Tuesday, 7 May 2024
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอแสดงความเสียใจ "สารวัตรสืบสวน สภ.ฝาง พลีชีพ" ปะทะขบวนการค้ายาเสพติด พื้นที่ จ.เชียงใหม่ เตรียมปูนบำเหน็จความชอบ พร้อมสั่งล่าตัวผู้กระทำผิด!!

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.64 ที่ผ่านมา มีเรื่องน่าสลดใจเกิดขึ้น เมื่อข้าราชการตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชน ด้วยความตั้งใจ เสียสละ จนถึงขั้นเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.64 เวลาประมาณ 21.30 น. ชุดสืบสวน สภ.ฝาง และ สภ.แม่อายภ.จว.เชียงใหม่ ได้ออกสืบสวนติดตามขบวนการลักลอบขนยาเสพติดจากชายแดน เข้ามาในพื้นที่ อ.ฝางจว.เชียงใหม่ พบรถยนต์ต้องสงสัยขับมาจากเส้นทาง บ.โป่งไฮ - ถ.โชตนา จึงทำการติดตามไป เพื่อทำการจับกุมก่อนที่จะถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงใส่ ส่งผลให้ "พ.ต.ต.พิบูลพันธ์ สุขุมานนท์ สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจภูธรฝาง ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่" ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา 

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอสดุดีวีรกรรมของ พ.ต.ต.พิบูลพันธ์ สุขุมานนท์ สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจภูธรฝาง ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ เสียสละ จนวาระสุดท้ายของชีวิต จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้เร่งติดตามล่าตัวผู้กระทำผิด มาลงโทษตามกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ยังได้กำชับไปยังผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ของ พ.ต.ต.พิบูลพันธ์ฯ ให้ดูแลสวัสดิการของครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างดีที่สุด

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ กล่าวต่อว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะ "พิจารณาการปูนบำเหน็จความชอบ และดูแลในเรื่องของเงินสวัสดิการ" ช่วยเหลือครอบครัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เสียสละ เพื่อเป็นการรักษา เยียวยา และให้กำลังใจผู้ที่ได้รับความสูญเสียจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันดังกล่าวนี้ ซึ่ง กรณี เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ จะได้รับเงินสวัสดิการ250,000 – 500,000 บาท โดยในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แอปพลิเคชันแทนใจ และผู้ได้รับเงินเยียวยาจะมีการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิชันแทนใจ อีกทางหนึ่งด้วย

รอง ผบ.ตร.เผย 3 วันแรกช่วงเทศกาลปีใหม่ จับเมาแล้วขับ 7,391 ราย ทำผิดกฏหมายจราจรเกือบ 2 แสนคน สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุมากสุด ยังเป็นขับรถเร็ว และเมาสุรา 

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนสัญจรเดินทางท่องเที่ยวปีใหม่ 2565 และเดินทางกลับ โดยเฉพาะ เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว อาจเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้

จากการตรวจสอบข้อมูลในช่วง 3 วันแรก ของเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2565  ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.64 ถึง 31 ธ.ค.64 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งจุดตรวจเพื่อบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก อย่างเข้มข้น โดยแต่ละวันมีการตั้งจุดตรวจ จำนวน 1,240 จุดตรวจ (แบ่งเป็นจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร 769 จุดตรวจ  จุดตรวจแอลกอฮอล์อีก 471 จุดตรวจ)

สำหรับผลการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก ช่วง 3 วันที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ทั้งสิ้นจำนวน 198,159 ราย สถิติการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว 7.64%  และเฉพาะข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา มีการจับกุมผู้กระทำผิดในช่วง 3 วันที่ผ่านมา เป็นจำนวน 7,391 ราย  ซึ่งจับกุมได้มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วคิดเป็น 75.39% 

รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถิติอุบัติเหตุในภาพรวมช่วง 3 วันแรกของเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของเทศกาลปีใหม่ปีที่แล้ว สถิติอุบัติเหตุลดลงทุกตัวเลข ได้แก่  

1.การเกิดอุบัติเหตุ 3 วันแรกของเทศกาลปีใหม่ 2565 เกิดจำนวน 1,339 ครั้ง  ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีใหม่ปีที่แล้ว จำนวน 309 ครั้ง (ลดลง 18.75%)

