Monday, 16 June 2025
Hard News Team

สำนักงานตำรวจแห่งชาติน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันปิยมหาราช ประจำปี 2564

เนื่องในโอกาสวันปิยมหาราช ประจำปี 2564 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีต่อประเทศชาติบ้านเมือง พสกนิกรชาวไทย และข้าราชการตำรวจ ตั้งแต่อดีตจนสืบเนื่องถึงปัจจุบัน

(23 ต.ค. 64)​ ณ พระลานพระราชวังดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) กำหนดจัดพิธีวางพวงมาลาหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า เข้าร่วมพิธีฯ อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

สำหรับในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทนจากสมาคมแม่บ้านตำรวจ เข้าร่วมพิธีฯในฐานะผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงผลการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ

ตำรวจภูธรภาค 5 จับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 9 คน พร้อมของกลางยาบ้ากว่า 2 ล้านเม็ด ไอซ์ 67 กก. เฮโรอีน 7 กก. ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

ตามนโยบายของรัฐบาล ในการปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยคุกคามและอาชญากรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้สร้างผลกระทบต่อประชาชน และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติเป็นอย่างมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.รอย  อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./หน.ศอปส.ตร. ได้มอบนโยบายให้ทุก บช. เร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง ตามแผนปฏิบัติการ ด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดน เพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาตอนในของประเทศ ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมนั้น


     
กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงค์ คำลือ ผบก.บก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.ชินวิช วิชัยธนพัฒน์ ผบก.ภ.จว.เชียงราย, พ.ต.อ. พงษ์สวัสดิ์ ไชยบาล รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย, พ.ต.อ.รัฐพล น้อยช่างคิด ผกก.สส.ภ.จว.เชียงราย

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม สภ.เชียงแสน, สภ.เมืองเชียงราย, สภ.แม่สรวย, สภ.แม่ลาว, กก.สส.ภ.จว.เชียงราย

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. ได้มีการแถลงผลการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ ดังนี้ 

คดีที่ 1  จับกุมผู้ต้องหา 5 คน ยาบ้า 310,000 เม็ด ไอซ์ 58 กก., เฮโรอีน 20 แท่ง ประมาณ 7 กก. 
1.นายสงกรานต์ หรือบ่าว เดชฤทัยภักดี อายุ 22 ปี 
2.นายเรวัต หรือวัฒน์ รุ่งกระจ่าง อายุ 37 ปี 
3.นายธีรวัฒน์ หรือเก็ต หลวงแก้ว อายุ 23 ปี 
4.น.ส.รุ่งทิวา หรือน้ำ ชูวงศ์ประทาน อายุ 34 ปี 
5.น.ส.นารีรัตน์ หรือเก๋ ก๋าแก้ว อายุ 25 ปี 

พฤติการณ์   
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมตำรวจภูธรภาค 5  ได้สืบสวนจากแหล่งข่าวพบว่านายเรวัต รุ่งกระจ่าง ผู้ต้องหาตามจับคดียาเสพติด ของศาลจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมกับพวกลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนด้านจังหวัดเชียงราย เข้าสู่พื้นที่ จว.นครปฐม - กาญจนบุรี จึงสืบสวนจากแหล่งข่าวพบว่า นายเรวัต รุ่งกระจ่าง ใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า สีขาว เลขทะเบียน 1ขฬ 7383 กรุงเทพมหานคร เป็นยานพาหนะ ขับวนไปในพื้นที่แนวชายแดน อ.แม่สาย - เชียงแสน โดยมีรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า สีดำ ติดแผ่นป้ายทะเบียน สีแดง ก 4369 เชียงใหม่ ขับติดตามมา เชื่อว่าจะลำเลียงยาเสพติด จึงสะกดรอยติดตาม 

จนกระทั่งวันที่ 20 ต.ค.2564 เวลาประมาณ  04:00 น. พบ รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า สีดำ ติดป้ายทะเบียน สีแดง ก 4369 เชียงใหม่ ขับนำ รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า สีขาว เลขทะเบียน 1ขฬ 7383 กทม. จากแนวชายแดนทางด้าน อ.เชียงแสน มุ่งหน้า อ.เมืองเชียงราย ในลักษณะขับนำ ขับตาม จึงได้สะกดรอยติดตามไป พร้อมทั้งประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจเรียกตรวจค้น 

