Thursday, 24 April 2025
Hard News Team

ครั้งหนึ่ง ‘โรเจอร์ เฟเดอเรอร์’ ตำนานนักเทนนิส เคยปฏิเสธดีล Nike ก่อนกลายเป็นหุ้นส่วน On Running สร้างทรัพย์สินระดับพันล้าน

(23 เม.ย. 68) ผศ.ดร.หฤษฎ์ อินน์ทะกนก อาจารย์ผู้สอนด้านกลยุทธ์ธุรกิจ วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Dr Harit แชร์เรื่องราวของ สุดยอดนักหวดลูกสักหลาดระดับตำนานชาวสวิสฯ อย่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยตัดสินใจปฏิเสธสัญญากับทาง Nike ซึ่งเป็นบริษัทรองเท้ากีฬาและเครื่องแต่งกายสัญชาติอเมริกันชื่อดังของโลก

ในปี 2018, Nike เสนอการต่อสัญญาใหม่ให้ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ในมูลค่าเพียง 5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เป็นข้อเสนอที่ต่ำกว่าความคาดหวังของเขามาก เฟเดอเรอร์ จึงตัดสินไม่ต่อสัญญา

หลังจากนั้น Uniqlo ก็เข้ามาเซ็นสัญญากับเขา ด้วยมูลค่าสูงถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ (เฉพาะเรื่องเสื้อผ้า) แต่ 'สิทธิ์ในการสวมรองเท้า' ยังคงเปิดอยู่

และนั่นเอง คือช่วงเวลาที่แบรนด์สัญชาติสวิสเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า On Running ตัดสินใจก้าวเข้ามา

ในตอนนั้น On Running เป็นบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังห่างไกลจากขนาดของ Nike หรือ Adidas แทนที่จะให้เฟเดอเรอร์เป็นแค่พรีเซนเตอร์ พวกเขาเสนอสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น คือการเป็นเจ้าของร่วม

เฟเดอเรอร์ ตัดสินใจลงทุนใน On Running กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น และยังทำงานร่วมกับทีมพัฒนาสินค้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงการเปิดตัวไลน์รองเท้าของตัวเอง ที่ชื่อว่า 
'The Roger'

ผลลัพธ์คือ On Running เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2021 ด้วยมูลค่ากว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นที่เฟเดอเรอร์ถือไว้ตั้งแต่ต้น ทำให้เขามีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยล้านเหรียญ มากกว่าที่เขาจะได้จากการเซ็นสัญญาพรีเซนเตอร์ทั่วไปเสียอีก

บทเรียน: การเดินออกจาก 'เงินก้อนสั้น ๆ' ในวันนี้ อาจเป็นการเปิดประตูสู่ 'ความมั่งคั่งระยะยาว' ในอนาคต

โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ไม่ได้เป็นแค่คนใส่รองเท้าแบรนด์นี้ แต่เขา กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างมันขึ้นมา

‘มาดามแป้ง’ ควัก 25 ล้านช่วย ส.บอล เคลียร์หนี้คดี ‘สยามสปอร์ต’ พร้อมมอบเพิ่มอีก 5 ล้าน ตั้งกองทุนลดภาระองค์กร

(23 เม.ย. 68) ที่อาคาร FA Thailand 'มาดามแป้ง' นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ แถลงความคืบหน้าหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาให้สมาคมฯ แพ้คดี บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ต้องชำระค่าเสียหายรวมกว่า 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย โดยมาดามแป้งได้บริจาคเงินส่วนตัวจำนวน 25 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้ก้อนแรก ตามคำพิพากษาศาล เป็นการแสดงเจตจำนงของสมาคมฯ ที่ต้องการปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างครบถ้วน และเพื่อให้การบังคับคดีเป็นไปด้วยความราบรื่น

