Saturday, 27 April 2024
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์ และโปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร อย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อล่วงละเมิดทางเพศ

เนื่องจากยุคสังคมสมัยใหม่ ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ระบบเทคโนโลยีที่ไร้ซึ่งพรมแดน ความทันสมัยที่มีคุณประโยชน์ที่นานัปการ แต่ก็แฝงด้วยพิษภัยอันน่ากลัว จากกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่อาศัยเทคโนโลยีมาใช้ในทางที่ผิด ล่อลวง หลอกลวง ให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็กและสตรี

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล กฤตพิทยบูรณ์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยประสบการณ์การเป็นตำรวจที่ดูแลเด็กและสตรีที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดยพบว่าปัจจุบันมีอัตราการถูกล่วงละเมิดทางเพศและการกระทำรุนแรงสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการล่วงละเมิดทางเพศ อีกทั้งพบว่าเด็กและสตรีที่ถูกล่วงละเมิด ยังคงขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกระบวนการทางกฎหมายและการดูแลตนเอง รวมถึงความวิตกกังวล เมื่อถูกล่วงละเมิดทางเพศ ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร และควรที่จะบอกใคร พ่อ แม่ ญาติหรือคนสนิท ด้วยเหตุผลความอับอาย

ทั้งนี้ พบว่าปัจจุบัน มีคดีประเภทนี้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีการสื่อสารติดต่อกันและกันทาง social media และ application ต่างๆ ทำให้ง่ายต่อการพบปะผู้กระทำด้วยความที่อ่อนด้อยประสบการณ์หรือความอยากรู้อยากเห็นอยากลอง ทำให้เกิดปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ง่าย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตราย

เมื่อเกิดปัญหาขึ้น แล้วเราจะต้องทำอย่างไร อันดับแรกเมื่อพบผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศแนะนำให้บอกแจ้งกับบุคคลใกล้ชิดหรือคนสนิทที่ไว้ใจมากที่สุด และให้รีบไปแจ้งความยังสถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด หรือหากกรณีที่ยังไม่ไปแจ้งความ สามารถรีบมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก่อนและไปแจ้งความทีหลัง เพื่อเก็บหลักฐานวัตถุพยานต่างๆ ตลอดจนร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศในกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ รับยาการป้องกันการติดเชื้อ HIV  โดยเร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV และยาป้องกันการตั้งครรภ์ รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นเร่งด่วน หากล่าช้าจะทำให้กระบวนการรักษาหรือกระบวนการเก็บร่องรอยทางนิติวิทยาศาสตร์ไม่ครบถ้วน 

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ ย้ำ! พร้อมดูแล - ปราบปรามอาชญากรรม จัดตำรวจลงพื้นที่ ป้องกันผู้ก่อเหตุซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน จากสถานการณ์น้ำท่วม

จากสถานการณ์น้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งคงยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ตามที่ปรากฏข่าวผ่านสื่อมวลชน

วันที่ 5 ต.ค. 64 พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล  กฤตพิทยบูรณ์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อน และห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงกำชับสั่งให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะกองบังคับการตำรวจน้ำ ที่เร่งจัดกำลังพล พร้อมเรือยาง และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อรองรับภารกิจในการช่วยเหลือ และส่งมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น อีกทั้งยังได้บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน

สำหรับกรณีการก่อเหตุซ้ำเติมความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมขัง ที่อาจจะมีผู้ที่ฉวยโอกาสก่อเหตุโจรกรรมสิ่งของภายในบ้านเรือนที่ไม่มีผู้พักอาศัย หรือที่รู้จักกันนี้ว่า “ขบวนการโจรแมวน้ำ” รวมถึงการก่อเหตุใช้กลอุบายในการหลอกลวงต่าง ๆ จนสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน

 

ตำรวจเตือน! พ่อ - แม่ และผู้ปกครอง ปล่อยปละละเลยให้เด็กเล่นการพนัน อาจถูกดำเนินคดีด้วย