จนกระทั่งรถยนต์ทั้งสองคัน ขับผ่าน อ.แม่ลาว จว.เชียงราย  ได้เลี้ยวขวา มุ่งหน้าไป จว.เชียงใหม่  จึงได้ประสานด่านตรวจท่าก้อ สภ.แม่สรวย จ.เชียงราย  ให้เรียกตรวจค้น เมื่อรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า สีดำ ติดแผ่นป้ายทะเบียน สีแดง ก 4369 เชียงใหม่ เข้าด่านตรวจท่าก๊อ จึงเรียกตรวจค้น พบผู้ต้องหาที่ 2 - 5 คือ  นายเรวัต หรือวัต รุ่งกระจ่าง อายุ 37 ภูมิลำเนา ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จว.กาญจนบุรี เป็นคนขับรถ, นายธีรวัฒน์ หรือเก๊ต หลวงแก้ว ภูมิลำเนา ต.แม่ปูคา อ.สันกำแพง  จว.เชียงใหม่, น.ส.รุ่งทิวา หรือน้ำ ชูวงศ์ประทาน อายุ 34 ปี ภูมิลำเนา  ต.ปางหินฝน อ.แม่แจ่ม จว.เชียงใหม่  และ น.ส.นารีรัตน์ หรือเก๋ ก๋าแก้ว ภูมิลำเนา ต.บ้านแป้น อ.เมืองลำพูน จว.ลำพูน นั่งโดยสารมาด้วย 

เมื่อรถยนต์เก๋งคันแรกถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจค้น  รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า สีขาว เลขทะเบียน 1ขฬ 7383 กรุงเทพมหานคร ขณะขับมาก่อนจะถึงด่านตรวจท่าก๊อ  ได้เลี้ยวกลับรถมุ่งหน้าไปทาง อ.แม่สรวย จึงได้ขับรถไล่ติดตามไป จนกระทั่งมาถึง โรงแรม บริเวณถนนทางขึ้นดอยวาวี ต.แม่สรวย อ.แม่สรวย  ได้จอดรถแล้ววิ่งหลบหนี  จึงได้วิ่งไล่ติดตามไปและควบคุมตัวคนขับรถ คือ  นายสงกรานต์ หรือบ่าว เดชฤทัยภักดี อายุ 22 ปี ภูมิลำเนา ต.สันกำแพง อ.สันกำแพง จว.เชียงใหม่ มาตรวจค้นภายในรถ  พบยาเสพติดของกลาง บรรจุอยู่ในกระสอบฟางสีรุ้ง รวมจำนวน 5 กระสอบ โดยวางอยู่บนเบาะที่นั่งภายในห้องโดยสารและอยู่ในช่องเก็บสัมภาระท้ายรถยนต์  

จากการซักถามขยายผล ผู้ต้องหาที่ 1-5 รับว่าร่วมกับลำเลียงยาเสพติด จากแนวชายแดน อ.เชียงแสน จว.เชียงราย ไปส่งให้กลุ่มค้ายาเสพติดในพื้นที่ จว.นครปฐม โดยรถยนต์คันแรกมีหน้าที่ขับนำ สำรวจเส้นทาง ให้กับรถยนต์คันที่ 2 ที่บรรทุกยาเสพติด  จึงจับกุมส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

'ทรัมป์' ปั้น 'Truth Social'​ โซเชียลมีเดียของตัวเอง หลังโดนปิดกั้นหนัก เอาใจเหล่าสาวกเดนตาย

หลังจากที่อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเสียบัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัว ที่มียอดผู้ติดตามสูงถึง 88.7 ล้านคน และยังถูกปิดกั้นการเข้าถึงช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ ทั้ง Facebook รวมถึง YouTube ที่เคยใช้ ซึ่งล้วนมียอดผู้ติดตามมหาศาล อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ การบุกรุกอาคาร 'เดอะ แคปปิตอล'​ ของกลุ่มผู้สนับสนุน ที่ต้องการขัดขวางกระบวนการรับรองคะแนนเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2021 ที่เชื่อว่าเกิดจากข้อความปลุกระดมในโซเชียลมีเดียของทรัมป์

