Tuesday, 7 May 2024
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

“เงินกู้ดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด” จำคุก 2 ปี ปรับ 200,000 บาท ศึกษาข้อมูลก่อน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อแก๊งเงินกู้โหด ด้วยความห่วงใยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ในห้วงปัจจุบันแก๊งปล่อยเงินกู้ระบาดอย่างหนัก มีทั้งรูปแบบเชิญชวนโดยการแจกนามบัตร ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือแอปพลิเคชัน ซึ่งบางครั้งมีการคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายปราบปรามหนี้นอกระบบที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูงเกินกฎหมายกำหนดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของพี่น้องประชาชน เป็นวาระแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร่งกวาดล้างแก๊งปล่อยเงินกู้ที่คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดอย่างเร่งด่วน 

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมแก๊งปล่อยเงินกู้ที่คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดมาโดยตลอด และอยากขอฝากถึงพี่น้องประชาชนว่าก่อนที่จะกู้เงินจากที่ใดก็ตามขอให้ศึกษาข้อมูลเงื่อนไขรวมถึงดอกเบี้ยให้ดี¬ เพื่อไม่ให้ถูกเจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด และอยากเตือนไปถึงเจ้าหนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือมีการเรียกเก็บ
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แอบแฝง นั้น อาจมีความผิดตามกฎหมาย  

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรียนชี้แจงกรณีเกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณสถานีรถไฟยะลา

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ขอเรียนชี้แจงถึงกรณีเกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณสถานีรถไฟยะลา ดังนี้

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลาประมาณ 22.10 น. ของวันที่ 21 มกราคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองยะลา ได้รับแจ้งทางวิทยุ ว่ามีเสียงดังคล้ายระเบิด 2 ครั้ง บริเวณหน้าสถานีรถไฟยะลา จากนั้นทางพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่ EOD และเจ้าหน้าที่ตำรวจในส่วนที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบร่องรอยความเสียหายเป็นหลุมขนาดเล็กจำนวนมาก และฝ้าเพดานของสถานีรถไฟได้รับความเสียหายเล็กน้อย และเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ

พร้อมทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าระเบิดที่ใช้ก่อเหตุ เป็นระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในกระป๋องสเปรย์ ทำให้เกิดเสียงดัง จึงคาดว่าเป็นการระเบิดเพื่อสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ และนำไปประกอบการตรวจพิสูจน์ รวมถึงประกอบการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดต่อไป

ส่วนความคืบหน้าคดีระเบิดเสาไฟฟ้าหลายจุดในพื้นที่จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ทางพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาแล้ว จำนวน 2 ราย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ และขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้มีนโยบายในการรักษาความสงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ภาครัฐและประชาชน ในการสอดส่องดูแลพื้นที่ชุมชนและสร้างเกราะป้องกันให้กับชุมชน รวมถึงหาข้อมูลในเชิงรุกเพื่อเป็นการป้องกันเหตุไปพร้อมกัน หากเกิดสถานการณ์ขึ้นก็ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี และเพื่อรักษาความสงบในพื้นที่ต่อไป

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ เร่ง!กวาดล้างแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน “คิดดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด - ทวงหนี้รุนแรง” คุกหนัก 5 ปี ปรับ 500,000 บาท!!

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนว่าได้รับผลกระทบจากแอปพลิเคชันเงินกู้นอกระบบ ซึ่งส่วนใหญ่หากกดยินยอมให้แอปพลิเคชันเข้าถึงข้อมูลก็จะสูญเสียข้อมูลส่วนตัวได้ และจะมีการกรอกข้อมูลส่วนตัวในระบบเพื่อเป็นหลักฐานถึงจะกู้เงินได้ เมื่อได้รับเงินกู้แล้วทางแอปพลิเคชันได้มีการเรียกดอกเบี้ยสูงเกินกฎหมายกำหนด หากชำระหนี้ไม่ตรงตามสัญญา บางรายจะมีการทวงหนี้ด้วยการประจานส่งข้อความไปยังคนรอบตัว หรือบางรายมีการทวงหนี้ด้วยความโหดร้ายทารุณ เกิดความเสียหายทั้งร่างกายและทรัพย์สิน นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำหนดให้ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของพี่น้องประชาชน เป็นวาระแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร่งกวาดล้างแอปพลิเคชันเงินกู้ที่คิดดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด และทวงหนี้อย่างผิดกฎหมาย