วันที่ 6 ต.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้มี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ในปัจจุบัน พบว่ามีเด็กและเยาวชนตกเป็นเหยื่อของภัยทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้น โดยเฉพาะการชักจูงและล่อลวงให้เข้าเล่นพนันออนไลน์ ทำให้สูญเสียทรัพย์สินไปกับการพนัน จนนำไปสู่การก่ออาชญากรรมประเภทอื่น เช่นกรณีเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุ เด็กอายุเพียง 16 ปี ก่อเหตุบุกรุกเข้าไปภายในบ้าน และได้ใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายเจ้าของบ้านและผู้พักอาศัยได้รับบาดเจ็บสาหัส ในพื้นที่รับผิดชอบของ สภ.โพธาราม จว.ราชบุรี โดยผู้กระทำผิดอ้างว่าจะเข้าไปลักเอาทรัพย์สินภายในบ้านไปจ่ายหนี้จากการเล่นพนันออนไลน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนเพื่อจับกุมผู้จัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงความร่วมมือ บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ให้ต้องสอดส่องดูแลเอาใจใส่บุตรหลานไม่ให้ประพฤติตนไม่เหมาะสม หรือไปยุ่งเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ และหากพบว่าบุคคลใดมีพฤติกรรมชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอม ให้เด็กและเยาวชน ประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด หรือเล่นการพนัน บุคคลดังกล่าวจะมีความผิดตาม มาตรา 26 ประกอบมาตรา 78 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

สืบสวน ตม.1จับหนุ่มผิวสีหลบหนีเข้าเมือง เผยพฤติกรรมสุดแสบ! ลักลอบค้ายาเสพติดให้ชาวต่างชาติ ตม. รู้ทันดักรวบได้พร้อมของกลาง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. สั่งการให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1, และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดปฏิบัติการสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้ทราบข้อมูลจากสายลับว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน ซึ่งเป็นย่านที่มีคนต่างชาติพักอาศัยและประกอบธุรกิจอยู่เป็นจำนวนมาก มีชาวต่างชาติผิวสีชื่อนายจอร์จ มีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้กับคนต่างชาติด้วยกัน โดยใช้ช่องทางการติดต่อผ่านแอพลิเคชั่น WhatsApp ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มชาวต่างชาติที่มาจากทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้วางแผนโดยให้สายลับติดต่อนัดหมายเพื่อจะทำการซื้อขายและส่งมอบยาเสพติด โดยได้ตกลงส่งมอบยาเสพติดกันในช่วงหัวค่ำของวันที่ 5 ตุลาคม 2564 ที่บริเวณห้องน้ำชาย ของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งริมถนนสีลม ย่านบางรัก จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้นำกำลังแฝงตัวอยู่ตามจุดต่าง ๆ รอบบริเวณห้างสรรพสินค้า รวมถึงสถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อว่าชาวต่างชาติรายนี้จะใช้เดินทางมายังจุดนัดพบ

จนกระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น. มีชาวต่างชาติผิวสี ลักษณะท่าทางมีพิรุธน่าสงสัย ลักษณะรูปพรรณตรงตามที่สายลับได้ให้ข้อมูลไว้ เดินลงบันไดสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง มุ่งหน้ามาทางห้างสรรพสินค้าที่นัดหมาย และเดินเข้าไปที่ห้องน้ำของห้างสรรพสินค้าดังกล่าว เมื่อเป้าหมายเดินเข้าไปในห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงติดตามเข้าไปแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขอตรวจค้นตัวและตรวจสอบเอกสารประจำตัว แต่เมื่อคนร้ายเห็นเจ้าหน้าที่ชุดจับ ก็ได้พยายามทิ้งยาเสพติดให้ลงท่อระบายน้ำของห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสามารถตามเก็บรวบรวมไว้ได้จำนวน 3 ห่อ