นอกจากนี้ มาดามแป้งยังมอบเงินส่วนตัวเพิ่มเติมอีก 5 ล้านบาท จัดตั้งเป็น 'กองทุนเพื่อความโปร่งใส' สำหรับใช้จ่ายที่จำเป็นของสภากรรมการ โดยมีคณะกรรมการ 4 คนดูแลกองทุน ได้แก่ นายยุทธนา หยิมการุณ, นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล, ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา และคุณระวิดา ซอโสตถิกุล โดยมีเป้าหมายให้กองทุนนี้ช่วยลดภาระรายจ่ายสมาคมฯ ที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูทางการเงิน และสะท้อนความโปร่งใสในการบริหารงานของทีมบริหารชุดปัจจุบัน

เพื่อระดมทุนเพิ่มเติมสำหรับหนี้ก้อนที่เหลือ สมาคมฯ เตรียมจัดกิจกรรมหลายโครงการ เช่น การเปิดรอบพิเศษละครเวที 'อันธพาล 2499 The Musical' ซึ่งมาดามแป้งควักเงินส่วนตัวปิดรอบการแสดงวันที่ 29 พฤษภาคม ที่เมืองไทย รัชดาลัย เธียเตอร์ ตั้งเป้ารายได้ 30 ล้านบาท, การจำหน่ายเสื้อรุ่นพิเศษ 'คนไทยรักบอลไทย' ร่วมกับ Warrix ในช่วงฟีฟ่าเดย์เดือนมิถุนายน, การจัดแมตช์พิเศษ 4 ภาคทั่วประเทศ และเปิดรับบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชนที่รักฟุตบอลไทยทั่วประเทศ

ในส่วนของแนวทางเจรจา สมาคมฯ และบริษัท สยามสปอร์ต เตรียมหารือร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เพื่อหาข้อตกลงที่เป็นธรรมและนำไปสู่การชำระหนี้ที่เหลือโดยไม่กระทบต่อภารกิจหลักของสมาคมฯ ในการสนับสนุนและพัฒนาฟุตบอลไทยทุกระดับ

‘กลุ่มก่อการร้าย’ กราดยิงนักท่องเที่ยวในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ ดับสลด 26 ศพ เจ็บอีก 17 ราย ‘ทรัมป์’ โพสต์ประณามพร้อมหนุนอินเดีย

(23 เม.ย. 68) เกิดเหตุกราดยิงใส่กลุ่มนักท่องเที่ยวในเมืองปาฮาลกัม รัฐจัมมูและแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย โดยกลุ่มมือปืนประมาณ 3-4 คน ใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่นักท่องเที่ยวที่กำลังเดินทางอยู่ในพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน และบาดเจ็บอีก 17 คน ถือเป็นเหตุโจมตีรุนแรงที่สุดในอินเดียในรอบหลายปี

ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย 25 คน และชาวเนปาล 1 คน การโจมตีเกิดขึ้นในทุ่งหญ้านอกถนน ก่อนที่กลุ่มมือปืนจะหลบหนีไป โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม กลุ่ม 'กองกำลังต่อต้านแคชเมียร์' ได้ออกมารับผิดชอบการโจมตีนี้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยกล่าวถึงความไม่พอใจที่มีผู้คนจากภายนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแคชเมียร์

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนซาอุดีอาระเบีย ได้ตัดสินใจกลับกรุงเดลีเพื่อดูแลสถานการณ์ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ประณามเหตุการณ์ดังกล่าว และแสดงการสนับสนุนอินเดียในการต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย

‘ทรัมป์’ เปลี่ยนท่าที เตรียมลดภาษีนำเข้าจีน ยอมรับไม่อยากให้สงครามการค้ายืดเยื้อ

(23 เม.ย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่า สหรัฐฯ เตรียมลดเพดานภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจากระดับสูงสุด 145% พร้อมยอมรับว่าไม่ต้องการให้สงครามการค้าระหว่างสองชาติเศรษฐกิจยืดเยื้อ โดยระบุว่า “จะไม่เล่นไม้แข็ง” และต้องการให้เกิดข้อตกลงที่เป็นธรรม