ทั้งนี้​ การปิดกั้นช่องทางสื่อสารทางโซเชียล มีผลกับอดีตประธานาธิบดี ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักสร้างกระแสคนดังที่สุดแห่งยุคอย่างมาก เพราะทรัมป์ชื่นชอบ การสื่อสารผ่านทางทวิตเตอร์มาก ที่มักจะโพสต์ข้อความถึงกลุ่มฐานเสียงทุกวันอย่างสม่ำเสมอ 

อย่างไรก็ตาม​ เมื่อปิดกั้นกันนัก ท่านเสี่ยทรัมป์ก็เลยควักกระเป๋า เปิดช่องโซเชียลมีเดียเป็นของตัวเองซะเลย โดยใช้ชื่อว่า Truth Social ที่เตรียมจะเปิดตัวในขั้นทดสอบและรับสมาชิกในเดือนพฤศจิกายนปีนี้

ตม.จว.เลย ลุยกวาดล้างเข้มต่อเนื่อง จับกุมแรงงานเถื่อนชาวลาวหลบหนีเข้าเมือง นายจ้างคนไทย และหนุ่มเขมร อยู่เกินหลบในไทยถึง 354 วัน ส่งดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

(21 ต.ค.64)​ พ.ต.อ.ชนะพณ สุวรรณศรีนนท์  ผกก.ตม.จว.เลย แถลงผลการจับกุมบุคคลต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมาย โดย ผกก.ตม.จว.เลย สั่งการให้พ.ต.ท.สุทธิรักษ์  นามวงษ์ รอง ผกก.(สอบสวน)ฯ รรท.รอง ผกก.ตม.จว.เลย และ  พ.ต.ท.หญิง สุนิสา  ธรรมโชติ สว.ตม.จว.เลย โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.เลย ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ออกตรวจพื้นที่ตามมาตรการป้องกันปราบปรามการกระทำผิด เพื่อป้องกันผู้ที่กระทำผิดกฎหมายก่อเหตุอันตราย และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเมื่อวันที่ผ่านมาสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 4 ราย ดังนี้... 

1. ท้าวจีด แสงจัน สัญชาติลาว โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต (หลบหนีเข้าเมือง) จับกุมได้ที่บริเวณ ชายป่าริมแม่น้ำโขง ด้านข้างโรงเรียนบ้านคกงิ้ว ต.ปากตม อ.เชียงคาน จ.เลย ควบคุมตัว ส่ง พงส.สภ.เชียงคาน ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

2. นายแล่ จันทะวง สัญชาติลาว  โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร   โดยไม่ได้รับอนุญาต (หลบหนีเข้าเมือง) และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน ฝ่าฝืนมาตรา ๘ แห่ง พ.ร.ก.บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๖๑ จับกุมได้ที่บริเวณ ร้านหลังเขาเซ็นเตอร์ เลขที่ ๓๖ หมู่ ๔ ต.โนนปอแดง อ.ผาขาว จ.เลย ควบคุมตัว 

3. นายสมศักดิ์ (สงวนนามสกุล) โดยกล่าวหาว่า “เป็นนายจ้างรับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน” จับกุมได้ที่บริเวณร้านหลังเขา เซ็นเตอร์ เลขที่ ๓๖ หมู่ ๔ ต.โนนปอแดง อ.ผาขาว จ.เลย 

4. MR.CHUON CHHENGKEU สัญชาติกัมพูชา โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) จำนวน ๓๕๔ วัน” จับกุมได้ที่บริเวณริมถนนหน้าวัดไชยศรียาราม หมู่ ๔ ต.โนนปอแดง อ.ผาขาว จ.เลย ผู้ต้องหา ที่ 2-4 ควบคุมตัวทั้งหมด ส่ง พงส.สภ.ผาขาว เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

บก.ตม.1 - บก.ตม.3 - ตม.จว.ปทุมธานี ร่วมจัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” ลงพื้นที่นำถุงยังชีพช่วยเหลือชาวบ้าน จว.ปทุมธานี บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