มีลักษณะเป็นยาเสพติดบรรจุในถุงซิปล็อคขนาดเล็ก และพันด้วยเทปพันสายไฟจนแน่นเป็นก้อนกลม แล้วห่อด้วยเศษถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง ภายในประกอบด้วยยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 2 กรัมเศษ และโคเคอีนอีกประมาณ 1.8 กรัม จากการสอบถามคำให้การในชั้นจับกุม ผู้ถูกจับรับว่าซื้อยาเสพติดดังกล่าวมาจากหญิงไทยในย่านรามคำแหง โดยนำมาจำหน่ายต่อเพื่อหวังกำไรจากส่วนต่างราคา เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าที่ไว้วางใจเป็นชาวต่างชาติในย่านธุรกิจ (CBD) ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเลือกที่จะทำการติดต่อซื้อขายยาเสพติดกับชาวต่างชาติด้วยกัน โดยยอมให้ราคาสูงกว่าราคาตลาด นอกจากนี้จากการตรวจสอบเอกสารประจำตัวพบหนังสือเดินทางของผู้ถูกจับ

 

บก.สส.สตม. รวบสมุน ‘เครือข่ายเจ๊เพชร’ ลักลอบขนแรงงานเมียนมาเถื่อนเมืองกาญฯ เข้าประเทศชี้จุดจ่ายหัวคิว

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. สั่งการให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. แถลงข่าวจับกุมขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าว ดังนี้

กก.2 บก.สส.สตม. ไล่ล่ารถยนต์สีดำต้องสงสัย ขนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง จากจังหวัดกาญจนบุรี เข้ามายังกรุงเทพมหานคร ตามสั่งการ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. ให้มีการเฝ้าระวังป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเข้าไทยโดยไม่ผ่านการคัดกรองโรคโควิด-19 ยังคงเป็นภารกิจสำคัญที่ สตม. ดำรงความเข้มงวดด้วยมาตรการเฝ้าตรวจพื้นที่ตลอด 24 ชม. จับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายรวมถึงผู้นำพาทั้งชาวไทยและต่างด้าว พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. จึงสั่งการให้ กก.2 บก.สส.สตม.สืบสวนจับกุมแรงงานต่างด้าวและขบวการนำพาโดยเร่งด่วน

พ.ต.อ.ปฏิญญา จีรชนาสิน ผกก.2 บก.สส.สตม. สั่งการให้ จนท.สืบสวนหาข่าวขยายผลขบวนการขนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง สืบเนื่องจากวันที่ 12 ก.พ. 64 ได้มีการจับกุมคดีนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรผิดกฎหมาย โดยผู้ถูกจับกุมในครั้งนั้นคือนางราตรีหรือเจ๊เพชร จากการขยายผลพบว่ากลุ่มลักลอบขนคนต่างด้าวเข้าเมืองในฝั่งเมียนมา โดยมีนายอองโจเป็นผู้คอยประสานสั่งการและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังติดต่อคนสัญชาติไทย ที่อยู่ในประเทศไทยให้ทำหน้าที่ขนคนต่างด้าวที่เดินทางหลบหนีเข้าเมือง โดยให้คนไทยมารับตัวผู้หลบหนีตามจุดนัดหมายในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อส่งคนต่างด้าวหลบหนีไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยคิดค่าหัวคนละ 15,000 – 20,000 บาท กก.2 บก.สส.สตม. ได้สืบสวนและเฝ้าติดตามพฤติการณ์มาโดยตลอด

จนกระทั่ง วันที่ 26 ก.ย. 64 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.2 บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนจนพิสูจน์ทราบแน่ชัด มีคนไทยที่เคยติดต่อทำงานให้กับนายอองโจว เครือข่ายเจ๊เพชร คือนายแสวง จากการเฝ้าติดตามจึงทำให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าจะมีการลับลอบขนคนต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยใช้รถยนต์กระบะสีดำ จุดสังเกตด้านหลังรถติดสติ๊กเกอร์ตราตำรวจนครบาล โดยจะขับเลี่ยงเส้นทางที่มีการตั้งจุดตรวจจุดสกัดของเจ้าหน้าที่ กระทั่งเวลาประมาณ 12.00 น. บริเวณถนนทางหลวงชนบท นนทบุรี 3046 พบรถยนต์ต้องสงสัยคันดังกล่าว วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 110 - 120 กม./ชม. วิ่งเข้าตัวเมืองกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงขับรถออกติดตามไปจนถึงบริเวณใต้สะพานลอยพระราม 8 ฝั่งปิ่นเกล้า เมื่อได้โอกาสเจ้าหน้าที่จึงได้ขับรถยนต์เข้าสกัดรถต้องสงสัยคันดังกล่าว

“สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” จัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศรฯ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ในวันพุธ ที่ 13 ต.ค. 2564 เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สำหรับในปี 2564 หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพสกนิกรชาวไทย ร่วมกันจัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศลพร้อมกันทั่วประเทศ

พลตำรวจเอก สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำหนดให้มีการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศล และพิธีวางพวงมาลา เนื่องในโอกาสวันครบรอบวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ในวันพุธ ที่ 13 ต.ค. 64 ทั้งนี้ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป  ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการตำรวจเข้าร่วมพิธี

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ จัดงาน “วันตำรวจ” ประจำปี 2564 พร้อมเปิดตัวแอปพลิเคชัน “แทนใจ” เพื่อดูแลสวัสดิการตำรวจทั่วประเทศ!! รวมถึงข้อมูลเบื้องต้น สำหรับข้าราชการตำรวจ

วันที่ 17 ต.ค. 64 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดจัดงานวันตำรวจ ประจำปี 2564  เนื่องในโอกาสวันครบรอบวันสถาปนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพิธีสงฆ์ เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการตำรวจ

ซึ่งมีรายละเอียดการจัดงาน ดังนี้

• เวลา 07.00 น. พิธีบูชาพระภูมิ พระนิรันตราย พระนารายณ์ ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีเลขานุการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทน

• เวลา 07.30 น. พิธีสักการะรูปจำลอง พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ณ ชั้น 3

อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีเลขานุการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทน

• เวลา 08.00 น. พิธีวางพานประดับพุ่มดอกไม้ ถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 ณ ด้านหน้าอาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูง และสมาคมแม่บ้านตำรวจเข้าร่วมพิธี

• เวลา 08.10 น. พิธีสักการะพระบรมรูปหล่อ รัชกาลที่ 9 ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูง และสมาคมแม่บ้านตำรวจเข้าร่วมพิธี

• เวลา 08.20 น. พิธีสงฆ์ ณ ห้องสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูง และสมาคมแม่บ้านตำรวจเข้าร่วมพิธี

จากนั้น ในเวลา 09.30 น. พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดตัวแอปพลิเคชัน “แทนใจ” ซึ่งเป็นการนำเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ โดยจัดทำขึ้นจากแนวความคิดของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ที่ต้องการเปลี่ยนระบบด้านสวัสดิการและฐานข้อมูลกำลังพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เข้าสู่ระบบดิจิทัล อีกทั้งเพื่อเชื่อมต่อข้อมูลข่าวสารสำคัญ และสิทธิสวัสดิการต่าง ๆ อาทิ ระบบการดูแลเรื่องสิทธิและสวัสดิการ, การประเมินขั้น, สิทธิฌาปนกิจสงเคราะห์, ระบบการคำนวณเงินเยียวยากรณีที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่, หลักสูตรการฝึกอบรมนอกหน่วย, แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงาน ผ่านระบบแอปพลิเคชัน ในการพัฒนาและยกระดับสวัสดิการของตำรวจและครอบครัว

โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (งานบริหาร) เป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว

 

สตม. ร่วมกับกรมการปกครอง ทลายเครือข่ายนายหน้า!! ‘นำคนต่างด้าวสวมบัตรประชาชนไทย’

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย หรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ  เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1, และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดปฏิบัติการสืบสวนฯ

ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้ทราบข้อมูลจากสายลับว่ามีขบวนการรับจ้างสวมบัตรประชาชนไทย ให้กับบุคคลต่างด้าว ที่มีความประสงค์จะมีบัตรประชาชนไทย โดยอาศัยช่องโหว่และขั้นตอนกระบวนการอันทุจริต ไม่เป็นไปตามกฎหมาย นับเป็นหนึ่งในภัยคุกคามต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ได้เร่งลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว จนทราบแหล่งที่ซ่อนตัว ของบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนรายหนึ่ง คือนายเหม่ย และบุคคลต่างด้าวสัญชาติมาเลเซียอีกรายหนึ่งคือนางสาวซุน หลังตรวจพบมีพฤติกรรมในการแอบอ้าง สวมรายการข้อมูลบัตรประชาชนบุคคลสัญชาติไทย ที่ปรากฏข้อมูลอยู่บนฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวทางทะเบียน จึงได้สืบสวนติดตามจนนำไปสู่การจับกุม ผู้ต้องหาให้การสารภาพโดยรับว่าได้ว่าจ้างให้นายหน้าคนไทยดำเนินการโดยเสียค่าจ้างไปเป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้านบาท