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการจับกุมแอปพลิเคชันเงินกู้ที่ดำเนินการคิดดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด และทวงหนี้ด้วยความรุนแรงอย่างผิดกฎหมายมาโดยตลอด และอยากขอเตือนไปยังเจ้าหนี้ที่กระทำการดังกล่าว อาจมีความผิดตามกฎหมาย

>> พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560

มาตรา 4 บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืมเงินโดยมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ 

(1) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้

(2) กำหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจำนวนเงินกู้หรือเรื่องอื่น ๆ ไว้ในหลักฐานการกู้ยืมหรือ ตราสารที่เปลี่ยนมือได้เพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด

(3) กำหนดจะเอาหรือรับเอาซึ่งประโยชน์อย่างอื่นนอกจากดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือสิ่งของหรือโดยวิธีการใด ๆ จนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากเกินส่วนอันสมควรตาม เงื่อนไขแห่งการกู้ยืมเงิน

>> พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 

มาตรา 11 ห้ามผู้ทวงถามหนี้กระทำการทวงถามหนี้ในลักษณะดังต่อไปนี้ 

(1) การข่มขู่ การใช้ความรุนแรง หรือการกระทำอื่นใดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่น

มาตรา 41 บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา 11 (1) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท

‘ตำรวจ - พาณิชย์ - ปศุสัตว์’ เดินหน้ากวาดล้างนายทุน! กักตุนเนื้อหมูทั่วประเทศ กว่า 971 แห่ง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มอบหมายให้ตน รับผิดชอบ กำกับ ดูแล บังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่กักตุนซากสุกรเพื่อเก็งกำไร จนทำให้ราคาเนื้อสุกรแพงขึ้น เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างกับประชาชน

ทั้งนี้ ได้มีหนังสือสั่งการให้ทุกหน่วยดำเนินการ ดังนี้

1. ร่วมกับเจ้าหน้าที่พาณิชย์ ปศุสัตว์ หรือเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ ร่วมกันออกตรวจสอบสถานที่เก็บสินค้าแช่แข็งหรือห้องเย็นที่ได้รับข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ ให้ครบถ้วน และสืบสวนหาข่าวเชิงลึกข้อมูลสถานที่เก็บสินค้าแช่แข็งหรือห้องเย็นที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนในพื้นที่รับผิดชอบ และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจสอบ หากพบการกระทำความผิดให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย

2. เชิญเจ้าของ/ผู้ให้เช่า หรือผู้ดูแลสถานที่เก็บสินค้าแช่แข็งหรือห้องเย็น มาให้ข้อมูล เพื่อทราบว่า ตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนที่ราคาจำหน่ายซากสุกรในพื้นที่จะปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นถึงปัจจุบัน มีผู้ใดหรือบริษัทใด ฝาก/เช่าสถานที่เก็บซากสุกร แต่ละรายที่นำฝากมีสถิตินำเข้า-ออก เพิ่ม ลด ผิดปกติหรือไม่ อย่างไร

 3. เชิญบุคคล หรือบริษัทที่นำซากสุกรมาฝากในสถานที่เก็บสินค้าแช่แข็งหรือห้องเย็น มาให้ข้อมูล เพื่อทราบจำนวนซากสุกรที่นำมาฝาก และตรวจสอบการเงินว่ามีความผิดปกติหรือไม่

 4. หน่วยที่มีพื้นที่ตามแนวชายแดน ร่วมกับศุลกากร ด่านกักกันสัตว์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สกัดกั้นและป้องกันการลักลอบนำซากสุกรเข้าในประเทศ