“บก.ตม.1 - บก.ตม.3 - ตม.จว.ปทุมธานี ร่วมจัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” ลงพื้นที่นำถุงยังชีพช่วยเหลือชาวบ้าน จว.ปทุมธานี บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยน้ำท่วม” 

(21 ต.ค. 64) พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1 ในฐานะโฆษก บก.ตม.1 สตม.และหัวหน้าคณะประชาสัมพันธ์ บก.ตม.1 เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันที่ 20 ต.ค.64 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 และกองบังคับการตรวจคนเข้ามือง 3 (ตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดปทุมธานี) นำโดย พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1 พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3 พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.เจริญพงษ์ ขันติโล ผกก.ตม.จว.ปทุมธานี นำข้าราชการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในสังกัด จัดกิจกรรมร่วมกับภาคประชาชนจิตอาสาฯ ในพื้นที่ เพื่อมอบถุงยังชีพ เครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 500 ชุด  ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม ในพื้นที่ของ จว.ปทุมธานี และพร้อมกันนี้ ตม.จว.ปทุมธานี ได้มอบสิ่งของใช้ที่จำเป็นแก่วัดโบสถ์เพื่อใช้ประโยชน์สาธารณะด้วยอีกส่วนหนึ่ง ณ  วัดโบสถ์ (หลวงปู่เทียน) อ.เมือง จ.ปทุมธานี

'ดีพร้อม' โชว์พลังคลัสเตอร์หุ่นยนต์ รวมกลุ่มฝ่าวิกฤตสร้างระบบอัตโนมัติต้นทุนต่ำ ลดนำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมเปิดทางสร้างพันธมิตรธุรกิจหุ่นยนต์ หวังดันเอสเอ็มอีไทยไปสู่ยุค 4.0 

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีนโยบายผลักดัน 12 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) ซึ่งถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต โดยมีอุตสาหกรรมหุ่นยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ 

ด้วยนโยบายดังกล่าว ‘ดีพร้อม’ จึงเร่งพัฒนาและฟื้นฟูผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวผ่านการสร้างและพัฒนาการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ ‘คลัสเตอร์’ (Cluster) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างนวัตกรรมร่วมกัน ตลอดจนบูรณาการการทำงานระหว่างกันได้ ซึ่ง ‘ดีพร้อม’ ได้ดำเนินการพัฒนาคลัสเตอร์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 - ปัจจุบัน โดยมีกลไกและกระบวนการพัฒนาตั้งแต่ การกระตุ้นจิตสำนึกให้เกิดการรวมกลุ่ม การพัฒนากลุ่มให้เข้มแข็ง การพัฒนาธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมให้เติบโต เข้มแข็ง และยั่งยืน 

โดยเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เครื่องมือและกระบวนการอันสำคัญหนึ่งที่จะนำไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศได้คือการพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจ หรือ ‘คลัสเตอร์’ ซึ่งมีจำนวนกลุ่มอุตสาหกรรมที่พัฒนามาแล้วอย่างต่อเนื่อง จำนวน 123 กลุ่มอุตสาหกรรม ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ และสิ่งที่น่าสนใจพบว่าเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย 11 กลุ่ม ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของผู้ประกอบการ SMEs ตลอดจนเป็นการปูทางสร้างมูลค่าอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี 

สำหรับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความเข้มแข็งเป็นอย่างมาก และถือเป็นก้าวสำคัญของ SMEs 4.0 คือ ‘คลัสเตอร์หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ’ ซึ่งได้รวมตัวและบูรณาการการทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2562 ประกอบด้วยธุรกิจ SMEs จำนวน 22 บริษัทมีเป้าหมายและจุดยืนร่วมกันคือการเพิ่มกำลังการผลิต การลดนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ การนำความเชี่ยวชาญของแต่ละบริษัทมาช่วยแก้จุดอ่อน (Pain Point) ของพันธมิตรภายในคลัสเตอร์ รวมถึงผลักดันให้ธุรกิจ SMEs มีโอกาสได้ใช้หุ่นยนต์เพื่อให้แข่งขันได้ในยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลง

ด้านกำลังแรงงาน และการลดต้นทุนด้านต่างๆ เนื่องจากในปัจจุบันจะพบว่าการใช้หุ่นยนต์ในโรงงานของประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับสถานประกอบการขนาดใหญ่เท่านั้น มี SMEs จำนวนน้อยที่ใช้ระบบดังกล่าวในการจัดการกระบวนการผลิต เพราะส่วนใหญ่ยังคงเป็นการใช้เครื่องจักร รวมถึงเทคโนโลยีมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง 

“สิ่งสำคัญที่ ดีพร้อม พยายามพัฒนาและยกระดับคลัสเตอร์ให้มีความเข้มแข็งได้มุ่งเน้นทั้งการกระตุ้นจิตสำนึกให้เกิดการรวมกลุ่ม เพื่อปรับเปลี่ยนแนวความคิดจากเดิมที่ต่างคนต่างทำหรือต่างคนต่างเก่ง เปลี่ยนการดำเนินงาน จากการแข่งขันเพียงเพื่อความอยู่รอดของตัวเองฝ่ายเดียวมาเป็นพันธมิตร พร้อมวิเคราะห์สถานภาพของกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้ธุรกิจในคลัสเตอร์ทราบถึงระดับความสามารถในการแข่งขัน และนำสิ่งต่างๆ มาเติมเต็มได้ รวมถึงยังได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับความต้องการการพัฒนาธุรกิจ ผลักดันเวทีหรือกิจกรรมการปฏิบัติจริง ทั้งในด้านการทดสอบตลาด การพัฒนาบุคลากร การใช้เทคโนโลยี และยังติดตามความสำเร็จ และเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนากลุ่มคลัสเตอร์อื่นๆ ต่อไป”

นายณัฐพล กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ดีพร้อม ยังได้มีการติดตามผลลัพธ์ ซึ่งพบว่าสิ่งที่คลัสเตอร์หุ่นยนต์
และระบบอัตโนมัติประสบความสำเร็จ คือ มีการซื้อขายระบบเทคโนโลยีรวมถึงหุ่นยนต์ระหว่างกันคิดเป็นมูลค่า ทางเศรษฐกิจประมาณ 95 ล้านบาท หรือ 4.75 ล้านบาทต่อกิจการ พร้อมด้วยความสำเร็จของการพัฒนาระบบอัตโนมัติต้นทุนต่ำ Low Cost Automation ซึ่งทำให้ธุรกิจในกลุ่มสามารถมีระบบอัตโนมัติช่วยการปรับปรุงกระบวนการผลิตในราคาที่เอื้อมถึงได้ คืนทุนได้เร็วเฉลี่ยประมาณ 12 เดือน และมีราคาที่ถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศเฉลี่ย 300,000 - 500,000 บาท จากปกติที่ต้องนำเข้าในราคาระดับหลักล้านบาท อย่างไรก็ตาม ดีพร้อม ยังมีแนวทางในการต่อยอดให้กลุ่ม SMEs มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 

1.) การดึงกลุ่มสถานประกอบการที่มีความต้องการใช้หุ่นยนต์เข้ามาร่วมในกลุ่มคลัสเตอร์ดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ผู้พัฒนาระบบทราบถึงความต้องการของพันธมิตร และต่อยอดสู่เทคโนโลยีเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น 

2.) การส่งเสริมและเชื่อมโยงผ่านกลไกด้านการเงิน พร้อมให้ความรู้กับผู้ประกอบการได้เห็นถึงสิทธิประโยชน์จากการนำหุ่นยนต์มาใช้ เช่น มาตรการด้านภาษี ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมในอัตราต่ำ รวมถึงจัดทำข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอด้านการเงินสำหรับ SMEs เพื่อใช้ในการขอสินเชื่อจากกองทุนและจากธนาคารพาณิชย์

3.) จัดหาหรือดึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ / ประสบการณ์ในด้านระบบอัตโนมัติรวมถึงหุ่นยนต์มาช่วยให้ความรู้ หรือเทคนิคสำคัญให้กับผู้ประกอบการในคลัสเตอร์ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านที่ปรึกษา พร้อมช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาเทคโนโลยีประสิทธิภาพได้มากขึ้น