โดยในการสืบสวนในครั้งนี้ ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับความร่วมมือในการประสานงานข้อมูลทางทะเบียนในเชิงลึก กับทางสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง จนทราบข้อมูลโครงข่ายและแผนประทุษกรรมของขบวนการสวมบัตรประชาชนไทยให้กับบุคคลต่างด้าวโดยทุจริต ดังนี้

สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา ส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริต สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน ของ สำนักทะเบียน อ.วังม่วง จ.สระบุรี จนนำไปสู่การดำเนินคดีกับขบวนการนายหน้านำพาคนต่างด้าวสวมตัวทำบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน  4 ราย โดยมีแผนประทุษกรรมและตัวละครที่เกี่ยวข้องคือ นางเล็ก (นามสมมติ) แม่บ้านผู้ดูแลความสะอาดเรียบร้อยในที่ว่าการ อ.วังม่วง ได้ลักลอบทำปลอมลูกกุญแจ ห้องสำนักทะเบียนอำเภอวังม่วง และแอบนำบัตรประจำตัว

ประชาชนและรหัสผ่านเข้าระบบของปลัดอำเภอวังม่วง จำนวน 3 คน และนำไปมอบให้กับ นางน้อย (นามสมมติ) พนักงานลูกจ้างที่ทำงานอยู่ที่สำนักทะเบียน อ.วังม่วง โดยนางเล็ก และนางน้อย ยังได้ร่วมกับนายหน้าและผู้ร่วมขบวนการอีก 2 ราย คือ นางสม (นามสมมติ) ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อ ชักชวน และนำพาคนต่างด้าวมาที่ อ.วังม่วง และ นายศักดิ์ (นามสมมติ) ซึ่งยินยอมเป็นเจ้าบ้าน ให้บุคคลต่างด้าวที่สวมบัตรเรียบร้อยแล้ว จดแจ้งเข้าเป็นผู้อาศัยโดยทุจริต

คดีนี้ได้มีการดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบทะเบียนราษฎรและนำคนต่างด้าวสวมตัวคนไทยทำบัตรประจำตัวประชาชน ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และประมวลกฎหมายอาญาในฐานความผิดเกี่ยวกับการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน, ความผิดเกี่ยวกับการทำลายเอกสารของ และความผิดเกี่ยวกับการปลอมหรือการแปลง

 

 

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ สั่งเตรียมความพร้อม!! ดูแลความปลอดภัย - อำนวยความสะดวกด้านจราจร ช่วงวันหยุดราชการพิเศษประจำปี

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมความพร้อมในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน พร้อมอำนวยความสะดวกด้านจราจรช่วงวันหยุดยาว โดยย้ำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และยึดหลักการปฏิบัติตามความ ในประกาศฯ มาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อย่างเคร่งครัด

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล กฤตพิทยบูรณ์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ รวมถึงการเลื่อนวันหยุดราชการประจำปี 2564 และการประกาศวันหยุดประจำภูมิภาค (ภาคกลาง) โดยได้กำหนดให้วันที่ 22-24 ต.ค. 64 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับในส่วนของภาคกลางได้มีการประกาศเพิ่มวันหยุดประจำภูมิภาคเพิ่มอีก 1 วัน คือ วันที่ 21 ต.ค. 64 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา ประจำปี 2564 ทั้งนี้ เนื่องจาก เป็นวันหยุดราชการต่อเนื่อง คาดว่าจะมีพี่น้องประชาชนเดินทางออกต่างจังหวัด เพื่อกลับภูมิลำเนา หรือไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตระหนักถึงความสำคัญ และห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงสั่งการไปยังทุกหน่วยในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ให้เตรียมความพร้อมในการดูแลและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ในช่วงวันหยุดราชการติดต่อกัน และให้จัดสายตรวจในการดูแลความปลอดภัยบ้านที่อยู่อาศัยและ สถานประกอบการต่าง ๆ ที่ปิดทำการ เพื่อป้องกันอาชญากรรม รวมถึงการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการปฏิบัติงานตามสถานที่ต่าง ๆ หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ พร้อมทั้งให้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ พี่น้องประชาชน เพื่อปฏิบัติตนตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 35) รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของยานพาหนะที่ใช้สำหรับเดินทาง การตรวจสอบเส้นทางก่อนออกเดินทาง