2.จำนวนผู้เสียชีวิต  3 วันแรกของเทศกาลปีใหม่ 2565  จำนวน 153 ราย  ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีใหม่ปีที่แล้ว จำนวน 31 ราย  (ลดลง 16.85%)

3.จำนวนผู้บาดเจ็บ 3 วันแรกของเทศกาลปีใหม่ 2565  จำนวน 1,322 คน  ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีใหม่ปีที่แล้ว จำนวน 313 คน  (ลดลง 19.14%)
สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดในช่วง 3 วันแรก อันดับ 1 คือขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด (34.96%) อันดับ 2 คือขับรถในขณะเมาสุรา (29.93%) 

โดยวันนี้ 1 ม.ค.2565 เป็นวันที่ 4 จาก 7 วันควบคุมเข้มข้น ซึ่งโดยสถิติของปีใหม่ที่ผ่านๆมา วันนี้จะเป็นวันที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุ และมีผู้เสียชีวิตสูงที่สุดจากทั้งหมด 7 วัน สาเหตุเพราะประชาชนบางส่วนได้ฉลองคืนส่งท้ายปีเก่า มีการดื่มสุรา หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้ววันรุ่งขึ้นมาขับรถ ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุ  

เทศกาลปีใหม่ สนุกอย่างสร้างสรรค์ “ไม่พกอาวุธปืน ไม่ยิงขึ้นฟ้า!!” ตำรวจพร้อม! จัดเต็มกำลัง ดูแลทั่วประเทศ

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2565 นี้ พี่น้องประชาชนหลาย ๆ ท่านออกเดินทางไปเที่ยว หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพักผ่อนในห้วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ โดยขอให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ทำสิ่งใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น 

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนไปยังพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆแม้ว่าจะสนุกสนานสักเพียงใด แต่ก็ไม่ควรเลยเถิด จนกลายเป็นความคึกคะนอง "พาอาวุธปืน" ไปในสถานที่ต่าง ๆรวมถึงการ "ยิงปืนขึ้นฟ้า" เพราะการกระทำดังที่กล่าวมานั้น มีความผิดตาม "พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490"

>> มาตรา 8 ทวิ ห้ามมิให้ผู้ใดพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว เว้นแต่เป็นกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจําเป็น และเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ 

ไม่ว่ากรณีใด ห้ามมิให้พาอาวุธปืนไปโดยเปิดเผย หรือพาไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้น เพื่อนมัสการ การรื่นเริง การมหรสพ หรือการอื่นใด 

>> มาตรา 72 ทวิ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 8 ทวิ วรรค 1 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้นั้นฝ่าฝืนมาตรา 8 ทวิ วรรค 2 ด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท

นอกจากนี้กระสุนปืนที่ยิงออกจากกระบอกปืน มีโอกาสที่จะไปตกลงไปโดนหลังคาบ้าน "ทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหาย" หรือแม้กระทั่งกระสุนปืนถูกผู้อื่นจนเป็นอันตราย "ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต" จะมีความผิดตาม"ประมวลกฎหมายอาญา"

>> มาตรา 291  ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท

>> มาตรา 300  ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

รองโฆษก ตร. ชี้!แนวโน้ม’อาชญากรรมทางเทคโนโลยี’ ใน ปี พ.ศ.2565

วันที่ 3 ม.ค.2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งขาติ กล่าวถึงแนวโน้มอาชญากรรมทางเทคโนโลยีใน ปี พ.ศ.2565 ว่า เมื่อพิจารณาข้อมูลจากสถิติการเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ศูนย์บริการประชาชน บก.ปอท. ปี พ.ศ. 2561-2564   พบว่า รูปแบบของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือใช้เทคโนโลยีในการกระทำความผิดที่มีประชาชนมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ยังคงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท 

โดยในปี 2564 มีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์จำนวน 698 ราย สาเหตุที่การด่าทอ ให้ร้ายกันในสื่อสังคมออนไลน์ ครองความเป็นอันดับ 1 มาตลอดหลายปี อาจเนื่องมาจาก ประชาชนเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น การโพสต์ การแสดงความคิดเห็น การส่งต่อข้อมูลที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายจึงมีมากขึ้น  