ด้าน รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ ระบุว่าการเจรจากับจีนจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่คาดว่าความตึงเครียดจะผ่อนคลาย ขณะที่ทรัมป์ยืนยันจะลดภาษีลง “อย่างมาก” แม้ไม่ถึงขั้นเป็นศูนย์ แต่จะอยู่ในระดับที่จีนสามารถยอมรับได้ โดยเขาและทีมจะร่วมกันพิจารณารายละเอียดด้วยตนเอง

ขณะเดียวกัน รศ.ดร. อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Aksornsri Phanishsarn' เมื่อ 23 เม.ย. ชี้ว่า ทรัมป์เริ่มถูกเมินหนักจากจีน จึงเริ่ม 'อ่อย' ด้วยท่าทีอ่อนลง พร้อมระบุว่า “ทรัมป์บอกจะ Very Nice กับจีนจ้า”

ทั้งนี้ ทรัมป์ยังเปลี่ยนท่าทีต่อเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด โดยยืนยันว่า “ไม่เคยคิดจะปลด” แม้เพิ่งวิจารณ์เรื่องการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยล่าช้า

ตำนานส่งลูกผูกใจของตระกูล'พัธโนทัย' ย้อนไปปี 1965 ช่วงต้นสถาปนา 'สาธารณรัฐประชาชนจีน'

ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ มีบ้านหลังหนึ่งที่ชื่อว่า 'บ้านสิรินทร์' เจ้าของบ้านหลังนี้คือ สิรินทร์ พัธโนทัย ซึ่งมีชื่อภาษาจีนว่า ฉางหยวน หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน

ย้อนไปเมื่อปี 1956 ช่วงต้นสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน สังข์ พัธโนทัย ผู้เป็นบิดาเคยส่งตัวสิรินทร์ในวัย 8 ปีพร้อม ‘วรรณไว พัธโนทัย’ พี่ชายวัย 12 ปีไปอยู่ภายใต้การดูแลของอดีตนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลในฐานะบุตรบุญธรรม เพื่อแสดงความจริงใจและมิตรภาพที่มีต่อจีน

ครอบครัวของฉางหยวนมีบทบาทพิเศษต่อการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน และด้วยเหตุนี้ตระกูลพัธโนทัยจึงมีสายใยผูกพันกับจีนอย่างแยกไม่ขาด

สิรินทร์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่าตลอด 14 ปีที่เธอเติบโตในประเทศจีน เธอรู้สึกประทับใจที่ได้เป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรมของโจวเอินไหล และได้รับความรักเฉกเช่นคนในครอบครัว ปัจจุบัน สิรินทร์ยังคงใช้ภาษาจีนสื่อสารกับบุตรหลาน และบุตรหลานของเธอก็พูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว

กระทั่งปี 1975 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้นได้ลงนามสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับโจวเอินไหล นับเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนอย่างเป็นทางการ

‘สนธิญา’ ยื่น ป.ป.ช. สอบจริยธรรม ‘พีระพันธุ์’ ปม อ้างองคมนตรี - ถือหุ้น 3 บริษัท หลังรับตำแหน่ง รมต.

‘สนธิญา สวัสดี’ ยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.สอบจริยธรรม ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ปมอ้างองคมนตรี - ถือหุ้น 3 บริษัท หลังเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี

(23 เม.ย. 68) นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยื่นร้องเรียนต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนตรวจสอบหาข้อเท็จจริง กรณี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ดังต่อไปนี้

1. มีการอ้างถึงองคมนตรี ซึ่งเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 12 หรือไม่ 

2. ประเด็นการถือหุ้นอยู่ในบริษัท จำนวน 3 บริษัท หลังจาก นายพีระพันธุ์ รับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2566  

