"โรม" ยัน "พิธา" ประกาศตัดงบไม่ขัดรธน. ลั่น ไม่ให้ค่า "เรืองไกร" คนเปลี่ยนสี ชี้ ถ้ากมธ.ตัดงบไม่ได้ก็ไม่ต้องมีสภาฯ
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ที่กล่าวว่า การประกาศตัดงบประมาณของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลอาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ว่า ความจริงนายเรืองไกรก็ทำงานในกมธ. งบประมาณฯ ในสัดส่วนพรรคเพื่อไทยมานาน ซึ่งก็ทำร่วมกับพรรคก้าวไกลด้วย ที่ผ่านมาเราก็ทำอย่างเต็มที่ ปี 64 เราก็ตัดงบประมาณไปได้กว่าหมื่นล้านบาท ตนคิดว่านายเรืองไกรก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้ผิด การที่เราประกาศตัดงบประมาณเพื่อนำไปใช้อย่างอื่น ไม่ได้หมายความว่าเป็นการวิ่งเต้นโครงการ หรือเสนอโครงการอะไรเข้ามา แต่เป็นการเสนอตามกลไกรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ว่าในการพิจารณางบประมาณจำเป็นต้องตัดงบในส่วนที่ไม่จำเป็นและเป็นภาระออกก่อน แล้วนำไปกองไว้รวมกัน จากนั้นหน่วยงานรัฐต่างๆ ก็ทำโครงการมาเสนอก็ได้ บางทีนายเรืองไกรควรจะมองคนรอบข้างของตัวเองมากกว่าว่าอาจจะมีแนวโน้มที่จะไปกระทำความผิดขัดต่อมาตรา 144 ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมาจะพบว่ามีความพยายามวิ่งเต้นโครงการต่างๆ เพื่อนำเงินที่ตัดออกไป ไปใช้ในลักษณะเพื่อพวกพ้องตัวเอง
เมื่อถามว่าหากพิจารณาตามตัวบท การประกาศตัดงบประมาณเช่นกรณีนายพิธา ถือว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า สิ่งที่นายพิธาประกาศจะทำไม่มีทางขัดกฎหมาย เพราะการตัดงบประมาณสามารถทำได้ เพราะเราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าตรวจคัดกรองโครงการของหน่วยงานรัฐ ทั้งนี้ ตามมาตรา 144 ระบุสิ่งที่ทำไม่ได้ เช่น การเสนอโครงการเอง ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลและอดีตพรรคอนาคตใหม่ก็ไม่เคยวิ่งเต้นโครงการ แต่เราเพียงให้ความเห็นว่าการของบทำโครงการบางโครงการไม่เหมาะสมในภาวะโควิด-19
เมื่อถามว่าการแสดงความเห็นของนายเรืองไกรจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการตัดลดงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นของสภาฯ หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราก็ทำแบบนี้แล้วก็ไม่เคยผิดรัฐธรรมนูญ ถ้าเราผิด คงโดนร้องไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นายเรืองไกรมาแนะนำ หากเราไม่สามารถตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นได้ก็ไม่ต้องมีสภาฯ เหมือนในยุคสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ขอโครงการอะไรก็ได้หมด อำนาจของสภาฯ คือ สามารถตัดโครงการที่ไม่จำเป็นได้ ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ร่วมกันไม่ใช่เฉพาะของส่วนพรรคก้าวไกลเท่านั้น ส่วนหน้าที่ของหน่วยรับงบประมาณทั้งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ก็มีหน้าที่ให้เหตุผลว่าโครงการที่เสนอมามีความจำเป็นหรือไม่
เมื่อถามว่ามองว่าเจตนาของนายเรืองไกรซึ่งปัจจุบันย้ายไปสังกัดของพรรคพลังประชารัฐแล้วนั้นคืออะไร นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนไม่อยากจะวิจารณ์อะไรเยอะหรือให้ค่านายเรืองไกร คิดว่านายเรืองไกรก็คงพยายามทำหน้าที่ ในฐานะที่มาจากโควตารัฐบาลที่จะเข้ามาปกป้องผลประโยชน์ของรัฐบาลให้มากที่สุด ส่วนสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำคือการตัดในส่วนนี้ เพราะเป็นสิ่งที่รัฐบาลหวังว่าจะเป็นผลประโยชน์ที่ตัวเอง นายเรืองไกรก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น แต่การแสดงความคิดเห็นของนายเรืองไกรไม่ได้หมายความว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องและไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่นายเรืองไกรพูดไปทั้งหมดเป็นผลประโยชน์ของประชาชน โดยปัจจุบันนายเรืองไกรได้เปลี่ยนสี ไปอยู่ฝ่ายรัฐบาล ตนก็ขอให้นายเรืองไกรโชคดี แต่เราก็ยืนยันว่าเราจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน