์และมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะทำให้เราทราบคุณสมบัติต่าง ๆ ของไวรัสครบถ้วน  

>> สัจพจน์:
1.) การลงสู่ Zero New Case เป็นไปได้สำหรับ Alpha ใช้เวลาไม่นานและคุ้มค่าแก่การรอคอย ไต้หวันทำได้ใน 3 เดือนด้วย Lockdown Level 3 โดยที่ยังไม่ได้ใช้ระดับสูงสุดคือ Level 4 เลยด้วย  

2.) ถ้าระบาดวงกว้างแล้วคุมไม่ทัน อัตราการตายจะสูงมากระดับ 5% ไต้หวันล้มเหลวในการคุมการระบาดช่วง 20 วันแรกที่ไม่ยอม Lockdown ทำให้การแพร่ระบาดเป็นวงกว้างไม่ทันตั้งตัว โดยการติดเชื้อตั้งแต่ พ.ค. ประมาณ 15,000 เสียชีวิตถึง 825 คน คิดเป็น 5.5% อัตราการเสียชีวิตสูงมากสำหรับประเทศที่มั่งคั่งแบบไต้หวัน ในขณะที่ Wave ก่อนหน้าที่คุมได้เร็ว ติดเชื้อแค่ 1,130 คน เสียชีวิต 12 คน คิดเป็นแค่ 1% 

3.) Time Constant ของกราฟ %Increase ในการลงสู่ Zero New Case คือ 9.1 เท่ากับที่จีนและไทยเคยทำไว้ใน Wave ของไวรัสอู่ฮั่น หมายถึงการ Lockdown จริงจังยังมีประสิทธิภาพมากกับ Alpha 

บทพิสูจน์ความจริงความลวงในประเทศไทย:
ประเทศไทย ประชากรอายุ 15-64 ปี มี 70.7% ส่วนไต้หวัน ประชากรอายุ 15-64 ปี มี 71.96 % มีโครงสร้างประชากรคล้ายกัน

ปัญหาที่ 1.) ตัวเลขรายงานผู้ติดเชื้อต่ำกว่าความจริงมาก? ของจริงน่าจะติดเชื้อระดับ 5-6 ล้านคนแล้ว?  
>> เฉลย: ถ้ามีการติดเชื้อที่ Undetected ขนาดนั้น ก็จะเป็นการระบาดไปทั่วที่ไม่ได้ควบคุม จะมีอัตราการตายที่มากกว่า 5% คือมีคนตายระดับมากกว่า 300,000 คนภายใน 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเห็นชัด ๆ ว่าคงไม่ใช่ เพราะคงเก็บศพไม่ทันแน่นอน จะต้องเป็นภาพของศพเกลี่อนทุกมุมถนน 

ปัญหาที่ 2.) เราอาจจะเข้าใกล้ Herd Immunity แล้วคือติดเชื้อ 30 ล้านคนภายในปีนี้? และที่เหลือก็คือด้วยวัคซีน เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ตัวอื่น ๆ 
>> เฉลย: ถ้าติดเชื้อ 30 ล้านคนภายใน 3-4 เดือน ก็คือจะตายกัน 1,500,000 คนขึ้นไป ซึ่งเห็นชัด ๆ ว่าเกิดขึ้นไม่ไหวแน่ และไม่มีไข้หวัดใหญ่ธรรมดาใด ๆ จะฆ่าเราได้เกลื่อนขนาดนี้ 

ปัญหาที่ 3.) ตายด้วยอุบัติเหตุมากกว่า คนจะอดตาย ฆ่าตัวตายมากกว่า จะกลัวโควิดกันมากเกินไปมั้ย เปิดเศรษฐกิจไปเลย Herd Immunity ไปเลยไม่ต้องรอวัคซีน?
>> เฉลย: ต้องจำไว้ว่าอัตราการตายจะคือ 5% โดยที่เกิดจากการใช้ชีวิตปกติ คุณอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ออกไปขับรถซิ่งคุณก็ตายได้ คุณไปกินข้าวในร้านอาหารคุณก็ตายได้ คุณไปทำงาน ไปเดินห้างก็ตายได้ ไวรัสเลือกคุณให้ตายไม่ใช่คุณเลือกที่จะเสี่ยงหรือจะจบชีวิตตัวเอง และจะตายกันมากกว่าเยอะถ้าเล่น Herd Immunity แบบไม่ใช้วัคซีน

บทสรุป
ปัญหาที่ 4.) บุคลากรสาธารณสุขไทย และระบบสุขภาพของไทยเอาไม่อยู่?

>> ต้องบอกตามตรงว่า ประเทศที่ตัวเลขการระบาดมาถึงจุดนี้แล้วและมาเร็วขนาดนี้ แต่ยังสามารถรักษาอัตราการเสียชีวิตไว้ที่ระดับ ต่ำกว่า 1% ได้นี่คือหายากมาก 

เรามีอัตราการเสียชีวิตต่ำมากทั้ง ๆ ที่การระบาดเกิดขึ้นเฉียบพลันภายใน 2-3 เดือน ขณะที่ไต้หวันซึ่งมีคุณสมบัติทางสังคมหลาย ๆ อย่างคล้ายเรา มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 5.5% ทั้งที่การระบาดไม่มากเท่าเรา 

เราต้องรับรู้จริง ๆ นะครับว่า ถ้าบุคลากรสาธารณสุขไทย ไม่ทุ่มเทสุดตัวขนาดนี้ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน รวมทั้งประชาชนทั่วไปไม่มากขนาดนี้ ไม่มีทางที่เราจะช่วยผู้คนเอาไว้ได้มากมายหลายหมื่นชีวิตแบบนี้แน่นอน 

ไม่มีข้อเฉลยใดที่จะสำคัญไปกว่าข้อที่ 4 นี้อีกแล้วครับ มันสำคัญมากที่เราต้องรู้ และต้องขอบคุณพวกเขาจริง ๆ ครับ ซึ่งพวกเขายังไม่ได้พักกันเลยตลอด 4 เดือนแล้ว 

>> และคำขอบคุณที่ดีที่สุด คือ อย่าเพิ่งรีบออกจากบ้านไปเสี่ยงรับเชื้อเพราะอดใจไม่ไหวแล้ว

>> ขอให้อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่าครับ อีกไม่นานเกินรอครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/100000921874426/posts/6379240792116587/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top