นายสนธิญา เรียกร้องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 และมาตรา235 เพื่อไต่สวนและมีความเห็น ว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 187 ประกอบมาตรา 170 (4) (5) และ มาตรา 219 การกระทำที่ฝ่าฝืน ต่อจริยธรรมร้ายแรง ในข้อที่ 7 ข้อที่ 8 ข้อที่ 11 ข้อที่ 17 ข้อที่ 21 ประกอบข้อที่ 27 

ทั้งนี้เพื่อไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง หากมีการกระทำการดังกล่าว ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ก็ให้ ป.ป.ช. ดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 235 ต่อไป 

นายสนธิญา กล่าวว่า เป็นการใช้สิทธิตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 41 (1)(2) ประกอบ มาตรา 50 เพื่อ ป.ป.ช. ไต่สวน และตรวจสอบหาข้อเท็จจริง อันเป็นที่ประจักษ์ ตามที่ได้รับการร้องเรียน จากประชาชนมา เพื่อเป็นไปตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ และจริยธรรมของนักการเมือง และ คณะรัฐมนตรี 

ททท. ผนึก สตาร์ดรีมครูซ นำเรือสำราญ ‘Star Voyager’ ปักหมุดให้บริการขึ้นลงที่ไทยเป็นครั้งแรก

เมื่อวานนี้ ​(22 เม.ย.68) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ StarDream Cruises ส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวโดยเรือสำราญ ซึ่งถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ และมีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง นำเรือสำราญ Star Voyager ซึ่งมีความจุผู้โดยสารราว 1,940 คน มาให้บริการ โดยเลือกประเทศไทยเป็นจุดขึ้นลง (Home Port) เป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 22 เมษายน-12 พฤษภาคม 2568 โดยให้บริการในเส้นทางท่าเรือแหลมฉบัง-เกาะสมุย-สิงคโปร์-แหลมฉบัง 2 ครั้ง (Calls) ในวันที่ 22-27 เมษายน และ 7-12 พฤษภาคม 2568

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า การที่แบรนด์เรือสำราญ StarDream Cruises ได้ตกลงนำเรือเข้ามาให้บริการขึ้นลงที่ประเทศไทยครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่าง ททท. และผู้ประกอบการท่องเที่ยวเรือสำราญแบรนด์ระดับโลก ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเรือสำราญในประเทศไทย ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล สะท้อนถึงการทำงานร่วมกันอย่างเหนียวแน่นของพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดกิจกรรมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมรับประสบการณ์พิเศษไปกับเรือ Star Voyager ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการที่จะนำเสนอศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวโดยเรือสำราญในภูมิภาค และสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวผ่านการนำเสนอเสน่ห์วัฒนธรรมไทย แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม และการต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีของคนไทย

นายไมเคิล โก๊ะ ประธานบริษัท StarDream Cruises กล่าวว่า มีความยินดีและตื่นเต้นอย่างมากกับการนำเรือสำราญ Star Voyager มาขึ้นลงที่ Home port ของประเทศไทยในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ของ Star Cruises ที่กรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อ StarDream Cruises ด้วย และการเปิดตัวครั้งนี้ ยังถือเป็นก้าวสำคัญของความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเรือสำราญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตต่อไป

นอกจากนี้ ในวันที่ 22 เมษายน 2568 ททท. ยังได้ร่วมจัดกิจกรรมต้อนรับนักท่องเที่ยวในเที่ยวแรก ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี นำเสนอสีสันความสนุกสนานแบบไทย เช่น การแสดงกลองยาว และการแสดงจาก Alcazar Cabaret Show และมอบของที่ระลึกสุดพิเศษเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงยังมีการจัดกิจกรรมสาธิตเพื่อสร้างการรับรู้เสน่ห์ไทย ให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมทำกิจกรรมบนเรือ เช่น การสาธิตระบายลวดลายบนร่มบ่อสร้างอย่างประณีต การทำบุหงาร่ำหรือถุงหอมสมุนไพรที่เคยใช้ในราชสำนักไทย และการแสดงฟ้อนรำไทยอันอ่อนช้อยที่สะท้อนรากเหง้าศิลปะชั้นสูงของไทย โดยกิจกรรมทั้งหมดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด '5 Must Do in Thailand' ประกอบด้วย Must Taste, Must Try, Must Buy, Must Seek และ Must See ซึ่งมุ่งสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ทรงคุณค่าในประเทศไทยให้แก่นักท่องเที่ยวเรือสำราญในโอกาสปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง

สำหรับ StarCruises ถือเป็นแบรนด์เรือสำราญที่มีประสบการณ์ให้บริการการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญเชื่อมโยงในภูมิภาคเอเชียมากว่า 30 ปี ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน อินเดีย ไต้หวันและฮ่องกง ปัจจุบันได้รีแบรนด์ภายใต้ชื่อใหม่คือ StarDream Cruises และเปิดตัวแบรนด์อีกครั้งด้วยการนำเรือ Star Voyager ให้บริการเที่ยวปฐมฤกษ์แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ขึ้นลงที่ไทยเป็นครั้งแรก ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เส้นทางแหลมฉบัง-เกาะสมุย-สิงคโปร์-แหลมฉบัง ระยะเวลา 6 วัน 5 คืน โดยจะให้บริการ 2 เที่ยว (Calls) คือวันที่ 22-27 เมษายน และ 7-12 พฤษภาคม 2568 ภายในเรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน การให้บริการแบบพรีเมียมตลอด 24 ชั่วโมง มีกิจกรรมที่สร้างประสบการณ์ความสนุกสนานและท้าทาย เช่น การปีนผา ซิปไลน์ รวมถึงการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก ททท. นำการแสดงจาก Alcazar Cabaret Show จากพัทยา ชลบุรี มาสร้างสีสันในการต้อนรับนักท่องเที่ยว และสร้างความสนุกสนานบนเรือ เพื่อนำเสนอไฮไลต์การท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีด้วย   

ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญอย่างมาก เนื่องจากความหลากหลายของสินค้าและบริการการท่องเที่ยว จากข้อมูลสถิติของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) พบว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับเรือสำราญถึง 162 เที่ยว มีผู้โดยสารทั้งหมด 379,036 คน และลูกเรือ 163,331 คน สร้างรายได้เข้าไทยถึง 1.89 พันล้านบาท มีการเติบโตมากกว่าปี 2566 ร้อยละ 6.9 และมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน ท่าเรือที่รองรับเรือสำราญมากที่สุดตามลำดับ ได้แก่ 1) อ่าวป่าตอง จังหวัดภูเก็ต 2) ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี 3) เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 4) ท่าเรือน้ำลึก จังหวัดภูเก็ต และ 5) ท่าเรือศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยนักท่องเที่ยวที่มากับเรือสำราญส่วนใหญ่มาจากประเทศสิงคโปร์ สหราชอาณาจักร มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี ตามลำดับ

‘เหว่ย ซือเฮ้า’ ชายชราที่เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ยอมเก็บขยะยังชีพ ส่งเงินบำนาญให้เด็กยากจนเรียน

เพจลึกชัดกับผิงผิง ได้ถ่ายทอดเรื่องราวสุดประทับใจของชายชรานาม ‘เหว่ย ซือเฮ้า’ ว่า...

เรื่องจริงที่อบอุ่นในโลกใบนี้

เดือนพฤศจิกายนปี 2014 ผู้เฒ่าเก็บขยะเดินเข้าหอสมุดเมืองหางโจว ล้างมืออย่างละเอียดเป็นเวลานาน แล้วจึงนั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ 

ผู้เฒ่าคนนี้มีชื่อว่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' (韦思浩)เป็นหนึ่งในคนเก็บขยะและคนเร่ร่อนที่ชอบอ่านหนังสือ โดยมักขอเข้ามาอ่านหนังสือ ผู้อ่านส่วนหนึ่งเคยแสดงความไม่พอใจ แต่ผู้อำนวยการหอสมุดตอบว่า “ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่ให้ใครเข้ามาอ่านหนังสือ แต่คุณมีสิทธิ์ตัดสินใจออกจากที่นี่” ดังนั้น หอสมุดหางโจวยังได้ชื่อว่า 'หอสมุดที่อบอุ่นที่สุด'