แต่ที่น่าสนใจจากสถิติดังกล่าวพบว่า มีผู้ได้รับความเสียหายจากการถูกแฮก เพื่อปรับเปลี่ยน/ขโมย/ทำลายข้อมูลคอมพิวเตอร์ พบเป็นอันดับที่ 2 โดยมีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์จำนวน 585 ราย ความเสียหายรวมประมาณ 67 ล้านบาทแสดงให้เห็นถึง ประชาชนอาจขาดการระวังป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์/ข้อมูลคอมพิวเตอร์จากแฮกเกอร์  

ส่วนการหลอกขายสินค้า/บริการ พบว่ามาเป็นอันดับ 3 โดยมีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์จำนวน 445 ราย ความเสียหายรวมประมาณ 45 ล้านบาท 

ซึ่งจากสถิติดังกล่าวข้างต้นทำให้สังเกตได้ว่า รูปแบบของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน หากไม่นับความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว พบว่าจะมีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ การแฮกข้อมูล และการฉ้อโกงออนไลน์ เป็นหลัก ซึ่งพบว่าอาชญากรรมใน 2 รูปแบบนี้ คนร้ายมักอาศัยโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเอื้อประโยชน์ในการกระทำความผิดหรือปกปิดตัวตนไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบสวนหาตัวคนร้ายได้โดยง่าย โดยใช้ช่องทางต่างๆ เช่น การปกปิดตัวตนโดยนำภาพหรือชื่อบุคคลอื่นมาสร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอม หรือใช้บัญชีอวตา (Avatar) , การปกปิดที่อยู่ไอพี (ip address) , การใช้ช่องทางสกุลเงินดิจิทัล ในการรับทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด หรือ การซื้อบัญชีธนาคารจากผู้ที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร เป็นต้น ซึ่งเป็นการสร้างความยุ่งยากให้กับเจ้าหน้าที่ ในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย 

ดังนั้นความเห็นส่วนตัวยังเห็นว่า แนวโน้มอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในปี 2565 ยังไม่น่าจะแตกต่างไปจากเดิม แต่คนร้ายอาจนำเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การให้ร้ายหรือระรานทางไซเบอร์(Cyber Bullying) , การหลอกลวงผ่านอีเมล (email scam) , การแฮกเพื่อเอาข้อมูลหรือเงินผ่านการลวงให้กดล่อให้กรอก (Phishing) , มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware), การหลอกลวงขายสินค้า , การหลอกรักออนไลน์(Romance Scam) , การหลอกรักลวงลงทุน (Hybrid Scam) , การหลอกลวงด้วยการโทรศัพท์โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ , การหลอกให้ลงทุนในลักษณะแชร์ออนไลน์และแชร์ลูกโซ่ , การขูดรีดดอกเบี้ยเงินกู้และการทวงหนี้ในลักษณะผิดกฎหมายจากแก๊งแอพพลิเคชั่นเงินกู้ , การปล่อยข่าวปลอมในโลกออนไลน์เพื่อหวังผลด้านต่าง ๆ (Fake News) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า “อาชญากรรมมักทิ้งร่องรอย” ยังคงใช้ได้กับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้าย ที่อาจพัฒนาตัวเองจากอาชญากรภาคพื้นดิน (On Ground) มาเป็นอาชญากรบนอากาศ (Online) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการพัฒนาทักษะ ความรู้ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ทั้งนี้จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ให้บริการด้านต่างๆ ในการสนับสนุนข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบข้อมูลในการสืบสวนสอบสวน  

ตร. พอใจ!! ปีใหม่ 2565 พบอุบัติเหตุ - ผู้เสียชีวิตลดลงตามเป้า พร้อมปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ

วันนี้ (5 ม.ค. 65) เวลา 11.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผบ.ตร. /พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. / พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. แถลงผลการดำเนินการในการอำนวยการจราจร ป้องกันและลดอุบัติเหตุ และการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก ช่วงควบคุมเข้มข้น 7 วัน เทศกาลปีใหม่ 2565 พร้อมปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ฯ ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.64 เป็นต้นมาจนถึงวันสุดท้ายคือ 4 ม.ค.65 ซึ่งทุกวันจะมีการติดตามสถานการณ์การจราจร และการปฏิบัติของแต่ละหน่วย ผ่านระบบ VDO Conference  โดยมี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้กำกับดูแลในแต่ละวัน และให้หน่วยระดับ บช./ภ. , บก./ภ.จว. และทุกสถานีตำรวจเฝ้าฟัง ทั้งนี้เพื่อลดอุบัติ ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ ตามค่าเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด โดยผลการดำเนินการในแต่ละด้าน มีดังนี้ 