 5. กำชับการตั้งด่านตรวจหรือจุดตรวจ หากพบมีการเคลื่อนย้ายสัตว์หรือซากสัตว์ โดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 หรือหากตรวจสอบพบว่า มีการกระทำความผิดอื่นๆ ที่เป็นการฝ่าฝืน กฎหมาย ประกาศ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ กล่าวอีกว่า กรณีห้องเย็น “ในจังหวัดปริมณฑล” ที่ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบไปแล้วเมื่อวันที่ 21 ม.ค.65 ที่ผ่านมานั้น พบว่ามีจำนวน 9 บริษัท ที่อาจเข้าข่ายมีความผิด เนื่องจากไม่มีเอกสารแจ้งการเคลื่อนย้ายซากสุกร และไม่มีการแจ้งปริมาณซากสุกรในความครอบครอง เกิน 5,000 กก. อาศัยอำนาจเจ้าพนักงานปศุสัตว์ อายัดซากสุกร รวมกว่า 895,739.54 กก. ไว้เป็นเวลา 15 วัน หากไม่สามารถนำเอกสารมาแสดงได้ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ฯ ต่อไป

สำหรับการตรวจสอบสถานที่เก็บสินค้าแช่แข็งหรือห้องเย็น ตลาดสด ศูนย์การค้า และสถานที่อื่นๆ ที่ใช้เก็บซากสัตว์ ในภาพรวมทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. จนถึงขณะนี้ “มีการเข้าตรวจสอบแล้ว จำนวน 971 แห่ง พบการกระทำความผิด 9 แห่ง”

นอกจากนี้ ที่จังหวัดมุกดาหาร เจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์มุกดาหาร ศุลการกรจังหวัดฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร สามารถจับกุมผู้ต้องหาขับขี่รถเทรลเลอร์ลากพ่วง บรรทุกตู้คอนเทรนเนอร์ เดินทางมาจากต่างประเทศ ผ่านทางสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ภายในพบเนื้อหมูส่วนใหญ่เป็นหมูสามชั้น บรรจุใส่ถุงแช่แข็งกว่า 21,000 กก. วางทับซ้อนกันจำนวนมาก รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท โดยไม่มีใบอนุญาตขนย้าย

 

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ ขอแสดงความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะดำเนินการตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด ไม่มีละเว้น!!

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ ขอแสดงความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะดำเนินการตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด ไม่มีละเว้น!!

24 ม.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากเหตุการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจขับขี่รถจักรยานยนต์ชนแพทย์หญิงท่านหนึ่ง ขณะเดินข้ามถนนจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ในส่วนของผู้ขับขี่ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาทันที หลังจากได้รับการปฐมพยาบาลเสร็จ โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาลซึ่งเป็นต้นสังกัดของตำรวจนายนี้ ยืนยันว่าจะดำเนินคดีทุกข้อกล่าวหาโดยไม่มีการละเว้นและให้ความเป็นธรรมกับผู้สูญเสียอย่างดีที่สุด

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในการสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ และจะให้ความเป็นธรรมอย่างดีที่สุด พนักงานสอบสวน ที่รับผิดชอบคดีนี้ได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างรวดเร็วและครบถ้วนแล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานและสรุปสำนวนคดีส่งพนักงานอัยการต่อไป

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญกับกรณีดังกล่าว ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่มีละเว้น ส่วนการดำเนินการทางวินัยนั้น กองบัญชาการตำรวจนครบาลก็จะดำเนินการควบคู่กันไป เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิตอย่างดีที่สุด

‘นายกรัฐมนตรี’ พร้อม ‘รองนายกฯ’ ห่วงใย! กำชับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดปรับปรุงกฎหมาย “ระบบตัดคะแนน - เพิ่มโทษฝ่าฝืน” พร้อมสำรวจปรับปรุงพื้นที่ทางม้าลาย เพิ่มความปลอดภัยเพื่อปชช.!!

25 ม.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ (หรือ นปถ.) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถ ใช้ถนนและคนเดินเท้า จึงได้สั่งการให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ให้มีสภาพบังคับใช้กับผู้ฝ่าฝืนโดยเด็ดขาด เพื่อเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะบริเวณเส้นทางข้ามถนน (ทางม้าลาย)

โดยในวันที่ 28 ม.ค.65 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) พร้อมคณะลงสำรวจพื้นที่ทางข้ามถนน (ทางม้าลาย) ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เก็บรวบรวมข้อมูล และจัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันเดียวกัน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยมากขึ้นทั่วประเทศ 

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้รถ ใช้ถนน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการขนส่งทางบก ได้ยกร่างระเบียบระบบตัดคะแนนสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว และจะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อดำเนินการต่อไป คาดว่าจะอนุมัติและบังคับใช้ได้ในเดือนกันยายน พ.ศ.2565 และมีการเสนอเพิ่มโทษการฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจร จากปรับไม่เกิน 1,000 บาท เป็นไม่เกิน 4,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะอนุมัติประกาศใช้ได้ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2565

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ จับมือ กทม. คมนาคม ลงพื้นที่สำรวจแก้ปัญหาทางม้าลาย!!

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.  พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ยิ่งยศ  เทพจำนงค์ โฆษก ตร. พร้อมด้วย  พล.อ.ต.นพ.อิทธิพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภาสำนักงาน คณะผู้บริหารสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร นายสุจิณ มั่งนิมิตร ผู้อำนวยการศูนย์ความปลอดภัยคมนาคม กระทรวงคมนาคม นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณทางข้าม (ทางม้าลาย) ตรงโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์  ถนนพญาไท ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุเฉี่ยวชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล เพื่อสำรวจสภาพด้านวิศวกรรมจราจร ส่วนควบและอุปกรณ์ของทางข้าม  สำหรับเป็นข้อมูลในการปรับสภาพแวดล้อมบริเวณทางข้ามดังกล่าว ให้เหมาะสม  เกิดความปลอดภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนนสูงสุด 

โดยจะรวบรวมข้อมูล นำเสนอคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ ( หรือ นปถ.) ในการประชุมวันพฤหัสบดีที่ 27 ม.ค.65 ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน นอกจากนั้น ทาง ตร. จะได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านความปลอดภัยทางถนน ร่วมประชุมหารือ เพื่อกำหนดแนวทางการสำรวจข้อมูลทางข้ามในภาพรวมทั่วประเทศ และการปรับปรุงสภาพแวดล้อม รวมถึงแนวทางการใช้เทคโนโลยีมาติดตั้งบริเวณทางข้าม เพื่อจัดการความปลอดภัยและบังคับใช้กฎหมายในวันศุกร์ที่ 28 ม.ค.65 ต่อไป

สำหรับโดยทางข้ามหน้าสถาบันโรคไตฯ นั้น จัดทำครั้งแรกเมื่อปี 2558  มีประชาชนใช้ทางข้ามประมาณ ชั่วโมงละ 30 คน อยู่ห่างจากแยกพญาไทประมาณ 120 เมตร เป็นทางข้ามที่ยังไม่ได้ติดตั้งสัญญาณไฟจราจร

เตือนภัย!! โปรดดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ระวัง!ตกเป็นเหยื่อ ‘แก๊งค้าประเวณีเด็ก’ ด้วยความห่วงใยจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

1 ก.พ.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนติดตามผู้กระทำความผิดโดยมีพฤติกรรมเป็นนายหน้า เป็นธุระจัดหา นำเด็กไปค้าประเวณี จนนำไปสู่การออกหมายจับข้อหาค้ามนุษย์ ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ได้เข้าทำการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าวที่ จังหวัดยโสธร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย นั้น

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีพี่น้องประชาชนรวมถึงเด็กและเยาวชนหลายราย ตกเป็นเหยื่อของผู้กระทำผิดในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ด้วยความห่วงใยของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จึงได้จัดตั้ง ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ขึ้นมาเพื่อปฏิบัติภารกิจปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องดังกล่าว โดยมี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ฯ

ขอฝากเตือนไปถึงพี่น้องประชาชน ให้ดูแลและให้ความรู้บุตรหลานของท่านอย่างใกล้ชิด ไม่ให้หลงเชื่อบุคคลที่จะมาชักชวน ล่อลวง บุตรหลานของท่านให้ไปกระทำผิดกฎหมายเพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกหลอกไปขายบริการหรือทำงานผิดกฎหมายได้ ส่วนผู้ที่มีพฤติการณ์เป็นธุระจัดหา หรือ เป็นนายหน้าหลอกลวงเด็กและเยาวชนไปค้าประเวณีหรือแสวงหาประโยชน์โดยผิดกฎหมาย อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หรือ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551

>> มาตรา 6 (2) เป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใดหน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็ก ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบผู้นั้นกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์

>> มาตรา 52 ผู้ใดกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 12 ปี และปรับตั้งแต่ 400,000 บาท ถึง 1,200,000 บาท