ส่วนผู้เฒ่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' ตั้งอกตั้งใจอ่านข่าวสารอย่างมากจนทุกคนต่างยกย่องให้เป็นคนเร่ร่อนที่ใฝ่หาความรู้อย่างแท้จริง พร้อมให้ฉายาว่า 'ผู้เฒ่านักอ่าน'

วันที่ 18 พฤศจิกายนปี 2015 เขาหมดลมหายใจเพราะถูกรถชนจนเสียชีวิต เมื่อเขาตาย เรื่องราวชีวิตของเขาก็ถูกเปิดเผย ความลับนี้ทำให้ผู้คนตะลึงและเสียน้ำตาไปตามๆกัน 

ประวัติของเขาจบมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ปี 1960 ก่อนเกษียณอายุเป็นอาจารย์สอนใน รร.มัธยม ยังชีพด้วยเงินบำนาญไม่มากมายนัก และเขาก็เก็บขยะประทังชีวิตไปวัน ๆ ..

เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของเขา ล้วนไม่มีราคาค่างวดอะไร.. แต่กลับพบใบอนุโมทนาบัตร ที่บริจาคเงินเพื่อทุนการศึกษา ซึ่งเขาเก็บไว้จนกระดาษเก่ากลายเป็นสีเหลืองซีด และไปรษณียบัตรที่ส่งมาจากที่ต่าง ๆ ลงชื่อของผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาจากเขา แจ้งผลการเรียนทุกเทอมกลับมาให้เขาทราบทุกฉบับ 

แท้จริง .. ผู้เฒ่าต้องการประหยัด กินน้อย-ใช้น้อย มอบเงินที่มีอยู่ทั้งหมด พร้อมกับเงินบำนาญอันน้อยนิด บริจาคให้นักเรียนยากจน โดยไม่ยอมแม้แต่จะใช้ชื่อจริง เขาใส่ใจบรรดาเด็กๆที่ส่งเสียให้เรียน และเด็กที่ได้รับทุนทุกคนก็ไม่รู้ว่าผู้ส่งเสียให้เรียนยากจนข้นแค้นแค่ไหน เพราะผู้เฒ่าใช้ชื่อปลอม ปกปิดชื่อจริงในการให้ทุนมาตลอด ..

ชั่วชีวิต ผู้เฒ่ามีแต่ความเรียบง่าย อยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์ นอนเตียงไม้ 1 หลัง เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ไม่มีเลย, เมื่อ 10 ปีก่อน ก็ได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อว่าตายไป อวัยวะส่วนไหนพอจะนำไปช่วยคนได้ เขาจะดีใจมากที่สุด 

ปี 1953 เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเจ้อเจียง หลังจบการศึกษาเป็นครูสอนมัธยมปลายของโรงเรียนเฉาหยางเมืองหางโจว เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมาก ที่บ้านมีแต่ตู้เก็บหนังสือ เตียงนอน นอกจากนั้น ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่น 

เหล่าลูกสาวของเขากล่าวว่า อาหารการกินของพ่อก็ง่าย ๆ กินอิ่มก็พอ ใช้เงินประหยัดมาก ๆ หรือกล่าวได้ว่าขี้เหนียวเลย

หลังเกษียณอายุแล้ว เขามีเงินบำนาญเดือนละ 5,600 หยวน ตามแนวปกติก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสบาย เลี้ยงนกหรือปลูกดอกไม้ที่บ้าน ไปเล่นหมากรุกในสวนสาธารณะ 

แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะไปเก็บเศษขยะ ลูกสาวและนักเรียนเก่าของเขาล้วนไม่เข้าใจ แต่ไม่มีใครสามารถบอกให้เขายอมกลับไปพักที่บ้าน 

หลังเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ลูกสาวของเขาไปจัดเก็บของเก่าด้วยอารมณ์เศร้า แต่พบความลับที่สะเทือนใจ มรดกของเขามีกล่องเหล็กอันหนึ่ง ข้างในเก็บใบโอนเงินที่เก่าจนกระดาษเป็นสีเหลืองซีดปึกใหญ่และจดหมายหลายฉบับ แต่ลายเซ็นด้านบนเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคย 'เว่ย ติงจ้าว'

'เว่ย ติงจ้าว' เป็นใคร มีความผูกพันกับพ่ออย่างไร บรรดาลูกสาวของเขาเริ่มค้นหาตามข้อมูล จึงได้รู้ความจริง ปรากฏว่าในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา พ่ออุบเรื่องหนึ่งไว้ไม่บอกพวกเธอ

ตั้งแต่ทศวรรษปี 1900 พ่อก็ใช้ชื่อ 'เว่ย ติงจ้าว' ในระหว่างช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจนที่ไม่รู้จัก เริ่มตั้งแต่หลายสิบหยวนจนถึงหลายพันหยวน การใช้เงินเพื่อการนี้ พ่อไม่เคยประหยัดเลย 

เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อ 'หลัน เยี้ยนเยี่ยน' ได้เขียนจดหมายว่า “ขอบคุณความช่วยเหลือของคุณปู่ ที่ทำให้ฉันสมหวังเรียนหนังสือในโรงเรียน” จดหมายแบบนี้มีจำนวนมาก 

จนถึงเวลานี้ เพื่อนๆ และนักเรียนของเขาจึงได้รู้ว่า ผู้เฒ่าที่ขี้เหนียวคนนี้ ใช้เงินเดือนของตนไปช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ยากจน ถึงแม้เกษียณอายุแล้ว ก็ยังขยันไปเก็บเศษขยะ เพื่อได้เงินช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น 

นอกจากนั้น เมื่อ 10 ปีก่อน พ่อได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อว่าตายไป อวัยวะส่วนไหนพอจะนำไปช่วยคนได้ เขาจะดีใจมากที่สุด 

เมื่อความจริงประจักษ์เช่นนี้ ลูกสาวสามคนพากันน้ำตาแตกเหมือนสายฝน นี่เป็นพ่อที่น่าเคารพมาก ๆ เสียดายที่แต่ก่อนไม่รู้เรื่องราวของพ่อ จึงไม่ได้สนับสนุนพ่อ 

ปี 2018 ชาวเน็ตจีนบริจาคเงินทำรูปปั้นของผู้เฒ่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' แล้วนำไปตั้งที่หอสมุดหางโจว ผู้ที่เคยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากคุณปู่ 'เหว่ย ซือเฮ้า' พากันเดินทางจากท้องที่ต่างๆ มาร่วมงาน พวกเขาน้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้คร่ำครวญ และทำความเคารพอย่างนอบน้อมที่สุด

'รมว.ปุ๋ง' เผย สวธ.เตรียมยกการแสดงศิลปวัฒนธรรม 4 ภาค มาไว้ในงานใต้ร่มพระบารมี 243 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ 

ชมสายสัมพันธ์ชาติพันธุ์ล้านนา การแสดงทักษิณถิ่นหนังลุง และการแสดงโปงลาง สัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของการแสดงพื้นบ้านไทย ระหว่างวันที่ 24 - 26 เมษายน 2568 ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อร่วมสืบสาน และเผยแพร่เอกลักษณ์ความเป็นไทยจากภูมิปัญญาท้องถิ่นทุกภูมิภาคของประเทศ

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ด้วยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ผนึกกำลังภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม จัดงาน “ใต้ร่มพระบารมี 243 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ระหว่างวันที่ 23 - 27 เมษายน 2568 ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ชาติ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ครบรอบ 243 ปี ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้มีเป้าหมายเพี่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ผู้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีของไทย

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้ร่วมสนับสนุนการแสดงพื้นบ้านของไทยเพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของชาติ และส่งต่อความภาคภูมิใจในรากเหง้าวัฒนธรรมไทยสู่สาธารณชน จึงได้จัดการแสดงศิลปวัฒนธรรม (การแสดง 4 ภาค) ในงานใต้ร่มพระบารมี 243 ปี ในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนและจัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ 24 - 26 เมษายน 2568 โดยมีโดยมีหลากหลายกิจกรรมให้ร่วมรับชมอย่างงดงามตระการตา และสะท้อนจิตวิญญาณของความเป็นไทย อาทิ วันที่ 24 เมษายน 2568 จะได้พบกับการแสดงแสงเหนือล้านนา การแสดงข่วงศิลป์ถิ่นดอกเอื้อง การแสดงสืบศิลป์แผ่นดินทอง และการแสดงนาฎกรรมวิวัฒน์รัตนโกสินทร์ ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการแสดงดนตรีสากล ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร วันที่ 25 เมษายน 2568 จะได้พบกับการแสดงสายสัมพันธ์ชาติพันธุ์ในล้านนา การแสดงทักษิณถิ่นหนังลุง และการแสดงโปงลาง ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวันที่ 26 เมษายน 2568 จะได้พบกับการแสดงดนตรีลูกทุ่ง ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร  

ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนทุกท่านรับชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม (การแสดง 4 ภาค) สุดงดงาม ประทับใจ ในงานใต้ร่มพระบารมี 243 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมส่งเสริมวัฒนธรรม: www.culture.go.th หรือ Facebook กรมส่งเสริมวัฒนธรรม หรือ สายด่วนวัฒนธรรม 1765

เว็บพนัน 888 ปลด ‘สป.สายไหม’ พ้นพรีเซนเตอร์ หลังเจอวิจารณ์ร้อน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม

(23 เม.ย. 68) จากกรณีที่เพจ 'สป.สายไหม' โพสต์รูปคู่กับนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ นายกเบี้ยว พร้อมข้อความตำหนิถึงอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำตัวเป็นมาเฟีย สั่งตำรวจได้และชี้นำตำรวจ ทำตัวใหญ่กว่าศาลฯ 

ต่อมานายกัน จอมพลัง ได้โพสต์ตอบโต้ทันควัน ก่อนรวบรวมข้อมูลและหลักฐานการทำเว็บพนันจากเฟซบุ๊ก 'สป.สายไหม' เพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน isb888bet.com หรือไม่ โดยได้ส่งข้อมูลให้ตำรวจไซเบอร์ดำเนินการสอบสวน

ล่าสุดทางเว็บ 888 ได้ประกาศว่า เนื่องจากการก่อกวนจากผู้ไม่ประสงค์ดี บริษัทจึงขอแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยจะหยุดรับผู้เข้าเว็บไซต์ใหม่ชั่วคราว และขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยันว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีประเด็นเป็นเพียงผู้ที่ถูกจ้างมาโปรโมตเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ทางเว็บยังกล่าวว่า บริษัทไม่มีประวัติเสียแม้แต่บิลใบเสร็จเดียว และขอให้ติดตามข่าวสารจากทางบริษัทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากแถลงการณ์นี้เผยแพร่ออกไป ก็มีผู้คนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์มากมาย

ส่วนความเคลื่อนไหวของ สป.สายไหม หลังจากเคยให้สัมภาษณ์ในรายการโหนกระแสและอวดถึงอาชีพการพนัน รวมทั้งกล่าวถึงการเป็นขาใหญ่ในแดน 5 เรือนจำคลองเปรม ล่าสุดโพสต์ส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ด้วยข้อความกล่าวอำลาลูกรัก “คิดถึงนะลูกรัก เดี๋ยวพ่อกลับเข้าไปโรงเรียนเก่าก่อนเดี๋ยวกลับมาหานะครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top