>> 1. การอำนวยความสะดวกและจัดการจราจร  จัดกำลังตำรวจกว่า 80,000 นาย ดูแลการจราจรตลอด 7 วัน มีปริมาณรถ เข้า-ออกจาก กทม. จำนวน 7,540,156 คัน  (ออกจาก กทม. จำนวน 3,718,563  คัน  และเข้า กทม. จำนวน 3,821,593 คัน)  วันที่ประชาชนเดินทางออกจาก กทม. มากที่สุด คือวันที่ 30 ธ.ค.64  วันที่ประชาชนเดินทางเข้า กทม. มากที่สุด วันที่ 3 ม.ค.65  

มีการเปิดช่องทางพิเศษ (Reversible Lane) จำนวนทั้งสิ้น 126 ครั้ง (ระบายรถขาออก 52 ครั้ง / ขาเข้า 74 ครั้ง) รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ที่ขออนุญาตเดินรถในช่วงเวลาห้าม ผ่านระบบออนไลน์ จำนวน 23,484 คัน อนุญาตให้เดินรถได้ 20,645 คัน  (รถที่ได้รับอนุญาตมากที่สุด คือ รถบรรทุกน้ำมันหรือแก๊ส (ร้อยละ 60.3) รองลงมา คือ รถบรรทุกอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค (ร้อยละ 24.1) ) ( ไม่อนุญาตจำนวน 2,839 คัน  และพบผู้ฝ่าฝืนเดินรถในเวลาห้าม จำนวน 82 ราย เนื่องจากเป็นสาเหตุให้การจราจรติดขัด)      

 

>> 2. การบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก มีการตั้งจุดตรวจทุกวันเพื่อบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืน ทั่วประเทศจำนวน 1,240 จุด (กวดขันวินัยจราจร 769 จุด, ตรวจแอลกอฮอล์ 471 จุด) พบผู้ที่ฝ่าฝืนทั้งสิ้น 573,837 ราย  ข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา 19,760 ราย (มากกว่าปีใหม่ปีที่แล้วคิดเป็น 41.52 %) ข้อหาไม่สวมหมวกนิรภัย 167,677 ราย และข้อหาขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด จำนวน 48,257 ราย โดย 10 ข้อหาหลักนี้ จะก่อให้เกิดอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่น จึงจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าว

>> 3. การป้องกันและลดอุบัติเหตุ รัฐบาลกำหนดค่าเป้าหมายให้จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ (admit) ต้องลดลงไม่น้อยกว่า 5 % เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลปีใหม่ เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (ปีใหม่ 2562 – 2564) ซึ่งจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ส่งผลให้สถิติอุบัติเหตุลดลงตามเป้าในทุกด้าน

- การเกิดอุบัติเหตุ 7 วันของเทศกาลปีใหม่ 2565  เกิดจำนวน 2,707 ครั้ง  ลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปี (3,515 ครั้ง) เป็นจำนวน 808 ครั้ง  (ลดลง 22.99 %)

- จำนวนผู้เสียชีวิต 7 วันของเทศกาลปีใหม่ 2565  มีจำนวน 333 ราย  ลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปี (388 ราย) เป็นจำนวน 76 ราย   (ลดลง 18.58 %)

- จำนวนผู้บาดเจ็บ 7 วันของเทศกาลปีใหม่ 2565  มีจำนวน 2,672 คน  ลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปี (3,572 คน) เป็นจำนวน 900 (ลดลง 25.08 %)

ทั้งนี้ บช./ภ. ที่มีผลการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนดีที่สุด ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 9 ตำรวจภูธรภาค 3 และตำรวจภูธรภาค 8

>> จังหวัดที่มีสถิติอุบัติเหตุลดลงมากที่สุด (เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 3 ปี) 3 จังหวัดแรก คือ จว.อำนาจเจริญ จว.ระยอง จว.พิจิตร

>> จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต  มีจำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ นครนายก  แพร่   สุโขทัย  สมุทรสงคราม พังงา ตรัง  สตูล ปัตตานี และยะลา

4. การประชาสัมพันธ์ข้อมูล  มีการประชาสัมพันธ์ผ่านเพจ facebook ตำรวจทางหลวง และสายด่วน บก.ทล. 1193, จส.100 สวพ.91 รวมทั้งสื่อหลักและสื่อโซเชียล ที่เกี่ยวกับการจราจรต่าง ๆ โดยมีประชาชนสอบถามข้อมูลการจราจรและแจ้งเหตุผ่านทาง สายด่วน 1193 รวมจำนวน 2,463 สาย เป็นการสอบถามเส้นทางและสภาพการจราจรจำนวน 1,773 สาย และขอความช่วยเหลืออีก 566 สาย

 

"ตำรวจ PCT” แถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 จับกุม ผู้ต้องหากว่า 3,000 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท!!