 

ตร. เตือน ระวังหลอกให้ ‘รัก โลภ หลง’ ภัยออนไลน์ 3 รูปแบบ ย้ำ! ใครก็ตกเป็นเหยื่อได้

วันที่ 20 ต.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้มี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

การสร้างความสัมพันธ์ หลอกลวงเหยื่อในลักษณะฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่นให้เกิดความรัก มีทั้ง หลอกรักออนไลน์ (Romance Scam) , หลอกรักชวนลงทุน(Hybrid Scam) ,การข่มขู่กรรโชกทางเพศ(Sex Tortion) ซึ่งมักใช้วิธีการนำภาพผู้อื่นมาสร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ด้วยข้อมูลเท็จ ทำทีเข้ามาสร้างความสัมพันธ์ หลอกล่อด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมาย ทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินเงินทอง ไปจนถึงความรัก จนเหยื่อยอมมอบทรัพย์สินให้ หรือยอมถ่ายคลิปลับของตนส่งไปให้คนร้าย และท้ายที่สุดคนร้ายก็จะตัดขาดการติดต่อจากผู้เสียหาย หรือนำคลิปลับมาข่มขู่เรียกเอาเงินจากผู้เสียหาย

ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับอาชญากรรมในรูปแบบดังกล่าวและจับกุมผู้กระทำผิดอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด แต่ปรากฏว่ายังมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากยังคงตกเป็นเหยื่ออยู่ ไม่ว่าจะเป็น วัยรุ่น วัยทำงาน หรือแม้แต่ผู้สูงอายุ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอมาย้ำเตือนพี่น้องประชาชนให้รู้เท่าทัน ถึงการฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบหลัก ดังนี้

1.) “หลอกให้เกิดความรัก” ใช้ภาพของบุคคลที่หน้าตาดี หล่อ สวย สร้างโปรไฟล์ปลอมให้ดูน่าเชื่อถือ จากนั้นส่งข้อความถึงเป้าหมาย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว หลอกให้เกิดความรัก ขอทรัพย์สินเป็นของขวัญ หรืออ้างว่าตนเองหรือบุคคลในครอบครัวต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่ไม่มีเงินเพียงพอ จนเหยื่อหลงเชื่อ มอบทรัพย์สินให้เป็นจำนวนมาก

2.) “หลอกให้เกิดความโลภ” ใช้ภาพของบุคคลที่น่าเชื่อถือ สร้างโปรไฟล์ปลอมให้ดูเหมือนเป็นนักลงทุน มีทรัพย์สินจำนวนมาก จากนั้นส่งข้อความถึงเป้าหมาย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจ หลอกให้เกิดความโลภ อ้างว่ามีช่องทางการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนสูง โดยใช้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ลงทุนปลอม หลอกให้เหยื่อสมัครลงทุนที่ไม่มีอยู่จริง หรือได้รับสัมปทานจากรัฐ ซึ่งเป็นข้อมูลเฉพาะคนรู้จักเท่านั้น ไม่เปิดเผยต่อคนภายนอก หรืออ้างว่ามีทรัพย์สินของตนจำนวนมาก ติดอยู่ที่ศุลกากร จำเป็นต้องจ่ายภาษี จึงขอให้ผู้เสียหายชำระเงินภาษีให้ โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาไม่มีอยู่จริง จนทำให้เหยื่อหลงเชื่อ มอบทรัพย์สินให้คนร้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top