และ 4.) ส่งเสริมแผนงานด้านการตลาด เนื่องจากในปัจจุบันแม้คลัสเตอร์จะเริ่มประสบความสำเร็จในการแบ่งปัน - ซื้อขายเทคโนโลยีระหว่างกัน แต่ยังจำเป็นต้องทำให้เกิดการซื้อขายนอกกลุ่ม หรือช่องทางอื่น ๆ เพื่อให้เกิดมูลค่าและการเป็นที่รู้จักที่มากขึ้นต่อไป 

'วิโรจน์' ค้านตั้ง ศบค.ส่วนหน้า คุมโควิดชายแดนใต้ แนะใช้ความไว้วางใจคลี่คลาย ไม่ใช่ความมั่นคง

ต่อกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งจัดตั้ง ศบค.ส่วนหน้า เพื่อเข้าไปจัดการสถานการณ์โควิด-19 ที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประกอบไปด้วยจังหวัด นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุว่า จากการหารือกับคณะทำงานของพรรคก้าวไกลในพื้นที่ ทำให้รับทราบว่าอุปสรรคสำคัญในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ขณะนี้ หลักๆ มีอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน

ปัจจัยแรก คือ การที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ยินยอมฉีดวัคซีน ซึ่งในประเด็นนี้ รัฐบาลไม่ควรมองปัญหาอย่างผิวเผิน และด่วนสรุปว่าประชาชนในพื้นที่ไม่ให้ความร่วมมือ หากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ กล้าที่จะถามตัวเองว่า “เหตุใดประชาชนถึงไม่ให้ความร่วมมือในการฉีดวัคซีน” ก็จะหาคำตอบได้ไม่ยาก นั่นก็คือ “ประชาชนไม่มีความไว้วางใจในรัฐบาล จากกรณีข่าวการซ้อมทรมาน และการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงกับประชาชน ที่ปรากฏตามหน้าสื่ออยู่เป็นระยะๆ” พอประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาล ก็เป็นการยากมากๆ ที่ประชาชนจะเต็มใจปฏิบัติตามคำแนะนำจากรัฐบาลในการควบคุมการระบาดของโรค 

ยิ่งการฉีดวัคซีน เป็นการนำเอาสารชีววัตถุที่เป็นของใหม่ ที่การเข้าถึงข้อมูลยังคงอยู่ในระดับที่จำกัด ยิ่งทำให้ประชาชนที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาลอยู่เป็นทุนเดิม มีความระแวงที่จะฉีด ปัญหานี้จะแก้ด้วยการใช้อำนาจบังคับแบบตรงๆ ไม่ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจผ่านผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และบุคคลที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นกลไกในการรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่มาเข้ารับการฉีดวัคซีน

"การจัดตั้ง ศบค.ส่วนหน้า แล้วใช้อำนาจบังคับแบบทันทีทันใด เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น สมมติหากมีการใช้อำนาจบังคับ หรือกึ่งบังคับ ให้ประชาชนในพื้นที่ฉีดวัคซีน จริงอยู่ที่ในระยะสั้นอาจจะบังคับเกณฑ์ประชาชนมาฉีดวัคซีนได้เป็นจำนวนมากได้ แต่ต้องยอมรับว่าการฉีดวัคซีนนั้น แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่ไม่มากนัก แต่ก็ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับประโยชน์ในการปกป้องชีวิตของทั้งตัวเอง และคนในครอบครัวจากโรคระบาด ก็ยังถือว่าการฉีดวัคซีนนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น และมีความคุ้มค่าที่จะฉีด ถ้าหากประชาชนที่ถูกเกณฑ์มาฉีดไม่เข้าใจในประเด็นนี้ และเมื่อมีประชาชนจำนวนหนึ่งได้รับผลข้างเคียง หรือมีอาการไม่พึงประสงค์หลังจากที่ฉีดวัคซีน ความไม่เข้าใจที่ถูกรัฐบังคับ ก็จะกลายเป็นความโกรธแค้น และจะทำให้ความขัดแย้ง และความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ขยายตัวเพิ่มขึ้น"