วันนี้ (6 ม.ค. 65) เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.​ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT, พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท.,พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น.,พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทั่วประเทศ ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วไปและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่ 25 ธ.ค.64  - 3 ม.ค.65 เพราะเป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้าน และมีการสังสรรค์ เกรงจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งจากผลการระดมกวาดล้าง สามารถจับกุมการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ทั้งสิ้น จำนวน 3,634 ราย โดยแบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ การหลอกลวงทางออนไลน์ 238 คดี, การหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย 335 คดี, การเผยแพร่ข่าวปลอมและคดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 878 คดี, การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กหรือสตรีทางอินเทอร์เน็ตและค้ามนุษย์ 194 คดี และ การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และอื่น ๆ อีก 1,989 คดี รวม มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 356 ล้านบาท โดยพบเป็นเงินทุนหมุนเวียนที่เกี่ยวกับการพนันออนไลน์ถึง 335 ล้านบาท

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ กล่าวอีกว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 1 พร้อมกำลัง สืบสวนปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์  รวมถึงการลักลอบจำหน่ายสิ่งของผิดกฎหมายต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น ยาเสพติด อาวุธปืน ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าร้านค้าออนไลน์หลายรายได้จำหน่ายสิ่งเทียมอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ส่วนประกอบอาวุธปืน ออกไปแล้วจำนวนมาก

หลังจากได้เป้าหมายแล้ว ได้ประสานไปยังตำรวจภูธร ภาค 1-9 ตำรวจนครบาล ตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจท่องเที่ยว ร่วมปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย โดยเน้นไปยังกลุ่มที่สั่งซื้อสิ่งเทียมอาวุธปืน(บีบีกัน) ส่วนประกอบอาวุธปืน เช่น ลำกล้อง ชุดอุปกรณ์ลั่นไก เพื่อนำไปดัดแปลงให้สามารถยิงกระสุนจริงออกมาได้ และกลุ่มที่สั่งซื้อเครื่องกระสุนปืนเพื่อนำไปใช้กับอาวุธปืนผิดกฎหมายได้ใช้การประกาศโฆษณาขายสินค้าโดยทำการอำพรางชื่อเพื่อป้องกันการถูกตรวจสอบ

โดยในวันที่ 3 ม.ค.65 ได้ทำการปิดล้อมตรวจค้น จำนวน 60 เป้าหมาย สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 31 ราย พร้อมของกลาง 5 รายการ ดังนี้

1. อาวุธปืนสงคราม จำนวน 1 กระบอก

2. อาวุธปืน จำนวน 49 กระบอก

3. เครื่องกระสุนปืน จำนวน 1,566 นัด

4. ยาบ้า จำนวน 203 เม็ด

5. ยาไอซ์ จำนวน 2.85 กรัม

6. กัญชาอัดแท่ง จำนวน 15 กรัม

ซึ่งการปิดล้อมตรวจค้นในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 19 พ.ย.64 ชุดปฏิบัติเดียวกันนี้ ได้เข้าปิดล้อมตรวจค้นไปแล้ว จำนวน 40 เป้าหมาย สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 24 ราย พร้อมของกลาง 6 รายการ คือ