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ได้กระทำแก่บุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ ไม่ถึง 18 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000 บาท ถึง 1,500,000 บาท 

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ได้กระทำแก่บุคคลอายุไม่เกิน 15 ปี หรือ ผู้มีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 8 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 800,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท

“โอนเงินก่อนกู้...ไม่มีอยู่จริง” ห้ามโอน! เสี่ยงตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ด้วยความห่วงใย จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

7 ก.พ.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ในห้วงปัจจุบันมีมิจฉาชีพหลอกลวงผ่านโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก รวมถึงแอปพลิเคชันเงินกู้ปลอมด้วย ซึ่งจะมีวิธีการหลอกให้ยื่นกู้เงิน โดยให้กรอกข้อมูลส่วนตัว หลอกให้โอนเงินค้ำประกันก่อน หรือบางราย หลอกให้ชำระค่าธรรมเนียมก่อนกู้เงิน หลังจากนั้นจะไม่สามารถติดต่อได้ นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเร่งด่วน ด้วยความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจจะตกเป็นเหยื่อของแอปพลิเคชันเงินกู้ปลอม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงได้ตั้ง ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เพื่อปฏิบัติภารกิจกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงแอปพลิเคชันเงินกู้ปลอมอย่างเข้มงวด เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความสูญเสียทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ฯ

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีนโยบายให้ประชาสัมพันธ์เตือนภัย และให้ความรู้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ เสมือนเป็นวัคซีนเพื่อป้องกันภัยร้ายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Cyber Vaccinated) และได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ปฏิบัติหน้าที่กวาดล้างมิจฉาชีพอย่างรวดเร็ว เข้มงวด เพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชน

ต้องตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกต่อไป โดยอยากฝากไปยังพี่น้องประชาชนว่าห้ามโอนเงินโดยเด็ดขาด หากแอปพลิเคชันเงินกู้รายไหนให้โอนเงินก่อนที่จะได้รับเงินกู้ ขอให้สันนิษฐานว่าเป็นมิจฉาชีพไว้ก่อน เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกหลอกลวงและสูญเสียทรัพย์สิน

ตร.ผุดไอเดีย!! เปิดโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)

ตามนโยบายรวมไทยสร้างชาติ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันของรัฐบาล ที่ต้องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทุกรูปแบบ โดยบูรณาการการดำเนินการจากทุกภาคส่วน ผนึกกำลังกับเครือข่ายภาคประชาชน ร่วมกันพัฒนา และแก้ไขปัญหาในชุมชน สังคม และท้องถิ่น ตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุก ๆ มิติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจเอก รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ ในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยได้จัดทำโครงการ “สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)” ให้สอดรับกับนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล

โดยมอบหมายให้ พลตำรวจโท ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และมี พลตำรวจโท ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นรองหัวหน้าคณะทำงาน ตาม คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 36/2565 ลงวันที่ 31 มกราคม 2565 โดยมีเป้าหมาย “เพื่อให้ชุมชน สังคมมีความสุขสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพมีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว”

โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำการคัดเลือกและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสถานีตำรวจ และระดับกองบังคับการทั่วประเทศ จำนวนกว่า 9,000 นาย เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับเครือข่ายภาคประชาชน หลังจากนั้นจะทำการคัดเลือกและฝึกอบรมเครือข่ายภาคประชาชนจากทุกสาขาอาชีพที่มีบทบาทในสังคมหรือชุมชนนั้น ๆ เช่น ผู้นำตามธรรมชาติ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น หรืออื่น ๆ สถานีตำรวจละ 50 คนทั่วประเทศ รวมกว่า 74,200 คน เพื่อทำหน้าที่ในการสะท้อนปัญหา และความต้องการของชุมชน มายังคณะกรรมการระดับสถานีตำรวจพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหา หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หรือเกินขีดความสามารถ จะเสนอไปยังคณะกรรมการระดับอำเภอ คณะกรรมการระดับกองบังคับการ คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด คณะกรรมการระดับกองบัญชาการ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา ความต้องการของประชาชน แต่หากยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำการรวบรวมปัญหา ความต้องการจากทุกพื้นที่ แล้วรายงานไปยังรัฐบาล เพื่อหาแนวทางการแก้ไขในระดับประเทศต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top