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก คาด!! 20 ปี เขาน้ำแข็งในแอฟริกาละลายเกลี้ยง 118 ล้านคน เจอผลกระทบหนักรอบด้าน

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) หน่วยงานด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติ (UN) เตือนว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขณะนี้กำลังจะทำให้ภูเขาน้ำแข็ง 3 แห่งสุดท้ายในแอฟริกาละลายหายไปภายใน 20 ปีข้างหน้า

รายงานจาก WMO ชี้ว่าการหดตัวอย่างรวดเร็วของธารน้ำแข็งแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในแอฟริกาตะวันออก ซึ่งคาดว่าจะละลายหายไปในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นสัญญาณของภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกที่ไม่อาจย้อนกลับได้

นอกจากนี้ยังคาดว่าภายในปี 2030 จะมีผู้คนมากถึง 118 ล้านคนต้องเผชิญกับน้ำท่วม ภัยแล้ง หรืออุณหภูมิที่ร้อนระอุมากยิ่งขึ้น และอาจทำให้เศรษฐกิจของทวีปหดตัวลงถึง 3% ตลอดจนเผชิญกับความยากไร้หากไม่มีมาตรการรับมือที่เพียงพอ

กอ.รมน. ประสานทุกภาคส่วนเร่งนำบิ๊กแบ๊คอุดพนังกั้นน้ำอินทร์บุรี พร้อมเข้าช่วยเหลือประชาชน เฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชม. 

จากสถานการณ์ในปัจจุบันหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทยประสบปัญหาอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุประกอบกับมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำและแม่น้ำสายหลัก ตลอดจนลำน้ำสาขาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีปริมาณน้ำสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา มวลน้ำทำให้แนวกระสอบทรายที่กั้นบริเวณพนังกั้นน้ำ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี พังเสียหาย เกิดกระแสน้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่อย่างรวดเร็ว

กอ.รมน. โดย นายชัยชาญ สิทธิวิรัชธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสิงห์บุรี (ผอ.รมน.จ.สิงห์บุรี) พร้อมคณะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบและสั่งการให้ทุกภาคส่วนเร่งอุดพนังกั้นน้ำเป็นการเร่งด่วน โดยกรมชลประทานได้นำบิ๊กแบ็กจำนวน 30 ลูกมาวางปิดกั้นทางน้ำเพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าในพื้นที่เพิ่มเติม 

ขณะเดียวกัน กองพลทหารปืนใหญ่ ร่วมกับ กอ.รมน.จ.สิงห์บุรี นำกำลังพลจิตอาสาพร้อมยุทโธปกรณ์เข้าช่วยเหลือประชาชนโดยทันที ในการกรอกกระสอบทรายทำแนวกั้นน้ำตามจุดเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณสะพานอินทร์บุรีซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมหลักของคนในพื้นที่ ช่วยเหลือขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง อพยพผู้สูงอายุ และผู้ป่วย

ธปท.คาดผ่อนเกณฑ์อสังหาฯ กระตุ้นกำลังซื้อ ดึงเม็ดเงินใหม่ 9.8% ของจีดีพี - จ้างงาน 2.8 ล้านคน

ธปท.คาดว่าผ่อนคลายมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยฯ จะช่วยดึงเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์กว่า 9.8% ของจีดีพี และมีการจ้างงานกว่า 2.8 ล้านคน หลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ

วันนี้ (21 ต.ค. 64) นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ แม้มีแนวโน้มจะทยอยฟื้นตัวได้จากความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด ทำให้เปิดประเทศได้เร็วกว่าคาด แต่การฟื้นตัวยังเปราะบางจากความไม่แน่นอนสูงและฐานะการเงินของบางภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว

ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่ในภาวะซบเซาจากอุปสงค์ที่อ่อนแอและภาคก่อสร้างที่ได้รับผลจากการระบาด ธปท. ประเมินแล้วเห็นว่า เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและพยุงการจ้างงาน จึงควรเร่งเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มที่ยังมีฐานะการเงินเข้มแข็งหรือรองรับการก่อหนี้เพิ่มได้ ผ่านการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top