1. อาวุธปืน จำนวน 23 กระบอก

2. เครื่องกระสุนปืน จำนวน 1,005 นัด

3. วัตถุระเบิดปิงปอง จำนวน 1 ลูก

4. ยาบ้า จำนวน 9,902 เม็ด

5. ยาไอซ์ จำนวน 0.94 กรัม

6. กัญชาอัดแท่ง จำนวน 6.34 กรัม

ภาพรวมขณะนี้ได้ทำการตรวจค้นเป้าหมายลักลอบขายอาวุธปืนทางออนไลน์ไปแล้ว 100 เป้าหมาย จับกุมผู้ต้องหาทั้งสิ้น 55 ราย ตรวจยึดของกลางเป็น อาวุธปืนสงคราม 1 กระบอก , อาวุธปืน 72 กระบอก ,วัตถุระเบิดปิงปอง  จำนวน 1 ลูก , เครื่องกระสุนปืน จำนวน 2,571 นัด และยาบ้าอีกจำนวน 10,105 เม็ด ยาไอซ์ 3.79 กรัม, กัญชาอัดแท่ง จำนวน 21.34 กรัม โดยหลังจากนี้ จะได้ขยายผลไปยังร้านค้าที่ลักลอบขายปืนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่อไป

ผบ.ตร.ห่วงใย!! สั่งการกำลังพลตรวจ ATK ก่อนกลับมาปฏิบัติหน้าที่ เข้มมาตรการป้องกันโควิด-19 แบ่งกำลัง Work From Home ลดเสี่ยง!!

6 ธ.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เริ่มกลับมาแพร่ระบาด โดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ โอมิครอน ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและเนื่องจากช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ที่มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน ซึ่งพี่น้องประชาชน อาจมีการไปท่องเที่ยว หรือกลับภูมิลำเนา รวมถึงข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวก ป้องกันอาชญากรรม ช่วงเทศกาลปีใหม่นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดสายพันธุ์ใหม่ โอมิครอน ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยกำลังพล จึงมีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัด กำลังพลทุกนาย ก่อนปฏิบัติหน้าที่ ให้ ตรวจ Antigen Test Kit หรือ ATK เพื่อคัดกรองโรคโควิด-19 ทุกราย และขอให้เข้มงวดกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากผู้อื่น หลีกเลี่ยงพื้นที่ปิด พยายามอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งและอากาศถ่ายเทสะดวก ล้างมือบ่อย ๆ โดยใช้สบู่และน้ำ หรือเจลล้างมือที่มีส่วนผสมหลักเป็นแอลกอฮอล์

รวมถึงการนำมาตรการ Work From Home หรือการทำงานจากที่บ้าน กลับมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยไม่ให้กระทบกับการบริการประชาชน และการปฏิบัติหน้าที่ราชการ กรณีหน่วยงานในสังกัดต้องการรับการสนับสนุน สามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ โรงพยาบาลตำรวจ

 

จับทันที ไม่ต้องรอ! ‘โฆษก ตร.’ ย้ำ! ตำรวจพบผู้กระทำ ‘ความผิดซึ่งหน้า’ สามารถ ‘ตรวจค้น-จับกุม’ ได้ทันทีไม่ต้องมี ‘หมายจับ-หมายค้น’!

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากกรณีเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุ ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งมีเหตุข่มขืนกระทำชำเรา เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่สถานที่เกิดเหตุ ได้พยายามขึ้นไปตรวจสอบห้องที่เกิดเหตุ เพื่อระงับเหตุและจับกุมคนร้าย แต่ทางเจ้าหน้าที่คอนโดมิเนียมอ้างว่าไม่สามารถให้เจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นไปตรวจสอบได้ เพราะเป็นกฎระเบียบของทางคอนโดมิเนียมที่ต้องมีหมายค้น จึงจะสามารถอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ขึ้นไปตรวจสอบ นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า อยากขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม รักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน หากพบผู้กระทำความผิดซึ่งหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจค้น จับกุม ผู้กระทำความผิด โดยไม่ต้องมีหมายจับ หรือหมายค้น ดังที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ดังนี้

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่ 

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80 

(2) เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมีเครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด 

(3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตาม มาตรา 66 (2) แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้  

(4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยตัวชั่วคราวตาม มาตรา 117   

มาตรา 80 ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสด ๆ  

อย่างไรก็ดี ความผิดอาญาดังระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายนี้ ให้ถือว่าความผิดนั้นเป็นความผิดซึ่งหน้าในกรณีดังนี้  

(1) เมื่อบุคคลหนึ่งถูกไล่จับดังผู้กระทำโดยมีเสียงร้องเอะอะ 

(2) เมื่อพบบุคคลหนึ่งแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทำผิดในถิ่นแถวใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุนั้นและมีสิ่งของที่ได้มาจากการกระทำผิด หรือมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสันนิษฐานได้ว่าได้ใช้ในการกระทำผิด หรือมีร่องรอยพิรุธเห็นประจักษ์ที่เสื้อผ้าหรือเนื้อตัวของผู้นั้น 

ตำรวจ PCT ทลายเครือข่ายพนันออนไลน์ “ไพลิน” พบเงินหมุนเวียนกว่า 300 ล้านบาท!!

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.​ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT, พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ , พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. และ พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบช.ก. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมการพนันออนไลน์เครือข่าย “ไพลิน” การพนันกำถั่วออนไลน์ มูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วไปและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่ 25 ธ.ค.64  - 3 ม.ค.65 เพราะเป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้าน และมีการสังสรรค์ เกรงจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งจากผลการระดมกวาดล้าง สามารถจับกุมการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ทั้งสิ้น จำนวน 3,634 ราย

รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้มอบให้ พล.ต.ต.สันติฯ รอง ผบช.ก. หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 2 ทำการสืบสวนจนทราบว่า  เครือข่าย”ไพลิน” ได้ลักลอบเปิด ให้มีการเล่นการพนันออนไลน์ ชักชวนให้ประชาชนทั่วไปรวมทั้งเด็กและเยาวชนเข้าเล่นพนันอย่างเปิดเผย ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ชนิดต่างๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT จึงได้ขอหมายค้นจากศาลเข้าทําการตรวจค้นสถานที่ซึ่ง เกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดจํานวน 1 จุด ณ บ้านไม่มีเลขที่ หมู่ 1 ถนนพุทธมณฑลสาย 2 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร และได้จับกุมผู้ต้องหา จํานวน 8 คน ดังต่อไปนี้
1. นายพัชรพงษ์ สงวนนามสกุล

2. นางสาววีนา สงวนนามสกุล

3. นางสาวภัสสราณัฐ สงวนนามสกุล

4. นางสาววิไลพร สงวนนามสกุล

5. นางสาวสุภัคกรณ์ สงวนนามสกุล

6. นางสาวสุชาวรรณ สงวนนามสกุล

7. นางสาวสุรภา สงวนนามสกุล

8. นางสาวรัญชนา สงวนนามสกุล

ตามหมายจับศาลแขวงธนบุรีที่ จ.331-338/2564 ลงวันที่ 29 ธ.ค. 64 ในข้อหา “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทําอุบายล่อช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเลน่ซึ่ง มิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน”

จากการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่าเครือข่ายการพนันนี้ได้มีการจัดให้เล่นพนันผ่านแอปพลิเคชั่น ไลน์ ( LINE ) โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้ร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ประเภท “กําถั่ว” โดย Line Official ชื่อ ไพลิน ( @pailin100 ) มีสมาชิกกว่า 3,000 คน โดยลักลอบเปิดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์มาตั้งแต่เมื่อประมาณเดือน พ.ค.64 โดยมียอดเงินหมุนเวียนกว่าเดือนละ 300 ล้านบาท ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ได้ตรวจยึดทรัพย์สินที่ได้มาจาก การกระทําความผิดจากการจัดให้มีการเล่นพนันดังกล่าวและอายัดบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
1.จอคอมพิวเตอร์ จํานวน 5 จอ

2. ซีพียูคอมพิวเตอร์ จํานวน 5 เครื่อง

3. โทรศัพท์มือถือและแทปเล็ต จํานวน 9 เครื่อง

4.กล้องถ่ายและอุปกรณไ์ลฟ์สดขณะนําเล่น(WEBCAM)จํานวน 2 ตัว

5. กล้องไอพี จํานวน 1 ตัว

6. อินเตอร์เน็ตเราท์เตอร์ จํานวน 2 เครื่อง

7.อุปกรณ์และเครื่องประกอบในการเล่นการพนันประเภท“กําถั่ว”จํานวน 154 รายการ

8. เอกสารบัญชีรายรับ - รายจ่ายในการเล่น จํานวน 57 ชุด

9. บัญชีธนาคารกสิกรไทย จํานวน 8 บัญชี

ตำรวจ PCT ทลายเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ “บ้าน M” เงินหมุนเวียนกว่า 10 ล้านบาท!!

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.​ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT, พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ , พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. และ พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ “บ้าน M ” และ เครือข่ายค้าอาวุธปืนผิดกฎหมาย

 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วไปและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่ 25 ธ.ค.64  - 3 ม.ค.65 เพราะเป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้าน และมีการสังสรรค์ เกรงจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งจากผลการระดมกวาดล้าง สามารถจับกุมการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ทั้งสิ้น จำนวน 3,634 ราย

 รอง ผบ.ตร. กล่าวว่าได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ไตรรงค์ฯ รอง ผบช.น. หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 4 สืบสวนจนทราบว่า เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.64 เวลาประมาณ 18.00 น. กลุ่มผู้เสียหายได้เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.วัชรา สงวนนามสกุล  ผู้ต้องหาซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีพฤติการณ์ชักชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาระดมทุนเล่นแชร์ โดยการเปิด Facebook และกลุ่มไลน์ชื่อ “CM Gold” และ “บ้านแชร์ M” แล้วหลอกให้ประชาชนที่หลงเชื่อเข้ามาเล่นแชร์โดยปกปิดวิธีการเล่น อ้างว่ามีการเปียแชร์รวมถึงการจะจ่ายผลตอบแทนสูงกว่าอัตราที่ดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินพึงจ่ายได้ หากแต่กลับนำเงินดังกล่าวมาหมุนจ่ายให้กับสมาชิกรายอื่น และไม่ได้มีการเปียแชร์หรือจ่ายดอกเบี้ยจริง ทำให้มีประชาชนเสียหายหลงเชื่อเข้าจ่ายดอกด้วยหวังว่าจะได้เปียแชร์ในรอบต่อไป แต่ต่อมาเมื่อถึงกำหนดจากเงินสมาชิกได้ปิดกลุ่มแล้วหลบหนีไป ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวผู้เสียหายได้เข้าร้องทุกข์ต่อหน่วยงานต่างๆ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยเบื้องต้นพบว่ามีเหยื่อคนหลงเชื่อสมัครเล่นแชร์ดังกล่าวกว่า 300 ราย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน และกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งสามารถจับกุม นางสาววัชราฯ ผู้ต้องหา ได้ที่บ้านเอื้ออาทร ต.สวนหลวง อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร ทั้งนี้ได้มีผู้เสียหายกว่า 50 รายมายืนยันตัวผู้กระทำความผิดและเรียกร้องค่าเสียหายมูลค่ากว่า 10,000,000 บาท

นอกจากนี้ ยังสามารถจับกุมคดีค้าอาวุธปืนออนไลน์ โดยเมื่อวันที่ 2 ม.ค.65 เวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ชุดเดียวกันร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล สืบสวนทราบว่า นายกฤษดา สงวนนามสกุล มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ชื่อ “QB Thailand” และ “เศษเหล็กกิโลละแสน” เพื่อชักชวนให้ผู้สนใจเข้าซื้อขายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และจัดส่งสินค้าอาวุธปืนผิดกฎหมายผ่านทางบริษัทขนส่งเอกชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT และ นครบาล ได้รวบรวมพยานหลักฐานเข้าทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ 42/50 ซ.หมู่บ้านจามจุรี ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ผลการตรวจค้นพบอาวุธปืนจริงและอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ จำนวน 6 กระบอก เครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ตลอดจนอุปกรณ์ในการผลิตปืนกว่า 17 รายการ ภายหลังการจับกุม พบว่าผู้ต้องหารายนี้เป็นบุคคลเดียวกันกับคนร้ายที่เมื่อปี 63 ขณะมีภูมิลำเนาอยู่ที่หนองบัวลำภู ได้ก่อเหตุขับรถยนต์หรูแหกด่านเคอร์ฟิวเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองหนองบัวลำภู ต่อมารถคันดังกล่าวได้เสียหลักชนแบริเออร์ข้างทางทำให้ไม่สามารถไปต่อได้ แต่คนร้ายได้ทิ้งรถหลบหนี ต่อมาตรวจสอบพบอาวุธปืนขนาด 9 มม.พร้อมเครื่องกระสุนในรถคันเกิดเหตุ ส่วนรถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถยนต์สวมทะเบียนปลอม ทั้งนี้ ชุดจับกุมยังตรวจสอบพบอีกว่ามีหมายจับของศาลจังหวัดเลย ที่ 82/2563 ลง 27 เม.ย.63 ในความผิดฐาน “มีอาวุธปืนติดมือ และพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต” และหมายจับของศาลจังหวัดหนองบัวลำภู ที่ จ.115/64 ลง 16 ส.ค.64 ในความผิดฐานเดียวกัน

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top